“มาหาใครไม่ทราบคะ” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นหลังจากเสียงเท้าวิ่งตุบตับ
ชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวลงจากรถหันไปมอง ส่วนอีกคนดับเครื่องแล้วตามลงมายืดตัวเต็มความสูงปิดประตูก่อนจะหันมองตาม เด็กสาวที่วิ่งมาพร้อมกับมีดเล่มใหญ่ในมือจากด้านหลังของบ้านชะงักเท้าเบรกอย่างกะทันหันเมื่อผู้ที่เยือนนั้นเกินความคาดหมาย
โอ้...ฝรั่ง!
เด็กสาวผมสั้นแค่ต้นคอหน้าเสีย แม้ว่าเธอจะได้ร่ำเรียนภาษาอังกฤษมาแล้วก็ตาม แต่ไม่เคยต้องพูดกับตัวเป็นๆ นอกจากเขียนและทำข้อสอบในหนังสือ ถึงจะเคยตอบโต้อาจารย์มาบ้างก็เถอะแต่นั่นมันก็แค่...กู๊ด มอร์นิ่ง...ฮาว อาร์ ยู...แอม ฟายน์...แท้งกิ้ว...แอนด์ ยู...เท่านั้น
“อะ...เอ่อ ฮัลโหล...” ใช่ ยังมีคำนี้อีกคำ
“ไฮ...“ ฝรั่งคนใส่แว่นกันแดดสีฟ้าเอ่ยขึ้น
หลังจากคำทักนั้นก็ได้รับยิ้มแหยๆ ตอบมากลับ แล้วทั้งสามคนตรงนั้นก็เงียบเมื่อเด็กสาวได้แต่ยืนหน้าซีดบิดไปบิดมาไม่รู้จะพูดอะไร แถมมีหนุ่มหล่อสองคนมาจ้องหน้าแบบนี้เธอก็เขินเป็นเหมือนกัน ในขณะที่ชายหนุ่มทั้งสองเหลือบมองกันเล็กน้อยและเข้าใจกิริยาของคนตรงหน้าดีว่า เธอไม่สันทัดจะพูดคุยกับพวกเขาด้วยภาษานี้ แต่ก็นะ คนมันอยากแกล้ง...ทำไงได้
“I want to see Missis Orapim, Do you know?” ตติยะเป็นผู้เอ่ยอีกครั้ง โดยแสร้งทำเป็นเอ่ยชื่อป้าของตนไม่ชัดอีกด้วย
คราวนี้เด็กสาวตรงหน้าอ้าปากค้างพูดไม่ออก ระบบการประมวลผลในสมองกำลังทำงานอย่างหนักพยายามนึกแปลทีละคำ แต่เขาพูดเร็วมากจนเธอฟังแทบไม่รู้เรื่อง ก็จะมาเอาอะไรนักหนากับเด็กมัธยมต้นที่เรียนอยู่ในเขตรอบนอกกรุงเทพฯ ยิ่งมองหน้าฝรั่งที่ใส่แว่นดำกับแว่นสีฟ้าจ้องอย่างรอคำตอบแล้วเด็กสาวก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ยิ่งกว่าเดิม
เรฟเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้ เขาถอนหายใจมองหน้าตติยะที่หันมาทางเขาแล้วยิ้มมุมปากเพียงเล็กน้อย แล้วส่ายหน้าระอาใจกับคนชอบแกล้งชาวบ้าน พอตั้งใจจะบอกเธอว่าเขาพูดไทยได้ เสียงหวานๆ ของใครบางคนก็ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องหันตามเสียงเพราะจับใจนั้น
“ชมพู่...ทำอะไรอยู่ นารอตั้งนานแล้วนะ วันนี้จะได้กินไหม กล้วยบวชชีน่ะ...” เสียงหวานหยุดลงเมื่อคนพูดเดินมาถึงและเห็นว่ามีคนแปลกหน้ากำลังมองเธออยู่
ดวงตาสีดำสนิทกะพริบสองสามครั้ง ใบหน้ารูปไข่ขาวนวลเนียนอมชมพูมีสีเข้มขึ้นให้เห็นเนื่องจากแดดที่โดนเมื่อตอนบ่ายแก่เอียงคอมองอย่างแปลกใจ
หนึ่งคนตรงหน้าเธอใส่แว่นดำสีหน้าเรียบเฉยไม่บ่งบอกอารมณ์ ท่าทางเหมือน ‘MIB’ แม้จะไม่เห็นดวงตาที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังหญิงสาวก็ไม่กล้าสบตาเขานานกว่านั้น จึงเบนสายตาไปยังอีกคน แล้วก็เจอกับสีหน้ายิ้มแย้มภายใต้แว่นเลนส์สีฟ้าสดใสพร้อมกับขาที่ก้าวยาวๆ ไม่กี่ครั้งก็ถึงตัวเธอ ลำแขนกำยำทั้งสองข้างรวบร่างสมส่วนเข้าหาตัวอย่างรวดเร็ว
“ว้าย!” เสียงเด็กสาวผู้ไม่เก่งภาษาต่างชาติร้องแล้วปิดปากด้วยความตกใจ
ไม่ใช่แค่เด็กสาวเท่านั้นที่เกิดอาการเช่นนี้ ทั้งชายหนุ่มแว่นดำและหญิงสาวผู้ที่เพิ่งถูกจมูกโด่งกับริมฝีปากบางสวยกดหนักๆ ลงบนแก้มทั้งสองข้างก็ถึงกับตะลึงไปเช่นกัน
“คิดถึงจัง” ตติยะเอ่ยพร้อมกับยกตัวเธอขึ้นกอดแน่นๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะวางลงแต่ยังไม่ปล่อยออกจากอ้อมแขน “โตขึ้นเยอะเลยนะเรา ไม่ผอมแห้งมีแต่กระดูกเหมือนเมื่อก่อนแล้วด้วย” เขาบอกแล้วยิ้มให้
“พี่ติว”
ริมฝีปากอิ่มครางชื่อเขาอย่างไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ เค้าหน้าขาวคมเข้มแถมยิ้มขี้เล่นอย่างนี้มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งชายหนุ่มก็ย้ำว่าเธอทักถูกด้วยการยกแว่นขึ้นคาดบนศีรษะแทน
“พี่ติวจริงๆ ด้วย” น้ำเสียงบ่งบอกความดีใจอย่างชัดเจน
ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนพราวระยับภายใต้คิ้วเข้มหนาสีเดียวกับผมสีน้ำตาลเข้มทำให้หน้าขาวแต่คมเข้มแบบลูกผสมดูอ่อนโยนลงเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องสาว ปกติตติยะมักวางสีหน้านิ่งราวรูปสลักของเทพบุตรผู้มีเมตตา แต่เมื่อชายหนุ่มยิ้มล่ะก็จะกลายเป็นหนุ่มทรงเสน่ห์จอมล่อลวงสาวๆ ให้หลงใหลเข่าอ่อนแทบยืนไม่อยู่เลยทีเดียว ทั้งที่แม้ไม่ยิ้มก็ตามกันเป็นพรวนอยู่แล้ว
“ก็พี่น่ะสิ...น้อยใจจังกว่าจะจำได้ ต้องให้เตือนความจำก่อน แต่แก้มน้องนายังนิ่มแล้วก็หอมเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนเลย”
คำบอกเล่าตามประสาหนุ่มเจ้าชู้เรียกรอยยิ้มกว้างจากหญิงสาวได้ แต่แล้วก็ต้องหุบยิ้มเมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับเจ้าของแว่นดำซึ่งยืนหน้านิ่งจ้องมาจากทางด้านหลังตติยะ
ตติยะมองตามแล้วก็ปล่อยเธอออกจากอ้อมแขน หันไปมองลูกผู้พี่ที่ทำหน้าขรึมจนทำเอาหญิงสาวเกรงแล้วก็อดเหนื่อยใจไม่ได้
“เลิกทำหน้าแบบนั้นได้แล้วเรฟ น้องเค้ากลัวนายจะแย่อยู่แล้ว ฉันไม่แปลกใจเลยที่สาวๆ อยู่กับนายได้ไม่นานสักคน”
เขากลับไปพูดภาษาที่เด็กสาวไม่เข้าใจอีกครั้ง ทั้งที่เมื่อกี้พูดไทยชัดเปรี๊ยะ ขณะที่คนถูกหลอกหน้างอง้ำขึ้นมา
ซึ่งหญิงสาวที่พอจะเข้าใจคำเย้านั้นยิ้มขำออกมา ทำให้คนถูกหัวเราะเยาะยิ่งหน้าบึ้งมากกว่าเดิม ทว่าตติยะกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่ได้พูดอะไรผิด ชายหนุ่มแนะนำชื่อคนทั้งสองเพราะรู้ดีว่าพวกเขาไม่รู้จักกัน
“น้องนา นี่เรฟ เรฟเป็นลูกผู้พี่ของพี่...เรฟ นี่น้องนา ชินานาง ลูกสาวของป้าอร”
แม้น้ำเสียงนั้นราบเรียบแต่เขาแอบดูท่าทีของลูกผู้พี่เต็มที่ แล้วก็เห็นว่ามือที่กำลังยื่นออกมาชะงักลงข้างตัว หน้าที่บึ้งตึงนั้นซีดลงพร้อมกับมองหน้าหญิงสาวอย่างตกตะลึง ก่อนจะปรับกลับมาเป็นบึ้งตึงเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว แม้จะเล็กน้อยเท่านั้นแต่ตติยะรู้ดีว่ามันมากพอสำหรับคนที่นิ่งเฉยกับทุกสถานการณ์อย่างเรฟ
=====
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ
ร่างสูงใหญ่เดินสำรวจไปรอบๆ รถ ดูทุกล้อว่ามีปัญหาที่ล้อใดบ้าง ร่างสูงก้มๆ เงยๆ หลายครั้งอย่างใช้ความคิด พลางยกมือหนาขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำฝนปรกใบหน้าคมเข้มอยู่บ่อยครั้ง เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่เขาสวมอยู่ก็เปียกแนบกับร่างกำยำคิ้วเรียวได้รูปสวยของพยาบาลสาวขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ เห็นชายหนุ่มตากฝนอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด หลังจากได้สติหญิงสาวจึงนึกได้ว่าตนเองพกร่มคันเล็กใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยเนื่องจากหน้านี้หน้าฝน หากเรฟก็ดูจะไม่ใส่ใจกับสิ่งอื่นใดนอกจากล้อรถ เธอจึงยิ่งเป็นกังวล...คนอะไรไม่รู้ สนใจรถมากกว่าตัวเองซะอีก เดี๋ยวก็ได้หวัดกินกันพอดี คิดได้ดังนั้นชินานางจึงหยิบร่มออกจากกระเป๋าแล้วก้าวลงจากรถพร้อมกับกางร่ม ก่อนจะเดินอ้อมไปหาคนที่กำลังหาอุปกรณ์อยู่ที่หลังรถพื้นถนนซึ่งเป็นทางเลี่ยงถนนใหญ่นั้นค่อนข้างเฉอะแฉะ และมีโคลนที่ทำให้หญิงสาวก้าวเดินอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปหาคนตัวสูงใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตารื้อค้นบางอย่างวุ่นวาย ชินานางคิดอยากช่วยชายหนุ่มจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วชะโงกหน้าไปดู แต่จังหวะนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพอดีทำให้คนทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัวต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ“เฮ้ย!” เ
ชินานางรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถโฟร์วีลคันใหญ่นี้ ดูอึมครึมไม่แพ้กับเมฆฝนทมึนที่ตั้งเค้าอยู่ภายนอก เพราะมีคนตัวโตนั่งหน้าบึ้งถมึงทึงและมุ่งมั่นกับการบังคับรถอย่างเดียวโดยไม่พูดไม่จา นอกจากเสียงแอร์แล้วเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งลมหายใจของเขา‘ตายไปแล้วมั้งเนี่ย’หากเป็นอย่างที่หญิงสาวค่อนขอดอยู่ในใจจริง คุณ MIB คนนี้คงเป็นพวกมีความสามารถพิเศษที่ขับรถได้ทั้งที่ไม่หายใจ แต่ในเมื่อเธอยังไม่เห็นเขาบินได้เขาจึงยังดูธรรมดา และรถก็ยังเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ นั่นก็แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่“ฝนตกอีกแล้ว...ดีนะที่พ้นเขตในเมืองมาแล้ว ไม่งั้นรถคงติดแย่ หน้าฝนก็งี้ ฝนตกรถติดเรื่องธรรมชาติ”ชินานางเปิดประเด็นเพื่อทำลายความเงียบ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่อยากจะคุยกับเขาสักเท่าไรหรอก แต่ดูจากที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วมันรู้สึกขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก คนอะไรไม่รู้ใส่แว่นดำก็ดูน่ากลัว พอไม่ใส่สายตาก็ดูราวกับจะเผาเธอได้“คุณคงยังไม่ชิน แต่อีกหน่อย เดี๋ยวก็ชินไปเอง...เอ๊ะ!”เธออุทานเมื่อเรฟหักพวงมาลัยเลี้ยวขวา ทั้งที่ยังไม่ถึงแยกที่ต้องเลี้ยวจริงๆ นั่นทำให้ชินานางตระหนกขึ้นมา กลัวว่าเขาจะโมโหเธอจนอยาก
‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ นายไปรับน้องนาที่โรงพยาบาลที่ไปส่งเมื่อเช้าด้วยแล้วกัน ฉันไม่อยากให้น้องกลับเอง แล้วนายก็จะได้ไม่หลง’คนที่นั่งจมกองเอกสารอยู่ในห้องรองประธานกรรมการ ถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ตติยะวางสายไปอีกราวหนึ่งนาที จากนั้นจึงค่อยๆ ประมวลระบบการรับรู้ทางหูของตนว่าได้ยินคำสั่งที่ผิดไปหรือเปล่าบอกให้เขาไปรับน้องนอกไส้นั่นน่ะเหรอ หมอนั่นคิดได้ยังไงข้อแรกเขายังจำทางไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้จะไปถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ ก็ถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่สองเส้นนี่ แถมยังตรอกซอกซอยอีกล่ะ ยิ่งคนอ่อนการอ่านภาษาไทยอย่างเขาแล้วด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูป้าย มีดีอย่างเดียวตรงที่โรงพยาบาลนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เพราะเมื่อเช้าเขากับตติยะใช้เวลาจากที่นั่นมาถึงที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นข้อสอง...ข้อนี้เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นเลยก็คือเขาไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ใกล้ หรือแม้แต่พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้น คนที่แม่เขารักและทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากับมือ ลูกของคนที่มาแทนที่พ่อของเขา แม้ไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็คน จะให้ทำใจยอมรับกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ชายหนุ่มคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเซ