“สตรีนางนั้นนามว่าหวงเซ่อ ถูกหรือไม่” ฉันถามหลังพิจารณาสตรีที่ยืนร้องเพลงแสนไพเราะจนทุกคนต้องหยุดเดินช้อปปิ้งมายืนฟังที่ระเบียงแต่ละชั้นเพื่อฟังนางบรรเลงท่วงทำนองเป็นเพลงสมัยใหม่ที่ฉันเคยฟังในติ๊กต๊อก แต่กลุ่มสหายของเฉิงเซ่อพวกเขากลับกลัวสหายอีกคนที่นามว่าหลันเซ่อจะโกรธเคืองเพราะนางร้องเพลง
ทันใดนั้นฉันก็เห็นเยว่หมิงอยู่ชั้นสี่ยืนข้างสตรีนางนั้นดูการแสดงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแล้วนางไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร?
ลวี่เซ่อตั้งท่าจะวิ่งไปหยุดการกระทำของหวงเซ่อแต่ถูกหงเซ่อร่างสูงกว่ากอดคอรั้งตัวไว้ได้ทัน “ปล่อยนางเถิดน่าเพลงออกจะไพเราะ เนื้อเพลงก็เหมาะกับหลี่เหมยซินไม่น้อย เจ้าฟังสิ” เขาหยักคิ้วใส่ฉันทั้งพันธนาการไม่ให้ลวี่เซ่อหลุดออกวิ่งขึ้นไปห้ามคนข้างบน
“เฉิงเซ่อยืนบื่ออยู่ใย ขึ้นไปหยุดนางสิ”
“เฮ้ออ ข้าไม่ได้กลับบ้านไปฟังเพลงทำนองแบบนี้เป็นเดือนแล้วฟังต่ออีกสักหน่อยจะเป็นไรไป หลันเซ่อยังไม่ตื่นหรอกต่ออีกสักท่อนหนึ่งกำลังดี”
“เฉิงเซ่อ!” ลวี่เซ่อขึ้นเสียงใส่เขาขณะถูกรัดเอวอยู่ในอ้อมกอดอันแข็งแกร่งของหงเซ่อ
ฉันอมยิ้มมองความสัมพันธ์มิตรสหายกลุ่มใหญ่ของ
ย้อนไปเหตุการณ์เมื่อคืน…“พวกเขาเห็นหอของเจ้าเป็นโรงพยาบาลหรือสถานีตำรวจรึ เกิดเรื่องทีไรก็พากันมาที่นี่ตลอด” เฉิงเซ่อเดินเข้ามาถามหลันเซ่อที่ยืนพิงประตูมองบุรุษชุดขาวลายเมฆสีดำวางสตรีที่สภาพนางตอนนี้มิควรให้บุรุษใดเห็นหลันเซ่อเพียงปรายตามองสหาย พลางยกสุราขึ้นดื่มก่อนเดินเข้าไปหาแขกยามวิกาลผู้ไม่ได้รับเชิญทั้งสองคน “เจ้าพานางมาที่นี่ทำไม”“ให้นางกลับจวนสภาพนี้เรื่องจะไปกันใหญ่” เขาตอบพลางถอยออกมาให้บ่าวของหอวิหคเปลี่ยนเสื้อผ้าให้หลี่เหมยซินตามคำสั่ง หลันเซ่อก่อนหน้านี้“ละ..”“ลูกสาวหายตัวไปทั้งคืน เจ้าควรแจ้งครอบครัวนางให้รู้บ้าง ไม่งั้นตอนนี้คงตามหากันทั่วเมืองแล้ว” เฉิงเซ่อพูดแทรกหลันเซ่อทันทีที่ฟังบุรุษว่าที่คู่หมั้นของหลี่เหมยซิน“ข้าส่งคนไปแจ้งแม่ทัพใหญ่กับฮูหยินแล้ว ที่ข้าพามาที่นี่เพราะนางโดนวางยา.. นางเป็นคนของท่านช่วยรักษานางที” เว่ยเหยียนเฟิ่งไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจอะไรใส่เฉิงเซ่อ เขาพึ่งอารมณ์ดีเพราะถูกคนตัวเล็กจูบไม่หยุดแม้จะเป็นเพราะฤทธิ์ยาก็เถอะ“เก็บอาการหน่อย ถ้าจะยิ้มแก้มปริขนาดนี้ทำไมไม่รักษาเอาเองให้มันจบๆ” หลันเซ่
“อย่าหลงตัวเองเพคะ หม่อมฉันไม่ได้ฝันถึงพระองค์เสียหน่อย”“แล้วก่อนหน้านี้ที่เรียกข้าเสียงดังลั่นคืออะไร..”“พอแล้วเพคะ เลิกแกล้งหม่อมฉันได้แล้วเพคะ เรื่องเมื่อคืนเป็นยังไงเล่ามาให้หมดเลยนะเพคะ ห้ามโกหกด้วยเพคะ!”“อยากให้ข้าเล่าอย่างรายละเอียดเลยรึ” สายตาของเขาทำให้คนตัวเล็กด้านในของเตียงนั้นแก้มแดงระเรื่อทำอันใดไม่ถูกจนต้องยกหมอนขึ้นมาตีเขาไม่ยั้งแรง“อย่ามาพูดกำกวมเช่นนี้เพคะ หม่อมฉันจริงจังนะ” เจ้าของเสียงเล็กทุบตีคนตัวโตไปบ่นไป“ก็ได้ๆ ถ้าเจ้าจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้ ข้าจะช่วยเตือนความจำให้” พูดยังไม่ทันขาดคำเขาก็ดึงหมอนอาวุธที่นางให้ตีเขาโยนทิ้งก่อนจะเขยิบตัวเข้ามาประชิดร่างบางอย่างรวดเร็วทำให้ใบหน้าทั้งสองห่างกันแค่คืบจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกันทันใดนั้นภาพเหตุการณ์เมื่อคืนที่ตัวเองทำลงไปเพราะฤทธิ์ยา หลังถูกเขาช่วยออกมาจากไฟไหม้กระท่อมก็ฉายขึ้นเป็นฉากๆ ในหัว เข้าใจเลยว่าตัวเองเป็นคนเริ่มจะจบแบบนี้ก็ไม่แปลก ก็แค่คืนวันไนท์สแตนด์แต่สตรีที่เสียพรหมจรรย์ก่อนแต่งไม่ใช่เรื่องดีในยุคนี้ จะมีสตรีสักกี่คนที่ทนความอัปยศที่ชาวเมืองตรา
จู่ๆ ภาพก็ตัดมาให้นางยืนมองตัวเองกำลังถูกเผาทั้งเป็นกลางเมืองหลวงในสภาพที่ถูกลากออกจากคุกใต้ดินที่ยิ่งกว่าตายทั้งเป็นแล้วเบื้องหน้ายังมีเชื้อเพลิงที่จัดเตรียมไว้เผานาง ในตอนนั้นแม้แต่จะกรีดร้องยังไม่มีเสียง ดวงตากลมเหม่อมองไปตรงหน้าอย่างเหนื่อยล้าราวกับไม่รู้ชะตากรรมตัวเองตามที่เคยฝันถึงฉันก็เห็นแค่ตัวเองอยู่ในกองไฟไม่รับรู้สิ่งอื่นนอกจากไฟตรงหน้า แม้แต่เสียงคนก็ไม่ได้ยินด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้กลับเห็นทุกอย่างในมุมที่กว้างขึ้น“ไม่นะเสี่ยวซิน! ปล่อยข้า!” ยามนี้เว่ยเหยียนเฟิ่งถูกทหารของฮ่องเต้จับกดตัวไว้กับพื้น เขาขัดขืนและพยายามเข้าไปทำลายกองไฟนั้นพร้อมตะโกนเรียกชื่อนางให้คืนสติแต่มันกลับไม่เป็นผล ร่างบางยังแน่นิ่งไม่มีแม้แต่ความกลัวไฟตรงหน้าหรือจะหันมามองตามเสียงเรียกราวกับนางหูหนวกตาบอดไปแล้ว“ปล่อยข้า! นางไม่มีความผิดดับไฟเดี๋ยวนี้! ข้าสั่งให้ดับไฟ!”ทันใดนั้นไฟที่เริ่มเข้าใกล้พร้อมจะแผดเผาผิวกายนางยังไม่ถูกตัว กลุ่มบุรุษชายชุดดำก็โจมตีด้วยธนูหลายดอกแล้วเหตุการณ์ก็เริ่มวุ่นวายเมื่อพวกเขาปรากฏตัวในด้วยการฆ่าฟันทหารที่ขวางทางไปยังกองเพลิงเว่ยเหยียนเฟ
เขาพานางลงไปยังริมลำธารใช้สายน้ำเย็นๆ ระดับเอวจับนางล้างหน้าล้างตาให้อาการบรรเทา และเผื่อจะล้างยาให้ออกจากตัวนางได้ แต่ก็ช่างยากลำบากเพราะหลี่เหมยซินเอาแต่ดิ้นเข้าหาเขาอยู่ท่าเดียว“พอแล้วเสี่ยวซิน เจ้าคุมสติตัวเองหน่อย ข้าไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่จะอดทนกับสภาพล่อแหลมของเจ้าได้นานนักนะ” เขาจับไหล่บางยึดไว้ให้ห่างกายแล้วก้มลงสบตาดวงกลมที่เต็มไปด้วยความปรารถนา สีหน้านางราวกับจะกลืนกินเขาทั้งตัวให้ได้หลี่เหมยซินปัดมือหนาออกแล้วใช้แขนเรียวยาวคล้องคอเขาไว้พลางจุมพิตอย่างดูดดื่ม ถึงแม้ว่าน้ำในลำธารจะเย็นแค่ไหนก็ไม่สามารถดับความเลือดร้อนในกายของนางไม่ได้ “ข้าร้อน..”เว่ยเหยียนเฟิ่งแม้จะเผลอเคลิบเคลิ้มกับกลิ่นสมุนไพรและกลิ่นหอมบนตัวนางผสมผสานกัน ยิ่งเวลานี้รู้ใจตัวเองแล้วยิ่งทำให้เขาแทบคลั่งอยากจับนางกดเสียให้รู้แล้วรู้รอดแต่เขาอยากให้นางกลับมายอมรับเขาเหมือนในอดีต ไม่ใช่ให้ความสัมพันธ์แย่ลงเพราะผลจากการถูกวางยาและการกระทำโดยไร้สติเช่นนี้ พอดึงสติกลับมาได้เขาก็ดันตัวนางออก“ไม่! ไม่! เสี่ยวซิน!..” คำพูดเขาถูกกลืนลงคอเมื่อหลี่เหมยซิน นางเปลี่ยนเป็นถอดเสื้อตัว
ปังงง!“เสี่ยวซิน!” เว่ยเหยียนเฟิ่งผลักประตูไม้ออก สายตาคมราวกับเหยี่ยวมองหาร่างเจ้าของนาม เขายิ่งร้อนใจเมื่อเห็นร่างสตรีอันเป็นที่รักถูกโซ่ตรึงไว้อยู่กลางดงเปลวไฟที่ลุกโชนเว่ยเหยียนเฟิ่งรีบก้าวฝ่ากองไฟเข้าไปช่วยหลี่เหมยซินจนใกล้พอจะเห็นเสื้อผ้าอาภรณ์นางเปื้อนคราบเลือดขาดรุ่งริ่ง มีศพบุรุษนอนตายอยู่ห้าศพก็เข้าใจกระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางบ้าง เขาใช้กระบี่ตัดโซ่สองเส้นขาดในคราเดียวแล้วรับร่างบางไร้เรี่ยวแรงนั้นเข้ามากอดไว้แน่น รู้สึกผิดมากที่ตัวเองไม่สามารถมาช่วยนางให้เร็วกว่านี้“เหยียนเฟิ่ง” เสียงเบาหวิวของหลี่เหมยซินเรียกหาเขาในขณะที่ขนตายาวเป็นแพปิดดวงตาทั้งคู่ไว้สนิท เว่ยเหยียนเฟิ่งยิ้มอ่อนเมื่อได้ยินนางเรียกนามเขา ไม่ใช่สรรพนามอย่างที่เคยใช้แล้วอย่างน้อยนางก็ยังคิดถึงเขาบ้างตอนอยู่ในอันตรายใช่ไหม ริมฝีปากหนาประทับลงกลางขมับของดวงหน้างามอย่างอ่อนโยน“ข้าจะพาเจ้าออกไปอดทนไว้นะเสี่ยวซิน” เขาใช้เสื้อตัวนอกคุมร่างนางไว้แล้วอุ้มขึ้น พานางออกจากกองเพลิงก่อนจะค่อยๆ วางลงที่ต้นไม้ใหญ่เพื่อหยุดดูอาการ“เสี่ยวซิน เสี่ยวซิน”“แค่กๆ” หลี่เหมยซินสำ
“ความจำเสื่อมแต่ก็ยังฉลาดนะหลี่เหมยซิน เพราะเจ้ามันเป็นมารหัวขนขวางทางข้าตลอดหากไม่มีเจ้าสักคนองค์ชายก็คงไม่ต้องหมั้นกับเจ้า ถ้าไม่มีเจ้าสักคนแผนการข้าคงได้เรื่องมากกว่านี้ เจ้าสมควรตายไปตั้งแต่วันที่ตกน้ำแล้ว!”“หม่าฉวี่หลิน เจ้าได้มีตัวตนเป็นคนรักของเขาแล้วจะมาอะไรกับข้าอีก อดทนอีกหน่อยไม่เป็นหรือไร”“อย่ามาปากดี ก็ตั้งแต่วันที่ตกน้ำตามเจ้า องค์ชายก็เริ่มห่างเหินกับข้ามากขึ้น ทุกวันนี้ไปเยี่ยมข้าที่จวนยังน้อยครั้งไม่เหมือนที่ผ่านมา”“คงเพราะเจ้างี่เง่าอย่างนี้ไง เป็นข้าก็รำคาญ สมองก็มีหัดใช้บ้างสิ พระองค์อาจจะยุ่งมีงานทำเยอะเลยไม่มีเวลาไปหาเจ้าก็ได้” เออจริง ฉันไปบอกให้นางหัดสมองทำไม ถ้านางเกิดมีปัญญามากกว่านี้ฉันจะตามแผนนางทันหรอว่ะ แค่นี้ก็ไม่รู้จะเอาตัวรอดยังไงแล้วเนี่ย ปากหนอปากไปเรียกสติอีนี่มันทำไมหม่าฉวี่หลินก็หัวเราะเสียงใสแต่น่ากลัวเหมือนคนไร้สติก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังและมาดร้ายเต็มส่วน “วันนี้ข้ากำจัดเสี้ยนหนามอย่างเจ้าให้พ้นทาง ทำให้เจ้าอับอายไม่กล้าออกจากจวนมาพบปะผู้คน ชื่อเสียงของเจ้าจะต้องป่นปี้จนขึ้นตำแหน่งพระชายาไม่ได้”“จะท