ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาตติยะนัดทานข้าวตอนเที่ยงกับเพื่อนสาวทุกมื้อ โดยที่หญิงสาวบอกเขาก่อนจะแยกย้ายกันหลังทานโจ๊กวันนั้นว่าขอนัดเป็นมื้อเที่ยง ช่วงประมาณบ่ายโมงเพราะเธอจะสลับกันทานข้าวกับเพื่อน ซึ่งเป็นการนัดเจอกันตรงหน้าปากซอยร้านโจ๊กตามความต้องการของหญิงสาวทุกครั้ง และเธอจะออกมารอเขาเสมอ ตติยะไม่เคยต้องโทรตามแล้วก็ไม่เคยรู้ว่าที่ทำงานอีกที่ของเอื้อมทรายอยู่ที่ไหน
ทว่าวันนี้หลังจากเขามัดมือชกขับรถพาเพื่อนสาวมาทานสเต๊กค่อนข้างไกลจากที่ทำงานของเธอ แล้วพอทานเสร็จฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้อีกฝ่ายกลับเองลำบาก ชายหนุ่มจึงอาสามาส่งเธอ กว่าเอื้อมทรายจะยอมให้เขามาส่งก็โวยเขาเสียยกใหญ่ และเขาคิดว่าหญิงสาวเปลี่ยนไปจากเดิมหลายอย่าง เอื้อมทรายค่อนข้างจะพูดตรงและคิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น หงุดหงิดง่าย ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็จะหายเร็วถ้าง้อถูกจุด แล้วก็คิดน้อยมาก ในขณะที่เมื่อก่อนเพื่อนเขาเป็นคนที่คิดมาก เหมือนมีปัญหาร้อยแปดที่ต้องแก้ไขอยู่ในหัว อีกอย่างคือ มักจะเก็บความรู้สึกและทุกอย่างไว้กับตัวเอง ไม่ค่อยบอกเล่าปัญหาให้ใครฟัง
ทว่าแม้จะต่างไปจากเดิมบ้างหากตติยะก็ยังรู้สึกดีที่ได้เจอกันทุกวัน มันทำให้เขานึกถึงเมื่อก่อนที่เขากับเพื่อนๆ ไปทานข้าวเที่ยงด้วยกันทุกวัน ถึงเอื้อมทรายจะเรียนคนละคณะกับเขา แต่หญิงสาวเป็นแฟนกับเพื่อนในกลุ่มของเขา ทั้งสองรู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แต่เพิ่งมาคบกันตอนเรียนมหาวิทยาลัยและมันก็ทำให้เขาสนิทกับทั้งสองคนมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อเธอเลิกกับเพื่อนคนนั้น ตติยะก็ต้องรับฟังคนทั้งสองระบายความในใจ สิ่งที่ตติยะรับรู้คือพวกเขารักกันมาก เขาไม่คิดว่ามีคนผิดในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่สามารถทำให้ทั้งคู่กลับมาคืนดีกันได้ ซึ่งนั่นเป็นครั้งเดียวที่เอื้อมทรายระบายความในใจให้เขาฟัง
เอื้อมทรายในวันนี้ดูสดใสกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า เธอทำให้เขายิ้มได้บ่อยครั้งกว่าตอนนั้น แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าเธอพยายามเว้นช่องว่างสำหรับเขากับเธอต่างจากวันที่เจอกันที่บริษัท คงเพราะเธอยังไม่หายงอน จนเขาต้องหาทางตอแยเธอมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว สรุปแล้วตติยะมีความสุขในช่วงเวลาที่ได้ทานข้าวกับเพื่อนเก่าทุกๆ วัน แทบจะนับเวลารอให้ถึงเที่ยงเร็วๆ เลยทีเดียว
“ขอบใจนะ” หญิงสาวบอกเขาหลังจากลงรถ ที่นี่ฝนหยุดตกแล้วเธอจึงไม่ต้องกังวล
ตติยะมองป้ายคลินิกขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นคลินิกรักษาทุกโรคและค่อนข้างใหญ่โตหรูหราที่เขามาจอดด้านหน้าอย่างพินิจ เขาขับรถผ่านตรงนี้บ่อยมากเพราะอยู่ไม่ห่างจากคอนโดหรูของภรวี เพิ่งรู้ว่าเอื้อมทรายทำงานที่นี่
“ยินดีอยู่แล้ว ว่าแต่...แซนด์ทำอะไรที่นี่น่ะ”
เขาถามขณะก้าวลงมายืนข้างๆ และเดินตามหญิงสาวไปยังด้านหน้าประตู
คนร่างบางหันไปมองป้ายแล้วก็หันกลับมามองเขา รู้ว่าเขาแปลกใจเพราะสิ่งที่เอื้อมทรายเรียนมานั้นตรงข้ามกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าลิบลับ
“เอ่อ...อืม...บัญชี เป็นฝ่ายบัญชี”
เธอเลือกที่จะบอกไปตามตรง เพราะนึกไม่ออกว่าจะมีงานอะไรในนี้เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ซึ่งหน้าที่รับผิดชอบของเธอที่นี่คือดูแลบัญชีกับพี่อีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นภรรยาของหมอคนหนึ่งในคลินิก
“แล้วทำเป็นเหรอ” ชายหนุ่มถามด้วยสีหน้าแปลกใจ
“พี่เขาสอนน่ะ รู้จักกันเขาก็เลยให้มาช่วยเพราะไว้ใจได้”
“อ๋อ...งั้นเดี๋ยววันหลังติวมารับที่นี่นะ”
“เอ่อ...คือ ไม่ต้องหรอก ฉัน...เอ่อ เราว่าติวไม่ต้องมารับแล้วก็ได้ แค่นี้ก็พอแล้ว ตอนแรกที่บอกว่าสองอาทิตย์ก็เพราะอยากแกล้งเล่นน่ะ ดูว่าติวจะทำจริงไหม ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว เกรงใจ”
ตติยะมองคนที่ดูอึกอักแล้วทำหน้าเซ็งที่อีกฝ่ายมาปฏิเสธเอาตอนครึ่งทาง ทั้งที่เขาตั้งใจทำตามคำพูดอย่างเต็มที่ ตอนนี้เอื้อมทรายพูดกับเขาดีขึ้นมาแล้วหลังจากคุยกันบ่อยขึ้นและเขาทำตามสัญญา แต่หญิงสาวยังไม่ยอมแทนตัวเองว่า ‘แซนด์’ เขาเคยถามว่าหายโกรธแล้วทำไมยังไม่แทนตัวเองเหมือนเดิม แต่เธอกลับอ้างว่ายังโกรธเขาอยู่อีกหน่อยนึง
“ไม่เอา ติวรับปากแล้ว แล้วก็จะทำตามคำพูดด้วย ติวไม่เคยผิดคำพูดกับเพื่อนแซนด์ก็รู้นี่”
“เอ่อ...แต่ว่า ถ้าจะมารับที่นี่เราไม่ไปด้วยนะ”
“ทำไมล่ะ”
“ก็ถ้าใครเห็นจะให้บอกว่ายังไง อยู่ๆ เราก็มีคนมารับไปทานข้าวเที่ยงทุกวัน ถึงแค่ช่วงสั้นๆ แต่มันก็ต้องมีคนถาม แล้วจะให้บอกว่าไถ่โทษเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนั้นอีก เราไม่อยากพูดถึงมันแล้วด้วย มันยุ่งยาก”
“ยุ่งยากตรงไหน”
“มันยากสำหรับเราก็แล้วกัน เอาตามนี้แหละ นัดเจอกันเหมือนเดิม ถ้าไม่เอาก็ไม่ต้องกินข้าวด้วยกันแล้ว”
“ก็ได้ๆ เอาไงก็เอา”
เมื่อหญิงสาวทำเสียงแข็งตติยะก็ได้แต่ยอมตามใจเธอ เขาอยากรับผิดชอบคำพูดของตัวเองจะได้ไม่มีอะไรค้างคา อีกอย่างได้ทานข้าวกับเพื่อนสนิทที่รู้ใจกันมาก่อนทุกวันรู้สึกสบายใจดีออก เหลือเวลาอีกอาทิตย์เดียวอยู่ๆ เธอก็จะมาบอกเลิกอย่างนี้เสียดายแย่
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันที่เดิมนะ”
“อืม...บาย”
เธอโบกมือให้เขาแล้วหันหลังเดินเข้าคลินิก พอร่างบางลับสายตาเข้าไปด้านในตติยะก็หันหลังเดินกลับมาที่รถ แล้วก็เห็นร่างสูงเพรียวของใครคนหนึ่งเดินอ้อมมาหยุดยืนมองด้านหลังรถของเขา ชายหนุ่มตาเบิกกว้างแล้วรีบทักอีกฝ่ายเสียงดังพร้อมๆ กับสาวเท้าเร็วๆ เดินเข้าไปหา
“ไอ้รุตต์”
ใบหน้าขาวภายใต้แว่นเลนส์เหลี่ยมใสไร้กรอบดูออกไปทางค่อนข้างสวย แต่มีความคมเข้มสมชายชาตรีเงยขึ้นมาแล้วหันมองตามเสียงก่อนจะแย้มยิ้ม เมื่อเห็นคนที่ยกมือเรียกชื่อของเขา ลักยิ้มข้างแก้มซ้ายบุ๋มลงชนิดที่สาวที่ไหนก็ต้องลงความเห็นว่าน่ารักน่าหยิกเป็นที่สุด
“อ้าว...ว่าไงไอ้ติว ตั้งแต่กลับมานี่ไม่ติดต่อเพื่อนฝูงเลยนะ ไปไงมาไงถึงมาอยู่นี่ได้วะ”
เมื่อก้าวเข้ามาใกล้ตติยะก็ทำหน้าหมั่นไส้ใส่เขา ทำให้รอยยิ้มที่มีแก้มบุ๋มกว้างขึ้นอีกในทันใด
“ไงวะ แทนที่จะยิ้ม เจอเพื่อนเก่าไหงทำหน้าเหม็นเบื่อแบบนี้”
“ฉันเบื่อไอ้รอยยิ้มกระชากใจสาวของแกนั่นแหละ ยิ้มทีไรเรตติ้งฉันตกทุกที”
“หล่อขั้นเทพอย่างนายน่ะเหรอเรตติ้งจะตก เว่อร์ซะไม่มี”
วิศรุตต์หมอหนุ่มหน้าสวยส่ายหน้าขณะตบบ่าเพื่อนที่ล้อเล่นกันอย่างสนิทสนม เขากับตติยะเป็นเพื่อนสมัยเรียนม.ปลายที่เดียวกัน แต่เข้ามหาวิทยาลัยคนละที่ ทว่าก็ไปเจอกันอีกทีตอนเขาไปเรียนต่อเฉพาะทางที่อเมริกา ทำให้ยังสนิทกันมากอยู่เหมือนเดิม
“แล้วนายมาอยู่แถวนี้ได้ไง ฉันไม่เห็นสัญลักษณ์เวลเลโอแถวนี้เลยนี่หว่า”
“มาส่งเพื่อนน่ะ เขาทำงานที่นี่”
หมอหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจ ก่อนจะถามย้ำ
“ในคลินิกนี้เนี่ยนะมีเพื่อนนายทำงานอยู่ด้วย ฉันไม่เชื่อหรอก มาจีบสาวคลินิกฉันอ่ะดิ บอกมาตามตรงเลย สาวๆ ที่นี่สวยๆ ทั้งนั้น”
“พูดอย่างนี้ตัวเองก็จีบเหมือนกันใช่ไหมล่ะ ไอ้สมภารกินไก่วัด”
พอเจอคนรู้ทันแซวกลับคุณหมอหนุ่มก็เกิดอาการหูแดงขึ้นมากะทันหัน ได้แต่เสปัดไปแต่ก็ทำให้ตติยะรู้ว่าเพื่อนกำลังจีบสาวในคลินิกตัวเองจริงๆ
“ก็มีคนที่สนใจอยู่ แต่ช่างมันเถอะ ฉันยังไม่คิดมากเรื่องนี้ว่ะ เอ้อ...ได้เจอกันก็ดีแล้ว คืนนี้ไปผับไอ้ศิลป์กันป่ะ ไอ้พวกนั้นมันรู้ข่าวว่านายกลับมาอยู่ไทยก็อยากเจอทั้งนั้น เดี๋ยวฉันนัดให้”
“แล้วว่างเหรอนายน่ะ”
เขาไม่มีปัญหาอยู่แล้ว นานๆ จะได้เจอเพื่อนฝูงที่เรียนอเมริกาด้วยกันสักที เพื่อนคนไทยของเขาหลายคนกลับมาตั้งแต่เรียนโทจบ ส่วนตติยะนั้นเรียนพร้อมกับทำงานของทางบ้านต่อ จะได้เจอกันบ่อยสุดก็คือวิศรุตต์ เนื่องจากอีกฝ่ายเรียนต่ออีกแล้วก็เพิ่งกลับมาเมืองไทยเมื่อปีที่แล้ว
“ฉันออกเวรที่โรงพยาบาลแล้ว ส่วนที่คลินิกนี่เข้ามาทำถึงสักสองทุ่มก็เลิก”
“จะขยันไปไหนวะ ทำทั้งคลินิก ทั้งโรงพยาบาล ไม่หลับไม่นอนหรือไง ระวังเงินจะทับตายนะเว้ย”
“เงินจะทับนายก่อนมากกว่า คลินิกนี่ฉันหุ้นกับเพื่อนแล้วก็รุ่นพี่ ไม่ใช่ทายาทเจ้าของรถยี่ห้อดังเหมือนนายสักหน่อย แล้วก็พรุ่งนี้เวรบ่ายตื่นสายได้ ตกลงเอาไง ถ้าโอเคฉันจะโทรนัดเลย แล้วเดี๋ยวนัดเจอกันอีกที นายยังไม่รู้จักผับไอ้ศิลป์ จะไปกับฉันหรือเปล่า”
“นัดได้เลยเพื่อน เดี๋ยวฉันมาหานายที่นี่เอง”
“โอเค แล้วเจอกัน”
“อื้อ...สองทุ่มเจอกัน”
ตติยะโบกมือให้ก่อนจะกดรีโมตทำให้วิศรุตต์รู้ว่ารถคันที่เขายืนดูอยู่นี้เป็นรถของเพื่อนเขาเอง ชายหนุ่มเอ่ยถามทั้งที่เห็นอยู่แล้ว
“นี่รถนายเหรอ”
“อืม ทำไม”
“ก็...เปล่า แค่เคยเห็นน่ะ”
“สปอร์ตรุ่นล่าสุดของเวลเลโอเนี่ยเหรอ ฉันจำได้ว่าก่อนฉันจะมามีคนสั่งเข้ามาในไทยแล้วสองคัน คันนี้คันที่สาม ไม่ค่อยมีให้เห็นเกลื่อนเท่าไหร่ แต่ก็ไม่แปลกที่นายเคยเห็นแล้วจะจำมันได้ทันที รุ่นนี้ฉันกับเรฟช่วยกันออกแบบเลยนะ”
“เยี่ยมว่ะ สวยหรูชะมัดเลย”
แม้จะชมเพื่อนออกมาจากใจ ทว่าสมองของคุณหมอหนุ่มค้านเรื่องที่ตัวเองเคยเห็นรถแบบนี้มาแล้ว พร้อมสายตาภายใต้แว่นเหลี่ยมใสก็จับจ้องป้ายทะเบียนรถนิ่ง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ถึงจะมีแค่สามคันแต่ก็คงไม่มีคันที่ใช้ทะเบียนเดียวกันแน่
ตติยะหัวเราะกับคำพูดของเพื่อน เพราะที่บ้านของวิศรุตต์นั้นจะซื้อรถที่หรูกว่านี้มาขับก็ยังได้ แต่เมื่อเห็นเพื่อนเงียบและคิ้วขมวดมุ่นจึงเอ่ยถาม
“มีอะไรเหรอ”
”เปล่า”
แค่รู้สึกคุ้นป้ายทะเบียนนี้ รถรุ่นนี้ แล้วก็สีนี้เท่านั้นเอง เขาไม่ได้บอกเพื่อนเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่ตัวเองจะเคยเห็นรถเพื่อนจอดขวางไฟแดงอยู่ แล้วคนที่ไปกับเขาก็ลงไปเอาเรื่องแม้เขาจะห้ามแล้วก็ตาม ทว่าวิศรุตต์ก็คิดว่ามันไม่สำคัญจนต้องเล่าให้เพื่อนฟัง
ก็แค่ความบังเอิญที่เกิดขึ้นได้บ่อยๆ บนโลกกลมๆ ใบนี้
=====
ฝนตกกระหน่ำตั้งแต่ช่วงเย็นมาจนถึงตอนนี้ แม้ทั่วทั้งท้องฟ้ามืดสนิทและนาฬิกาบอกเวลาสามทุ่ม กลิ่นไอดินที่อบอวลขึ้นเมื่อหยาดน้ำฝนตกลงกระทบพื้นดินก็เจือจางลงไปแล้ว แต่เม็ดฝนยังไม่ขาดสาย นั่นทำให้คนที่ยืนมองถนนซึ่งเชื่อมผ่านสวนผลไม้มายังหน้าเรือนใหญ่อยู่ตรงหน้าต่าง ชะเง้อคอรอแสงไฟสองดวงด้วยสายตากังวล เป็นห่วงคนที่กำลังเดินทางกลับแต่ยังมาไม่ถึง“เห็นทีฉันจะต้องดุตาติวซะบ้างแล้วล่ะแม่จิตต์” คุณอรพิมเอ่ยขึ้นเมื่อคนสนิทถือแก้วน้ำขิงร้อนๆ มาวางให้บนโต๊ะตรงหน้า“เรื่องอะไรหรือคะคุณ”“ก็ตั้งแต่ฉันให้ยัยหนูนากลับกับเขา เขาก็พาน้องกลับถึงบ้านช้าทุกวันเลยน่ะสิ วันนี้ก็เหมือนกัน ดูสินี่มันสามทุ่มแล้ว ปกติยัยหนูกลับเองแล้วให้คนออกไปรับตรงป้ายรถเมล์ หรือนั่งสองแถวมาที่หน้าสวนก็ไม่เคยเกินสองทุ่มครึ่งเลย”“โถ...คุณ ฝนกำลังตกหนักนะคะ ขับรถเร็วอันตรายออก แล้วนี่ก็ยังไม่ดึกเท่าไหร่สักหน่อย”“เอ๊ะ! แม่จิตต์นี่ เข้าข้างตาติวอยู่เรื่อยอย่างนี้สิถึงได้เหลวไหลกันประจำ โตแล้วกลับมาก็ยังเป็นอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”แม้อยากจะบ่นต่อให้เต็มที่แต่เสียงรถเบรกดังขึ้นหน้าบ้านก็เรียกความสนใจของคุณอรพิมได้มากกว่า ร่างอวบรี
“เอ้า! ดื่มๆ ดื่มให้เต็มที่เลยเพื่อน ให้สมกับที่ไม่ได้สังสรรค์กันมานาน”เสียงของวีศิลป์เจ้าของผับ ลูกชายคนโตเจ้าของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดังของเมืองไทยร้องบอกเพื่อนทั้งกลุ่มมือเพรียวสมกับเป็นหมอของวิศรุตต์หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อที่หน้าออกจนหมด ก่อนที่จะใส่แว่นทรงเหลี่ยมไร้กรอบกลับลงไปที่เดิมหลังจากดื่มไปแล้วหลายแก้วจนเริ่มมึน และวางแก้วนิ่งไม่ยกขึ้นมาดื่มต่อ แต่คนข้างตัวเขายังชนแก้วกับเพื่อนๆ ในสมัยที่เรียนอยู่อเมริกาด้วยกันอย่างรื่นเริงไม่รู้จักมึนเมา เพราะตติยะไม่ได้เจอเพื่อนกรุ๊ปนี้นานแล้ว แต่ทุกคนยังติดต่อกันเสมอ ซึ่งเพื่อนในกลุ่มอีกหนึ่งคนก็คือเรฟที่วันนี้ไม่ได้มาด้วย“ไงวะ ไอ้หมอ ยอมแล้วเหรอ” เสียงเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถาม“เออ...นั่นดิเพิ่งหมดไปห้าขวดเองนะเว้ย อย่าบอกนะว่าเมาแล้ว...พอเป็นหมอไหงคออ่อนวะ”วีศิลป์บ่นตามมาทันควัน“พรุ่งนี้ต้องเข้าเวรว่ะ ไม่อยากมึนถึงจะเข้าเวรบ่ายก็เหอะ”“ปล่อยคุณหมอรุตต์เขาไปเหอะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันดื่มแทนมันเอง” ตติยะบอกอย่างอารมณ์ดี“ก็เพราะนายเป็นอย่างนี้ไงล่ะ ฉันถึงต้องยอมถอย ไม่งั้นเราไม่ได้กลับบ้านแน่”“ถูกของนาย เออ นายไม่เมาก็ขับกลับ
ตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมาตติยะนัดทานข้าวตอนเที่ยงกับเพื่อนสาวทุกมื้อ โดยที่หญิงสาวบอกเขาก่อนจะแยกย้ายกันหลังทานโจ๊กวันนั้นว่าขอนัดเป็นมื้อเที่ยง ช่วงประมาณบ่ายโมงเพราะเธอจะสลับกันทานข้าวกับเพื่อน ซึ่งเป็นการนัดเจอกันตรงหน้าปากซอยร้านโจ๊กตามความต้องการของหญิงสาวทุกครั้ง และเธอจะออกมารอเขาเสมอ ตติยะไม่เคยต้องโทรตามแล้วก็ไม่เคยรู้ว่าที่ทำงานอีกที่ของเอื้อมทรายอยู่ที่ไหนทว่าวันนี้หลังจากเขามัดมือชกขับรถพาเพื่อนสาวมาทานสเต๊กค่อนข้างไกลจากที่ทำงานของเธอ แล้วพอทานเสร็จฝนก็ตกลงมาอย่างหนักทำให้อีกฝ่ายกลับเองลำบาก ชายหนุ่มจึงอาสามาส่งเธอ กว่าเอื้อมทรายจะยอมให้เขามาส่งก็โวยเขาเสียยกใหญ่ และเขาคิดว่าหญิงสาวเปลี่ยนไปจากเดิมหลายอย่าง เอื้อมทรายค่อนข้างจะพูดตรงและคิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น หงุดหงิดง่าย ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง แต่ก็จะหายเร็วถ้าง้อถูกจุด แล้วก็คิดน้อยมาก ในขณะที่เมื่อก่อนเพื่อนเขาเป็นคนที่คิดมาก เหมือนมีปัญหาร้อยแปดที่ต้องแก้ไขอยู่ในหัว อีกอย่างคือ มักจะเก็บความรู้สึกและทุกอย่างไว้กับตัวเอง ไม่ค่อยบอกเล่าปัญหาให้ใครฟังทว่าแม้จะต่างไปจากเดิมบ้างหากตติยะก็ยังรู้สึกดีที่ได้เจอกันทุกว
หลังจากไม่ได้กลับบ้านสวนเมื่อคืนวานแล้วได้พูดคุยกับเรฟที่ทำงาน ทำให้ตติยะรู้ว่าคุณอรพิมผู้เป็นป้ากลับมาที่บ้านแล้ว แต่จากที่สังเกตอาการลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงมารดาของตนเองเท่าไรนักเขาก็รู้ว่าทั้งสองน่าจะยังไม่ได้พูดคุยกันตามประสาแม่ลูกเป็นแน่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตติยะค่อนข้างเป็นห่วงมาก เขาอยากให้เรฟรู้จักกับความอบอุ่น ความเป็นครอบครัว และอ้อมกอดของผู้เป็นแม่ ชายหนุ่มจะได้ลดความแข็งกระด้างที่มีลงไปบ้าง เหนืออื่นใดตติยะอยากให้แม่กับลูกกลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิม แม้ว่าอาจจะไม่สามารถทำให้ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันได้ แค่เรฟกับป้าอรพิมรักกันเข้าใจกันเขาก็ดีใจมากแล้ว ฉะนั้นตติยะจึงคิดว่าหากจะดึงเรฟเข้าไปหาแม่ของเขาให้มากขึ้น ตัวเขาเองนี่แหละที่จะต้องเป็นฝ่ายพาชายหนุ่มเดินเข้าไปเย็นวันนี้ตติยะกับเรฟไปรับชินานางกลับมาบ้านพร้อมกัน แม้ภายในรถจะมีการพูดคุยกันมาตลอดทาง ทว่าเรฟกับชินานางนั้นไม่ได้คุยหรือแม้แต่จะมองหน้ากันด้วยซ้ำ หญิงสาวนั่งอยู่เบาะหลังในขณะที่เรฟเป็นคนขับรถ ซึ่งชายหนุ่มก็ตั้งหน้าตั้งตาขับและโต้ตอบกับตติยะเท่านั้น ถึงบางครั้งจะมองกระจกหลังบ้าง หากเขาก็จะมองเผินๆ ไม่สนใจ
ร่างสูงใหญ่เดินตามหญิงสาวเข้ามาในร้านด้วยท่าทางสบายๆ หลังจากวนหาที่จอดรถจนได้แต่ก็ต้องเข้ามาจอดในซอยถัดมา แล้วเดินกลับมาที่ร้านอีกที ถึงแดดจะเริ่มร้อน เหงื่อซึมออกมาบนแผงอกและแผ่นหลังจนเปียกเสื้อเชิ้ตเนื้อดี แต่เขาก็ยังดูเฉยๆ ไม่ได้มีอาการหงุดหงิดแต่อย่างใด ทั้งที่ร้านนี้ก็เป็นร้านธรรมดาไม่มีแอร์และคนก็ค่อนข้างเยอะ เธอเหลือบตามามองเขาเล็กน้อยตติยะจึงยิ้มให้แล้วชี้ไปที่โต๊ะเล็กๆ สำหรับนั่งสองคนซึ่งว่างอยู่พอดี“นั่งตรงนั้นกัน”ว่าแล้วชายหนุ่มก็เดินนำไปก่อนแต่หญิงสาวกลับเดินเข้าไปหาพ่อครัวที่ยืนอยู่หน้าหม้อโจ๊ก สั่งแล้วจึงเดินตามเข้าไป ตติยะนั่งลงแล้วมองหาคนที่ควรจะเดินตามเขา เมื่อเห็นว่าต้องสั่งก่อนเข้ามานั่งก็มองคนที่นั่งลงฝั่งตรงข้ามอย่างเก้อๆ เพราะเขาคิดว่าจะมีคนมารับออเดอร์“ขอโทษนะ ทั้งที่ผู้ชายควรจะเป็นคนสั่ง”“คุณไม่รู้นี่”อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่แคร์เท่าไร ตติยะเงียบไปขณะเพ่งมองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาพร้อมกับครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้าอยู่คนเดียว ขณะที่หญิงสาวมองไปรอบๆ ร้านก่อนจะหันกลับมามองชายหนุ่มซึ่งมีเหงื่อผุดออกมาจนเต็มหน้าผาก“เช็ดหน้าหน่อยไหม ดูเหมือนจะร้อนมาก” เธอบอกขณะมองหน้
การจราจรในช่วงสายของวันยังแน่นขนัดอยู่ ทั้งที่ตติยะออกมาจากคอนโดของภรวีได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เขายังอยู่ไม่ห่างจากแถวคอนโดของหญิงสาวนัก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาสายกว่าตอนที่อยู่บ้านสวนเพราะกว่าจะได้หลับกันจริงๆ ทั้งเขาและภรวีก็เหนื่อยอ่อนจากกิจกรรมบนเตียงไปตามๆ กัน เนื่องจากหญิงสาวทำทุกอย่างเพื่อปลุกอารมณ์เขาอยู่ตลอด แม้จะปฏิเสธไปแล้วทว่าเมื่อถูกกระตุ้นคนอย่างตติยะก็ไม่เคยถอยอยู่แล้ว ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับสิ่งที่ภรวีมอบให้ แต่ก็เกิดความหน่ายแทรกขึ้นมาด้วยเหมือนกันเพราะเธอเรียกร้องจากเขามากจนเกินไป ถึงจะเคยมีเซ็กซ์ที่บ้าคลั่งกว่านี้กับสาวผมทองถึงสองคนพร้อมกัน แต่เขาชักไม่สนุกกับความต้องการของภรวีเสียแล้ว ตติยะอดคิดไม่ได้ว่าหากไม่ป้องกันตัวเองอย่างดี เมื่อคืนนี้อาจจะทำให้ภรวีท้องก็ได้ บางทีเขาอาจจะต้องเว้นระยะห่างกับเธอบ้าง เขารู้สึกอย่างนั้น หากภรวีไม่ยอมก็คงต้องพูดกันอย่างจริงจังว่าหากยังต้องการให้ความสัมพันธ์ระหว่างกันคงอยู่ เธอก็ไม่ควรทำให้เขาเบื่อเสียก่อน ซึ่งเขาเชื่อว่าภรวีรู้และเข้าใจดีรถเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ทำให้คนขับเริ่มเบื่อ หลังจากเปิดเพลงฟังเพื่อผ่อนคลายความหงุดหงิดกับการจราจ