ตอนที่ 2 : ดื่มสุราใต้แสงจันทร์ [2]
ใบหน้าของเขาเคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เซียวม่านหลิวพยายามตะเกียกตะกายออกจากอ้อมแขนแข็งแกร่งของเขา ทว่าคล้ายกับว่าตนเองกำลังพยายามดิ้นรนจากกรงเหล็กกล้า วิทยายุทธ์ที่ฝึกฝนมา กลับใช้การไม่ได้เลยแม้แต่น้อย คางของนางโดนบีบจนเจ็บแปลบ ทันใดนั้นริมฝีปากของนางก็ถูกเขาล่วงล้ำ
ครานี้มิใช่การประทับจุมพิตธรรมดา ทว่ากลิ่นหอมประหลาดที่ไหลวนตรงปลายจมูกกำลังมอมเมาตัวนางไม่ให้พยศขัดขืน กลีบปากที่ถูกขบเม้มและรสชาติหวานล้ำในโพรงปากกำลังตอกย้ำว่าในตอนนี้
สวรรค์! นางถูกศพมีชีวิตจุมพิต!
เป็นกรรมตั้งแต่ชาติไหนถึงส่งมาให้เซียวม่านหลิวต้องถูกศพจุมพิตถึงสองครั้ง อีกทั้งครั้งที่สองกลับถูกสูบเอาเรี่ยวแรงเหือดหาย สุดท้ายก็ถูกเขาช้อนตัวขึ้นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
เว่ยฉือหลี่หมิงยิ้มเย็นมองเซียวม่านหลิว แววตาที่นางมองเห็นกลับดูคุ้นเคยเป็นอย่างมาก
“อาจารย์บอกข้าว่า สตรีที่จะช่วยพวกเราออกจากที่นี่ได้ก็คือสตรีที่ถูกสวรรค์ลิขิต ครั้งก่อนเพราะถูกนางแพศยานั่นหลอกลวงจนต้องหลับใหล ครั้งนี้เพราะเลือดของเจ้าจึงปลุกให้ข้าตื่นอีกครั้ง หึๆ ครั้งนี้ข้าจะไม่พลาดอีกต่อไปแล้ว”
เซียวม่านหลิวกลืนน้ำลาย นางหวาดกลัวจนอยากร้องไห้ คิดไม่ถึงว่าหนีจากเว่ยฉืออวี่หยางจะมาพบปะกับบรรพบุรุษของเขา ทั้งยังถูกเอาเปรียบถึงสามครั้ง โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลยสักนิด เหตุใดจึงทำให้นางต้องมาพบเจอกับบุรุษตระกูลนี้ด้วยเล่า!
“ข้าไม่ใช่ชายาของท่าน ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงบังเอิญผ่านมา ประเดี๋ยวข้าก็ต้องรีบกลับบ้านไปแต่งงานแล้ว ว่าที่สามีของข้ากำลังรออยู่” หัวของนางหมุนติ้ว คิดหาคำโกหกพกลมขึ้นมาปั้นเป็นตัว
ทว่าอ้อมแขนของเว่ยฉือหลี่หมิงกลับกระชับแน่นขึ้น
“พวกเจ้าใครสักคนค้นหาชุดงามๆ มาสักชุด” เขาหลับตานิ่ง คล้ายกำลังสำรวจตรวจตราอะไรบางอย่าง “คืนนี้ขึ้นสิบห้าค่ำพอดีหรือ หึๆ เช่นนั้นก็แต่งงานกันคืนนี้เลย”
“ไม่นะ! ข้ามีคู่หมั้นแล้ว!” เรื่องอะไรนางจะยอมถูกมัดติดกับศพเดินได้ผู้นี้
“หืม…คนที่เจ้าหนีการหมั้นหมายมาจนต้องมาพบกับข้านะหรือ”
เซียวม่านหลิวตัวแข็งทื่อ นางสบตาเขาอย่างฉงน
“ทะ…ท่าน”
“ข้าลืมบอกไปหรือไม่ ว่าข้ามีอำนาจอ่านใจคนมาตั้งแต่กำเนิด หึๆ”
เซียวม่านหลิวอยากจะร่ำไห้ ทว่าร่ำไห้ไม่ออก ร่างของนางถูกอุ้มไปวางในโลงศพของเขา ร่างกายไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน ได้แต่นอนเป็นผักให้เขามองลงมาด้วยสายตาเหนือกว่า
“เจ้าก็ยังอยากแต่งงานมีบุตรสืบสกุลอยู่มิใช่รึ ข้าไม่เหมาะสมตรงไหน”
เซียวม่านหลิวหลับตา ทำเป็นละเลยเสียงพูดของเขา ทว่าเว่ยฉือหลี่หมิงกลับหัวเราะในลำคออย่างชั่วร้าย “หึ…เพียงเพราะข้าฟื้นจากความตายรึ”
ถูกต้อง
นางตอบในใจ อยากรู้ว่าเขาจะรู้หรือไม่ว่านางคิดอะไรอยู่
ทันใดนั้นน้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย “อย่าห่วงไปเลย ร่างกายของข้าแม้จะมีสภาพคล้ายคนตายมาครั้งหนึ่ง ทว่าในยามนี้ ข้ายังสามารถให้กำเนิดทายาทได้เช่นคนปกติ”
เซียวม่านหลิวร้อนวาบที่ใบหน้า ไม่เข้าใจว่าคนผู้นี้แท้จริงนิสัยเป็นอย่างไรกันแน่ เดี๋ยวก็เย็นชา เดี๋ยวก็ห่างเหิน เดี๋ยวก็น่าหวาดกลัว เดี๋ยวก็กวนประสาท อยู่กับเขาเพียงไม่ทันข้ามวันก็ต้องปวดหัวตุบๆ แล้ว
ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดใบหน้าของนางแผ่วเบา ริมฝีปากถูกอะไรบางอย่างปัดผ่านราวกับแมลงปอแตะผิวน้ำ ทว่ากลับสะเทือนจิตใจของนางยิ่งกว่าครั้งไหนๆ
ผีเสื้อนับร้อยตัวกระพือปีกเต็มช่องท้อง นางไม่รู้จะจัดการอารมณ์นี้อย่างไรดี
พลันได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาข้างหู “ไม่ต้องกลัว…ข้าไม่แตะต้องสตรีที่ข้าไม่ได้รักอย่างแน่นอน”
ประตูหน้าเป็นเสือเข้าสู้ ประตูหลังเป็นหมาป่าเข้าราวี[1]
นางทำเวรทำกรรมอะไรไว้ เซียวม่านหลิวถอนหายใจเป็นครั้งที่เก้าสิบเก้า ขณะที่กำลังถูกนางกำนัลที่มีชีวิตเฉกเช่นคนจริงๆ จับมาแต่งตัวเสียใหญ่โต น่าประหลาดใจไม่น้อยที่แผลบนมือของนางกลับหายเป็นปลิดทิ้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอำนาจวิเศษอันใดจึงอัศจรรย์เช่นนี้ แต่ในยามนี้...อะไรก็ไม่น่าประหลาดใจสำหรับนางอีกต่อไปแล้ว
ตั้งแต่ศพในโลงหินคืนชีพ รูปปั้นหินกะเทาะตัวเองจนมีชีวิต บาดแผลที่มือของนางไยจะต้องสืบหาสาเหตุด้วยเล่า!
เว่ยฉือหลี่หมิงแม้จะล่วงเกินนางอยู่สามสี่ครั้ง ทว่าหลังจากที่เขาประกาศต่อหน้าผู้อื่นว่าคืนนี้จะแต่งนางเป็นชายา เซียวม่านหลิวก็ไม่ได้พบหน้าเขาอีกเลย คนสองคนคล้ายคนคุ้นเคยที่แปลกหน้า ความรู้สึกนี้ทำให้นางปฏิเสธเขาได้ไม่เต็มปาก กระนั้นแล้วนางก็รักอิสระยิ่งกว่าสิ่งใด จึงตัดสินใจว่ายามนี้ต้องโอนอ่อนผ่อนตามเขาไปก่อน รอให้ออกจากสุสานแห่งนี้ได้ นางจะต้องหาทางสลัดผีดิบตนนี้แล้วทาน้ำมันที่เท้ากลับเฉินตูในทันที
แต่จะว่าเป็นผีดิบก็ไม่น่าจะใช่
ร่างกายของเว่ยฉือหลี่หมิงคล้ายคนถูกแช่แข็งจนไร้ชีวิต แต่พอฟื้นขึ้นมาร่างกายก็อบอุ่นคล้ายคนปกติ มีเพียงกิริยาท่าทางของเขาเท่านั้นที่น่าหวาดกลัวพอๆ กับภูตผีปีศาจในตำนาน แม้หน้าตาจะถือได้ว่าสามารถเขี่ยเว่ยฉืออวี่หยางให้หลุดจากตำแหน่งอันดับหนึ่งชายงามได้ แต่ก็น่ากลัวกว่าคนผู้นั้นมากนัก
“อยู่กับข้ายังคิดถึงชายอื่น ตกลงแล้วเจ้าหนีเขามาเพราะไม่อยากหมั้นหมาย หรือเพราะเล่นตัวกันแน่!” จู่ๆ เขาก็โผล่มาในครรลองสายตา ทำเอาเซียวม่านหลิวตั้งตัวแทบไม่ติด
เซียวม่านหลิวถลึงตาดุร้าย นางกัดฟันแล้วด่าเขาในใจด้วยความคิดอันเผ็ดร้อน
ตาแก่เช่นท่านจะไปรู้อะไร อายุของท่านก็ร้อยปีนิดๆ แล้ว เรื่องราวหนุ่มสาวสมัยนี้ท่านไม่เข้าใจหรอก หึ!
[1]คล้ายสำนวนไทยที่หมายถึงหนีเสือปะจระเข้
“อ๊า! เจ็บเหลือเกิน”“อึ๊บ! ฟูเหริน อึ๊บไว้เจ้าค่ะ”“หลิวหลิว มองหน้าแม่นะ เบ่งออกมา แค่อึ๊บเดียวเท่านั้น กลั้นหายใจแล้วเบ่งออกมาทีเดียวเลย!”“อึ๊บ…อ๊า!”“อุแว้…อุแว้!”“ว้าย! คลอดแล้วเจ้าค่ะ! อุ๊ย เป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ ตรงหน้าอกมีปานสีแดงคล้ายดวงไฟเลยเจ้าค่ะ!”“ต๊าย! หลานข้า น่ารักน่าชังนัก หลิวหลิว ดูสิ คิ้วเหมือนหมิงเอ๋อร์ไม่มีผิด คิกๆ แต่ดวงตากับปากดันเหมือนเจ้ามากเหลือเกิน น่าเสียดายที่ข้าอุ้มเขาไม่ได้”ปังๆๆ “เปิดประตู! ให้ข้าเข้าไปได้หรือยัง” หลี่หมิงที่ยืนเฝ้าหน้าประตูห้องราวกับหนูติดจั่นเริ่มอยู่ไม่สุข ความตื่นเต้นทรมานตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาทำให้เขาทั้งหวาดกลัวและสงสารเซียวม่านหลิวจนทำอะไรไม่ถูก ครั้นได้ยินเสียงเด็กร้องก็ค่อยโล่งใจ อยากจะเห็นหน้าลูกเต็มแก่แล้วทันใดนั้นประตูก็เปิดออก หลี่หมิงพลันพุ่งตัวไปยังเตียงที่เซียวม่านหลิวนอนอยู่ ได้เห็นทารกตัวแดงๆ ที่ส่งเสียงอ้อแอ้ในผ้าอ้อมข้างหญิงสาวที่ใบหน้าซีดเผือดก็ยิ้มอย่างโล่งใจใบหน้ากลมป้อมและนิ้วเล็กๆ โยกไหวไปมาพร้อมกับเสียงประหลาดพิกลหูทำให้หลี่หมิงหวาดระแวงเล็กน้อย แต่เมื่อได้สบตากับดวงตาอันสุกสกาวของเจ้าตัวน้อย ก็รู้สึกราวกั
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาหารหลากหลายชนิดลอยกระทบนาสิกจนทำให้ดวงตากลมโตลืมขึ้นช้าๆ ร่างในอาภรณ์ตัวบางบิดกายพลางหาวอย่างเกียจคร้าน เสียงจานชามกระทบโต๊ะทำให้ดวงตาของนางเหลือบมองไปยังกลางห้อง พลันเห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคยของผู้เป็นสามีเข้าเต็มตา เขากำลังง่วนอยู่กับการตระเตรียมอาหารเช้า ตรงเอวมีผ้าสีเข้มมัดอย่างแน่นหนาดูแปลกพิกล ครั้นได้ยินเสียงหาวเบาๆ ของนางก็หันกลับมา ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงาสลัวจากด้านนอกปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นสายหนึ่ง พานให้หญิงสาวเผลอมองตาค้างอย่างเผลอไผล“ฟูเหรินตื่นแล้วหรือ อาหลัน เตรียมน้ำมาให้นางล้างหน้า”“เจ้าค่ะ” สาวใช้โผล่มาจากที่ไหนสักแห่งขานรับอย่างรวดเร็วราวกับคอยรับคำสั่งแต่แรกแล้ว“อ๊ะ! ไม่ต้องหรอก”เซียวม่านหลิวตั้งท่าจะลงจากเตียง ทว่าหลี่หมิงกลับถลาเข้ามาประคองนางอย่างระมัดระวัง“ไม่ได้ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้มาก” หลี่หมิงพูดอย่างอารมณ์ดีเซียวม่านหลิวย่นจมูกเล็กน้อย กลิ่นควันไฟที่ติดตามตัวหลี่หมิงทำให้นางพะอืดพะอมจนต้องเบนหน้าหนี ทว่าหลี่หมิงกลับคิดว่านางยังตื่นไม่เต็มตาจึงเบียดตัวเข้าประคอง“ฟูเหริน ค่อยๆ ลุกสิ”“ท่านถอยออกไปก่อน”“ทำไมเล่า”เซียวม่านหลิวผลักหลี่หมิงจนช
ค่ำคืนมืดมิด ท้องฟ้าเปิดโล่ง หนุ่มสาวสองคนนั่งคลอเคลียข้างหน้าต่าง มองหมู่ดาวที่แข่งกันทอแสงริบหรี่งดงามจับตา“ให้เขามีเวลาเพียงหนึ่งเดือน ไม่น้อยไปหรือ” เซียวม่านหลิวอดถามไม่ได้ หลังจากที่เว่ยฉือหลี่จิ้งถูกรับตัวเข้าวังหลี่หมิงเหล่มองนาง กล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกน้อยอกน้อยใจ“เจ้าอยากให้ข้าอายุสั้นหรือ”หากหลี่หมิงให้เวลาเว่ยฉือหลี่จิ้งนานกว่านี้ นอกจากจะทำให้น้องชายผูกพันกับลูกหลานมากขึ้นจนตัดไม่ขาด ร่างกายของหลี่หมิงเองก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยโดยเฉพาะร่างกายที่อายุขัยสิ้นสูญไปนานแล้ว นอกจากจะอาศัยร่างของผู้อื่น สังขารของเว่ยฉือหลี่จิ้งก็ค่อยๆ เสื่อมสภาพลงเช่นกันหากไม่เพราะเขาทราบมาว่าร่างของเว่ยฉือหลี่จิ้งหายไปจากสุสานราชวงศ์ หลี่หมิงคงไม่คิดขุดคุ้ยอดีตให้เจ็บปวดเช่นนี้ โดยเฉพาะเรื่องของชวีชิงชิว เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากคาดการณ์มากที่สุดเขายังอยากหลอกตัวเองว่าชวีชิงชิวมิได้ทรยศความไว้ใจของตนหากชวีฮองเฮาไม่ชิงขอร้องและขอติดตามเข้าสู่สุสานด้วย หลี่หมิงคงไม่คิดเหยียบย่ำสถานที่แห่งนั้นเด็ดขาดเซียวม่านหลิวเห็นหลี่หมิงสีหน้าเรียบตึง แววตาเย็นเยียบ ใจของนางพลันรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาเสียอ
จักรพรรดิทรงให้จวินจี๋จวิ้นอ๋องออกหน้า โดยที่พระองค์ทรงแฝงกายมากับขบวนเกี้ยวของวังจวิ้นอ๋องด้วยครั้นถึงหน้าประตูวัง องครักษ์ของจวินจี๋จวิ้นอ๋องจึงไล่ชาวบ้านออกไปจากบริเวณนี้ แล้วพาคนซึ่งสวมหมวกปิดบังใบหน้ากว่าสิบคนเข้าไปในวังเทียนมิ่งโดยที่เจ้าบ้านยังไม่ออกมาต้อนรับเสียด้วยซ้ำครั้นองค์จักรพรรดิและพระญาติทั้งหลายเสด็จถึงห้องโถงที่คนทั้งสามกำลังกินอาหารกันอยู่ เซียวม่านหลิวก็พลันเข่าอ่อน รีบขยับกายหนีในทันใดทว่าหลี่หมิงกลับคว้าแขนของนางไว้“เจ้ากลัวอะไร”“พวกท่านอาวุโสกว่าองค์จักรพรรดิก็จริง แต่ข้าไม่ใช่ ข้ายังอยากให้ตระกูลเซียวมีลูกหลานสืบสกุลอยู่นะ”ถึงสามีนางจะเป็นบรรพบุรุษขององค์จักรพรรดิ ทว่านางไม่ใช่ อย่างไรก็ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมมาเป็นลำดับแรก“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น หมื่นปี” นางและข้ารับใช้ในวังเทียนมิ่งหมอบกราบในทันทีที่บุรุษในชุดสามัญชนก้าวเข้ามา ถึงแม้จะก้มหน้าอยู่ก็ยังสัมผัสได้ถึงรัศมีอำนาจของโอรสสวรรค์ มีเพียงสองคนที่ยังคงทระนงไม่หวั่นไหว นั่งหน้าไม่เปลี่ยนสีได้ ก็เห็นจะเป็นหลี่หมิงกับเว่ยฉือหลี่จิ้งนั่นล่ะ“ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถอะ” สุรเสียงเคร่งขร
“องค์ชายสี่ ท่านตบพระพักตร์องค์จักรพรรดิแบบนั้น ไม่ถูกสั่งโบยหรือตัดหัวหรอกหรือ”เซียวม่านหลิวถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ ดวงตากลมโตสำรวจใบหน้าขององค์ชายสี่ด้วยสายตาใคร่รู้ แม้ว่าเว่ยฉือหลี่จิ้งจะเป็นน้องชายของหลี่หมิง แต่เพราะเขาตายตอนที่อายุมากกว่าหลี่หมิง ใบหน้าของหลี่หมิงจึงอ่อนเยาว์กว่าเล็กน้อย แต่เพราะใบหน้าที่เริ่มไร้สีเลือดของเขาจึงทำให้ดูน่าเวทนาสงสารอย่างยิ่ง นางเองก็ไม่แปลกใจเลยที่เว่ยฉือหลี่จิ้งจะริษยาผู้เป็นพระเชษฐา เพราะหลี่หมิงมีทุกอย่างที่เขาต้องการจริงๆ ตอนที่ออกจากสุสานเพราะนางไม่ได้สติจึงไม่รู้ว่าเว่ยฉือหลี่จิ้งถูกใครแบกหามมา หลี่หมิงบอกแต่เพียงว่าน้องชายของเขาถูกคนลากออกจากสุสาน สภาพดูแทบไม่ได้ ต้องพักฟื้นหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เช่นกัน ครั้นร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่า หลี่หมิงก็ส่งน้องชายบุกเข้าห้องบรรทมของจักรพรรดิด้วยแผนการอันชั่วร้ายคนอย่างเว่ยฉือหลี่จิ้ง นอกจากหลี่หมิงแล้วเขากลับมิได้เกรงใจผู้ใดเลยแม้แต่น้อยเว่ยฉือหลี่จิ้งยิ้มเย็น กล่าวเสียงเรียบ “เขาจะกล้าตัดหัวข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าคือผู้ร่างจดหมายให้คืนราชบัลลังก์แก่เสด็จพี่ ซินหย่งรู้อยู่แก่ใจว่าการสังหารผู้มี
กลับมาสู่ปัจจุบันเมื่อคิดถึงสตรีที่นอนหนุนตักเขาในตอนนี้ หลี่หมิงก็อมยิ้มมุมปาก ค่อยๆ เก็บเกี่ยวกลุ่มผมเงางามขึ้นมา ใช้หวีหยกสางให้อย่างเบามือ หลังจากที่ชวีฮองเฮาสิงร่างนาง เซียวม่านหลิวก็หมดสติไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ กระทั่งตอนนี้ข้ามมาอีกวันแล้วกลับยังไม่รู้ตัว“ไท่จื่อ…”เป้ยหยวนร้องเรียกหน้าประตู ไม่กล้าก้าวล่วงเข้ามาในห้องนอนของเขาที่ปลดม่านมุ้งลงเพราะเกรงว่าจะเห็นภาพอันไม่เหมาะสมหลี่หมิงปรายตามององครักษ์คู่ใจ “เป็นอย่างไร”“จักรพรรดิทรง…” เป้ยหยวนกัดริมฝีปาก ไม่รู้จะรายงานอย่างไรดี“บอกมา”“ทูลไท่จื่อ องค์ชายสี่ทรง…” เป้ยหยวนยังคงละล้าละลัง“เจ้าจะรั้งรออีกนานหรือไม่”“องค์ชายสี่ทรงตบพระพักตร์องค์จักรพรรดิคาห้องบรรทมพ่ะย่ะค่ะ”หลี่หมิงเลิกคิ้ว ดวงตาเป็นประกาย “ตามหมอมาหรือยัง”“เสิ่นหลิวสิงตรวจพระอาการอยู่พ่ะย่ะค่ะ”“แล้วองค์จักรพรรดิเล่า”“หลังจากที่โดนฝ่ามือขององค์ชายสี่ องค์จักรพรรดิก็เสด็จไปยังห้องเก็บป้ายบรรพชนทันทีพ่ะย่ะค่ะ”“อืม…เด็กคนนั้นคงรู้ตัวแล้วกระมังว่าข้ากำลังคิดทำอะไรอยู่”เป้ยหยวนไม่ออกความเห็นใดๆ นิ่งเงียบรอคอยคำสั่ง“ออกไปเถอะ ต่อไปเรียกนายท่านก็พอ บทบาทในฐา