มีคนกำลังผลุบโผล่อยู่ที่หน้าประตูบ้าน...
ปลายเท้าของร่างสูงใหญ่ที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดไม้ขัดมันเงาวับพร้อมกับแก้วน้ำในมือชะงักลง ก่อนจะหันหลังเดินตรงไปทางหน้าประตูแทน ซึ่งขณะเดียวกันอยู่ๆ บานประตูกระจกก็ถูกเลื่อนเปิดอย่างกะทันหันทำให้ชายหนุ่มหยุดอยู่กับที่ ยืนนิ่งไม่ได้เอ่ยอะไร ทว่าคนที่ก้าวเข้ามามองซ้ายมองขวาแล้วเห็นเขากลับกรี๊ดลั่น
“กรี๊ด!!”
เสียงแปดหลอดนั้นทำให้เรฟวางแก้วบนโต๊ะใกล้ๆ ยกมือขึ้นมาปิดหูทั้งสองข้าง แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะวิ่งออกไปข้างนอกเขาก็ผวาเข้าไปคว้ามือเล็กดึงเอาไว้เสียก่อน
“เดี๋ยวสิ จะไปไหน”
อีกฝ่ายผงะพยายามสะบัดมือเขาออก แต่เขาไม่ยอมปล่อย
“ปล่อย ปล่อยหนู จะทำอะไรหนู”
“ฉันจะทำอะไรที่ไหน”
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เสียงของตติยะดังขึ้นหลังจากเสียงตึงๆ ดังลงมาจากบันได
เมื่อเข้ามาใกล้ชายหนุ่มก็พลอยต้องปิดหูไปด้วย เพราะเสียงร้องของชมพู่ที่กรี๊ดขึ้นอีกเข้าไปทำลายประสาทการฟังอย่างรุนแรง เขาหันหน้ามองลูกผู้พี่และอีกฝ่ายก็หันมาสบตาอย่างอ่อนใจ อ้าปากจะบอกแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไรเสียงหวานห้วนก็ดังแทรกขึ้นมาก่อน
“เป็นอะไรเหรอชมพู่!”
ชายหนุ่มทั้งสองหันไปมองเห็นหญิงสาวหน้าใสในร่างสมส่วนที่ดูแตกต่างจากเมื่อวานลิบลับ ด้วยเปลี่ยนจากเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า มาเป็นเสื้อแขนสั้นพอดีตัวกับกระโปรงทรงเอสั้นเหนือเข่าสีขาว ชายเสื้อเก็บไว้ข้างในเรียบร้อย แถมหน้ารูปไข่ขาวอมชมพูก็เปิดหมดไม่มีผมมาปกปิดเพราะรวบขึ้นใส่เก็บไว้ในเน็ตครอบผม เห็นชัดถึงความมีน้ำมีนวลน่ารัก จนทั้งสองถึงกับอึ้งรู้สึกราวกับได้เห็นนางฟ้าลงมาโปรดก็ไม่ปาน ด้วยแสงแดดอ่อนที่สะท้อนมาจากด้านหลังของหญิงสาว
ทว่าเมื่อชินานางวิ่งมาถึงแล้วกวาดตามองคนที่กำลังจับมือชมพู่ก็รีบหันหลังให้ด้วยใบหน้าแดงก่ำทันที ส่วนสาวร่างอวบอีกคนหนึ่งที่วิ่งตามมาก็ถึงกับยกมือปิดปากอุทาน หากสายตาไม่ได้ละไปจากร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามปราศจากไขมัน ตั้งแต่ไหล่กว้าง แผงอกหนาแน่น ช่วงเอวเพรียวแกร่ง และท่อนขายาวแข็งแรงกำยำมีกางเกงบ็อกเซอร์เพียงตัวเดียวปกปิดเลยแม้แต่นิด ผิวขาวที่เข้มกว่าคนต่างชาติทั่วไปบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นคนชอบกิจกรรมกลางแดดทำให้แป้นถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ
“คุณนาช่วยหนูด้วย”
เสียงของชมพู่ดังขึ้นมาอย่างอ้อนวอน ทำให้ชินานางกลั้นใจหันกลับไปจ้องหน้าคนตัวใหญ่ โดยพยายามไม่มองส่วนอื่นพร้อมกับก้าวเร็วๆ เข้าไปผลักอกหนาแล้วดึงมือชมพู่กลับมา สาวน้อยผวาเข้ากอดแขนหญิงสาวและก้มหน้าหลบทันที
“คุณจะทำอะไรชมพู่”
เรฟยื่นนิ่งทั้งที่โดนผลัก ขมวดคิ้วมุ่น มองหน้าคนที่สูงประมาณอกเขาสลับกับเด็กชมพู่ที่ตอนนี้หยุดร้องเพราะมีสาวร่างอวบอีกคนเข้ามาปลอบ แล้วทำสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะยักไหล่
“ไม่ได้ทำอะไรนี่”
“ไม่ทำอะไรแล้วชมพูจะร้องทำไม แล้วคุณก็จับมือชมพูอยู่ แถมยังอยู่ในสภาพ...” เธอไม่พูดต่อ
มุมปากหยักหนาของเรฟกระตุกอย่างถูกใจ เข้าใจแล้วว่าไอ้หน้าแดงๆ ของเธอมันเพราะอะไร ช่วยไม่ได้จริงๆ เขาไม่คิดว่าใครจะมาเอาตอนเช้าขนาดนี้ หลังจากอาบน้ำแล้วหิวน้ำจึงใส่แค่บอกเซอร์เดินลงมาเอาน้ำในตู้เย็นข้างล่าง ดีเท่าไหร่แล้วที่เขาไม่เดินตัวเปล่า เขาคิดอย่างครึ้มใจแล้วขยับเข้าไปใกล้ร่างอิ่มสมส่วน ได้กลิ่นหอมๆ โชยแตะจมูก รู้สึกสดชื่นจากการนอนไม่หลับเพราะคิดเรื่องที่จะต้องเจอกับผู้เป็นแม่มาทั้งคืนทันที
ร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกครึ่งกับท่าทางของเขาดูคุกคามจนชินานางค่อยๆ ถอยหลัง สีหน้าชายหนุ่มเหี้ยมเกรียมเมื่อพูด
“เด็กคนนี้เข้ามาเองนะ แล้วผมก็กำลังอยากจะ...”
ลิ้นสีชมพูถูกแลบออกเลียบนริมฝีปากหยักสวย แววตาสีน้ำตาลเข้มแฝงแววกระหายกวาดมองร่างหญิงสาวทั้งสามขึ้นลงนั้นทำให้ทั้งหมดถอยกรูด โดยที่สองสาวใช้วิธีหลบไปอยู่ด้านหลังของชินานางจนตัวแทบลีบติดผนัง ส่วนคนที่อยู่รับหน้าทัพก็หมดหนทางหนี แม้ว่าตาของเธอยังจ้องตอบเขาเขม็งแต่ก็กลืนน้ำลายลงอย่างฝืดคอ
เรฟเห็นอาการสาวๆ แล้วก็ย่ามใจโน้มตัวลงไปจนหน้าสัมผัสได้ถึงลมหายใจบางเบาของชินานาง ก่อนจะเลิกคิ้วกวนโมโหให้แวบหนึ่ง แล้วเอ่ยทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
“น่าเสียดาย”
พูดจบก็ผละออกห่างมายืนทำหน้าสงบนิ่งเป็นรูปปั้น แถมยังยกแก้วน้ำขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ไม่สนใจหน้าตาซีดเผือดของหญิงสาวแม้แต่น้อย
ตติยะที่เอาแต่มองดูสถานการณ์อย่างเดียวเห็นว่าทั้งสามสาวต่างก็ขวัญผวาเพราะลูกผู้พี่เขาไปตามๆ ก็เผยยิ้มกว้าง เขาต้องคลี่คลายบรรยากาศก่อนสาวๆ จะพากันคิดว่าเรฟเป็นพวกโรคจิตไปซะก่อน
“เรฟมันล้อเล่นน่ะนา ไม่ต้องกลัว ว่าแต่ให้ชมพู่มาที่นี่แต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ...” ชินานางพยายามสงบจิตใจที่อยู่ในอาการหวาดหวั่นของตนเอง ก่อนจะนึกธุระของชมพู่ออก แล้วตอบพี่ชายโดยไม่มองหน้าอีกคน พยายามโฟกัสเพียงใบหน้าหล่อเหลาของตติยะเท่านั้น
“นา...นาให้ชมพู่มาถามว่า พี่ติวจะทานอะไรเป็นอาหารเช้าน่ะค่ะ”
“อ๋อ...กาแฟกับขนมปัง” ตติยะตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม
ชินานางพยักหน้ารับคนที่เธอรักเหมือนพี่ชายแท้ๆ ก่อนจะเหลือบไปทางคนที่เพิ่งทำท่าโรคจิตใส่เธอเล็กน้อยประมาณว่า ‘แล้วเขาล่ะ’ ซึ่งเรฟก็พอจะรู้ความหมาย
“เหมือนกัน”
หนุ่มที่ท่าทางเหมือน MIB ในความรู้สึกของหญิงสาวเมื่อวาน และเหมือนคนโรคจิตในวันนี้เอ่ยสั้นๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไปโดยไม่สนใจอะไร และนั่นเป็นครั้งแรกที่สามสาวถอนหายใจพร้อมกันอย่างโล่งอก
เมื่อรู้คำตอบแล้วชินานางก็หันไปหาสาวใช้ทั้งสองคนซึ่งกอดกันกลมหน้าซีดเผือด พยักหน้าเป็นสัญญาณแทนการบอกอนุญาตให้ไปจัดการได้ ราวกับสองสาวรอจังหวะนี้อยู่พอดีเพราะทั้งคู่รีบแจ้นไปทันที จากนั้นชินานางก็หันมายิ้มหวานให้กับตติยะที่หลุดขำก๊ากออกมาแบบอดไม่อยู่แล้วในขณะนี้
“เขาเล่นแรงจังนะคะ เอาซะเหมือนเลย” คำพูดประชดของน้องสาวยิ่งทำให้ตติยะหัวเราะดังขึ้น ในขณะที่ชินานางหน้างอง้ำยิ่งกว่าเดิม
“ปกติเรฟมันเป็นพวกแห้งแล้งจะตายไป นานๆ ถึงจะอำใครสักที นี่มันคงเห็นพวกเรากลัวกะแค่มันใส่บอกเซอร์ตัวเดียวเลยแกล้งซะ”
“แต่งตัวแบบนั้น ผู้หญิงที่ไหนเห็นก็ตกใจค่ะ”
“ไม่มั้ง เห็นสาวๆ วิ่งเข้าใส่เรฟกันตรึม” ตติยะพูดพร้อมรอยยิ้มขัน เขาแต่งตัวเสร็จแล้วจึงเดินไปนั่งลงใส่ถุงเท้ารอเพื่อน ทำให้ชินานางนั่งลงตามแต่ก็ไม่วายค้อนพี่ชาย
“ไม่ใช่สาวไทยหรอกค่ะ”
“แน่ะ ไม่รู้จริงซะแล้ว มีแต่นาเท่านั้นแหละที่หน้าแดงแปร๊ด พี่เห็นพี่แป้นมองตาวาวเลย”
“พี่ติวคะ” ท่าทางหญิงสาวบอกว่าไม่มีอารมณ์ตลกด้วยชายหนุ่มจึงไม่เย้าต่อ แต่เปลี่ยนเรื่องถามแทน
“เด็กชมพู่นี่มาอยู่ได้กี่ปีแล้วล่ะ”
ชินานางแอบลอบถอนหายใจโล่งอก เพราะสามารถเลี่ยงเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกอัดอึดแปลกๆ กับความกำยำล่ำสันของลูกพี่ลูกน้องพี่ชายซึ่งเพิ่งพบเห็นจังๆ ไปได้
“พี่ติวไปได้ปีกว่าๆ คุณแม่ก็รับชมพู่เข้ามาอยู่ด้วย เพราะนาเองก็ต้องเข้าเวรที่โรงพยาบาล ทำให้พี่แป้นมีงานเพิ่ม ต้องมาช่วยป้าจิตต์ดูแลคุณแม่ ก็เลยจำเป็นต้องรับเด็กอีกคนค่ะ”
แม้จะโล่งใจไปได้เล็กน้อย ทว่าเมื่อเรฟก้าวลงมาข้างล่างแต่งตัวเรียบร้อยด้วยเชิ้ตสีน้ำเงินเข้ม กางเกงสแล็กส์สีดำ มีสูทพาดอยู่บนไหล่ และนั่งลงใส่ถุงเท้า ชินานางก็ยังอดคิดถึงรูปร่างที่แสนจะดูดีและดึงดูดใจของชายหนุ่มไม่ได้ ทั้งที่เคยพบเห็นผู้ป่วยที่ดูแลมาแล้วมากมายและเคยชินกับเนื้อตัวผู้ชาย แต่ทำไมเธอกลับรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้มีบางอย่างที่ทำให้เธอเกิดอาการซึ่งเรียกว่า...เขินอาย
=====
หลังเอื้อมทรายคลอดลูก ทั้งครอบครัวของตติยะก็ยังพักอยู่ต่อโดยไม่มีใครเดินทางกลับนอกจากแขก เพราะต่างก็เห่อหลานชายสองคนที่น่ารักน่าชังมากๆ แม้แต่คุณอานนท์กับคุณนิตยาเองก็ยังเฝ้าหลานทั้งสองคนไม่ห่าง ทิ้งงานที่โรงพยาบาลไปเลยทีเดียว เนื่องจากคุณนิตยาลงความเห็นว่าหลานตัวน้อยยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางไปโดนแดดโดนลมทะเลในตอนนี้ ก็เลยเพียงแค่พามาพักที่บ้านพักของตระกูลตติยะเพื่อความสะดวกสบาย และเสียงเด็กๆ จะได้ไม่รบกวนแขกของรีสอร์ต พวกเขาจึงพากันเกงานกันทั้งครอบครัว โดยคุณเจอเซ่สั่งงานผ่านทางวิดีโอคอลกับคนสนิทที่ไว้ใจได้ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเลยทีเดียวส่วนตัวตติยะนั้นเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าหลังแต่งงานจะพักฮันนีมูนเป็นเดือนจึงไม่เดือดร้อน เนื่องจากเคลียร์และกับเลขาอย่างคุณวิชัยเรียบร้อย หากมีอะไรด่วนวิชัยคงติดต่อเขามาเอง ก็กว่าเขาจะได้แต่งงานคนอื่นก็นำโด่งไปไกลไม่เห็นฝุ่นแล้ว เพราะนับตั้งแต่คืนที่เขาต้องเสียเงินซื้อรถให้น้องทั้งสองคน เอื้อมธารก็ไม่ค่อยจะยอมให้เขาแตะต้องสักเท่าไร แถมก็งานยุ่งเนื่องจากกำลังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างใหม่ นานๆ ครั้งถึงจะมีโอกาส ฉะนั้นพอแต่งงานตติยะจึงขอใช้เวลาส่วนตัวก
สองปีต่อมา...“แซนด์ไปไหน คุณหมอเห็นแซนด์หรือเปล่าคะ”ในงานเลี้ยงฉลองงานแต่งงานของลูกชายคนโตตระกูลเวลเลโอ ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งบนเกาะซึ่งเจ้าของงานเหมาทั้งรีสอร์ตเพื่อรับรองแขกนั้น ร่างบางของเจ้าสาวชุดสวยหรูราวเจ้าหญิงเดินไปทั่วทั้งบริเวณจัดงาน หลังจากส่งแขกเรียบร้อยแล้วด้วยใบหน้ากังวล เอื้อมธารถามหมอหนุ่มที่กำลังจะไปนั่งดื่มกับกลุ่มเพื่อนในมุมหนึ่งของรีสอร์ต ทำเอาชายหนุ่มชะงักหันมองอย่างงงๆ เพราะแทนที่จะถามหาเจ้าบ่าวแต่เจ้าสาวกลับถามหาพี่สาว“เปล่าครับ แล้วนี่ซีจะไปไหน น่าจะพักนะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”วิศรุตต์พูดโดยไม่ได้เอ่ยถึงเจ้าบ่าวที่เขาคิดว่ามันคงนั่งร่วมวงอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ เรียบร้อยแล้ว เพราะไม่อยากเป็นคนชี้โพรงให้กระรอกฤกษ์ส่งตัวนั้นมีไปตั้งแต่เมื่อวานที่กรุงเทพฯ เพราะทั้งสองคนแต่งงานที่บ้านสวนแบบเรียบง่าย รดน้ำทำบุญ มีเพียงแขกผู้ใหญ่และคนสนิทจริงๆ ส่วนงานเลี้ยงมาจัดที่เกาะ ซึ่งเป็นความต้องการของเจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่ก็อำนวยความสะดวกให้กับแขกที่ได้รับเชิญทั้งไทยและเทศอย่างดี ฉะนั้นคู่บ่าวสาวจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตามฤกษ์ ส่วนบ้านพักของตระกูลนั้นตติยะให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวของเ
เสียงหอบหายใจคละเคล้ากับเสียงเรียกชื่อเขา พร้อมปฏิกิริยาแสนซื่อจากร่างกายของหญิงสาวทำให้คนเจนสนามไหวร่างไม่นับครั้ง สายตาคมจ้องอกอวบสองข้างที่สะท้อนขึ้นลงไว้มั่น ทั้งแรงเสียดสีจากร่างอ่อนนุ่มก็ทำให้กายแข็งแกร่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนสูงลิบแตะเพดาน หัวใจหนุ่มเต้นระส่ำยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ชายหนุ่มเองก็ยิ่งส่งตัวเองเร็วชนิดลืมโลก เขาไม่เคยคลั่งแบบนี้มาก่อน ลืมไปด้วยซ้ำว่าคนใต้ร่างเขานั้นเพิ่งครั้งแรก เมื่อไม่สามารถรั้งตัวเองได้ตติยะก็วิ่งชนโครมเต็มตัวไม่ยั้ง กระทั่งร่างของคนทั้งสองสะท้านเยือกขึ้นพร้อมกัน ร่างสูงใหญ่เกร็งคำรามพร่าในลำคอดัง ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำบิดเหยเกแหงนเงยมองเพดานห้องเอื้อมธารที่กรีดร้องพร้อมตาเบิกโพลงมองภาพชายหนุ่มตรงหน้าด้วยหัวใจที่กระหน่ำแรงโลด รู้สึกรักเขาและภาคภูมิใจในตัวเองอย่างที่สุด หน้าตาท่าทางของอีกฝ่ายแม้จะเหมือนทรมานแสนสาหัสแต่เธอรู้เขาสุขสุดๆ เลยเชียวแหละ เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเธอเองก็ไม่ต่างจากเขาเลยความรักกับเซ็กส์บางครั้งมันก็แยกกันไม่ออก เธอเพิ่งเข้าใจก็วันนี้เอง การได้มีความสุขกับคนที่รักนั้นคือเซ็กส์ที่สุดยอดจริงๆเมื่อปล่อยกายปล่อยใจตามอารมณ์ปรารถนาแล้วตต
ครึ่งชัวโมงผ่านไปร่างบางก็ออกมาจากห้องพร้อมผ้าขนหนูพันตัวเพราะไม่ได้ถือเสื้อผ้าเตรียมเข้าไป เธอทำใจกล้าก่อนจะมองดูว่าคนตัวสูงใหญ่อยู่ในห้องหรือไม่ เมื่อไม่เห็นก็รีบวิ่งพรวดไปที่ตู้ซึ่งเพิ่งจัดเสื้อผ้าเข้าไปค้นหาของอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่ต้องรีบกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำก่อนที่ตติยะจะเข้ามาทว่าช้าไปแล้ว เพราะประตูห้องเปิดพรวดในขณะที่ร่างสูงในชุดกางเกงเลกับเสื้อแขนตัดฟิตเปรี๊ยะจนเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดแข็งแกร่ง มือใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมก้าวเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มชะงักมองคนร่างบางที่หันมามองเขาตาโต ส่วนหญิงสาวก็สะดุ้งตกใจจนเผลอปล่อยทุกอย่างในมือร่วงลงพื้นตาคมสีอ่อนมองร่างสวยตั้งแต่ใบหน้า ผมเปียกที่ถูกขมวดลวกๆ รุ่ยร่ายตกลงมาระลำคอระหง ไหล่บาง เนินอกอวบขาวนวลเนียนก่อนจะถูกผูกทับไว้ด้วยผ้าขนหนู สายตาเขาจึงไล่ลงล่างอย่างรวดเร็ว ขาขาวกลมกลึงที่โผล่จากผ้าผืนเล็กคลุมสะโพกอย่างหมิ่นเหม่ทำเอาชายหนุ่มกลืนน้ำลายเสียงดังชัดเจน คนที่สบตากับเขาถึงกับตัวสั่นเพราะแววกระหายฉายวาบโชติช่วงอย่างไม่ปิดบัง เอื้อมธารจึงเลี่ยงหลุบตาลงมองเสื้อผ้าแล้วย่อตัวลงหยิบ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มีส่วนล่อแห
ขณะนั้นตติยะเริ่มขยับลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้า ทว่าได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ล้มลงแล้วลุกขึ้นใหม่ มือหนายื่นไปข้างหน้าเพื่อควานหาคนร่างบาง หากก็ต้องล้มอีกครั้งเพราะความรีบร้อนลุยน้ำและมองไม่เห็น แต่ชายหนุ่มก็ยังฝืนลุกขึ้นก้าวเร็วๆ ขึ้นไปบนผืนทรายจนได้ เขาขยี้ตาที่ยังแสบแต่ก็ยังลืมตาไม่ขึ้นจึงได้แต่เดินสะเปะสะปะยื่นมือไปทั่ว“ซี คุณยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า ผมเป็นห่วงคุณนะ ตอบผม ให้ผมได้ยินเสียงคุณหน่อย”หลังจากลืมตาขึ้นมาแล้วยืนมองคนที่ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ในการหาเธออยู่พักใหญ่จนแทบจะทนไม่ไหว มือบางก็ยื่นไปข้างหน้าช้าๆ หากก็ตัดใจลดมือลงในที่สุดและยืนนิ่งอย่างรอคอย ใจเต้นแรงลุ้นระทึกแทบจะกลั้นหายใจ ขอเวลาอีกนิดเดียว แค่นิดเดียวเท่านั้น‘ก้าวมาสิ มาหาฉัน’เอื้อมธารร้องเรียกอีกฝ่ายอยู่เพียงในใจ“คุณอยู่ที่นี่ใช่ไหมซี”ชายหนุ่มเคลื่อนไหวช้าลง พยายามจับทิศทางก่อนจะขยับไปด้านซ้ายมือเพียงสองก้าวแล้วคว้าหมับ ทำให้ร่างเย็นชื้นหากก็นุ่มนิ่มเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเขาเต็มๆ ปากบางสวยก้มลงจูบข้างขมับเธอพร้อมกระซิบต่อว่าเบาๆ ทั้งที่ใจเขาแทบขาดรอน กลัวไปหมดทุกอย่าง“แกล้งผมทำไมฮึ คุณจะฆ่าผมหรือไง ทั้งที่รู้ว่าผมรักคุณ
“บอกอะไรคะ”ชินานางอดถามไม่ได้“ก็พี่ทิมบอกว่า ผู้ชายถ้าได้มีอะไรกับคนที่รักแล้วจะยิ่งรักมากขึ้น ให้ดูพี่เรฟเป็นตัวอย่าง เพราะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเวลาอยู่กับพี่นา แยมไม่ค่อยเชื่อ เพราะพี่เรฟเขาเย็นชา ชอบทำหน้าเฉยตลอด แต่แยมก็เห็นพี่เรฟมองตามพี่นาตลอดเหมือนกัน ตอนเราเล่นน้ำก็มอง แต่พอเห็นความน่ารักของพี่นาเวลาเขินอย่างนี้แยมเข้าใจเลยค่ะ แยมก็ชอบพี่นานะคะ”เอื้อมธารกับชินานางมองคนที่อธิบายเสียงใสแล้วก็มองหน้ากัน โดยชินานางเป็นฝ่ายเขินหลบไปก่อนขณะที่เอื้อมธารคิดตามคำพูดของสาวน้อย เธอเองก็เห็นด้วยเพราะรู้สึกได้ว่า เรฟแสดงออกว่าห่วงใยรักใคร่ชินานางมากกว่านิสัยปกติของเขา คล้ายกับแววตาที่อานินท์มองพี่สาวของเธอ แถมทั้งสองคนยังมีแผนจะแต่งงานกันในอีกหกเดือนข้างหน้า แต่เอื้อมทรายจะยังอยู่กับเธอโดยที่อานินท์ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยส่วนเมื่อคิดถึงแววตาและการเอาใจใส่ดูแลเธอของตติยะก็ไม่ได้น้อยไปกว่าใคร แถมเขายังดูจะตามใจเธอมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ไม่ได้ทำให้เอื้อมธารรู้สึกน้อยหน้าใครๆ แต่อย่างใด“แล้วพี่เรฟ แบบว่ามีเซ็กส์กับพี่นาบ่อยไหมคะ”สาวน้อยจอมซักยังถามต่อ แม้ใบหน้าสวยของตัวเองจะแดงเรื่อขึ้น