มีคนกำลังผลุบโผล่อยู่ที่หน้าประตูบ้าน...
ปลายเท้าของร่างสูงใหญ่ที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดไม้ขัดมันเงาวับพร้อมกับแก้วน้ำในมือชะงักลง ก่อนจะหันหลังเดินตรงไปทางหน้าประตูแทน ซึ่งขณะเดียวกันอยู่ๆ บานประตูกระจกก็ถูกเลื่อนเปิดอย่างกะทันหันทำให้ชายหนุ่มหยุดอยู่กับที่ ยืนนิ่งไม่ได้เอ่ยอะไร ทว่าคนที่ก้าวเข้ามามองซ้ายมองขวาแล้วเห็นเขากลับกรี๊ดลั่น
“กรี๊ด!!”
เสียงแปดหลอดนั้นทำให้เรฟวางแก้วบนโต๊ะใกล้ๆ ยกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้าง แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะวิ่งออกไปข้างนอกเขาก็ผวาเข้าไปคว้ามือเล็กดึงเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิ จะไปไหน”
อีกฝ่ายผงะพยายามสะบัดมือเขาออก แต่เขาไม่ยอมปล่อย
“ปล่อย ปล่อยหนู จะทำอะไรหนู”
“ฉันจะทำอะไรที่ไหน”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เสียงของตติยะดังขึ้นหลังจากเสียงตึงๆ ดังลงมาจากบันได
เมื่อเข้ามาใกล้ชายหนุ่มก็พลอยต้องปิดหูไปด้วย เพราะเสียงร้องของชมพู่ที่กรี๊ดขึ้นอีกเข้าไปทำลายประสาทการฟังอย่างรุนแรง เขาหันหน้ามองลูกผู้พี่และอีกฝ่ายก็หันมาสบตาอย่างอ่อนใจ อ้าปากจะบอกแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงหวานห้วนก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน
“เป็นอะไรเหรอชมพู่!”
ชายหนุ่มทั้งสองหันไปมองเห็นหญิงสาวหน้าใสในร่างสมส่วนที่ดูแตกต่างจากเมื่อวานลิบลับ ด้วยเปลี่ยนจากเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า มาเป็นเสื้อแขนสั้นพอดีตัวกับกระโปรงทรงเอสั้นเหนือเข่าสีขาว ชายเสื้อเก็บไว้ข้างในเรียบร้อย แถมหน้ารูปไข่ขาวอมชมพูก็เปิดหมดไม่มีผมมาปกปิดเพราะรวบขึ้นใส่เก็บไว้ในเน็ตครอบผม เห็นชัดถึงความมีน้ำมีนวลน่ารัก จนทั้งสองถึงกับอึ้งรู้สึกราวกับได้เห็นนางฟ้าลงมาโปรดก็ไม่ปาน ด้วยแสงแดดอ่อนที่สะท้อนมาจากด้านหลังของหญิงสาว
ทว่าเมื่อชินานางวิ่งมาถึงแล้วกวาดตามองคนที่กำลังจับมือชมพู่ก็รีบหันหลังให้ด้วยใบหน้าแดงก่ำทันที ส่วนสาวร่างอวบอีกคนหนึ่งที่วิ่งตามมาก็ถึงกับยกมือปิดปากอุทาน หากสายตาไม่ได้ละไปจากร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามปราศจากไขมัน ตั้งแต่ไหล่กว้าง แผงอกหนาแน่น ช่วงเอวเพรียวแกร่ง และท่อนขายาวแข็งแรงกำยำมีกางเกงบ็อกเซอร์เพียงตัวเดียวปกปิดเลยแม้แต่นิด ผิวขาวที่เข้มกว่าคนต่างชาติทั่วไปบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนชอบกิจกรรมกลางแดดทำให้แป้นถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
“คุณนาช่วยหนูด้วย”
เสียงของชมพู่ดังขึ้นมาอย่างอ้อนวอน ทำให้ชินานางกลั้นใจหันกลับไปจ้องหน้าคนตัวใหญ่ โดยพยายามไม่มองส่วนอื่นพร้อมกับก้าวเร็วๆ เข้าไปผลักอกหนาแล้วดึงมือชมพู่กลับมา สาวน้อยผวาเข้ากอดแขนหญิงสาวและก้มหน้าหลบทันที
“คุณจะทำอะไรชมพู่”
เรฟยื่นนิ่งทั้งที่โดนผลัก ขมวดคิ้วมุ่น มองหน้าคนที่สูงประมาณอกเขาสลับกับเด็กชมพู่ที่ตอนนี้หยุดร้องเพราะมีสาวร่างอวบอีกคนเข้ามาปลอบ แล้วทำสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะยักไหล่
“ไม่ได้ทำอะไรนี่”
“ไม่ทำอะไรแล้วชมพูจะร้องทำไม แล้วคุณก็จับมือชมพูอยู่ แถมยังอยู่ในสภาพ...” เธอไม่พูดต่อ
มุมปากหยักหนาของเรฟกระตุกอย่างถูกใจ เข้าใจแล้วว่าไอ้หน้าแดงๆ ของเธอมันเพราะอะไร ช่วยไม่ได้จริงๆ เขาไม่คิดว่าใครจะมาเอาตอนเช้าขนาดนี้ หลังจากอาบน้ำแล้วหิวน้ำจึงใส่แค่บอกเซอร์เดินลงมาเอาน้ำในตู้เย็นข้างล่าง ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่เดินตัวเปล่า เขาคิดอย่างครึ้มใจแล้วขยับเข้าไปใกล้ร่างอิ่มสมส่วน ได้กลิ่นหอมๆ โชยแตะจมูก รู้สึกสดชื่นจากการนอนไม่หลับเพราะคิดเรื่องที่จะต้องเจอกับผู้เป็นแม่มาทั้งคืนทันที
ร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกครึ่งกับท่าทางของเขาดูคุกคามจนชินานางค่อยๆ ถอยหลัง สีหน้าชายหนุ่มเหี้ยมเกรียมเมื่อพูด
“เด็กคนนี้เข้ามาเองนะ แล้วผมก็กำลังอยากจะ...”
ลิ้นสีชมพูถูกแลบออกเลียบนริมฝีปากหยักสวย แววตาสีน้ำตาลเข้มแฝงแววกระหายกวาดมองร่างหญิงสาวทั้งสามขึ้นลงนั้นทำให้ทั้งหมดถอยกรูด โดยที่สองสาวใช้วิธีหลบไปอยู่ด้านหลังของชินานางจนตัวแทบลีบติดผนัง ส่วนคนที่อยู่รับหน้าทัพก็หมดหนทางหนี แม้ว่าตาของเธอยังจ้องตอบเขาเขม็งแต่ก็กลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ
เรฟเห็นอาการสาวๆ แล้วก็ย่ามใจโน้มตัวลงไปจนหน้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจบางเบาของชินานาง ก่อนจะเลิกคิ้วกวนโมโหให้แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“น่าเสียดาย”
พูดจบก็ผละออกห่างมายืนทำหน้าสงบนิ่งเป็นรูปปั้น แถมยังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ไม่สนใจหน้าตาซีดเผือดของหญิงสาวแม้แต่น้อย
ตติยะที่เอาแต่มองดูสถานการณ์อย่างเดียวเห็นว่าทั้งสามสาวต่างก็ขวัญผวาเพราะลูกผู้พี่เขาไปตามๆ ก็เผยยิ้มกว้าง เขาต้องคลี่คลายบรรยากาศก่อนสาวๆ จะพากันคิดว่าเรฟเป็นพวกโรคจิตไปซะก่อน
“เรฟมันล้อเล่นน่ะนา ไม่ต้องกลัว ว่าแต่ให้ชมพู่มาที่นี่แต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ...” ชินานางพยายามสงบจิตใจที่อยู่ในอาการหวาดหวั่นของตนเอง ก่อนจะนึกธุระของชมพู่ออก แล้วตอบพี่ชายโดยไม่มองหน้าอีกคน พยายามโฟกัสเพียงใบหน้าหล่อเหลาของตติยะเท่านั้น
“นา...นาให้ชมพู่มาถามว่า พี่ติวจะทานอะไรเป็นอาหารเช้าน่ะค่ะ”
“อ๋อ...กาแฟกับขนมปัง” ตติยะตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม
ชินานางพยักหน้ารับคนที่เธอรักเหมือนพี่ชายแท้ๆ ก่อนจะเหลือบไปทางคนที่เพิ่งทำท่าโรคจิตใส่เธอเล็กน้อยประมาณว่า ‘แล้วเขาล่ะ’ ซึ่งเรฟก็พอจะรู้ความหมาย
“เหมือนกัน”
หนุ่มที่ท่าทางเหมือน MIB ในความรู้สึกของหญิงสาวเมื่อวาน และเหมือนคนโรคจิตในวันนี้เอ่ยสั้นๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่สนใจอะไร และนั่นเป็นครั้งแรกที่สามสาวถอนหายใจพร้อมกันอย่างโล่งอก
เมื่อรู้คำตอบแล้วชินานางก็หันไปหาสาวใช้ทั้งสองคนซึ่งกอดกันกลมหน้าซีดเผือด พยักหน้าเป็นสัญญาณแทนการบอกอนุญาตให้ไปจัดการได้ ราวกับสองสาวรอจังหวะนี้อยู่พอดีเพราะทั้งคู่รีบแจ้นไปทันที จากนั้นชินานางก็หันมายิ้มหวานให้กับตติยะที่หลุดขำก๊ากออกมาแบบอดไม่อยู่แล้วในขณะนี้
“เขาเล่นแรงจังนะคะ เอาซะเหมือนเลย” คำพูดประชดของน้องสาวยิ่งทำให้ตติยะหัวเราะดังขึ้น ในขณะที่ชินานางหน้างอง้ำยิ่งกว่าเดิม
“ปกติเรฟมันเป็นพวกแห้งแล้งจะตายไป นานๆ ถึงจะอำใครสักที นี่มันคงเห็นพวกเรากลัวกะแค่มันใส่บอกเซอร์ตัวเดียวเลยแกล้งซะ”
“แต่งตัวแบบนั้น ผู้หญิงที่ไหนเห็นก็ตกใจค่ะ”
“ไม่มั้ง เห็นสาวๆ วิ่งเข้าใส่เรฟกันตรึม” ตติยะพูดพร้อมรอยยิ้มขัน เขาแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเดินไปนั่งลงใส่ถุงเท้ารอเพื่อน ทำให้ชินานางนั่งลงตามแต่ก็ไม่วายค้อนพี่ชาย
“ไม่ใช่สาวไทยหรอกค่ะ”
“แน่ะ ไม่รู้จริงซะแล้ว มีแต่นาเท่านั้นแหละที่หน้าแดงแปร๊ด พี่เห็นพี่แป้นมองตาวาวเลย”
“พี่ติวคะ” ท่าทางหญิงสาวบอกว่าไม่มีอารมณ์ตลกด้วยชายหนุ่มจึงไม่เย้าต่อ แต่เปลี่ยนเรื่องถามแทน
“เด็กชมพู่นี่มาอยู่ได้กี่ปีแล้วล่ะ”
ชินานางแอบลอบถอนหายใจโล่งอก เพราะสามารถเลี่ยงเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกอัดอึดแปลกๆ กับความกำยำล่ำสันของลูกพี่ลูกน้องพี่ชายซึ่งเพิ่งพบเห็นจังๆ ไปได้
“พี่ติวไปได้ปีกว่าๆ คุณแม่ก็รับชมพู่เข้ามาอยู่ด้วย เพราะนาเองก็ต้องเข้าเวรที่โรงพยาบาล ทำให้พี่แป้นมีงานเพิ่ม ต้องมาช่วยป้าจิตต์ดูแลคุณแม่ ก็เลยจำเป็นต้องรับเด็กอีกคนค่ะ”
แม้จะโล่งใจไปได้เล็กน้อย ทว่าเมื่อเรฟก้าวลงมาข้างล่างแต่งตัวเรียบร้อยด้วยเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม กางเกงสแล็กส์สีดำ มีสูทพาดอยู่บนไหล่ และนั่งลงใส่ถุงเท้า ชินานางก็ยังอดคิดถึงรูปร่างที่แสนจะดูดีและดึงดูดใจของชายหนุ่มไม่ได้ ทั้งที่เคยพบเห็นผู้ป่วยที่ดูแลมาแล้วมากมายและเคยชินกับเนื้อตัวผู้ชาย แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้เธอเกิดอาการซึ่งเรียกว่า...เขินอาย
=====
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ
ร่างสูงใหญ่เดินสำรวจไปรอบๆ รถ ดูทุกล้อว่ามีปัญหาที่ล้อใดบ้าง ร่างสูงก้มๆ เงยๆ หลายครั้งอย่างใช้ความคิด พลางยกมือหนาขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำฝนปรกใบหน้าคมเข้มอยู่บ่อยครั้ง เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่เขาสวมอยู่ก็เปียกแนบกับร่างกำยำคิ้วเรียวได้รูปสวยของพยาบาลสาวขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ เห็นชายหนุ่มตากฝนอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด หลังจากได้สติหญิงสาวจึงนึกได้ว่าตนเองพกร่มคันเล็กใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยเนื่องจากหน้านี้หน้าฝน หากเรฟก็ดูจะไม่ใส่ใจกับสิ่งอื่นใดนอกจากล้อรถ เธอจึงยิ่งเป็นกังวล...คนอะไรไม่รู้ สนใจรถมากกว่าตัวเองซะอีก เดี๋ยวก็ได้หวัดกินกันพอดี คิดได้ดังนั้นชินานางจึงหยิบร่มออกจากกระเป๋าแล้วก้าวลงจากรถพร้อมกับกางร่ม ก่อนจะเดินอ้อมไปหาคนที่กำลังหาอุปกรณ์อยู่ที่หลังรถพื้นถนนซึ่งเป็นทางเลี่ยงถนนใหญ่นั้นค่อนข้างเฉอะแฉะ และมีโคลนที่ทำให้หญิงสาวก้าวเดินอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปหาคนตัวสูงใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตารื้อค้นบางอย่างวุ่นวาย ชินานางคิดอยากช่วยชายหนุ่มจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วชะโงกหน้าไปดู แต่จังหวะนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพอดีทำให้คนทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัวต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ“เฮ้ย!” เ
ชินานางรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถโฟร์วีลคันใหญ่นี้ ดูอึมครึมไม่แพ้กับเมฆฝนทมึนที่ตั้งเค้าอยู่ภายนอก เพราะมีคนตัวโตนั่งหน้าบึ้งถมึงทึงและมุ่งมั่นกับการบังคับรถอย่างเดียวโดยไม่พูดไม่จา นอกจากเสียงแอร์แล้วเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งลมหายใจของเขา‘ตายไปแล้วมั้งเนี่ย’หากเป็นอย่างที่หญิงสาวค่อนขอดอยู่ในใจจริง คุณ MIB คนนี้คงเป็นพวกมีความสามารถพิเศษที่ขับรถได้ทั้งที่ไม่หายใจ แต่ในเมื่อเธอยังไม่เห็นเขาบินได้เขาจึงยังดูธรรมดา และรถก็ยังเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ นั่นก็แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่“ฝนตกอีกแล้ว...ดีนะที่พ้นเขตในเมืองมาแล้ว ไม่งั้นรถคงติดแย่ หน้าฝนก็งี้ ฝนตกรถติดเรื่องธรรมชาติ”ชินานางเปิดประเด็นเพื่อทำลายความเงียบ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่อยากจะคุยกับเขาสักเท่าไรหรอก แต่ดูจากที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วมันรู้สึกขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก คนอะไรไม่รู้ใส่แว่นดำก็ดูน่ากลัว พอไม่ใส่สายตาก็ดูราวกับจะเผาเธอได้“คุณคงยังไม่ชิน แต่อีกหน่อย เดี๋ยวก็ชินไปเอง...เอ๊ะ!”เธออุทานเมื่อเรฟหักพวงมาลัยเลี้ยวขวา ทั้งที่ยังไม่ถึงแยกที่ต้องเลี้ยวจริงๆ นั่นทำให้ชินานางตระหนกขึ้นมา กลัวว่าเขาจะโมโหเธอจนอยาก
‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ นายไปรับน้องนาที่โรงพยาบาลที่ไปส่งเมื่อเช้าด้วยแล้วกัน ฉันไม่อยากให้น้องกลับเอง แล้วนายก็จะได้ไม่หลง’คนที่นั่งจมกองเอกสารอยู่ในห้องรองประธานกรรมการ ถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ตติยะวางสายไปอีกราวหนึ่งนาที จากนั้นจึงค่อยๆ ประมวลระบบการรับรู้ทางหูของตนว่าได้ยินคำสั่งที่ผิดไปหรือเปล่าบอกให้เขาไปรับน้องนอกไส้นั่นน่ะเหรอ หมอนั่นคิดได้ยังไงข้อแรกเขายังจำทางไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้จะไปถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ ก็ถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่สองเส้นนี่ แถมยังตรอกซอกซอยอีกล่ะ ยิ่งคนอ่อนการอ่านภาษาไทยอย่างเขาแล้วด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูป้าย มีดีอย่างเดียวตรงที่โรงพยาบาลนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เพราะเมื่อเช้าเขากับตติยะใช้เวลาจากที่นั่นมาถึงที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นข้อสอง...ข้อนี้เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นเลยก็คือเขาไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ใกล้ หรือแม้แต่พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้น คนที่แม่เขารักและทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากับมือ ลูกของคนที่มาแทนที่พ่อของเขา แม้ไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็คน จะให้ทำใจยอมรับกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ชายหนุ่มคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเซ