Masukหลังจากที่ หลิงซินเอ๋อร์ ได้รับรู้ความจริงจาก ซูเม่ยหลาน ว่า อวิ๋นเทียนหาน กำลังคืนชีพผ่านร่างของนาง นางก็เริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตนเองพลังเซียนและพลังปีศาจในร่างของนางเข้าสู่ สมดุลที่สมบูรณ์ แต่ความสมดุลนี้มีความอ่อนไหวอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่จันทร์เต็มดวง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พลังจันทราสูงสุด เงาแห่งพลังมืด ก็จะปรากฏขึ้นในร่างหลิงซินเอ๋อร์ในคืนจันทร์เต็มดวง นางจะกลายเป็น ร่างครึ่งเทพครึ่งปีศาจ อย่างแท้จริง: ดวงตาข้างหนึ่งส่องประกายด้วยแสงจันทร์สีเงินบริสุทธิ์ ขณะที่อีกข้างหนึ่งส่องประกายด้วยสีม่วงเข้มของพลังมารที่กำลังรวมตัวซูเม่ยหลาน พยายามใช้พิณหยกโบราณควบคุมพลังให้นาง แต่ก็ทำได้เพียงเล็กน้อย นางรู้ว่าพลังในร่างหลิงซินเอ๋อร์นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เซียนใดจะควบคุมในคืนที่พลังมืดของหลิงซินเอ๋อร์รุนแรงที่สุด ดวงจิตสุดท้ายที่ยังไม่สลายไปของไป๋หานอี้ ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านาง ดวงจิตของเขายังคงผูกพันอยู่กับหุบเขานี้ด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่หลิงซินเอ๋อร์เห็นภาพของเขา—ร่างที่ส่องแสงวิบวับและอ่อนแรง ไป๋ห
หลังจาก อวิ๋นเทียนหาน สละชีวิตและพลังทั้งหมดเพื่อทำลายพันธะเลือด หลิงซินเอ๋อร์ ก็ยังคงอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขา นางไม่ได้พยายามกลับสวรรค์ หรือหนีไปยังแดนปีศาจ นางเพียงแค่รอคอยร่างกายของนางกลับมามีพลังที่ สมดุล ระหว่างเซียนและปีศาจอย่างสมบูรณ์ตามที่อวิ๋นเทียนหานต้องการ แต่หัวใจของนางเต็มไปด้วย รอยพรากแห่งคำสัตย์ ที่เขาได้ทิ้งไว้ทุกคืนที่ดวงจันทร์ยังคงส่องแสงจากฟากฟ้าที่แตกร้าว หลิงซินเอ๋อร์ยังคงรออวิ๋นเทียนหานที่จากไปนางจะนั่งอยู่ใต้ต้นเหมยสีขาวที่เคยเป็นที่ที่เขาหายตัวไป นางรู้สึกถึง ความว่างเปล่า ที่ไม่สามารถเติมเต็มได้ทว่า เสียงจากจันทรา ก็เริ่มปรากฏขึ้น หลิงซินเอ๋อร์เริ่มฝันถึงเสียงของเขาในทุกคืน เสียงที่เรียกชื่อเธอแผ่วเบาใต้แสงจันทร์ มันไม่ใช่เสียงที่อยู่ในความทรงจำ แต่มันเป็นเสียงที่คุ้นเคยอย่างลึกซึ้งที่มาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ“ซินเอ๋อร์… ซินเอ๋อร์…”เสียงนั้นทำให้ความหวังเล็กๆ ก่อตัวขึ้นในใจนาง นางเชื่ออย่างสนิทใจว่า อวิ๋นเทียนหาน ไม่ได้จากไปไหนไกล และเขากำลังรอคอยนางอยู่ ณ
หลังจากที่หลบหนีจากวังสวรรค์ด้วยความช่วยเหลือของ ไป๋หานอี้ (ในร่างดวงจิต) หลิงซินเอ๋อร์ และ อวิ๋นเทียนหาน ก็เดินทางมายังโลกมนุษย์ ร่างกายของทั้งคู่บาดเจ็บสาหัส แต่ความปลอดภัยบนโลกมนุษย์ทำให้พวกเขาได้พักรักษาตัว พวกเขาเลือกอาศัยอยู่ใน หมู่บ้านเล็กๆ ท่ามกลางหุบเขา ที่เงียบสงบและห่างไกลจากผู้คน หมู่บ้านแห่งนี้มีต้น เหมยสีขาว ที่เก่าแก่ยืนต้นอยู่กลางลานบ้าน เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ นี่คือช่วงเวลาเดียวที่ทั้งคู่ได้ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา อวิ๋นเทียนหานไม่ได้สวมเกราะปีศาจ แต่สวมชุดผ้าฝ้ายสีดำเรียบง่าย หลิงซินเอ๋อร์ไม่ได้สวมชุดเซียน แต่สวมชุดเรียบง่ายของชาวบ้าน พวกเขาได้ใช้ชีวิตอย่างที่เคยฝันถึง: มีเพียงกันและกัน ไม่มีกฎสวรรค์ ไม่มีสงคราม แต่เบื้องหลังความสงบนั้น ความจริงที่โหดร้าย ยังคงกัดกินพวกเขาอยู่ พันธะเลือดแห่งหอจันทรา ได้ช่วยชีวิต หลิงซินเอ๋อร์ ไว้ แต่ก็เป็นคำสาปไปในตัว พันธะนี้ยังคงดูดพลังของทั้งคู่เรื่อยๆ เพื่อรักษาสมดุลของสายเลือดลูกครึ่ง
พันธะเลือดแห่งหอจันทรา ได้ทำให้ หลิงซินเอ๋อร์ ฟื้นคืนพลังอย่างรวดเร็ว พลังที่ผสมผสานระหว่าง เลือดมาร และ หยกฟ้า ได้ทำลายผนึกพลังของสวรรค์จากภายในทั้ง หลิงซินเอ๋อร์ และ อวิ๋นเทียนหาน ที่ถูกพันธะเลือดเชื่อมโยงชีวิตไว้ ได้พังทลาย หอจันทรา และหลบหนีออกมาจากวังสวรรค์ที่เต็มไปด้วยความโกลาหลทันทีที่พวกเขาปรากฏตัวบน สะพานสวรรค์ ซึ่งเป็นทางเดียวที่นำไปสู่โลกมนุษย์ การต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างกองทัพเทพและปีศาจก็ปะทุขึ้นอีกครั้งอย่างดุเดือดครืนนนน! เปรี้ยง!พิรุณโลหิต (เลือดของเซียนและปีศาจ) เริ่มสาดกระเซ็นลงบนสะพานฟ้า การต่อสู้นั้นโหดเหี้ยมและเต็มไปด้วยความสิ้นหวังซูเม่ยหลาน ซึ่งยืนอยู่ฝั่งกองทัพสวรรค์ ถูกบีบบังคับให้เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อหยุดยั้งการทำลายล้างของสองสหาย แต่ในใจของนางไม่ต้องการทำร้ายใครแล้วนางตัดสินใจร่ายเพลงพิณสกัดคลื่นพลังแห่งสงคราม นางเล่น พิณแห่งความสงบ พยายามส่งคลื่นเสียงเซียนที่บริสุทธิ์เพื่อสยบความบ้าคลั่งของทั้งสองฝ่ายเสียงพิณนั้นเริ่มได้ผล ทหารเซียนและปีศาจหลา
หลังจากที่ อวิ๋นเทียนหาน และ หลิงซินเอ๋อร์ ทำ พันธะเลือดแห่งหอจันทรา วังสวรรค์ก็ส่งกองกำลังมาผนึก หอจันทรา อย่างแน่นหนาอีกครั้ง เพื่อแยกพวกเขาออกจากการรับรู้ของโลกภายนอกการผนึกไม่ได้ทำลาย พันธะเลือด นั้น แต่กลับกระตุ้นให้พลังของพันธะทำงานอย่างรุนแรงยิ่งขึ้น เง็กเซียนฮ่องเต้ สั่งให้เทพเซียนใช้พลังผนึกกดทับ พลังมาร ในร่างของ อวิ๋นเทียนหาน อย่างต่อเนื่องซู่... วูบ...ทุกครั้งที่พลังเซียนกดทับ อวิ๋นเทียนหาน ก็จะสำลักเลือดปีศาจออกมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส และในวินาทีเดียวกันนั้น หลิงซินเอ๋อร์ ที่นอนอยู่ข้างๆ ก็จะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเช่นเดียวกัน!พันธะเลือด ได้ทำให้ทั้งคู่ต้องทนทุกข์ทรมานร่วมกัน ความเจ็บปวดทางกายของคนหนึ่ง กลายเป็นความทรมานทางจิตวิญญาณของอีกคนหนึ่งหลิงซินเอ๋อร์ ร้องไห้อ้อนวอน อวิ๋นเทียนหาน ให้หยุดต่อต้านพลังผนึก เพื่อไม่ให้เขาต้องเจ็บปวดจนร่างกายสลาย“อย่าต่อต้านเลย… ข้ายอมทนความเจ็บปวดได้… แต่อย่าให้ท่านต้องตายเพราะข้าอีกเลย!” นางกระซิบด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า“ไม่ได้…” อวิ๋
อวิ๋นเทียนหาน ถูกตรึงไว้ด้วยพลังเทพสีทองอันแข็งแกร่งที่หน้า หอจันทรา ร่างกายของเขาถูกพลังเซียนบดขยี้อย่างช้าๆ ขณะที่ หลิงซินเอ๋อร์ กำลังโรยราอยู่ภายในแต่เมื่อ ดวงจันทร์ แตกสลายไปจนหมดสิ้น พลังเซียน ที่ผูกมัดเขาก็เริ่มอ่อนกำลังลงไปเช่นกัน อวิ๋นเทียนหาน ใช้ความแค้นทั้งหมดที่มีต่อสวรรค์ และความรู้สึกถึง สายเลือดมาร ที่ตื่นขึ้นในตัวหลิงซินเอ๋อร์เป็นเชื้อเพลิงครืนนนน!พลังเงามืดสีดำทะมึนปะทุออกมาจากร่างของ อวิ๋นเทียนหาน อย่างรุนแรงจนเกินกว่าที่เทพเซียนจะคาดเดา พลังเงาทำลายโซ่พันธนาการเทพจนแตกสลายไปในพริบตา เขาล้มลงบนพื้นหินอ่อนด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่รีรอที่จะพุ่งตรงไปยังประตู หอจันทราซูเม่ยหลาน ซึ่งยืนเฝ้าดูอยู่ก็ตกตะลึง นางพยายามจะใช้พิณศักดิ์สิทธิ์ขัดขวาง แต่ อวิ๋นเทียนหาน ในตอนนี้แข็งแกร่งและบ้าคลั่งเกินกว่าที่พลังพิณของนางจะต้านทานได้เขาผลักประตูหอจันทราที่ผนึกไว้ด้วยพลังเซียนทั้งหมดจนพังทลายลง และพุ่งเข้าไปยังร่างของ หลิงซินเอ๋อร์ ที่นอนแน่นิ่งและอ่อนแรงหลิงซินเอ๋อร์ นอนอยู่บนแท่นหยกเย็นเฉียบ พลั







