หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไป
เย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจคนข้างหลังมากนัก และเขาก็รู้ดีว่าชินานางก็ตั้งใจหลบสายตาของเขาด้วย เพราะเมื่อเช้าเธอก็รีบออกจากบ้านไปพร้อมกับรถส่งผลไม้ก่อนตั้งแต่เช้าตรู่ ส่วนเรฟนั้นพยายามใช้ความจำที่ค่อนข้างดีของตนเองจนไปถึงที่ทำงานได้ในช่วงสายๆ
เมื่อรถเลี้ยวเข้ามาในบ้านและจอดลงก็มีชมพู่วิ่งออกมารับหญิงสาว ตติยะจึงลงจากรถออกไปถามเด็กสาวถึงผู้เป็นป้า
“คุณป้าอยู่ใช่ไหมชมพู่”
“ค่ะ” ชมพู่ตอบหลังจากยกมือไหว้ชายหนุ่มแล้ว
“งั้นน้องนาเรียนคุณป้าให้ด้วยว่าเดี๋ยวพี่กับเรฟจะเข้ามาไหว้แล้วก็ทานข้าวเย็นด้วย ตอนนี้ขอตัวไปอาบน้ำก่อน”
“ค่ะพี่ติว”
จากนั้นชายหนุ่มก็ขึ้นรถ เรฟที่เป็นคนขับหันมาบอกตติยะตอนที่รถหยุดลงหน้าบ้านแบบผสมผสานหลังใหญ่ด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย
“ผมขอตัวนะครับคุณติว”
“ได้ไง มาอยู่ที่นี่ก็ต้องไปไหว้ผู้ใหญ่ก่อน”
“ผมไหว้แล้วเมื่อวาน”
“มันต้องทำอย่างเป็นทางการ ไม่ใช่ยกมือไหว้แล้วก็ขับรถออกไปอย่างที่นายเล่าให้ฟัง แบบนั้นมันเสียมารยาท”
“ผมแนะนำตัวแล้ว ไม่ใช่ไหว้เฉยๆ”
“นายนี่มันหัวแข็งจริงๆ พับผ่าสิ ธรรมเนียมคนไทย ไปลามาไหว้ ยังไงก็ต้องบอกกล่าวผู้ใหญ่เป็นกิจจะลักษณะ ไม่ใช่ทำส่งๆ ไป แล้วคุณป้าก็เป็นผู้ใหญ่ของบ้านนี้ จะทำเหมือนไม่เห็นหัวท่านไม่ได้”
ตติยะบ่นเป็นภาษาอังกฤษยาวเหยียด ปกติเวลาอยู่กันสองคนทั้งสองคนก็แทบจะไม่ได้คุยภาษาไทยกันเลย จบท้ายด้วยการบังคับหนุ่มลูกครึ่ง
“ไม่ว่ายังไงเย็นนี้นายก็ต้องไปทานข้าวบ้านนั้นกับฉัน แล้วก็ทุกๆ วันถ้าเรากลับมาทันมื้อเย็นด้วย”
เรฟถอนหายใจอย่างอ่อนใจ ก่อนจะพยายามนึกหาเหตุผล
“ผมแค่คิดว่าพวกคุณน่าจะได้ทานข้าวด้วยกันตามลำพังครอบครัว”
“นั่นนายยิ่งต้องไป เพราะนายเป็นลูกแท้ๆ ของคุณป้า”
“แต่...ท่านไม่ได้ยอมรับผม” ชายหนุ่มบอกเสียงเข้ม
“ก็ทำให้ยอมรับสิ อ้อ...แต่ก่อนที่นายจะอยากให้คุณป้ายอมรับนาย ฉันว่านายลดทิฐิของนายลง แล้วเข้าหาคุณป้าก่อนดีกว่า ถ้านายต้องการการยอมรับจากใครสักคน นายก็ต้องยอมรับเขาให้ได้ก่อน นายคิดว่าคุณป้าไม่ยอมรับนาย แล้วนายล่ะ คิดยังไงกับคุณป้า ถามตัวเองดูให้ดีก่อนเรฟ นายรักแม่ของนายหรือเปล่า”
คนเป็นทั้งลูกพี่ลูกน้องทั้งเพื่อนพูดแล้วตบบ่าหนุ่มลูกครึ่งให้ขบคิดเอาเองก่อนจะลงรถไปก่อน ปล่อยให้เรฟได้แต่นิ่งแล้วขบกรามแน่นอยู่กับตัวเองคนเดียว
จะให้เขายอมรับคนที่ละทิ้งเขากับพ่อ แล้วมีคนใหม่แบบนั้นง่ายๆ ได้ยังไง เรฟไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด ในเมื่อคนคนนั้นก็ไม่ได้คิดถึงหรือใส่ใจอะไรเขามากมาย เมื่อวานสายตาที่มองเขามีเพียงความคาดไม่ถึงเพียงเท่านั้น ไม่มีความคิดถึงห่วงหาอาทรเลยแม้แต่น้อย ต่างจากสายตาที่มองชินานางลิบลับ
===================
อาหารมื้อเย็นถูกแป้นกับสาวใช้อีกสองคนลำเลียงขึ้นตั้งโต๊ะในระหว่างที่คุณอรพิมบ่นหลานชายที่หายหน้าหายตา ทั้งที่มาถึงเมืองไทยนานแล้วเป็นกระบุง โดยมีชินานางถูกดึงไปเป็นหัวข้อสนทนาบ้าง ในขณะที่เรฟนั้นตั้งแต่เข้ามาแล้วยกมือไหว้คุณอรพิมกับป้าจิตต์ก็นั่งเงียบหน้าขรึม ไม่พูดจาหรือยิ้มแย้มแต่อย่างใด ทำให้ตติยะได้แต่เก็บความอ่อนอกอ่อนใจเอาไว้ในใจ ส่วนคุณอรพิมเองก็ไม่ได้แสดงท่าทางพิเศษอะไรเกี่ยวกับเรฟ อาจจะมีปรายตามองบ้างในบางครั้ง แล้วก็พูดคุยกับหลานชายและลูกสาวด้วยใบหน้ายิ้มละไมซึ่งยังคงความงดงามตามวัย
หากในความรู้สึกของตติยะนั้นเขาคิดว่าป้าของเขาดีใจที่ได้พบกับลูกชาย เพราะปกติแม้ใบหน้าของผู้เป็นป้าจะยิ้มแย้มด้วยความเป็นผู้ดีมีสกุลอยู่แล้ว แต่ท่านเป็นคนที่ติดจะดุ เจ้าระเบียบ และค่อนข้างบ่นจู้จี้มากมายหลายเรื่อง ทว่าวันนี้ท่านเพียงตำหนิเขาเล็กน้อยแล้วก็บอกให้กลับบ้านมาทานข้าวด้วยทุกวัน เหมือนตั้งใจจะควบคุมความประพฤติของเขา ทว่าตติยะเชื่อว่าเพราะท่านอยากเห็นหน้าเจ้าลูกชายจอมนิ่งเฉยทุกวันด้วย
“เป็นยังไงบ้างตาติว วันนี้จิตต์เขาทุ่มสุดฝีมือเลยนะ ปกติจะแค่คุมเด็กๆ แต่พอรู้ว่าเราจะมาทานข้าวด้วยเท่านั้นแหละ ลงมือทำเองทุกอย่างแม้กระทั่งหั่นผัก นี่ดีนะ ที่ไม่แย่งเด็กมันล้างเองด้วย”
คุณอรพิมเอ่ยถามหลานชายหลังตติยะตักทานไปคำแรก
“อร่อยเหมือนเดิมเลยครับ อย่างนี้ถ้ามาทานทุกวันผมกับนายเรฟคงพุงกาง ต้องเพิ่มชั่วโมงเข้าฟิตเนตกันมากขึ้นแน่เลย”
“แหม...ชมอย่างนี้มีหวังคนทำได้ลอยแน่ๆ ใช่ไหมจิตต์” ท่านหันไปถามคนร่างท้วมที่ยืนยิ้มแป้นเยื้องไปด้านหลังของท่านคอยดูแลความเรียบร้อยอยู่
“ค่ะคุณท่าน คุณติวมาทุกวันเลยนะคะ เดี๋ยวป้าจะทำของชอบให้ทานทุกวัน”
“ได้เลยครับ ลาบปากทั้งนั้น”
“เอ่อ...แล้ว ว่าแต่ลูกพี่ลูกน้องคุณติวชอบอาหารไทยไหมคะ ชอบทานอะไร เดี๋ยวป้าจะทำให้” ป้าจิตต์อึกอักในตอนแรกเมื่อเหล่มองผู้เป็นนาย หากแต่ก็ถามชายหนุ่มถึงหนุ่มลูกครึ่งด้วยความอยากรู้
“เรียกเขาว่าเรฟเถอะป้า เขาเข้าใจภาษาไทยบ้างครับ ลองถามกับเขาดูสิครับ” ตติยะบอกยิ้มๆ เขาคิดว่าคนที่อยากรู้จริงๆ อาจจะเป็นคนที่นั่งวางฟอร์มอยู่หัวโต๊ะก็ได้
“เอ่อ...คุณเรฟ ชอบทานอาหารไทยอะไรคะ หรือถ้าไม่ค่อยชอบอาหารไทยป้าจะให้คุณหนูนาทำให้ เพราะป้าทำอาหารฝรั่งไม่เป็น แต่คนนี้เขาเก่งทุกอย่างค่ะ คุณท่านสอนมากับมือ บางครั้งก็ส่งไปเรียนเป็นคอสโน่นแน่ะค่ะ”
คุณถูกพาดพิงสะดุ้ง เหลือบตามองป้าจิตต์แล้วเหล่คนที่เอาแต่นั่งเงียบทำหน้าตาน่ากลัว แต่เขาไม่ได้มองมาทางเธอ ชายหนุ่มหันไปยิ้มมุมปากให้ป้าแม่บ้านเล็กน้อยก่อนจะตอบ
“ผมทานอะไรก็ได้ครับ ไม่เรื่องมาก”
“อุ๊ยตาย...ทานได้ทุกอย่างอย่างนี้ดีเลยค่ะ อยู่ง่ายกินง่าย น่ารักนะคะคุณท่าน”
ประโยคหลังป้าจิตต์หันไปพูดกับนายของตนเอง ทำเอาคุณอรพิมเหวอไปนิดก่อนจะปรับสีหน้าให้นิ่งแล้วตอบรับเพียงสั้นๆ
“อืม”
แม้จะดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจมากนัก หากคนใกล้ชิดอย่างป้าจิตต์ก็รู้ว่านายผู้หญิงของตนสนใจใคร่รู้ในตัวชายหนุ่มลูกครึ่งคนนี้มาก และดีใจมากเพียงใดที่ได้เจอลูกชายเพียงคนเดียวทั้งที่ชาตินี้ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกแล้ว แต่ในเมื่อยังมีทิฐิกับความโกรธแค้นที่มีต่อพ่อของชายหนุ่มค้ำคออยู่ คุณอรพิมจึงยังแสดงท่าทางเหมือนเฉยชากับคนเป็นลูกชาย แต่นางขอให้สายสัมพันธ์ของสองแม่ลูกเชื่อมเข้าหากันได้ด้วยเวลาเพียงไม่นาน เพราะได้เห็นน้ำตาของผู้หญิงใจแข็งอย่างคุณอรพิมรินไหลตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา และแม่จิตต์ไม่อยากเห็นท่านร้องไห้อีกแล้ว
=====
หลังเอื้อมทรายคลอดลูก ทั้งครอบครัวของตติยะก็ยังพักอยู่ต่อโดยไม่มีใครเดินทางกลับนอกจากแขก เพราะต่างก็เห่อหลานชายสองคนที่น่ารักน่าชังมากๆ แม้แต่คุณอานนท์กับคุณนิตยาเองก็ยังเฝ้าหลานทั้งสองคนไม่ห่าง ทิ้งงานที่โรงพยาบาลไปเลยทีเดียว เนื่องจากคุณนิตยาลงความเห็นว่าหลานตัวน้อยยังไม่แข็งแรงพอที่จะเดินทางไปโดนแดดโดนลมทะเลในตอนนี้ ก็เลยเพียงแค่พามาพักที่บ้านพักของตระกูลตติยะเพื่อความสะดวกสบาย และเสียงเด็กๆ จะได้ไม่รบกวนแขกของรีสอร์ต พวกเขาจึงพากันเกงานกันทั้งครอบครัว โดยคุณเจอเซ่สั่งงานผ่านทางวิดีโอคอลกับคนสนิทที่ไว้ใจได้ตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเลยทีเดียวส่วนตัวตติยะนั้นเขาตั้งใจเอาไว้แล้วว่าหลังแต่งงานจะพักฮันนีมูนเป็นเดือนจึงไม่เดือดร้อน เนื่องจากเคลียร์และกับเลขาอย่างคุณวิชัยเรียบร้อย หากมีอะไรด่วนวิชัยคงติดต่อเขามาเอง ก็กว่าเขาจะได้แต่งงานคนอื่นก็นำโด่งไปไกลไม่เห็นฝุ่นแล้ว เพราะนับตั้งแต่คืนที่เขาต้องเสียเงินซื้อรถให้น้องทั้งสองคน เอื้อมธารก็ไม่ค่อยจะยอมให้เขาแตะต้องสักเท่าไร แถมก็งานยุ่งเนื่องจากกำลังอยู่ในช่วงปรับโครงสร้างใหม่ นานๆ ครั้งถึงจะมีโอกาส ฉะนั้นพอแต่งงานตติยะจึงขอใช้เวลาส่วนตัวก
สองปีต่อมา...“แซนด์ไปไหน คุณหมอเห็นแซนด์หรือเปล่าคะ”ในงานเลี้ยงฉลองงานแต่งงานของลูกชายคนโตตระกูลเวลเลโอ ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งบนเกาะซึ่งเจ้าของงานเหมาทั้งรีสอร์ตเพื่อรับรองแขกนั้น ร่างบางของเจ้าสาวชุดสวยหรูราวเจ้าหญิงเดินไปทั่วทั้งบริเวณจัดงาน หลังจากส่งแขกเรียบร้อยแล้วด้วยใบหน้ากังวล เอื้อมธารถามหมอหนุ่มที่กำลังจะไปนั่งดื่มกับกลุ่มเพื่อนในมุมหนึ่งของรีสอร์ต ทำเอาชายหนุ่มชะงักหันมองอย่างงงๆ เพราะแทนที่จะถามหาเจ้าบ่าวแต่เจ้าสาวกลับถามหาพี่สาว“เปล่าครับ แล้วนี่ซีจะไปไหน น่าจะพักนะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”วิศรุตต์พูดโดยไม่ได้เอ่ยถึงเจ้าบ่าวที่เขาคิดว่ามันคงนั่งร่วมวงอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ เรียบร้อยแล้ว เพราะไม่อยากเป็นคนชี้โพรงให้กระรอกฤกษ์ส่งตัวนั้นมีไปตั้งแต่เมื่อวานที่กรุงเทพฯ เพราะทั้งสองคนแต่งงานที่บ้านสวนแบบเรียบง่าย รดน้ำทำบุญ มีเพียงแขกผู้ใหญ่และคนสนิทจริงๆ ส่วนงานเลี้ยงมาจัดที่เกาะ ซึ่งเป็นความต้องการของเจ้าบ่าวเจ้าสาวแต่ก็อำนวยความสะดวกให้กับแขกที่ได้รับเชิญทั้งไทยและเทศอย่างดี ฉะนั้นคู่บ่าวสาวจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตามฤกษ์ ส่วนบ้านพักของตระกูลนั้นตติยะให้ผู้ใหญ่ในครอบครัวของเ
เสียงหอบหายใจคละเคล้ากับเสียงเรียกชื่อเขา พร้อมปฏิกิริยาแสนซื่อจากร่างกายของหญิงสาวทำให้คนเจนสนามไหวร่างไม่นับครั้ง สายตาคมจ้องอกอวบสองข้างที่สะท้อนขึ้นลงไว้มั่น ทั้งแรงเสียดสีจากร่างอ่อนนุ่มก็ทำให้กายแข็งแกร่งร้อนขึ้นเรื่อยๆ จนสูงลิบแตะเพดาน หัวใจหนุ่มเต้นระส่ำยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ชายหนุ่มเองก็ยิ่งส่งตัวเองเร็วชนิดลืมโลก เขาไม่เคยคลั่งแบบนี้มาก่อน ลืมไปด้วยซ้ำว่าคนใต้ร่างเขานั้นเพิ่งครั้งแรก เมื่อไม่สามารถรั้งตัวเองได้ตติยะก็วิ่งชนโครมเต็มตัวไม่ยั้ง กระทั่งร่างของคนทั้งสองสะท้านเยือกขึ้นพร้อมกัน ร่างสูงใหญ่เกร็งคำรามพร่าในลำคอดัง ใบหน้าหล่อเหลาแดงก่ำบิดเหยเกแหงนเงยมองเพดานห้องเอื้อมธารที่กรีดร้องพร้อมตาเบิกโพลงมองภาพชายหนุ่มตรงหน้าด้วยหัวใจที่กระหน่ำแรงโลด รู้สึกรักเขาและภาคภูมิใจในตัวเองอย่างที่สุด หน้าตาท่าทางของอีกฝ่ายแม้จะเหมือนทรมานแสนสาหัสแต่เธอรู้เขาสุขสุดๆ เลยเชียวแหละ เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเธอเองก็ไม่ต่างจากเขาเลยความรักกับเซ็กส์บางครั้งมันก็แยกกันไม่ออก เธอเพิ่งเข้าใจก็วันนี้เอง การได้มีความสุขกับคนที่รักนั้นคือเซ็กส์ที่สุดยอดจริงๆเมื่อปล่อยกายปล่อยใจตามอารมณ์ปรารถนาแล้วตต
ครึ่งชัวโมงผ่านไปร่างบางก็ออกมาจากห้องพร้อมผ้าขนหนูพันตัวเพราะไม่ได้ถือเสื้อผ้าเตรียมเข้าไป เธอทำใจกล้าก่อนจะมองดูว่าคนตัวสูงใหญ่อยู่ในห้องหรือไม่ เมื่อไม่เห็นก็รีบวิ่งพรวดไปที่ตู้ซึ่งเพิ่งจัดเสื้อผ้าเข้าไปค้นหาของอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเขาไปไหน แต่ต้องรีบกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องน้ำก่อนที่ตติยะจะเข้ามาทว่าช้าไปแล้ว เพราะประตูห้องเปิดพรวดในขณะที่ร่างสูงในชุดกางเกงเลกับเสื้อแขนตัดฟิตเปรี๊ยะจนเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัดแข็งแกร่ง มือใช้ผ้าขนหนูเช็ดผมก้าวเข้ามาในห้อง ชายหนุ่มชะงักมองคนร่างบางที่หันมามองเขาตาโต ส่วนหญิงสาวก็สะดุ้งตกใจจนเผลอปล่อยทุกอย่างในมือร่วงลงพื้นตาคมสีอ่อนมองร่างสวยตั้งแต่ใบหน้า ผมเปียกที่ถูกขมวดลวกๆ รุ่ยร่ายตกลงมาระลำคอระหง ไหล่บาง เนินอกอวบขาวนวลเนียนก่อนจะถูกผูกทับไว้ด้วยผ้าขนหนู สายตาเขาจึงไล่ลงล่างอย่างรวดเร็ว ขาขาวกลมกลึงที่โผล่จากผ้าผืนเล็กคลุมสะโพกอย่างหมิ่นเหม่ทำเอาชายหนุ่มกลืนน้ำลายเสียงดังชัดเจน คนที่สบตากับเขาถึงกับตัวสั่นเพราะแววกระหายฉายวาบโชติช่วงอย่างไม่ปิดบัง เอื้อมธารจึงเลี่ยงหลุบตาลงมองเสื้อผ้าแล้วย่อตัวลงหยิบ พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มีส่วนล่อแห
ขณะนั้นตติยะเริ่มขยับลุกขึ้นก้าวไปข้างหน้า ทว่าได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ล้มลงแล้วลุกขึ้นใหม่ มือหนายื่นไปข้างหน้าเพื่อควานหาคนร่างบาง หากก็ต้องล้มอีกครั้งเพราะความรีบร้อนลุยน้ำและมองไม่เห็น แต่ชายหนุ่มก็ยังฝืนลุกขึ้นก้าวเร็วๆ ขึ้นไปบนผืนทรายจนได้ เขาขยี้ตาที่ยังแสบแต่ก็ยังลืมตาไม่ขึ้นจึงได้แต่เดินสะเปะสะปะยื่นมือไปทั่ว“ซี คุณยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า ผมเป็นห่วงคุณนะ ตอบผม ให้ผมได้ยินเสียงคุณหน่อย”หลังจากลืมตาขึ้นมาแล้วยืนมองคนที่ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ในการหาเธออยู่พักใหญ่จนแทบจะทนไม่ไหว มือบางก็ยื่นไปข้างหน้าช้าๆ หากก็ตัดใจลดมือลงในที่สุดและยืนนิ่งอย่างรอคอย ใจเต้นแรงลุ้นระทึกแทบจะกลั้นหายใจ ขอเวลาอีกนิดเดียว แค่นิดเดียวเท่านั้น‘ก้าวมาสิ มาหาฉัน’เอื้อมธารร้องเรียกอีกฝ่ายอยู่เพียงในใจ“คุณอยู่ที่นี่ใช่ไหมซี”ชายหนุ่มเคลื่อนไหวช้าลง พยายามจับทิศทางก่อนจะขยับไปด้านซ้ายมือเพียงสองก้าวแล้วคว้าหมับ ทำให้ร่างเย็นชื้นหากก็นุ่มนิ่มเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเขาเต็มๆ ปากบางสวยก้มลงจูบข้างขมับเธอพร้อมกระซิบต่อว่าเบาๆ ทั้งที่ใจเขาแทบขาดรอน กลัวไปหมดทุกอย่าง“แกล้งผมทำไมฮึ คุณจะฆ่าผมหรือไง ทั้งที่รู้ว่าผมรักคุณ
“บอกอะไรคะ”ชินานางอดถามไม่ได้“ก็พี่ทิมบอกว่า ผู้ชายถ้าได้มีอะไรกับคนที่รักแล้วจะยิ่งรักมากขึ้น ให้ดูพี่เรฟเป็นตัวอย่าง เพราะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเวลาอยู่กับพี่นา แยมไม่ค่อยเชื่อ เพราะพี่เรฟเขาเย็นชา ชอบทำหน้าเฉยตลอด แต่แยมก็เห็นพี่เรฟมองตามพี่นาตลอดเหมือนกัน ตอนเราเล่นน้ำก็มอง แต่พอเห็นความน่ารักของพี่นาเวลาเขินอย่างนี้แยมเข้าใจเลยค่ะ แยมก็ชอบพี่นานะคะ”เอื้อมธารกับชินานางมองคนที่อธิบายเสียงใสแล้วก็มองหน้ากัน โดยชินานางเป็นฝ่ายเขินหลบไปก่อนขณะที่เอื้อมธารคิดตามคำพูดของสาวน้อย เธอเองก็เห็นด้วยเพราะรู้สึกได้ว่า เรฟแสดงออกว่าห่วงใยรักใคร่ชินานางมากกว่านิสัยปกติของเขา คล้ายกับแววตาที่อานินท์มองพี่สาวของเธอ แถมทั้งสองคนยังมีแผนจะแต่งงานกันในอีกหกเดือนข้างหน้า แต่เอื้อมทรายจะยังอยู่กับเธอโดยที่อานินท์ย้ายเข้ามาอยู่ด้วยส่วนเมื่อคิดถึงแววตาและการเอาใจใส่ดูแลเธอของตติยะก็ไม่ได้น้อยไปกว่าใคร แถมเขายังดูจะตามใจเธอมากกว่าคนอื่นด้วยซ้ำ ไม่ได้ทำให้เอื้อมธารรู้สึกน้อยหน้าใครๆ แต่อย่างใด“แล้วพี่เรฟ แบบว่ามีเซ็กส์กับพี่นาบ่อยไหมคะ”สาวน้อยจอมซักยังถามต่อ แม้ใบหน้าสวยของตัวเองจะแดงเรื่อขึ้น