‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ นายไปรับน้องนาที่โรงพยาบาลที่ไปส่งเมื่อเช้าด้วยแล้วกัน ฉันไม่อยากให้น้องกลับเอง แล้วนายก็จะได้ไม่หลง’
คนที่นั่งจมกองเอกสารอยู่ในห้องรองประธานกรรมการ ถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ตติยะวางสายไปอีกราวหนึ่งนาที จากนั้นจึงค่อยๆ ประมวลระบบการรับรู้ทางหูของตนว่าได้ยินคำสั่งที่ผิดไปหรือเปล่า
บอกให้เขาไปรับน้องนอกไส้นั่นน่ะเหรอ หมอนั่นคิดได้ยังไง
ข้อแรกเขายังจำทางไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้จะไปถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ ก็ถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่สองเส้นนี่ แถมยังตรอกซอกซอยอีกล่ะ ยิ่งคนอ่อนการอ่านภาษาไทยอย่างเขาแล้วด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูป้าย มีดีอย่างเดียวตรงที่โรงพยาบาลนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เพราะเมื่อเช้าเขากับตติยะใช้เวลาจากที่นั่นมาถึงที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ข้อสอง...ข้อนี้เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นเลยก็คือเขาไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ใกล้ หรือแม้แต่พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้น คนที่แม่เขารักและทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากับมือ ลูกของคนที่มาแทนที่พ่อของเขา แม้ไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็คน จะให้ทำใจยอมรับกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้
ชายหนุ่มคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเซ็ง เขายังมีเอกสารที่ต้องเซ็นอีกสามสี่แฟ้ม แถมยังต้องอ่านให้ละเอียดอีกด้วยเพราะเป็นเรื่องอนุมัติสั่งของนำเข้าและเกี่ยวกับการเงิน หากไม่รอบคอบแล้วมีอะไรเสียหายขึ้นมาจะมีแต่ขาดทุนเท่านั้น และของพวกนี้คุณวิชัยก็จะใช้เสนอตติยะพรุ่งนี้ซะด้วย เขาจะทิ้งไปก็ไม่ได้
ในที่สุดเรฟก็ตัดสินใจนั่งทำงานของตัวเองที่ติดพันอยู่ต่อไป ชายหนุ่มคิดว่าอย่างไรซะ ผู้หญิงคนนั้นก็คงยังไม่เลิกงานแน่ และระยะทางก็ไม่ไกลกันมากเท่าไรใช้เวลาเดินทางให้น้อยลงด้วยการเหยียบคันเร่งมากขึ้นอีกหน่อยก็คงไปทัน
===================
‘เรฟรู้แล้วว่าเขาคิดผิด’
ชายหนุ่มหงุดหงิดหัวเสียเป็นอย่างมาก ในใจนั้นร่ำๆ อยากจะลงเดินซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ในที่สุดเขาก็สามารถฝ่าจราจรอันแสนแออัดมาถึงโรงพยาบาลจนได้ โดยใช้เวลาไปทั้งหมดหนึ่งชั่วโมง ข้อดีข้อเดียวที่เรฟมองเห็นจากการที่รถติดนรกนี้ก็คือ มันมีเวลามากพอที่จะช่วยให้เขาเรียบเรียงความคิดในการจดจำทาง ทำให้มาถึงจุดหมายปลายทางโดยไม่เลี้ยวผิด
‘เอาล่ะ...เขาจะถือว่ามันคุ้ม’
ร่างสูงสง่าใหญ่โตกว่าคนทั่วไปก้าวย่างเข้าไปภายในอาคารสีขาวตระหง่าน หลังจากจอดรถไว้ที่ลานด้านข้างตรงที่มีคนคอยโบกให้ สายตาภายใต้แว่นดำกวาดกราดไปโดยรอบ แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นผู้คนขวักไขว่ทั้งผู้เจ็บป่วยที่นั่งรอการรักษาและญาติ ทั้งบุคคลที่อยู่ภายในบริเวณนั้นก็เดินกลับไปกลับมา เข็นทั้งเก้าอี้รถเข็น ทั้งเตียงคนไข้จนเขาเริ่มตาลาย
“แล้ว...น้องนาของคุณทิวอยู่ไหน” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวเอง
เรฟชักรู้สึกถึงสัญญาณที่บ่งบอกว่าวันนี้ต้องเป็นวันแห่งโชคร้ายของเขาอย่างแน่นอน เพราะตั้งแต่เช้าเขาก็มีปัญหากับเด็กในบ้าน มาที่ทำงานก็เจองานแสนน่าเบื่อ เย็นต้องมารับน้องสาวนอกไส้ และขณะนี้ก็คือเขาจะหาเธอเจอในโรงพยาบาลที่แสนกว้างใหญ่นี้ได้อย่างไร
ชายหนุ่มหันมองโดยรอบอย่างละเอียดใหม่อีกครั้ง แล้วเขาก็เจอสิ่งที่เขาต้องการจนได้
เคาน์เตอร์ที่เขียนทั้งภาษาไทยและภาษาสากลที่เข้าใจกันทั่วโลกในความหมายว่า ติดต่อ–สอบถาม มีสาวสวยแต่งตัวเรียบร้อยส่งยิ้มสดใสมาให้ เรฟจึงไม่ลังเลที่จะเข้าไปหาเธอในทันที
“ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยไหมคะ” เสียงหวานใสดังออกมาเป็นภาษาอังกฤษพร้อมรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร
‘คนไทยนี่ยิ้มสวยจริงๆ ‘
เขารำพึงในใจก่อนจะยิ้มตอบกลับไป ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับรอยยิ้มหวานบาดใจ เพราะรู้จักคนไทยมามากพอว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม ประเทศที่มีแต่คนยิ้มสวย อย่างน้อยๆ คนที่อยู่ใกล้ตัวเขาหลายคนก็เป็นดั่งคำบอกกล่าวนั้น เขาจึงเชื่อว่ามันไม่เกินจริงเลยสำหรับคำชม
“ไม่เป็นไรครับ ผมพูดไทยได้” เขาบอกด้วยสำเนียงแปร่ง แต่ก็ชัดมากกว่าคนต่างชาติหลายคน
“อุ๊ย...พูดชัดจังเลยค่ะ ไม่ทราบว่าจะติดต่อเรื่องอะไรคะ” หญิงสาวถามกลับด้วยหน้าตาท่าทางตื่นเต้น
“ผมมาหาคนครับ”
“มาเยี่ยมผู้ป่วยเหรอคะ ไม่ทราบผู้ป่วยชื่ออะไรคะ”
“โน...โน ไม่ใช่ครับ” เรฟรีบแย้ง “ผมมาหาคนที่เป็นพยาบาลอยู่ที่นี่น่ะครับ”
“อ๋อ...ค่ะ แล้วเธออยู่วอร์ดไหน ชื่ออะไรคะ” หญิงสาวพยักหน้าเข้าใจก่อนถามต่อ
“เอ่อ...ไม่ทราบครับ” เขาเอ่ยเสียงอ่อย
“อ้าว!” หญิงสาวอุทานเพียงเท่านั้นแล้วจ้องมองเขาด้วยสีหน้าแปลกใจ
เรฟเองก็วางสีหน้าไม่ถูกเช่นเดียวกัน เพราะเขาพูดความจริง ชายหนุ่มไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลยสักอย่าง นอกจากชื่อเล่น ‘น้องนา‘ ที่ตติยะเรียกบ่อยๆ เพราะเขาไม่รู้ชื่อจริงของเธอ แล้วถ้าวันนี้เธอไม่อยู่ในชุดพยาบาลเขาคงไม่คิดว่าคนที่ดูเด็กมากๆ อย่างน้องสาวนอกไส้ของเขาจะทำหน้าที่แสนอบอุ่นนี้
แต่ก็อีกนั่นแหละ เมื่อถูกเลี้ยงมาแบบไม่ขาดความอบอุ่นก็ย่อมมีสิ่งนั้นมอบให้คนอื่นได้...ไม่แปลก
คิดมาถึงตรงนี้ ความไม่ชอบใจก็แล่นริ้วขึ้นมาอีกครั้งจนเรฟต้องระงับมันเอาไว้ ดีที่เขาใส่แว่นดำไม่เช่นนั้นหญิงสาวผู้เป็นประชาสัมพันธ์คงจะคิดว่าเขาดูไม่น่าไว้ใจอย่างแน่นอน
“คือ...ผมจำชื่อจริงเธอไม่ได้เพราะมันยาวมาก”
เขาพยายามลากเสียงยาวเน้นว่ามันยาวเกินกว่าที่เขาจะสามารถใช้สมองจำมันได้จริง แม้จะเป็นการโกหก แต่เขาเรียกมันว่ากลยุทธต่างหากและเมื่อเห็นเธอพยักหน้ารับชายหนุ่มพูดต่อ
“แล้วก็ออกเสียงยากด้วย แต่ผมจำชื่อที่ผมใช้เรียกเธอได้ เพราะมันสั้นกว่าแล้วก็ออกเสียงง่ายกว่าตั้งเยอะ” เขาพยายามพูดอ้อม ยืดเยื้อ เพื่อให้เธองงเข้าไว้ แล้วในที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวจนได้
“เอาล่ะค่ะ เอาล่ะ ชื่อสั้นๆ ที่คุณเรียกเธอน่ะเป็นชื่อเล่นใช่ไหมคะ งั้นเธอชื่ออะไรคะ”
“น้องนาครับ”
เรฟบอกพร้อมยิ้มกว้างขวาง จนหญิงสาวที่กำลังดูเหมือนอารมณ์จะเสียอดยิ้มตอบไม่ได้ แต่ก็เป็นยิ้มแหยๆ ราวกับอยากให้กำลังใจเขาซะเต็มที่ เพราะช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
“แต่นางพยาบาลที่ชื่อน้องนานี่ดิฉันไม่เคยได้ยินนะคะ”
“จะเป็นไปได้ยังไง ก็คุณทิวเรียกเด็กนั่นแบบนี้นี่” เขาบ่นกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษแบบรัวเร็วชนิดที่หญิงสาวฟังไม่ทัน เธอจึงหน้าเหวอ
“คุณว่าอะไรนะคะ”
“เอ่อ...เปล่าครับ แต่...ผมเรียกเธอแบบนี้จริงๆ นะครับ”
“นี่เธอ ฉันว่าน่าจะชื่อนาเฉยๆ นะ แล้วเขาเรียกน้องนาเพราะอายุมากกว่าอะไรประมาณนั้นน่ะ” เพื่อนพนักงานประชาสัมพันธ์ที่ยืนฟังทั้งคู่ได้สักพักสะกิดบอก
“ใช่ ครับ ใช่”
เรฟตอบโดยเร็ว เขาลืมข้อนี้ไปซะสนิทเลย บื้อจริงๆ ชายหนุ่มอดว่าตัวเองไม่ได้ที่ใจร้อนจนลืมคิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อน แต่ถึงอย่างนั้นสาวประชาสัมพันธ์คนสวยก็ยังส่งยิ้มที่แสนจืดเจื่อนกลับมาให้ชายหนุ่มอีกเช่นเดิม
“ถึงจะรู้ว่าชื่อเล่นนา แต่โรงพยาบาลนี้มีนางพยาบาลที่ชื่อเหมือนกันตั้งหลายคนนะคะ ลำพังคนที่ดิฉันรู้จักก็ชื่อนาสามคนแล้ว ส่วนคนที่ไม่รู้จักนี่ ดิฉันก็ไม่ทราบว่าจะตามตัวให้คุณได้ยังไงเหมือนกันค่ะ”
“พอจะทราบไหมคะว่านามสกุลอะไร” สาวประชาสัมพันธ์อีกคนพยายามช่วย
เรฟได้ยินแล้วแทบเหวอ ก็ชื่อเขายังไม่รู้จัก จะไปรู้ถึงนามสกุลได้อย่างไร แม้เด็กคนนั้นจะเป็นลูกของแม่เขา แต่ก็ต้องใช้นามสกุลพ่อของเธอ เขาไม่มีทางรู้เรื่องราวของผู้ชายคนใหม่ของแม่อย่างแน่นอน ที่สำคัญชายหนุ่มไม่อยากรู้ด้วย
“ไม่ทราบ” น้ำเสียงเริ่มแข็งตามอารมณ์ที่ชักจะกรุ่นขึ้นมาดื้อๆ
สองสาวหน้าสลดลงทันควัน
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันคงไม่ทราบว่าจะตามใครมาพบคุณแล้วล่ะค่ะ”
“ใช่ค่ะ...เพราะพยาบาลก็มีหน้าที่กันทุกคน จะเรียกมาให้คุณดูหน้าทุกคนเห็นทีจะไม่ไหวล่ะค่ะ”
ในระหว่างที่สองสาวประชาสัมพันธ์กำลังพยายามอธิบายอยู่นั้น สายตาภายใต้แว่นดำก็เหลือบไปเห็นร่างสมส่วนที่พอจะคุ้นตาในช่วงสองวันนี้ กำลังเดินออกจากลิฟต์และกำลังจะก้าวไปยังประตูหน้าซึ่งเป็นทางออก
“คงไม่รบกวนแล้วล่ะครับ ผมเห็นเธอแล้ว...ขอบคุณมากนะครับ”
พูดจบร่างสูงใหญ่ก็เคลื่อนตัวย่างรวดเร็วไปทางชินานาง สองสาวประชาสัมพันธ์มองตามด้วยความสนอกสนใจเป็นพิเศษ ว่าหนุ่มหล่อล่ำอย่างกับดาราฮอลลีวูดมีเจ้าของหัวใจเป็นใครกันแน่ แม้ไม่ต้องบอกพวกเธอก็เดาได้ว่าเป็นแฟนกัน
“น้องนา!” สองสาวอุทานพร้อมกันเมื่อเห็นเขาคว้าข้อมือของชินานางแล้วพาเดินออกไป สรุปว่าสองสาวคิดถูก...แฟนกันแหงๆ
“มิน่าล่ะไม่เคยเห็นว่าจะสนใจใคร ที่แท้ก็มีตัวจริงอยู่แล้วนี่เอง”
“สงสัยคงกำลังจะงอนกันอยู่ แฟนเลยมาง้อ”
“เฮ้อ...น่าอิจฉาจัง ทำไมเราถึงหาแบบนี้ไม่ได้บ้างน้า”
“นั่นน่ะสิ”
===================
คนร่างสมส่วนที่กำลังเดินอย่างไม่เร่งรีบนักสะดุ้งตกใจ เมื่ออยู่ๆ ก็ถูกคว้าหมับเข้าที่ข้อมือแล้วโดนลากตัวทันที
“อุ๊ย!” หญิงสาวเงยหน้ามองก็เห็นชัดว่าเป็นใคร ดวงตากลมโตที่โตอยู่แล้วยิ่งเบิกกว้างขึ้นเข้าไปอีก “คุณ?”
“ใช่...ผมเอง” ชายหนุ่มพร้อมกับทำหน้าเอือมระอา
“คุณมาได้ยังไง”
“ก็ขับรถมาสิ ถามได้”
“ฉันหมายถึง คุณมาทำไม”
คราวนี้เรฟหยุดเดินกะทันหัน แล้วหันมาจนคนที่ไม่ทันรู้ล่วงหน้าว่าเขาจะหยุดอย่างชินานางจึงชนเข้าให้
“โอ๊ย!”
เรฟปล่อยมือเธอแล้ว ยืนกอดอกจ้องมองหญิงสาวที่ผงะหน้าหงายด้วยสายตาเย็นชา และเมื่อเห็นว่าเธอตั้งตัวได้เองโดยไม่ล้มลงไปกองก็พูดขึ้น
“ผมจะมาทำอะไรที่โรงพยาบาลเหรอ นั่นสิ...คนที่ไม่ได้เจ็บป่วยอย่างผมจะมาทำอะไรที่นี่ ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของโรงพยาบาลด้วยซ้ำ”
ชินานางลูบหน้าผากที่เพิ่งชนอกหนาของเขาพลางจ้องหน้าดุ และสายตาที่ไม่บ่งบอกอารมณ์พร้อมกับคิดตามคำพูดของเขา จะว่าไปแล้วมันก็ถูกอย่างที่เขาพูด แล้วเขาจะมาทำไม ในเมื่อ…
“คุณทิวให้ผมมารับคุณ”
เรฟเอ่ยแทรกก่อนที่หญิงสาวตรงหน้าจะคิดจบด้วยความรำคาญ ก่อนจะเดินนำไปโดยไม่หันมาสนใจชินานางอีก ปล่อยให้หญิงสาวตาโตอย่างคาดไม่ถึง
พี่ติวให้มารับ แล้วเขาก็มาทั้งที่ไม่ชอบหน้าเธอเนี่ยนะ
“เดี๋ยวคุณ” ชินานางวิ่งตามไปขวางหน้าชายหนุ่ม ก่อนถามออกไปตามตรง “ที่คุณยอมมารับฉันตามที่พี่ติวบอก ก็เพราะว่าคุณจำทางกลับบ้านไม่ได้ใช่ไหม”
สีหน้าที่เรียบเฉยเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะกลับมาตึงเหมือนเดิม สายตาภายใต้กรอบแว่นดำจ้องหน้าหญิงสาวแวบเดียว ก่อนจะเมินหลบแล้วเดินเลี่ยงร่างเล็กสมส่วนเพียงนิดให้พ้น เพื่อจะได้ไปยังรถที่จอดอยู่ไม่ไกล
ชินานางมองตามคนที่แสนเคร่งขรึมจนเหลียวหลัง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขบขันที่สามารถแหย่คนดุให้เหวอได้
ใช่...เขาเหวอ แม้ว่าจะเพียงแวบหนึ่งของเศษเสี้ยววินาทีแต่เธอก็ยังสังเกตเห็น และมันทำให้เธอรู้สึกว่า หน้าแบบนี้ของเขาดูน่ารักน่าเอ็นดูจัง
=====
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ
ร่างสูงใหญ่เดินสำรวจไปรอบๆ รถ ดูทุกล้อว่ามีปัญหาที่ล้อใดบ้าง ร่างสูงก้มๆ เงยๆ หลายครั้งอย่างใช้ความคิด พลางยกมือหนาขึ้นเสยผมที่เปียกน้ำฝนปรกใบหน้าคมเข้มอยู่บ่อยครั้ง เสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินเข้มที่เขาสวมอยู่ก็เปียกแนบกับร่างกำยำคิ้วเรียวได้รูปสวยของพยาบาลสาวขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจ เห็นชายหนุ่มตากฝนอย่างนั้นก็รู้สึกหงุดหงิด หลังจากได้สติหญิงสาวจึงนึกได้ว่าตนเองพกร่มคันเล็กใส่ไว้ในกระเป๋าด้วยเนื่องจากหน้านี้หน้าฝน หากเรฟก็ดูจะไม่ใส่ใจกับสิ่งอื่นใดนอกจากล้อรถ เธอจึงยิ่งเป็นกังวล...คนอะไรไม่รู้ สนใจรถมากกว่าตัวเองซะอีก เดี๋ยวก็ได้หวัดกินกันพอดี คิดได้ดังนั้นชินานางจึงหยิบร่มออกจากกระเป๋าแล้วก้าวลงจากรถพร้อมกับกางร่ม ก่อนจะเดินอ้อมไปหาคนที่กำลังหาอุปกรณ์อยู่ที่หลังรถพื้นถนนซึ่งเป็นทางเลี่ยงถนนใหญ่นั้นค่อนข้างเฉอะแฉะ และมีโคลนที่ทำให้หญิงสาวก้าวเดินอย่างยากลำบาก เธอค่อยๆ ย่องเข้าไปหาคนตัวสูงใหญ่ที่กำลังก้มหน้าก้มตารื้อค้นบางอย่างวุ่นวาย ชินานางคิดอยากช่วยชายหนุ่มจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วชะโงกหน้าไปดู แต่จังหวะนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพอดีทำให้คนทั้งคู่ไม่ทันตั้งตัวต่างก็ผงะถอยหลังด้วยความตกใจ“เฮ้ย!” เ
ชินานางรู้สึกว่าบรรยากาศภายในรถโฟร์วีลคันใหญ่นี้ ดูอึมครึมไม่แพ้กับเมฆฝนทมึนที่ตั้งเค้าอยู่ภายนอก เพราะมีคนตัวโตนั่งหน้าบึ้งถมึงทึงและมุ่งมั่นกับการบังคับรถอย่างเดียวโดยไม่พูดไม่จา นอกจากเสียงแอร์แล้วเธอไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้กระทั่งลมหายใจของเขา‘ตายไปแล้วมั้งเนี่ย’หากเป็นอย่างที่หญิงสาวค่อนขอดอยู่ในใจจริง คุณ MIB คนนี้คงเป็นพวกมีความสามารถพิเศษที่ขับรถได้ทั้งที่ไม่หายใจ แต่ในเมื่อเธอยังไม่เห็นเขาบินได้เขาจึงยังดูธรรมดา และรถก็ยังเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ นั่นก็แสดงว่าเขายังมีชีวิตอยู่“ฝนตกอีกแล้ว...ดีนะที่พ้นเขตในเมืองมาแล้ว ไม่งั้นรถคงติดแย่ หน้าฝนก็งี้ ฝนตกรถติดเรื่องธรรมชาติ”ชินานางเปิดประเด็นเพื่อทำลายความเงียบ ทั้งที่ความจริงแล้วไม่อยากจะคุยกับเขาสักเท่าไรหรอก แต่ดูจากที่เห็นสีหน้าเคร่งเครียดของเขาแล้วมันรู้สึกขนลุกอย่างไรบอกไม่ถูก คนอะไรไม่รู้ใส่แว่นดำก็ดูน่ากลัว พอไม่ใส่สายตาก็ดูราวกับจะเผาเธอได้“คุณคงยังไม่ชิน แต่อีกหน่อย เดี๋ยวก็ชินไปเอง...เอ๊ะ!”เธออุทานเมื่อเรฟหักพวงมาลัยเลี้ยวขวา ทั้งที่ยังไม่ถึงแยกที่ต้องเลี้ยวจริงๆ นั่นทำให้ชินานางตระหนกขึ้นมา กลัวว่าเขาจะโมโหเธอจนอยาก
‘วันนี้ฉันไม่กลับบ้านนะ นายไปรับน้องนาที่โรงพยาบาลที่ไปส่งเมื่อเช้าด้วยแล้วกัน ฉันไม่อยากให้น้องกลับเอง แล้วนายก็จะได้ไม่หลง’คนที่นั่งจมกองเอกสารอยู่ในห้องรองประธานกรรมการ ถือโทรศัพท์นิ่งค้างอยู่เช่นนั้นตั้งแต่ตติยะวางสายไปอีกราวหนึ่งนาที จากนั้นจึงค่อยๆ ประมวลระบบการรับรู้ทางหูของตนว่าได้ยินคำสั่งที่ผิดไปหรือเปล่าบอกให้เขาไปรับน้องนอกไส้นั่นน่ะเหรอ หมอนั่นคิดได้ยังไงข้อแรกเขายังจำทางไม่ค่อยได้เลย ไม่รู้จะไปถูกหรือเปล่าด้วยซ้ำ ก็ถนนในกรุงเทพฯ ไม่ได้มีแค่สองเส้นนี่ แถมยังตรอกซอกซอยอีกล่ะ ยิ่งคนอ่อนการอ่านภาษาไทยอย่างเขาแล้วด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงการดูป้าย มีดีอย่างเดียวตรงที่โรงพยาบาลนั้นอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก เพราะเมื่อเช้าเขากับตติยะใช้เวลาจากที่นั่นมาถึงที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นข้อสอง...ข้อนี้เป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นเลยก็คือเขาไม่อยากเห็นหน้า ไม่อยากอยู่ใกล้ หรือแม้แต่พูดคุยกับผู้หญิงคนนั้น คนที่แม่เขารักและทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูมากับมือ ลูกของคนที่มาแทนที่พ่อของเขา แม้ไม่ได้รังเกียจ แต่เขาก็คน จะให้ทำใจยอมรับกันง่ายๆ คงเป็นไปไม่ได้ชายหนุ่มคิดแล้วก็ถอนหายใจด้วยความเซ