“วีวี่ไม่เข้าใจเลยค่ะ คุณพ่อมีเล็กมีน้อยยังไงวีวี่ก็ไม่เคยสนใจ แต่ทำไมอยู่ๆ ถึงบอกว่าอยากจะแต่งงานกับแม่คนนั้น อยากพาเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยก็ไม่รู้”
“ท่านพาเข้ามาอยู่แล้วเหรอครับ”
ปกติตติยะก็ไม่สนใจหรืออยากฟังเรื่องแบบนี้สักเท่าไร แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะคนอย่าง ‘ชัชวาล’ เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังหลายแห่งในเมืองไทย พ่อของภรวีนั้น ได้ชื่อว่ารักลูกสาวคนเดียวและเทิดทูนอย่างกับเจ้าหญิง ตามใจอย่างกับอะไรดี ด้วยแม่ของเธอเสียไปตั้งแต่เด็ก ผู้เป็นพ่อกลัวว่าลูกสาวจะขาดความอบอุ่นเลยทุ่มเททุกอย่างให้ ไม่เคยขัดใจสักเรื่องเดียว ภรวีเล่าให้เขาฟังเช่นนั้น เรื่องพาผู้หญิงมาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับลูกสาวน่าจะเป็นไปได้ยาก
ชายหนุ่มออกมาพบกับภรวีตามที่เธอขอร้อง เพราะรู้สึกว่าหญิงสาวน้ำเสียงไม่ดีตอนที่โทรมาหา แล้วก็ได้ฟังเธอระบายถึงเรื่องมีปากเสียงกับผู้เป็นพ่อ จนเริ่มเข้าใจแล้วว่าอีกฝ่ายไม่สบายใจด้วยเหตุใด
“ยังค่ะ คุณพ่อแค่บอก แต่ยังไงวีวี่ก็ไม่ยอมอยู่แล้ว ถึงแค่จะเอามาอยู่ที่บ้านวีวี่ยังขยะแขยงจะแย่ แต่นี่คุณพ่อกลับบอกว่าอยากแต่งกับคนนี้ แถมยังบอกอีกว่าวีวี่จะได้มีเพื่อนอยู่ด้วย ใครจะอยากเป็นเพื่อนกับนังเมียน้อยนั่น หน้าตายังไม่อยากจะเจอเลย วีวี่บอกตามตรงนะคะว่ารังเกียจ คนดีๆ ที่ไหนเขาจะยอมนอนกับคนอื่นแลกเงิน คนอย่างวีวีไม่อยากคบหารู้จักอะไรกับแม่พวกนั้นหรอกค่ะ แค่ใครๆ เขารู้ว่าคุณพ่อมีเมียน้อยวีวี่ก็อายจะแย่ ถ้าแต่งกันจริง โอ๊ย...วีวี่ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแน่เลยค่ะ”
หญิงสาวบ่นยาวเหยียดแต่เสียงพูดนั้นไม่ดังจนเกินไปนักเพราะกลัวคนในร้านอาหารจะได้ยินเข้า ความจริงเธออยากนัดเขาที่คอนโด แต่บังเอิญว่าตติยะยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันและบอกว่ากำลังหิว ภรวีจึงนัดเขาที่ร้านประจำบรรยากาศดีที่เธอชอบซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับคอนโดของเธอ
ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจ เธอไม่เคยเห็นหน้าตาของเมียน้อยพ่อ รู้เพียงว่าเลี้ยงดูกันมานานหลายปีเพราะได้ยินคนของคุณพ่อแอบคุยกันว่าคนนี้ท่านรักจริง ลืมไม่ลง ถึงจะมีใครบ้างประปรายแต่ก็ยังเลี้ยงคนนี้อย่างจริงจังตลอด แถมมันยังพูดกันสนุกปากว่าสวย หวาน ยิ้มสวย น่าจะเอาใจเก่ง พ่อเธอถึงได้ติดใจ แล้วอยากลองกันบ้างแต่ไม่มีใครกล้าเสี่ยงกับอารมณ์ขี้โมโหของพ่อเธอ เพราะแม้ท่านจะใจดีกับลูกสาวอย่างเธอมาก แต่จริงๆ แล้วคุณชัชวาลนั้นก็เป็นคนดุเลือดร้อนคนหนึ่ง ซึ่งเธอก็จำได้ว่าตอนเด็กๆ ได้ยินพ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อยๆ
ส่วนตติยะนั้นไม่รู้จะพูดอะไร เขาไม่สันทัดอะไรแบบนี้จริงๆ นอกจากฟังอย่างเดียว สำหรับอาหารก็ทานไม่ลงไปโดยปริยาย เขาตักไม่กี่คำก็วางช้อนทั้งที่หิวจะแย่ ในขณะที่ภรวีไม่ได้ตักอะไร นอกจากบ่นอย่างเดียว แม้หน้าตาของตติยะจะดูสนใจเธอดี ทว่าในหัวของเขากลับต่อว่าตัวเองอยู่ตลอดที่ดันรับปากมาที่นี่ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรับฟังปัญหาของเธอ แต่ทำไมความรู้สึกของเขาเวลาที่ฟังภรวีบ่นไม่หยุด แถมยังว่าคนอื่นเสียๆ หายๆ มันกลับน่าเบื่อแล้วก็น่ารำคาญสุดๆ ผิดกับเรื่องบนเตียงที่เธอทำได้มันสุดๆ ชะมัด
แล้วชายหนุ่มก็นึกออกว่าเขากับภรวีเหมือนจะคุยกันอย่างจริงๆ จังๆ น้อยมากตั้งแต่รู้จักกันมา พวกเขาอยู่ด้วยกันบ่อยที่สุดบนเตียง เจอกันเมื่อไรก็ขึ้นเตียง บทสนทนาเรื่องชีวิตประจำวัน เรื่องงาน หรือเรื่องเรียนนั้นแทบจะไม่มี แม้หญิงสาวจะคุยกับเขาในเรื่องไร้สาระบ้าง หากเขาก็ไม่เคยสนใจฟังอย่างจริงจัง ไม่เคยต้องมานั่งฟังเต็มๆ อย่างนี้ ความจริงตติยะก็คบผู้หญิงคนอื่นๆ แบบนี้ เขาไม่เคยต้องมารับรู้เรื่องราวอะไรของอีกฝ่าย แต่วันนี้ได้มานั่งฟังภรวี มันทำให้ชายหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าบางที...ที่เขาเคยพูดกับเรฟไปว่า อาจจะเลือกภรวีนั้นคงไม่ใช่
แม้จะไม่ถึงกับไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ชอบใจในอุปนิสัยบางอย่างของภรวี เมื่อก่อนเขาสนใจเพียงเซ็กซ์ตรงกันแล้วก็คบผิวเผินอะไรก็ไม่เป็นปัญหา ทว่าหากจะก้าวข้ามไปขั้นอื่นจริงเขาคงต้องคิดดูก่อน คิดหนักๆ ด้วย
ทั้งนี้เพราะในช่วงกลับมาวันแรกๆ ภรวีเป็นผู้หญิงที่ติดต่อกับเขาก่อนใคร เมื่อเรฟนึกสงสัยในเรื่องที่เขาสานสัมพันธ์กับภรวี ชายหนุ่มจึงตอบไปส่งๆ แบบทีเล่นทีจริงด้วยยังลืมบทรักร้อนแรงถูกใจไม่ลง แต่ในความเป็นจริง เขายังไม่แน่ใจสักนิด
“ทานข้าวแล้วเดี๋ยวทิวกลับคอนโดกับวีวี่นะคะ วีวี่ไม่อยากอยู่คนเดียว แล้วคืนนี้วีวี่ก็จะไม่กลับบ้านด้วย ให้คุณพ่อรู้ไปเลยว่าวีวี่กำลังงอนอยู่”
เสียงหญิงสาวดังแทรกความคิดของตติยะ ชายหนุ่มพยักหน้ารับไปโดยไม่ได้คิดอะไรมาก รู้เป็นนัยว่าอีกฝ่ายชวนเขาค้างด้วยซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ
“วีวี่ทานอะไรหน่อยไหมครับ”
“วีวี่ไม่หิวค่ะ แค่นั่งคิดว่าจะทำยังไงไม่ให้คุณพ่อแต่งกับนังนั่นก็เครียดจนกินอะไรไม่ลงแล้ว” ภรวีบอกพร้อมทำหน้างออย่างมีจริต
“งั้นเดี๋ยวผมช่วยให้หายเครียดดีไหม”
ตติยะเย้าพร้อมสายตาวาววับสื่อความหมาย จนอีกฝ่ายเอื้อมมือมาตีมือเขาแต่ก็ยอมรับข้อเสนออย่างเต็มใจ
“ต้องทำให้ได้จริงๆ นะคะ”
“แน่นอนสิครับ”
เขาบอกพร้อมกับยิ้มอย่างละลายใจ เพราะชายหนุ่มเองก็อยากลบภาพของครั้งที่แล้วออกจากความทรงจำของเธอ การแก้ตัวครั้งนี้เขามั่นใจว่าจะไม่ทำให้เธอผิดหวังอย่างแน่นอน
“งั้นเช็กบิลดีกว่าค่ะ วีวี่อยากหายเครียดเร็วๆ”
คำพูดที่ดูกระตือรือร้นของหญิงสาวทำให้เขาอดหัวเราะหึๆ ไม่ได้ เขากับภรวีเข้ากันได้ดีเฉพาะเรื่องนี้จริงๆ จากนั้นชายหนุ่มก็เรียกบริกร
“เอ๊ะ...นั่นมัน...ทิวคะ วีวี่ออกไปรอหน้าร้านนะคะ”
ขณะที่กำลังจ่ายเงินอยู่ๆ ร่างอวบอัดก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปก่อน ตติยะไม่ได้สนใจอะไรมากนักจึงไม่ได้มองตาม เพราะเชื่อว่าภรวีคงไม่หนีไปไหนก่อนแน่ จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาลูกพี่ลูกน้องของตน
หลังจากบริกรนำบัตรเครดิตมาคืนร่างสูงใหญ่ของหนุ่มลูกเสี้ยวก็ลุกขึ้นเดินตามภรวีออกไปนอกร้าน เขามองหาเธออยู่ชั่วครู่ก่อนจะเห็นยืนอยู่ด้านหนึ่งซึ่งห่างจากรถของเขาออกไป เหมือนหญิงสาวกำลังพูดกับใครบางคนอยู่เขาจึงเดินไปหาแล้วก็ได้ยินเสียงแว่วมา
“ทีหน้าทีหลังก็อย่าไปเที่ยวเคาะกระจกรถชาวบ้านสุ่มสี่สุ่มห้าอีกล่ะ มารยาทน่ะรู้จักบ้างไหม”
ตติยะเดินเข้าไปจนถึงพร้อมกับเอ่ยถาม “มีอะไรเหรอครับวีวี่...”
ทว่าพอมองคู่สนทนาของภรวีแล้วชายหนุ่มก็ใบ้กินทันที
=====
ฝนตกกระหน่ำตั้งแต่ช่วงเย็นมาจนถึงตอนนี้ แม้ทั่วทั้งท้องฟ้ามืดสนิทและนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม กลิ่นไอดินที่อบอวลขึ้นเมื่อหยาดน้ำฝนตกลงกระทบพื้นดินก็เจือจางลงไปแล้ว แต่เม็ดฝนยังไม่ขาดสาย นั่นทำให้คนที่ยืนมองถนนซึ่งเชื่อมผ่านสวนผลไม้มายังหน้าเรือนใหญ่อยู่ตรงหน้าต่าง ชะเง้อคอรอแสงไฟสองดวงด้วยสายตากังวล เป็นห่วงคนที่กำลังเดินทางกลับแต่ยังมาไม่ถึง“เห็นทีฉันจะต้องดุตาติวซะบ้างแล้วล่ะแม่จิตต์” คุณอรพิมเอ่ยขึ้นเมื่อคนสนิทถือแก้วน้ำขิงร้อนๆ มาวางให้บนโต๊ะตรงหน้า“เรื่องอะไรหรือคะคุณ”“ก็ตั้งแต่ฉันให้ยัยหนูนากลับกับเขา เขาก็พาน้องกลับถึงบ้านช้าทุกวันเลยน่ะสิ วันนี้ก็เหมือนกัน ดูสินี่มันสามทุ่มแล้ว ปกติยัยหนูกลับเองแล้วให้คนออกไปรับตรงป้ายรถเมล์ หรือนั่งสองแถวมาที่หน้าสวนก็ไม่เคยเกินสองทุ่มครึ่งเลย”“โถ...คุณ ฝนกำลังตกหนักนะคะ ขับรถเร็วอันตรายออก แล้วนี่ก็ยังไม่ดึกเท่าไหร่สักหน่อย”“เอ๊ะ! แม่จิตต์นี่ เข้าข้างตาติวอยู่เรื่อยอย่างนี้สิถึงได้เหลวไหลกันประจำ โตแล้วกลับมาก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”แม้อยากจะบ่นต่อให้เต็มที่แต่เสียงรถเบรกดังขึ้นหน้าบ้านก็เรียกความสนใจของคุณอรพิมได้มากกว่า ร่างอวบรี
“เอ้า! ดื่มๆ ดื่มให้เต็มที่เลยเพื่อน ให้สมกับที่ไม่ได้สังสรรค์กันมานาน”เสียงของวีศิลป์เจ้าของผับ ลูกชายคนโตเจ้าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดังของเมืองไทยร้องบอกเพื่อนทั้งกลุ่มมือเพรียวสมกับเป็นหมอของวิศรุตต์หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่หน้าออกจนหมด ก่อนที่จะใส่แว่นทรงเหลี่ยมไร้กรอบกลับลงไปที่เดิมหลังจากดื่มไปแล้วหลายแก้วจนเริ่มมึน และวางแก้วนิ่งไม่ยกขึ้นมาดื่มต่อ แต่คนข้างตัวเขายังชนแก้วกับเพื่อนๆ ในสมัยที่เรียนอยู่อเมริกาด้วยกันอย่างรื่นเริงไม่รู้จักมึนเมา เพราะตติยะไม่ได้เจอเพื่อนกรุ๊ปนี้นานแล้ว แต่ทุกคนยังติดต่อกันเสมอ ซึ่งเพื่อนในกลุ่มอีกหนึ่งคนก็คือเรฟที่วันนี้ไม่ได้มาด้วย“ไงวะ ไอ้หมอ ยอมแล้วเหรอ” เสียงเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถาม“เออ...นั่นดิเพิ่งหมดไปห้าขวดเองนะเว้ย อย่าบอกนะว่าเมาแล้ว...พอเป็นหมอไหงคออ่อนวะ”วีศิลป์บ่นตามมาทันควัน“พรุ่งนี้ต้องเข้าเวรว่ะ ไม่อยากมึนถึงจะเข้าเวรบ่ายก็เหอะ”“ปล่อยคุณหมอรุตต์เขาไปเหอะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันดื่มแทนมันเอง” ตติยะบอกอย่างอารมณ์ดี“ก็เพราะนายเป็นอย่างนี้ไงล่ะ ฉันถึงต้องยอมถอย ไม่งั้นเราไม่ได้กลับบ้านแน่”“ถูกของนาย เออ นายไม่เมาก็ขับกลับ
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาตติยะนัดทานข้าวตอนเที่ยงกับเพื่อนสาวทุกมื้อ โดยที่หญิงสาวบอกเขาก่อนจะแยกย้ายกันหลังทานโจ๊กวันนั้นว่าขอนัดเป็นมื้อเที่ยง ช่วงประมาณบ่ายโมงเพราะเธอจะสลับกันทานข้าวกับเพื่อน ซึ่งเป็นการนัดเจอกันตรงหน้าปากซอยร้านโจ๊กตามความต้องการของหญิงสาวทุกครั้ง และเธอจะออกมารอเขาเสมอ ตติยะไม่เคยต้องโทรตามแล้วก็ไม่เคยรู้ว่าที่ทำงานอีกที่ของเอื้อมทรายอยู่ที่ไหนทว่าวันนี้หลังจากเขามัดมือชกขับรถพาเพื่อนสาวมาทานสเต๊กค่อนข้างไกลจากที่ทำงานของเธอ แล้วพอทานเสร็จฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้อีกฝ่ายกลับเองลำบาก ชายหนุ่มจึงอาสามาส่งเธอ กว่าเอื้อมทรายจะยอมให้เขามาส่งก็โวยเขาเสียยกใหญ่ และเขาคิดว่าหญิงสาวเปลี่ยนไปจากเดิมหลายอย่าง เอื้อมทรายค่อนข้างจะพูดตรงและคิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น หงุดหงิดง่าย ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็จะหายเร็วถ้าง้อถูกจุด แล้วก็คิดน้อยมาก ในขณะที่เมื่อก่อนเพื่อนเขาเป็นคนที่คิดมาก เหมือนมีปัญหาร้อยแปดที่ต้องแก้ไขอยู่ในหัว อีกอย่างคือ มักจะเก็บความรู้สึกและทุกอย่างไว้กับตัวเอง ไม่ค่อยบอกเล่าปัญหาให้ใครฟังทว่าแม้จะต่างไปจากเดิมบ้างหากตติยะก็ยังรู้สึกดีที่ได้เจอกันทุกว
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ