ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้ เหรียญทองมงคลถูกแจกจ่ายตลอดเส้นทางในเมืองซีหนาน หากแต่นั่นก็มิอาจกลบเสียงซุบซิบนินทาในหมู่ชาวบ้านได้
“เหตุใดข้าไม่เห็นเจ้าบ่าวเล่า”
“ได้ยินมาว่าองค์หญิงสามอยากแต่งเข้าจวนอ๋อง ถึงขั้นขอให้ฝ่าบาทปฏิเสธจดหมายแต่งงานของแคว้นหาน”
“พี่สาวกับน้องสาวจะมีสามีคนเดียวกันหรือ น่าขันยิ่ง”
“ได้ยินว่าชินอ๋อง มีใจให้กับท่านหญิงเสวี่ยหนิงหากแต่องค์หญิงสามยังคิดแย่งชิง”
คำพูดเหล่านี้ลี่อินได้ยินทุกคำ แต่นางเลือกที่จะไม่โต้ตอบปล่อยให้คำนินทาเหล่านั้นลอยหายไปตามสายลม
เย่จินที่อารักขาอยู่ข้างเกี้ยวพระที่นั่งได้ยินคำดูแคลนเหล่านั้นเต็มสองหู เขาจ้องลี่อินที่ยังนั่งนิ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น พลันในใจก็เกิดความนับถือกับความอดทนของนาง
แม้แคว้นฉีและเว่ยจะมีชายแดนติดกัน หากแต่การเดินทางจากเมืองหลวงแคว้นฉีไปยังซู่โจวเมืองหลวงแคว้นเว่ยกลับต้องใช้เวลาถึงสิบวัน ขบวนเจ้าสาวยาวหลายลี้เคลื่อนตัวไปตามถนนที่ทอดยาวมุ่งสู่จวนอ๋อง ถึงกระนั้นก็ยังเป็นที่ขบขันของชาวเมือง การแต่งพระชายาเอกที่เจ้าบ่าวไม่ไปรับเจ้าสาวด้วยตนเองไม่เคยเกิดขึ้น จึงเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าพระชายาองค์นี้ไม่เป็นที่ต้องการของชินอ๋อง
“ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงสามเป็นน้องสาวร่วมอุทรขององค์หญิงใหญ่ พระชายาองค์แรกของท่านอ๋อง”
“เช่นนั้นจะไม่มีนิสัยชอบหลับนอนกับบุรุษอื่นเช่นพี่สาวหรือ”
“น่าสงสารท่านอ๋องไม่รู้เวรกรรมใด จึงต้องทำให้มาพบเจอกับสองพี่น้องจากแคว้นฉี”
“ได้ข่าวว่าท่านอ๋องมีสตรีในดวงใจอยู่แล้ว จึงแต่งเข้าเป็นชายารอง”
“เช่นนั้นองค์หญิงผู้นี้ก็ขวางทางผู้อื่นน่ะสิ”
เหล่าราษฎรแคว้นเว่ยไม่ต่างจากแคว้นฉี ที่ตัดสินสิ่งที่ตนเองไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากแต่ลี่อินยังคงนั่งนิ่งจนอี้เฉานางกำนัลคนสนิทอดเดือดดาลแทนมิได้
“องค์หญิงอย่าทรงฟังเลยเพคะ คนพวกนี้แค่มีปากก็พูดจ้าเรื่อยเปื่อย”
“อย่าห่วง ข้าไม่ได้นำคำพูดของผู้อื่นมาใส่ใจ” เสียงราบเรียบไร้อารมณ์ของสตรีที่อยู่บนเกี้ยว บ่งบอกว่านางไม่ได้โกรธเกรี้ยว
ขบวนเจ้าสาวหยุดอยู่หน้าจวนอ๋อง คุณเท้าจากวังหลวงนำเจ้าสาวออกจากเกี้ยวพาเสด็จเข้าจวนอ๋องตามประเพณี ภายในจวนอักษรมงคลถูกติดทุกหนแห่ง ผ้าแดงผูกมัดทั่วพื้นที่ แขกเหรื่อมากมายยืนรอเบียดเสียดแน่นห้องโถงบ่งบอกถึงบารมีมากล้นของหยางหมิงอ๋อง ชินอ๋องผู้เก่งทั้งบุ๋นบู๊แห่งแคว้นเว่ย
หยางหมิงในชุดมงคลสีแดงเพลิง ใบหน้าหล่อเหลาแต่งแต้มด้วยสายตาแสนเย็นชายืนอยู่เบื้องหน้าโต๊ะบูชา พิธีควรดำเนินอย่างเรียบง่ายตามธรรมเนียมเช่นนี้ หากแต่ว่าข้างกายเขากลับมีสตรีอีกนางที่สวมชุดมงคลสีแดงเช่นเดียวกับชุดมงคลของพระชายาเอก แม้มีพัดแสนวิจิตรปิดบังใบหน้าลี่อินก็ยังจำสตรีใต้อาภรณ์มงคลนั้นได้ดี เสวี่ยหนิงช่างใจกล้าแม้แต่ธรรมเนียมการแต่งงานก็ไม่ยึดถือแล้ว ช่างแตกต่างจากสตรีที่อ่อนหวานในสายตาของเสด็จพ่อนางลิบลับ ชายารองที่ควรสวมอาภรณ์สีชมพู และไม่สามารถเข้าร่วมพิธีไหว้ฟ้าดินได้ ทำได้เพียงยกน้ำชาคาราวะชายาเอก บัดนี้กลับกล้ายืนเคียงข้างท่านอ๋องในพิธีอภิเษกสมรส
สายตาแขกในงานที่มองมายังลี่อินช่างหลากหลายอารมณ์ บ้างก็แฝงไปด้วยความขบขัน บ้างก็ดูแคลน บ้างก็เวทนา แต่กลับมีสายตาแห่งความสาแก่ใจจากพี่น้องร่วมบิดาส่งมาให้นางอย่างไม่คิดปิดบัง
เริ่มพิธีไหว้ฟ้าดิน
คุณเท้าจากกรมพิธีการประกาศก้อง เช่นนั้นแล้วพิธีไหว้ฟ้าดินจึงถูกจัดขึ้นผิดหลักประเพณีอย่างนั้น แม้จะเป็นเรื่องน่าอายแต่เสวี่ยหนิงก็พอใจที่ทำให้ทุกคนได้รู้ว่านางที่เกิดจากตาอิ้งต่ำต้อยก็ทัดเทียมกับองค์หญิงของฮองเฮาได้
พิธีไหว้ฟ้าดินจบลง ลี่อินถูกพาไปยังตำหนักท่านอ๋องตามประเพณี
“พระชายานี่มันอะไรกันเพคะ~ เหตุใดท่านอ๋องถึงให้ท่านหญิงเสวี่ยหนิงเข้าพิธีอภิเษกทัดเทียมกับพระองค์ได้”
อี้เฉาที่เจ็บแค้นแทนลี่อิน โมโหหน้าดำหน้าแดงกล่าวเสียงดังไม่เกรงใครจะได้ยิน
“เขาก็เพียงอยากให้ทุกคนรู้ว่าเสวี่ยหนิงถึงจะสำคัญกับเขาที่สุด” ลี่อินกล่าวอย่างไม่ไยดี
“พระชายาไม่โกรธหรือ”
“ไม่รักแล้วจะโกรธด้วยเรื่องใด ปล่อยให้ท่านอ๋องทำในสิ่งที่เขาปรารถนา ข้าถึงจะมีโอกาสพาอี้หนิงกลับแคว้นฉี” ลี่อินวางพัดลงข้างกาย พลางยืดแขนด้วยความปวดเหมื่อย
“ทำเช่นนี้ไม่ได้นะเพคะ ต้องรอให้ท่านอ่อนมาดึงพัดลงตามประเพณี” อี้เฉารีบกล่าวทัดทาน
“คือนี้ท่านอ๋องไม่มาหรอก รีบเปลี่ยนชุดให้ข้าเถอะข้าอยากจะพบอี้หนิงแล้ว”
“เหตุใดจะไม่มาเล่า นี่คืนเข้าหอนะเพคะ”
หากแต่ยังไม่ได้รับคำตอบ อี้เฉากลับได้ยินเสียงเย่จินดังขึ้นเสียก่อน
“ทูลพระชายาเอก คืนนี้ท่านอ๋องจะค้างที่เรือนตะวันตกของพระชายารองพ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นเสียงกราบทูลลี่ อินก็เลิกคิ้วขึ้นมองไปที่อี้เฉาอย่างผู้มีชัย
“เห็นหรือไม่ ข้าบอกแล้ว”
“เจ้ารีบมาเปลี่ยนชุดให้ข้าเถอะ ไม่รู้นานป่านนี้อี้หนิงจะเป็นอย่างไรบ้าง”
“เจ้าค่ะ” อี้เฉารับคำสั่ง นางไม่เข้าใจองค์หญิงของตนที่ไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อยที่รู้ว่าพระสวามีของตน เลือกที่จะร่วมหอกับชายารองในคืนแต่งานของตัวเอง
“ไปตำหนักเล็กหลังจวนกัน” เมื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เรียบร้อย ลี่อินจึงกล่าวชวนอี้เฉาพลางเดินนำหน้าออกจากตำหนักอ๋อง
เมื่อเดินออกมาจากตำหนักกลับพบเย่จินที่ควรอยู่ข้างกายท่านอ๋อง ยืนอารักขาอยู่ด้านหน้า หากแต่นางเลือกที่จะไม่สนใจหมายจะเดินผ่านเขาไปเงียบ ๆ
“พระชายาจะเสด็จที่ใดพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินยื่นมือขวางทางนาง
“ข้าจะไปตำหนักเล็กหลังจวน”
“ขออภัยพระชายา ท่านอ๋องกำชับว่าคืนเข้าหอพระองค์ควรอยู่ในห้องบรรทมตามประเพณี ห้ามออกไปที่ใด”
“นี่! ตัวเขาเองกลับไปอยู่ตำหนักเสวี่ยหนิง แล้วห้ามไม่ให้ข้าออกนอกห้อง นี่มันประเพณีแบบไหนกัน” ลี่อินเริ่มไม่พอใจกับการกระทำที่มากเกินไปของหยางหมิง
“กระหม่อมเพียงทำตามรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินยังคงไม่ปล่อยให้นางไป
“แล้วข้าจะไปตำหนักเล็กได้เมื่อใด?” ลี่อินข่มอารมณ์ขุ่นมัว
“เมื่อท่านอ๋องทรงอนุญาตพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้! ตามนั้น หวังว่าหยางมิงอ๋องของเจ้าจะไม่เสียใจ”
สายตาเอาเรื่องมองเย่จินก่อนจะกลับเข้าตำหนัก หากแต่ประโยคหลังนี้กลับทำให้เย่จินรู้สึกกังวลอย่างน่าประหลาด
ด้านหยางหมิงบุรุษผู้องอาจ บัดนี้ยืนอยู่หน้าตำหนักตะวันตกด้วยท่าทางประหม่า
“หนิงเอ๋อ ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
“เพคะ” เสียงหวานกล่าวอนุญาตจากด้านใน ทำให้หัวใจชายหนุ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
หยางหมิงก้าวเดินตามจังหวะการเต้นของใจ สายตาจับจ้องอยู่กับสตรีชุดสีแดงฉานที่นั่งคอยบนแท่นบรรทม มือหนาดึงพัดที่ปิดใบหน้างามออก เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนหวานที่ถูกแต่งแต้มให้มีเสน่น่าเย้ายวน
จนหยางหมิงเผยยิ้มด้วยความดีใจ
“ท่านอ๋อง จะสรงน้ำก่อนหรือไม่” ใบหน้างามเริ่มเอียงอาย
“ไม่” เสียงแหบพล่านั้นบ่งบอกถึงความต้องการของเขา
หยางหมิงบรรจงจูบลงบนริมฝีปากเรียวบาง ริมฝีปากที่เขาเคยได้สัมผัสเมื่อห้าปีก่อน เสวี่ยหนิงหลับตาพริ้มด้วยความต้องการไม่ต่างกัน หากแต่หยางหมิงกลับรู้สึกว่ารสชาติที่เขาได้สัมผัสมันแตกต่าง ร่างสูงผละออกจากเสวี่ยหนิง เขามิอาจฝืนความรู้สึกแปลกปละหลาดที่ก่อตัวขึ้นภายในใจอย่างกะทันหันได้
“ท่านอ๋อง.......เป็นอะไรหรือไม่เพคะ” เสวี่ยหนิงลังเลที่จะเอ่ยถาม นางสับสนว่าเหตุใดเขาถึงปล่อยนาง
“ข้าขอโทษวันนี้ข้าเมามากไปจึงอยากจะขอพัก เจ้าเตรียมน้ำให้ข้าอาบได้หรือไม่” หยางหมิงหาข้ออ้างไม่ให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
“เพคะ” แม้สับสนแต่เสวี่ยหนิงก็ทำตามรับสั่งโดยง่าย
หยามเหม่าของวันถัดมา ตำหนักตะวันตกกลับถูกรบกวนจากลี่อินพระชายาเอกที่พึ่งรับตำแหน่งได้เพียงวันเดียว
“เข้าไปไม่ได้นะเพคะ” เจียฮุ่ยนางกำนัลของเสวี่ยหนิงยืนขวางประตูห้องบรรทม
ลี่อินมองนางกำนัลเบื้องหน้าพลางยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนจะใช้สองมือผลักจนเจียฮุ่ยเซไปด้านข้าง อี้เฉารีบเข้ามาจับตัวเจียฮุ่ยไว้อย่างรู้งาน ก่อนที่
ลี่อินจะเปิดประห้องบรรทมเสียงดัง ทำเอาบุรุษแลหญิงงามที่หลับใหลสะดุ้งตื่นจากห้วงนิทรา
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมาขออนุญาตไปตำหนักเล็กหลังจวน”
ลี่อินที่เห็นว่าทั้งสองไม่ได้เปลือยเปล่า จึงกล้าจ้องมองโดยไม่กระดากอาย
หยางหมิงยังไม่ทันได้สร่างเมา กำลังไล่อาหารปวดหนึบบนศีรษะตนพลางจ้องไปยังสตรีที่อยู่เบื้องหน้า ไม่ต่างจากเสวี่ยหนิงที่จ้องลี่อินด้วยแววตาแข็งกร้าว
“องค์หญิงสามไม่รู้จักมารยาทหรือ” มือหนายังนวดขมับตน
“ชินอ๋องไม่รู้ประเพณีการเข้าหอหรือ?”
“นี่เจ้า!” เพียงเช้าแรกเขากลับต้องโมโหเสียแล้ว
“องค์หญิงลี่อิน หม่อมฉันขออภัยเพคะเป็นหม่อมฉันที่ทำให้ท่านอ๋องไม่ได้เสด็จ........”
“เจ้า! หยุดพูด ข้าไม่ได้อยากได้ยินข้อแก้ตัวที่เสแสร้ง” ลี่อินจ้องเสวี่ยหนิงด้วยสายตาคาดโทษ
“ลี่อิน เจ้าใช้อำนวจผิดที่แล้วนี่เป็นจวนอ๋องของข้า”
อารมณ์ขุ่นมัวของหยางหมิงทำให้ภายในห้องดูหนาวเหน็บในทันที หากแต่ลี่อินกลับไม่สนใจใด ๆ
“หม่อมฉันจะไปตำหนักเล็กได้หรือยังเพคะ” สายตาดื้อรั้นส่งไปยังหยางหมิงอย่างไม่เกรงกลัว
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ