เซียวม่านหลิวกำชายอาภรณ์ของเว่ยฉือหลี่หมิงแน่น ดวงตาที่โผล่ออกมาเพียงข้างเดียวจับจ้องไปยังรูปปั้นหินที่สั่นกุกกักอย่างหวาดระแวง ทว่านางกลับหารู้ไม่ว่าสิ่งที่อันตรายที่สุดก็คือบุรุษที่นางคิดจะพึ่งพิงเขาต่างหากเล่า
“พวกเขาไม่ทำอะไรเจ้าหรอก” เขาพูดขึ้น ขณะเดียวกันสายตาก็มองภาพการลอกคราบของรูปปั้นหินราวกับเป็นเรื่องที่พบเห็นจนคุ้นชิน
ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป[1] ในที่สุดรูปปั้นเหล่านั้นก็กะเทาะตัวเองอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นมนุษย์กลุ่มใหญ่ที่มองชายหนุ่มอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มด้วยสายตาเทิดทูนอย่างหาที่สุดมิได้
“ไท่จื่อ”
“ไท่จื่อ! พระองค์ทรงฟื้นแล้ว”
ใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามารั้งชายอาภรณ์ของเว่ยฉือหลี่หมิงแล้วร่ำไห้ เซียวม่านหลิวยื่นหน้าออกไปมองก็พลันเห็นว่าเป็นสตรีรูปโฉมงดงามนางหนึ่ง ทั้งยังแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่บ่งบอกว่าศักดิ์ฐานะของนางมิได้ด้อยไปกว่าผู้ใดนัก เหนือสิ่งอื่นใดนางกลับมีทุกสิ่งที่สตรีสมควรจะมี
เอวเล็กคอดกิ่วราวกิ่งหลิวลู่ลม เพียงแค่เซียวม่านหลิวใช้ปลายนิ้วดีดก็เกรงว่าจะหักได้ง่ายๆ องคาพยพทั้งห้างดงามราวกับภาพวาด โดยเฉพาะเนินเนื้ออันสมบูรณ์พร้อม ราวกับว่าเป็นสิ่งอันประเสริฐที่สาวงามสมควรจะมีกลับโดดเด่นเข้านัยน์ตาของเซียวม่านหลิวอย่างจัง คิ้วเรียวงามของสตรีนางนี้ตวัดเฉียง บ่งบอกถึงความแสนงอนน่าเอ็นดู ช่างเป็นสตรีที่น่าทะนุถนอมโดยแท้
ทว่าเว่ยฉือหลี่หมิงกลับดึงชายอาภรณ์หนี ปล่อยให้สตรีนางนั้นล้มคะมำกับพื้นหิน ทันใดนั้นก็มีคนคล้ายนางกำนัลวิ่งถลาเข้ามาประคอง พร้อมทั้งเรียกนางด้วยน้ำเสียงเล็กแหลม
“พระชายา! พระชายาเพคะ!”
สตรีที่ถูกเรียกว่าเป็นพระชายามองเว่ยฉือหลี่หมิงด้วยสายตาตัดพ้อ ทั้งยังเต็มไปด้วยความรู้สึกปวดร้าวลึกจนทำให้เซียวม่านหลิวถึงขั้นอดสะท้อนใจไปกับนางไม่ได้
เว่ยฉือหลี่หมิงแค่นเสียงในลำคอราวกับเยาะหยัน พลันกล่าววาจาร้ายกาจออกมาจนแม้แต่นางเองก็มิอาจทนฟังได้
“ใครก็ได้พานางหญิงแพศยานางนี้ออกไปจากที่นี่ อย่าให้นางโผล่ศีรษะอัปลักษณ์มาให้ข้าเห็นอีก หญิงทรยศนางนี้ไม่สมควรแม้แต่จะหลุดลอดเข้ามาในครรลองสายตาของข้า มันผู้ใดบังอาจสร้างโอกาสให้นางเข้ามา ข้าจะตัดหัวมันให้สิ้น!”
สิ้นคำประกาศกร้าว หญิงสาวนางนั้นก็กรีดร้องเสียงแหลม พลันถูกทหารองครักษ์หิ้วปีกออกไปยังประตูเบื้องหน้าอย่างรู้งาน
“ไท่จื่อ…ไท่จื่อเพคะ! หลี่หมิง! ท่านทำแบบนี้กับข้าไม่ได้นะ!” สตรีนางนั้นอ้อนวอน ทว่ากลับไม่ได้รับความเห็นใจจากบุรุษใจหินผู้นี้แม้แต่น้อย ครั้นถูกพาไปยังประตูบานใหญ่ องครักษ์ทั้งสองก็หันมามองเว่ยฉือหลี่หมิงด้วยสายตากระอักกระอ่วน
“ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ คือว่า…”
“มีอะไร!”
“ทางออกคือทางไหนพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงขององครักษ์นายหนึ่ง เซียวม่านหลิวก็หลุดหัวเราะในลำคอ พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ไท่จื่อของพวกเขากำลังมองมาที่นางด้วยสายตาเย็นเยียบ
เซียวม่านหลิวตีอกชกหัวในใจ แม้แต่จะหัวเราะยังต้องเกรงใจคนผู้นี้อีก!
ไม่รู้ว่ากลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นของเขาติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หรือเพิ่งมาเป็นเอาตอนที่ตายแล้วฟื้นกันแน่
“ให้นางอยู่ข้างนอกไปก่อน ไกลจากสายตาข้าเท่าไรก็ยิ่งดี!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากส่งสตรีนางนั้นออกไปด้านนอก เว่ยฉือหลี่หมิงก็หันไปสั่งการข้าทาสบริวารที่ยืนรออย่างเงียบงันที่อยู่ตรงหน้าด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“เป็นอย่างที่อาจารย์ทำนายไว้ไม่มีผิด ต้องขอบใจพวกเจ้าที่ยินยอมถูกสาปอยู่ในนี้ร่วมกับข้ามาจนบัดนี้” เขาชะงัก หันมาถามเซียวม่านหลิว “ปีนี้ปีอะไร”
เซียวม่านหลิวสะดุ้งน้อยๆ กระนั้นก็ตั้งใจคำนวณวันเวลาอย่างตั้งใจ พลันถอนหายใจเฮือกใหญ่
“หากนับตั้งแต่ปีที่เสวียนจิ้งที่สิบแปด มาจนถึงบัดนี้ ก็เกือบร้อยปีแล้ว”
พลันได้ยินเสียงฮือฮาของกลุ่มคนที่เพิ่งมีชีวิตเบื้องหน้า เว่ยฉือหลี่หมิงยกมือขึ้นห้าม แล้วพูดต่อว่า “เกือบร้อยปีมานี้ หากไม่ใช่เพราะความจงรักภักดีของพวกเจ้า ข้าอาจไม่มีโอกาสตื่นขึ้นมาเพื่อสะสางเรื่องราวแต่เก่าก่อนอย่างแน่นอน”
“เอ่อ…ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ แล้วนางที่อยู่ตรงนั้น”
เว่ยฉือหลี่หมิงหิ้วคอเสื้อเซียวม่านหลิวขึ้นมา พลันยิ้มเย็นแล้วโอบไหล่นางกล่าวว่า “นางหรือ…ชายาข้าอย่างไรเล่า”
“อะไรนะ!”
เซียวม่านหลิวตะโกนเสียงดัง นางตัวแข็งทื่อ ไม่กล้ากระดุกกระดิกแม้แต่น้อย ทันใดตรงหน้าประตูก็มีเสียงร่ำไห้ปวดร้าวปิ่มจะขาดใจของสตรีที่น่าสงสารนางนั้น
“ท่านมีชายาอยู่แล้ว เกี่ยวอะไรกับข้าเล่า!”
เว่ยฉือหลี่หมิงกระตุกยิ้มร้ายกาจ เชยคางนางขึ้นมาแล้วระบายลมหายใจพลางกล่าวเสียงเย็น “ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจอะไรผิดไป สตรีนางนั้นเป็นเพียงคนทรยศที่ข้ายังไม่ได้เข้าหอกับนางด้วยซ้ำ”
นัยน์ตามืดสนิททอประกายระยับคล้ายท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวตรึงร่างของเซียวม่านหลิวจนนางไม่อาจเขยื้อนกายได้แม้แต่น้อย
“หึ…ดูเหมือนว่าข้าจะคืนพลังให้เจ้ามากไปกระมัง”
[1]15 นาที อ้างอิงก่อนช่วงการปรับเปลี่ยนมาตราในช่วงราชวงศ์หมิง
“อ๊า! เจ็บเหลือเกิน”“อึ๊บ! ฟูเหริน อึ๊บไว้เจ้าค่ะ”“หลิวหลิว มองหน้าแม่นะ เบ่งออกมา แค่อึ๊บเดียวเท่านั้น กลั้นหายใจแล้วเบ่งออกมาทีเดียวเลย!”“อึ๊บ…อ๊า!”“อุแว้…อุแว้!”“ว้าย! คลอดแล้วเจ้าค่ะ! อุ๊ย เป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ ตรงหน้าอกมีปานสีแดงคล้ายดวงไฟเลยเจ้าค่ะ!”“ต๊าย! หลานข้า น่ารักน่าชังนัก หลิวหลิว ดูสิ คิ้วเหมือนหมิงเอ๋อร์ไม่มีผิด คิกๆ แต่ดวงตากับปากดันเหมือนเจ้ามากเหลือเกิน น่าเสียดายที่ข้าอุ้มเขาไม่ได้”ปังๆๆ “เปิดประตู! ให้ข้าเข้าไปได้หรือยัง” หลี่หมิงที่ยืนเฝ้าหน้าประตูห้องราวกับหนูติดจั่นเริ่มอยู่ไม่สุข ความตื่นเต้นทรมานตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาทำให้เขาทั้งหวาดกลัวและสงสารเซียวม่านหลิวจนทำอะไรไม่ถูก ครั้นได้ยินเสียงเด็กร้องก็ค่อยโล่งใจ อยากจะเห็นหน้าลูกเต็มแก่แล้วทันใดนั้นประตูก็เปิดออก หลี่หมิงพลันพุ่งตัวไปยังเตียงที่เซียวม่านหลิวนอนอยู่ ได้เห็นทารกตัวแดงๆ ที่ส่งเสียงอ้อแอ้ในผ้าอ้อมข้างหญิงสาวที่ใบหน้าซีดเผือดก็ยิ้มอย่างโล่งใจใบหน้ากลมป้อมและนิ้วเล็กๆ โยกไหวไปมาพร้อมกับเสียงประหลาดพิกลหูทำให้หลี่หมิงหวาดระแวงเล็กน้อย แต่เมื่อได้สบตากับดวงตาอันสุกสกาวของเจ้าตัวน้อย ก็รู้สึกราวกั
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาหารหลากหลายชนิดลอยกระทบนาสิกจนทำให้ดวงตากลมโตลืมขึ้นช้าๆ ร่างในอาภรณ์ตัวบางบิดกายพลางหาวอย่างเกียจคร้าน เสียงจานชามกระทบโต๊ะทำให้ดวงตาของนางเหลือบมองไปยังกลางห้อง พลันเห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคยของผู้เป็นสามีเข้าเต็มตา เขากำลังง่วนอยู่กับการตระเตรียมอาหารเช้า ตรงเอวมีผ้าสีเข้มมัดอย่างแน่นหนาดูแปลกพิกล ครั้นได้ยินเสียงหาวเบาๆ ของนางก็หันกลับมา ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงาสลัวจากด้านนอกปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นสายหนึ่ง พานให้หญิงสาวเผลอมองตาค้างอย่างเผลอไผล“ฟูเหรินตื่นแล้วหรือ อาหลัน เตรียมน้ำมาให้นางล้างหน้า”“เจ้าค่ะ” สาวใช้โผล่มาจากที่ไหนสักแห่งขานรับอย่างรวดเร็วราวกับคอยรับคำสั่งแต่แรกแล้ว“อ๊ะ! ไม่ต้องหรอก”เซียวม่านหลิวตั้งท่าจะลงจากเตียง ทว่าหลี่หมิงกลับถลาเข้ามาประคองนางอย่างระมัดระวัง“ไม่ได้ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้มาก” หลี่หมิงพูดอย่างอารมณ์ดีเซียวม่านหลิวย่นจมูกเล็กน้อย กลิ่นควันไฟที่ติดตามตัวหลี่หมิงทำให้นางพะอืดพะอมจนต้องเบนหน้าหนี ทว่าหลี่หมิงกลับคิดว่านางยังตื่นไม่เต็มตาจึงเบียดตัวเข้าประคอง“ฟูเหริน ค่อยๆ ลุกสิ”“ท่านถอยออกไปก่อน”“ทำไมเล่า”เซียวม่านหลิวผลักหลี่หมิงจนช
ค่ำคืนมืดมิด ท้องฟ้าเปิดโล่ง หนุ่มสาวสองคนนั่งคลอเคลียข้างหน้าต่าง มองหมู่ดาวที่แข่งกันทอแสงริบหรี่งดงามจับตา“ให้เขามีเวลาเพียงหนึ่งเดือน ไม่น้อยไปหรือ” เซียวม่านหลิวอดถามไม่ได้ หลังจากที่เว่ยฉือหลี่จิ้งถูกรับตัวเข้าวังหลี่หมิงเหล่มองนาง กล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกน้อยอกน้อยใจ“เจ้าอยากให้ข้าอายุสั้นหรือ”หากหลี่หมิงให้เวลาเว่ยฉือหลี่จิ้งนานกว่านี้ นอกจากจะทำให้น้องชายผูกพันกับลูกหลานมากขึ้นจนตัดไม่ขาด ร่างกายของหลี่หมิงเองก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยโดยเฉพาะร่างกายที่อายุขัยสิ้นสูญไปนานแล้ว นอกจากจะอาศัยร่างของผู้อื่น สังขารของเว่ยฉือหลี่จิ้งก็ค่อยๆ เสื่อมสภาพลงเช่นกันหากไม่เพราะเขาทราบมาว่าร่างของเว่ยฉือหลี่จิ้งหายไปจากสุสานราชวงศ์ หลี่หมิงคงไม่คิดขุดคุ้ยอดีตให้เจ็บปวดเช่นนี้ โดยเฉพาะเรื่องของชวีชิงชิว เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากคาดการณ์มากที่สุดเขายังอยากหลอกตัวเองว่าชวีชิงชิวมิได้ทรยศความไว้ใจของตนหากชวีฮองเฮาไม่ชิงขอร้องและขอติดตามเข้าสู่สุสานด้วย หลี่หมิงคงไม่คิดเหยียบย่ำสถานที่แห่งนั้นเด็ดขาดเซียวม่านหลิวเห็นหลี่หมิงสีหน้าเรียบตึง แววตาเย็นเยียบ ใจของนางพลันรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาเสียอ
จักรพรรดิทรงให้จวินจี๋จวิ้นอ๋องออกหน้า โดยที่พระองค์ทรงแฝงกายมากับขบวนเกี้ยวของวังจวิ้นอ๋องด้วยครั้นถึงหน้าประตูวัง องครักษ์ของจวินจี๋จวิ้นอ๋องจึงไล่ชาวบ้านออกไปจากบริเวณนี้ แล้วพาคนซึ่งสวมหมวกปิดบังใบหน้ากว่าสิบคนเข้าไปในวังเทียนมิ่งโดยที่เจ้าบ้านยังไม่ออกมาต้อนรับเสียด้วยซ้ำครั้นองค์จักรพรรดิและพระญาติทั้งหลายเสด็จถึงห้องโถงที่คนทั้งสามกำลังกินอาหารกันอยู่ เซียวม่านหลิวก็พลันเข่าอ่อน รีบขยับกายหนีในทันใดทว่าหลี่หมิงกลับคว้าแขนของนางไว้“เจ้ากลัวอะไร”“พวกท่านอาวุโสกว่าองค์จักรพรรดิก็จริง แต่ข้าไม่ใช่ ข้ายังอยากให้ตระกูลเซียวมีลูกหลานสืบสกุลอยู่นะ”ถึงสามีนางจะเป็นบรรพบุรุษขององค์จักรพรรดิ ทว่านางไม่ใช่ อย่างไรก็ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมมาเป็นลำดับแรก“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น หมื่นปี” นางและข้ารับใช้ในวังเทียนมิ่งหมอบกราบในทันทีที่บุรุษในชุดสามัญชนก้าวเข้ามา ถึงแม้จะก้มหน้าอยู่ก็ยังสัมผัสได้ถึงรัศมีอำนาจของโอรสสวรรค์ มีเพียงสองคนที่ยังคงทระนงไม่หวั่นไหว นั่งหน้าไม่เปลี่ยนสีได้ ก็เห็นจะเป็นหลี่หมิงกับเว่ยฉือหลี่จิ้งนั่นล่ะ“ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถอะ” สุรเสียงเคร่งขร
“องค์ชายสี่ ท่านตบพระพักตร์องค์จักรพรรดิแบบนั้น ไม่ถูกสั่งโบยหรือตัดหัวหรอกหรือ”เซียวม่านหลิวถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ ดวงตากลมโตสำรวจใบหน้าขององค์ชายสี่ด้วยสายตาใคร่รู้ แม้ว่าเว่ยฉือหลี่จิ้งจะเป็นน้องชายของหลี่หมิง แต่เพราะเขาตายตอนที่อายุมากกว่าหลี่หมิง ใบหน้าของหลี่หมิงจึงอ่อนเยาว์กว่าเล็กน้อย แต่เพราะใบหน้าที่เริ่มไร้สีเลือดของเขาจึงทำให้ดูน่าเวทนาสงสารอย่างยิ่ง นางเองก็ไม่แปลกใจเลยที่เว่ยฉือหลี่จิ้งจะริษยาผู้เป็นพระเชษฐา เพราะหลี่หมิงมีทุกอย่างที่เขาต้องการจริงๆ ตอนที่ออกจากสุสานเพราะนางไม่ได้สติจึงไม่รู้ว่าเว่ยฉือหลี่จิ้งถูกใครแบกหามมา หลี่หมิงบอกแต่เพียงว่าน้องชายของเขาถูกคนลากออกจากสุสาน สภาพดูแทบไม่ได้ ต้องพักฟื้นหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เช่นกัน ครั้นร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่า หลี่หมิงก็ส่งน้องชายบุกเข้าห้องบรรทมของจักรพรรดิด้วยแผนการอันชั่วร้ายคนอย่างเว่ยฉือหลี่จิ้ง นอกจากหลี่หมิงแล้วเขากลับมิได้เกรงใจผู้ใดเลยแม้แต่น้อยเว่ยฉือหลี่จิ้งยิ้มเย็น กล่าวเสียงเรียบ “เขาจะกล้าตัดหัวข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าคือผู้ร่างจดหมายให้คืนราชบัลลังก์แก่เสด็จพี่ ซินหย่งรู้อยู่แก่ใจว่าการสังหารผู้มี
กลับมาสู่ปัจจุบันเมื่อคิดถึงสตรีที่นอนหนุนตักเขาในตอนนี้ หลี่หมิงก็อมยิ้มมุมปาก ค่อยๆ เก็บเกี่ยวกลุ่มผมเงางามขึ้นมา ใช้หวีหยกสางให้อย่างเบามือ หลังจากที่ชวีฮองเฮาสิงร่างนาง เซียวม่านหลิวก็หมดสติไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ กระทั่งตอนนี้ข้ามมาอีกวันแล้วกลับยังไม่รู้ตัว“ไท่จื่อ…”เป้ยหยวนร้องเรียกหน้าประตู ไม่กล้าก้าวล่วงเข้ามาในห้องนอนของเขาที่ปลดม่านมุ้งลงเพราะเกรงว่าจะเห็นภาพอันไม่เหมาะสมหลี่หมิงปรายตามององครักษ์คู่ใจ “เป็นอย่างไร”“จักรพรรดิทรง…” เป้ยหยวนกัดริมฝีปาก ไม่รู้จะรายงานอย่างไรดี“บอกมา”“ทูลไท่จื่อ องค์ชายสี่ทรง…” เป้ยหยวนยังคงละล้าละลัง“เจ้าจะรั้งรออีกนานหรือไม่”“องค์ชายสี่ทรงตบพระพักตร์องค์จักรพรรดิคาห้องบรรทมพ่ะย่ะค่ะ”หลี่หมิงเลิกคิ้ว ดวงตาเป็นประกาย “ตามหมอมาหรือยัง”“เสิ่นหลิวสิงตรวจพระอาการอยู่พ่ะย่ะค่ะ”“แล้วองค์จักรพรรดิเล่า”“หลังจากที่โดนฝ่ามือขององค์ชายสี่ องค์จักรพรรดิก็เสด็จไปยังห้องเก็บป้ายบรรพชนทันทีพ่ะย่ะค่ะ”“อืม…เด็กคนนั้นคงรู้ตัวแล้วกระมังว่าข้ากำลังคิดทำอะไรอยู่”เป้ยหยวนไม่ออกความเห็นใดๆ นิ่งเงียบรอคอยคำสั่ง“ออกไปเถอะ ต่อไปเรียกนายท่านก็พอ บทบาทในฐา