ร่างสูงก้าวเข้ามาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน หลังจากเสียงเคาะประตูเงียบลงชั่วครู่ก่อนจะถือวิสาสะแบบไม่ต้องรอคำอนุญาต นั่นทำให้คนที่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับการเซ็นเอกสาร เงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ
“เป็นอะไรเรฟ ทำหน้าเหมือนโดนใครบังคับให้ไปเยี่ยมน้องแยมอย่างนั้นแหละ”
“ตอนนี้ไปเยี่ยมคุณแยมที่อิตาลีซะยังจะดีกว่า” คนถูกถามถอนหายใจยาวพูดอย่างซังกะตายเต็มแก่
“ขนาดนั้นเลยเหรอ” ตติยะถามเสียงสูงอย่างไม่นาเชื่อ “อะไรทำให้นายเลือกไปเดินถือของตามน้องแยมเวลาช็อปปิ้งทั้งห้างได้ล่ะเนี่ย”
“โธ่...พระเจ้า อย่าล้อเล่นน่า คุณนั่นแหละรู้ดีกว่าใครว่าผมรำคาญที่จะต้องมานั่งอ่านเอกสารเฉยๆ แค่ไหน” เขาเถียงอย่างสุดเซ็ง
ตติยะมองสีหน้าคนที่ทำท่าเหมือนจะตายซะให้ได้แล้วก็หัวเราะเสียงดัง จะมีอะไรทำให้เรฟขยาดได้เท่ากับการเดินตามน้องสาวเขาช็อปปิ้งไม่มีอีกแล้ว แต่ถ้าหมอนี่ยอมรับสภาพน่าเบื่อนั้นได้ก็หมายความว่าการนั่งอ่านและตรวจเอกสารนิ่งๆ นี่คงจะเป็นยาพิษตัวจริงสำหรับเรฟล่ะ
“นายไม่ชอบนั่งสบายๆ บนโต๊ะ อยู่ในห้องติดแอร์หรือไง”
หนุ่มลูกครึ่งเหลือบตามองหนุ่มหล่อลูกเสี้ยวที่เดินมานั่งลงบนโซฟาอีกตัวด้วยสายตากล่าวหา ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเขาเกลียดมากแค่ไหนยังจะมาถามกันให้โมโหอีก
“ผมจบวิศวะนะครับคุณทิว ไม่ใช่บริหาร”
“ฉันก็จบวิศวะเหมือนกัน”
คนเป็นเหมือนน้องไม่ยอมแพ้ เป็นพี่แค่ปีสองปีคิดว่าเขาจะลงให้ง่ายๆ นั้นไม่มีทางอยู่แล้ว เพราะแก่กว่านี้อย่างวิชัย ตติยะยังแทบไม่เห็นหัว เรฟอดส่ายหน้าไม่ได้
“ผมไม่ชอบ คุณก็รู้” เสียงหนุ่มลูกครึ่งบ่งบอกความเซ็งจิตไม่น้อย
วันๆ หนึ่งในชีวิตของเขาก็อยู่แต่กับการต่อสู้ในแบบต่างๆ กับปืนมาตั้งแต่เด็ก เมื่อโตพอที่จะเลือกเรียนในสิ่งที่ชอบได้เขาก็เรียนวิศวกรรมเครื่องกลเหมือนกับที่ตติยะเรียน เพราะรู้ดีว่าเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจรถที่เจ้านายของพ่อทำอยู่แน่นอน และเขาก็ชอบมันนอกเหนือจากการต่อสู้กับปืนซึ่งเขาถนัดมากที่สุด
ตติยะมองคนที่นั่งแผ่หมดสภาพอยู่บนโซฟาอย่างเห็นใจ แต่เขารู้ว่าเรฟไม่สามารถปฏิเสธการทำงานพวกนั้นได้เพราะตำแหน่งหน้าที่มันค้ำคออยู่
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง คิดดูนะ ฉันเองก็เบื่อพอๆ กับนาย แต่เรื่องเอกสารน่ะยังไงก็ต้องตรวจต้องเซ็น เพราะถ้าเราไม่ทำเขาจะให้เรามาคุมงานที่นี่ทำไม จริงไหม ทนๆ เอาหน่อยก็แล้วกัน ตอนนี้คุณวิชัยก็ช่วยเราดูความเรียบร้อยทุกอย่างเต็มที่อยู่แล้ว เอกสารที่มาถึงเราเขาก็จัดการได้ดี ทำให้เราไม่เหนื่อยมากเท่าไหร่” ตติยะพยายามอธิบาย
ใบหน้าเข้มคมสันเริ่มปรับเข้ามาอยู่ในโหมดนิ่งเพื่อครุ่นคิดตามแล้วก็เห็นด้วย แต่ภายในใจก็ยังยอมรับไม่ได้อยู่ดี หากจะต้องมานั่งตั้งแต่สิบโมงเช้าถึงห้าโมงเย็นทุกวันเขาต้องบ้าแน่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขายอมให้ลดตำแหน่งปลดลงไปอยู่แผนกช่างซะยังจะดีกว่า แต่...จะว่าไปความคิดนี้ก็ไม่เลว ใบหน้าคมสันพยักให้กับตัวเองอย่างหมายมาด
“ถ้าผมจะขอต่อรองได้ไหมครับ”
“ยังไง?” อีกฝ่ายถามกลับทันควัน ด้วยคิดว่าหากลูกผู้พี่มีทางออกที่ดีเขาก็ยินดีช่วยเต็มที่เช่นกัน
“ให้ผมไปอยู่แผนกช่าง...”
“นายมันบ้าไปแล้ว” ตติยะขัดทั้งที่เขายังพูดไม่จบ
“ฟังให้จบก่อนสิครับคุณทิว ผมบอกว่าต่อรอง ไม่ได้บอกว่าไม่ทำงานนั่งโต๊ะนี่สักหน่อย” เรฟบอกอย่างใจเย็น
“แค่จะขอลงไปดูงานที่แผนกวิศวกรรมทั้งหมด รวมทั้งงานช่างในช่วงบ่ายเท่านั้นเองครับ เผื่อจะได้ออกแรงอะไรบ้าง แถมยังเป็นการทำความใกล้ชิดกับพนักงานไปในตัวด้วย ผมไม่อยากนั่งในห้องนี้ทั้งวัน...เบื่อ”
“ก็...เป็นความคิดที่ดีนะ”
คนฟังพยักหน้าเห็นด้วยหลังจากความคิดหนึ่งพาดผ่านเข้ามาในหัว ก่อนจะขมวดคิ้วเข้มฉับเมื่อนึกขึ้นได้
“แต่ถ้ามีเอกสารที่ให้เซ็นตอนบ่าย แล้วต้องการพรุ่งนี้เช้าล่ะจะทำไง”
ข้อนี้เขาลืมคิดไปซะสนิทใจเลย...เรฟนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจ เมื่อเขาเลือกทางออกที่จะทำให้ไม่ต้องเก็บกดเป็นคนบ้าได้แล้ว เขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้โอกาสนั้นมา
“ผมจะเอากลับไปทำที่บ้านครับ คงจะพอทำทันบ้าง...”
ประโยคหลังเสียงอ่อยลง เพราะรู้ดีว่างานพวกนั้นจะต้องเบียดเบียนเวลานอนของเขาแน่ แต่...เอาก็เอาวะ
“อืม...งั้นก็ตามใจนะ แต่อยากเตือนไว้ว่าถ้าคิดจะหอบงานไปทำที่บ้านล่ะก็ ต้องทำให้เสร็จทันด้วยล่ะ แล้วอีกอย่าง...”
ตติยะทอดเสียงยาวแล้วขยิบตาให้อย่างไม่ไว้วางใจ
“มันจะทำให้นาย...อด”
“อดอะไรครับ?” เรฟไม่เข้าใจจริงๆ เลยถามออกไป
“อดอยากปากแห้ง ขาดสาวๆ เพราะนายจะไม่มีเวลาให้พวกเธอทั้งหลายไงล่ะ”
พูดจบก็หัวเราะเยาะเย้ยเต็มที่ คนที่กำลังจะขาดสาวๆ มานอนกอดข้างกายทำหน้าแหย ไม่อยากเถียงเลยว่า เขาไม่จำเป็นต้องหาสาวมานอนข้างกายทุกวันเหมือนใครบางคนหรอก
“ผมไม่ได้ขาดความอบอุ่นขนาดนั้นหรอกครับคุณทิว เพราะถ้าเทียบกันแล้วผมว่าคุณทิวคงแทบขาดใจมากกว่าผม ถ้าไม่มีเวลาแบ่งไปให้สาวๆ”
“ฉันไม่ใช่พวกขาดผู้หญิงไม่ได้สักหน่อย สาวๆ ต่างหากที่ขาดฉันไม่ได้”
และก็เหมือนฟ้าจะเป็นใจให้เรฟเมื่อโทรศัพท์ส่วนตัวของตติยะดังขึ้นขัดจังหวะการแก้ตัว ชายหนุ่มรับหลังจากมองชื่อเล็กน้อย
“ว่าไงครับวีวี่ คนสวยของผม” คนปากหวานเอ่ย
“อยากเจอเดี๋ยวนี้เหรอครับ...”
เขาถามพร้อมกับเหลือบมองคนที่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยตรงหน้า แล้วก็อยากฝากรอยเท้าไว้บนหน้านั้นนัก
“ได้ครับวีวี่ คุณสำคัญสำหรับผมที่สุดอยู่แล้ว” พูดแล้วตติยะก็วางสาย
“ว้าว...ไม่ใช่ขาดไม่ได้ แต่เขาเรียกว่าไม่เคยขาดต่างหาก...ใช่ไหมครับ”
และแล้วความอดทนของตติยะก็หมดลงด้วยคำพูดแทงใจดำนั้น ขายาวผ่านหน้าเรฟไปเล็กน้อยเพราะอีกฝ่ายไหวตัวทัน แต่สิ่งที่ตติยะเกลียดที่สุดก็คือ เสียงหัวเราะที่ฟังเมื่อไรก็เหมือนการเยาะเย้ยนั่น
ชายหนุ่มส่งสายตาอาฆาตตามคนที่รีบเผ่นออกจากห้องไปด้วยสีหน้าที่ดีกว่าตอนมาราวกับเป็นคนละคน แถมด้วยสบถอวยพรเป็นภาษาต่างชาติจนไฟแลบ
เกลียด...เกลียดรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่นานๆ จะได้เห็นและได้ยินของไอ้หมอนี่ที่สุด ให้ตายสิ!
=====
ฝนตกกระหน่ำตั้งแต่ช่วงเย็นมาจนถึงตอนนี้ แม้ทั่วทั้งท้องฟ้ามืดสนิทและนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม กลิ่นไอดินที่อบอวลขึ้นเมื่อหยาดน้ำฝนตกลงกระทบพื้นดินก็เจือจางลงไปแล้ว แต่เม็ดฝนยังไม่ขาดสาย นั่นทำให้คนที่ยืนมองถนนซึ่งเชื่อมผ่านสวนผลไม้มายังหน้าเรือนใหญ่อยู่ตรงหน้าต่าง ชะเง้อคอรอแสงไฟสองดวงด้วยสายตากังวล เป็นห่วงคนที่กำลังเดินทางกลับแต่ยังมาไม่ถึง“เห็นทีฉันจะต้องดุตาติวซะบ้างแล้วล่ะแม่จิตต์” คุณอรพิมเอ่ยขึ้นเมื่อคนสนิทถือแก้วน้ำขิงร้อนๆ มาวางให้บนโต๊ะตรงหน้า“เรื่องอะไรหรือคะคุณ”“ก็ตั้งแต่ฉันให้ยัยหนูนากลับกับเขา เขาก็พาน้องกลับถึงบ้านช้าทุกวันเลยน่ะสิ วันนี้ก็เหมือนกัน ดูสินี่มันสามทุ่มแล้ว ปกติยัยหนูกลับเองแล้วให้คนออกไปรับตรงป้ายรถเมล์ หรือนั่งสองแถวมาที่หน้าสวนก็ไม่เคยเกินสองทุ่มครึ่งเลย”“โถ...คุณ ฝนกำลังตกหนักนะคะ ขับรถเร็วอันตรายออก แล้วนี่ก็ยังไม่ดึกเท่าไหร่สักหน่อย”“เอ๊ะ! แม่จิตต์นี่ เข้าข้างตาติวอยู่เรื่อยอย่างนี้สิถึงได้เหลวไหลกันประจำ โตแล้วกลับมาก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”แม้อยากจะบ่นต่อให้เต็มที่แต่เสียงรถเบรกดังขึ้นหน้าบ้านก็เรียกความสนใจของคุณอรพิมได้มากกว่า ร่างอวบรี
“เอ้า! ดื่มๆ ดื่มให้เต็มที่เลยเพื่อน ให้สมกับที่ไม่ได้สังสรรค์กันมานาน”เสียงของวีศิลป์เจ้าของผับ ลูกชายคนโตเจ้าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดังของเมืองไทยร้องบอกเพื่อนทั้งกลุ่มมือเพรียวสมกับเป็นหมอของวิศรุตต์หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่หน้าออกจนหมด ก่อนที่จะใส่แว่นทรงเหลี่ยมไร้กรอบกลับลงไปที่เดิมหลังจากดื่มไปแล้วหลายแก้วจนเริ่มมึน และวางแก้วนิ่งไม่ยกขึ้นมาดื่มต่อ แต่คนข้างตัวเขายังชนแก้วกับเพื่อนๆ ในสมัยที่เรียนอยู่อเมริกาด้วยกันอย่างรื่นเริงไม่รู้จักมึนเมา เพราะตติยะไม่ได้เจอเพื่อนกรุ๊ปนี้นานแล้ว แต่ทุกคนยังติดต่อกันเสมอ ซึ่งเพื่อนในกลุ่มอีกหนึ่งคนก็คือเรฟที่วันนี้ไม่ได้มาด้วย“ไงวะ ไอ้หมอ ยอมแล้วเหรอ” เสียงเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถาม“เออ...นั่นดิเพิ่งหมดไปห้าขวดเองนะเว้ย อย่าบอกนะว่าเมาแล้ว...พอเป็นหมอไหงคออ่อนวะ”วีศิลป์บ่นตามมาทันควัน“พรุ่งนี้ต้องเข้าเวรว่ะ ไม่อยากมึนถึงจะเข้าเวรบ่ายก็เหอะ”“ปล่อยคุณหมอรุตต์เขาไปเหอะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันดื่มแทนมันเอง” ตติยะบอกอย่างอารมณ์ดี“ก็เพราะนายเป็นอย่างนี้ไงล่ะ ฉันถึงต้องยอมถอย ไม่งั้นเราไม่ได้กลับบ้านแน่”“ถูกของนาย เออ นายไม่เมาก็ขับกลับ
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาตติยะนัดทานข้าวตอนเที่ยงกับเพื่อนสาวทุกมื้อ โดยที่หญิงสาวบอกเขาก่อนจะแยกย้ายกันหลังทานโจ๊กวันนั้นว่าขอนัดเป็นมื้อเที่ยง ช่วงประมาณบ่ายโมงเพราะเธอจะสลับกันทานข้าวกับเพื่อน ซึ่งเป็นการนัดเจอกันตรงหน้าปากซอยร้านโจ๊กตามความต้องการของหญิงสาวทุกครั้ง และเธอจะออกมารอเขาเสมอ ตติยะไม่เคยต้องโทรตามแล้วก็ไม่เคยรู้ว่าที่ทำงานอีกที่ของเอื้อมทรายอยู่ที่ไหนทว่าวันนี้หลังจากเขามัดมือชกขับรถพาเพื่อนสาวมาทานสเต๊กค่อนข้างไกลจากที่ทำงานของเธอ แล้วพอทานเสร็จฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้อีกฝ่ายกลับเองลำบาก ชายหนุ่มจึงอาสามาส่งเธอ กว่าเอื้อมทรายจะยอมให้เขามาส่งก็โวยเขาเสียยกใหญ่ และเขาคิดว่าหญิงสาวเปลี่ยนไปจากเดิมหลายอย่าง เอื้อมทรายค่อนข้างจะพูดตรงและคิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น หงุดหงิดง่าย ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็จะหายเร็วถ้าง้อถูกจุด แล้วก็คิดน้อยมาก ในขณะที่เมื่อก่อนเพื่อนเขาเป็นคนที่คิดมาก เหมือนมีปัญหาร้อยแปดที่ต้องแก้ไขอยู่ในหัว อีกอย่างคือ มักจะเก็บความรู้สึกและทุกอย่างไว้กับตัวเอง ไม่ค่อยบอกเล่าปัญหาให้ใครฟังทว่าแม้จะต่างไปจากเดิมบ้างหากตติยะก็ยังรู้สึกดีที่ได้เจอกันทุกว
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ