“ก็ยัยคนนี้ไงคะที่ไปเคาะกระจกรถของเราวันนั้น วีวี่เห็นก็เลยเข้ามาเตือนสักหน่อย”
ภรวีบอกไป ทั้งที่จริงเธอหงุดหงิดและกำลังอยากหาใครสักคนมาระบาย ซึ่งก็บังเอิญจำผู้หญิงคนนี้ได้เลยขอคิดบัญชีสักหน่อย
“คุณเตือนที่ไหน ด่าเป็นชุดไม่หยุดเลยต่างหาก”
คนที่ยืนฟังอย่างเดียวอยู่นานพูดขึ้นแล้วเหลือบมองผู้ชายหน้าตาดีที่ยืนข้างๆ หญิงสาวสวยแต่งตัวโชว์ความขาวอวบด้วยดวงตาถมึงทึง ก่อนจะหันกลับมายังผู้หญิงอีกครั้ง
“แล้ววันนั้นฉันก็ขอโทษไปแล้ว ยังจะมาว่านั่นว่านี่อะไรอีก ความจริงก็ไม่อยากพูดนักหรอกนะแต่มันก็อดไม่ไหวจริงๆ เพราะคนอย่างฉันไม่ชอบให้ใครมาด่าเล่นฟรีๆ อยากจะบอกว่าถ้าคุณไม่มายืนว่าฉันปาวๆ เป็นนานสองนานอยู่ล่ะก็ฉันก็จำหน้าคุณไม่ได้หรอก ไม่รู้ด้วยว่าคุณทำเรื่องบัดสีอะไรที่ไหนมาบ้าง แต่พอมาทำแบบนี้แล้วมันเหมือนประจานตัวเองรู้ไหม คราวนี้มันสว่าง แดดเปรี้ยง ฉันจำหน้าคุณสองคนได้แม่นเลย เจอกันอีกทีต่อให้อยู่ในผับก็คงยังจำได้ แต่ไม่ต้องห่วงว่าฉันจะเล่าให้ใครฟังหรอก มันแสลงปาก แล้วก็ขออย่าให้เจอกันอีกเลยเพราะมันคันลูกตายังไงไม่รู้”
พูดจบร่างบางก็จะเดินหนีไปเหมือนครั้งก่อน คราวนี้ภรวีไม่ยอม เธอตรงเข้าไปคว้าแขนอีกฝ่ายร้อนถึงตติยะต้องรีบเข้าไปฉุดหญิงสาว
“อ๊าย! แกว่าฉันเหรอ”
“วีวี่ครับ ใจเย็นก่อน” ชายหนุ่มรีบยืนขวางร่างภรวีเอาไว้
“เย็นได้ยังไงคะ ทิวก็ดูสิ นังนี่มันด่าเรานะคะ”
“เอ่อ...”
ตติยะหันกลับไปมองอีกฝ่ายที่มองพวกเขาอย่างไม่พอใจ แล้วยิ้มให้อย่างขอโทษและอ้อนวอน ปากสีสดบางขยับนิดๆ โดยไม่มีเสียง
‘ขอโทษนะแซนด์ รีบชิ่งไปก่อนเลย เดี๋ยวติวเคลียร์เอง’
หญิงสาวมองเขาแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย พอเขาขยิบตาให้อีกทีเธอก็พยักหน้ารับแล้วรีบเดินไปทันที ขณะที่ภรวียังคิดจะตามไปเอาเรื่องจนชายหนุ่มต้องรวบตัวลากไปที่รถ
“ทิวบอกอะไรมันคะ วีวี่เห็นนะ” เธอยังไม่ยอมจบเรื่องนี้ เพราะเห็นตอนที่ปากของชายหนุ่มขยับจากด้านข้าง
“ไม่มีอะไรครับ กลับกันเถอะ”
“ไม่...ทิวพูดอะไรกับมันบอกวีวี่มาเดี๋ยวนี้นะ ไม่งั้นวีวี่จะตามไปเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุดเลย”
“ผมก็แค่ขอโทษเขาเท่านั้นเอง”
ตติยะบอกเสียงเรียบพยายามไม่ให้ดูเหมือนกำลังเซ็ง ทั้งที่ตอนนี้เขาเซ็งภรวีมากๆ อยู่ๆ ก็เข้าไปหาเรื่องเองแล้วพอโดนตอกกลับมาก็ยังไม่เข็ดอีก เขานี่สิอายเอื้อมทรายจนแทบจะเอาหน้ามุดดินหนีอยู่แล้ว อุตส่าห์ดีใจที่เพื่อนจำไม่ได้ แต่ภรวีกลับทำเสียเรื่องหมด แถมยังมาหาเรื่องเพื่อนเขาแบบไม่มีเหตุผลอีก คราวนี้เอื้อมทรายมีหวังโกรธเขาไปด้วยแหงๆ มองเขาซะตาเขียวแบบนั้น
จะว่าไปเขาเจอกับเธอแถวๆ นี้อีกแล้ว สงสัยคงต้องถามแล้วล่ะว่าเอื้อมทรายมาทำอะไรแถวนี้ หรือเธอย้ายมาอยู่ใกล้ๆ คอนโดของภรวี ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เขาอาจต้องเจอกับเพื่อนบ่อยๆ หากมาหาภรวี ทำไมความรู้สึกนี้เขาถึงไม่ค่อยชอบสักเท่าไรเลย
“ไปขอโทษมันทำไมคะ มันด่าเรานะคะ”
“แต่วีวี่ก็ไปหาเรื่องเขาก่อนนี่ครับ เอาเถอะ ถือว่าเจ๊ากันไปเถอะนะครับ” เขาบอกพร้อมกับเปิดประตูให้เธอ
“ได้ไงคะ วีวี่ว่านังนั่นก็เพราะมันไม่มีมารยาทก่อนนะคะ” เธอยังไม่ยอมขึ้นรถง่ายๆ
“วีวี่ครับ ถ้าคุณยังอยากให้ผมไปที่คอนโดด้วยก็รีบขึ้นรถซะ”
ชายหนุ่มคิดว่าเขายอมเธอมากเกินไปทั้งที่ไม่ใช่นิสัยของเขาเลย เป็นสุภาพบุรุษกับผู้หญิงของเขาทุกคน แต่ไม่เคยยอมให้ใครมาทำนิสัยไม่ดีหรือเอาแต่ใจใส่เขาแบบนี้ ถ้าใครเริ่มออกลายแปลกๆ ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ บังคับให้ไปหาหรืออยู่ด้วยนานๆ ตติยะจะหาทางชิ่งแบบเนียนๆ ทันที ปกติภรวีว่าง่ายและยุ่มย่ามเรื่องส่วนตัวของเขาน้อยกว่าคนอื่น เขาจึงติดต่อกับเธอนานกว่าใครๆ แต่ตั้งแต่กลับมาเมืองไทยแล้วอยู่ด้วยกันตลอดช่วงที่ผ่านมานี้ เขาเริ่มรู้สึกเหมือนหญิงสาวจะค่อยๆ แทรกซึมความเป็นส่วนตัวของเขาและเอาแต่ใจกับเขา ทั้งที่เธอไม่เคยทำ แม้จะมีความเอาแต่ใจอยู่ในตัวแต่เธอจะรู้ระยะห่างที่เขาเคยบอกเอาไว้
ภรวีชะงักไปชั่วขณะเหมือนจะรู้ตัวแล้วยิ้มหวานให้ตติยะ ก่อนจะเขย่งขึ้นจุ๊บแก้มเขาเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมพูดเสียงอ้อน
“แหม...แค่นี้ทำเป็นดุไปได้ วีวี่แค่หงุดหงิดนิดเดียวเอง งั้นเราไปกันนะคะ”
ร่างอวบอัดยอมก้าวขึ้นรถแต่โดยดี ขณะที่ในใจเข่นเขี้ยวคนที่ด่าเธอ นังนั่นมันไม่อยากเจอแต่เธออยากเจอมันอีกครั้ง คราวหน้าเจอกันเธอไม่ปล่อยให้มันลอยนวลอีกแน่
=====
ฝนตกกระหน่ำตั้งแต่ช่วงเย็นมาจนถึงตอนนี้ แม้ทั่วทั้งท้องฟ้ามืดสนิทและนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม กลิ่นไอดินที่อบอวลขึ้นเมื่อหยาดน้ำฝนตกลงกระทบพื้นดินก็เจือจางลงไปแล้ว แต่เม็ดฝนยังไม่ขาดสาย นั่นทำให้คนที่ยืนมองถนนซึ่งเชื่อมผ่านสวนผลไม้มายังหน้าเรือนใหญ่อยู่ตรงหน้าต่าง ชะเง้อคอรอแสงไฟสองดวงด้วยสายตากังวล เป็นห่วงคนที่กำลังเดินทางกลับแต่ยังมาไม่ถึง“เห็นทีฉันจะต้องดุตาติวซะบ้างแล้วล่ะแม่จิตต์” คุณอรพิมเอ่ยขึ้นเมื่อคนสนิทถือแก้วน้ำขิงร้อนๆ มาวางให้บนโต๊ะตรงหน้า“เรื่องอะไรหรือคะคุณ”“ก็ตั้งแต่ฉันให้ยัยหนูนากลับกับเขา เขาก็พาน้องกลับถึงบ้านช้าทุกวันเลยน่ะสิ วันนี้ก็เหมือนกัน ดูสินี่มันสามทุ่มแล้ว ปกติยัยหนูกลับเองแล้วให้คนออกไปรับตรงป้ายรถเมล์ หรือนั่งสองแถวมาที่หน้าสวนก็ไม่เคยเกินสองทุ่มครึ่งเลย”“โถ...คุณ ฝนกำลังตกหนักนะคะ ขับรถเร็วอันตรายออก แล้วนี่ก็ยังไม่ดึกเท่าไหร่สักหน่อย”“เอ๊ะ! แม่จิตต์นี่ เข้าข้างตาติวอยู่เรื่อยอย่างนี้สิถึงได้เหลวไหลกันประจำ โตแล้วกลับมาก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”แม้อยากจะบ่นต่อให้เต็มที่แต่เสียงรถเบรกดังขึ้นหน้าบ้านก็เรียกความสนใจของคุณอรพิมได้มากกว่า ร่างอวบรี
“เอ้า! ดื่มๆ ดื่มให้เต็มที่เลยเพื่อน ให้สมกับที่ไม่ได้สังสรรค์กันมานาน”เสียงของวีศิลป์เจ้าของผับ ลูกชายคนโตเจ้าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดังของเมืองไทยร้องบอกเพื่อนทั้งกลุ่มมือเพรียวสมกับเป็นหมอของวิศรุตต์หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่หน้าออกจนหมด ก่อนที่จะใส่แว่นทรงเหลี่ยมไร้กรอบกลับลงไปที่เดิมหลังจากดื่มไปแล้วหลายแก้วจนเริ่มมึน และวางแก้วนิ่งไม่ยกขึ้นมาดื่มต่อ แต่คนข้างตัวเขายังชนแก้วกับเพื่อนๆ ในสมัยที่เรียนอยู่อเมริกาด้วยกันอย่างรื่นเริงไม่รู้จักมึนเมา เพราะตติยะไม่ได้เจอเพื่อนกรุ๊ปนี้นานแล้ว แต่ทุกคนยังติดต่อกันเสมอ ซึ่งเพื่อนในกลุ่มอีกหนึ่งคนก็คือเรฟที่วันนี้ไม่ได้มาด้วย“ไงวะ ไอ้หมอ ยอมแล้วเหรอ” เสียงเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถาม“เออ...นั่นดิเพิ่งหมดไปห้าขวดเองนะเว้ย อย่าบอกนะว่าเมาแล้ว...พอเป็นหมอไหงคออ่อนวะ”วีศิลป์บ่นตามมาทันควัน“พรุ่งนี้ต้องเข้าเวรว่ะ ไม่อยากมึนถึงจะเข้าเวรบ่ายก็เหอะ”“ปล่อยคุณหมอรุตต์เขาไปเหอะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันดื่มแทนมันเอง” ตติยะบอกอย่างอารมณ์ดี“ก็เพราะนายเป็นอย่างนี้ไงล่ะ ฉันถึงต้องยอมถอย ไม่งั้นเราไม่ได้กลับบ้านแน่”“ถูกของนาย เออ นายไม่เมาก็ขับกลับ
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาตติยะนัดทานข้าวตอนเที่ยงกับเพื่อนสาวทุกมื้อ โดยที่หญิงสาวบอกเขาก่อนจะแยกย้ายกันหลังทานโจ๊กวันนั้นว่าขอนัดเป็นมื้อเที่ยง ช่วงประมาณบ่ายโมงเพราะเธอจะสลับกันทานข้าวกับเพื่อน ซึ่งเป็นการนัดเจอกันตรงหน้าปากซอยร้านโจ๊กตามความต้องการของหญิงสาวทุกครั้ง และเธอจะออกมารอเขาเสมอ ตติยะไม่เคยต้องโทรตามแล้วก็ไม่เคยรู้ว่าที่ทำงานอีกที่ของเอื้อมทรายอยู่ที่ไหนทว่าวันนี้หลังจากเขามัดมือชกขับรถพาเพื่อนสาวมาทานสเต๊กค่อนข้างไกลจากที่ทำงานของเธอ แล้วพอทานเสร็จฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้อีกฝ่ายกลับเองลำบาก ชายหนุ่มจึงอาสามาส่งเธอ กว่าเอื้อมทรายจะยอมให้เขามาส่งก็โวยเขาเสียยกใหญ่ และเขาคิดว่าหญิงสาวเปลี่ยนไปจากเดิมหลายอย่าง เอื้อมทรายค่อนข้างจะพูดตรงและคิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น หงุดหงิดง่าย ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็จะหายเร็วถ้าง้อถูกจุด แล้วก็คิดน้อยมาก ในขณะที่เมื่อก่อนเพื่อนเขาเป็นคนที่คิดมาก เหมือนมีปัญหาร้อยแปดที่ต้องแก้ไขอยู่ในหัว อีกอย่างคือ มักจะเก็บความรู้สึกและทุกอย่างไว้กับตัวเอง ไม่ค่อยบอกเล่าปัญหาให้ใครฟังทว่าแม้จะต่างไปจากเดิมบ้างหากตติยะก็ยังรู้สึกดีที่ได้เจอกันทุกว
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ