หยางหมิงที่ถูกลี่อินกวนอารมณ์ให้ขุ่นมัวแต่เช้า จ้องสายตาดื้อรั้นนั้นของนางเช่นกัน หากแต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขาถูกดวงตาคู่งามราวไข่มุกนั้นล่อลวงให้ตกอยู่ในภวังค์
“ตกลงท่านอ๋องจะอนุญาตหรือไม่” ลี่อินขมวดคิ้วแน่น
เสียงของนางปลุกให้หยางหมิงตื่นจากภวังค์ เขาดึงสายตากลับ
เสมองไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความอับอาย
“หากอยากไปก็ไป”
“ขอบพระทัยเพคะ” เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ นางก็ไม่อยู่ก่อกวนเขาอีก
หยางหมิงมองตามหลังนาง ‘เพียงอยากไปหลาหลานสาวนางถึงกลับกล้าบุกห้องนอนผู้อื่นเลยหรือ หรือนี่เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อตำหนิเขาที่ไม่อยู่ร่วมหอกับนาง’ เขาอดคิดเข้าข้างตนมิได้
ตำหนักเล็กยังคงเงียบสงบเช่นเดิม หากแต่ต้นหญ้าที่เคยมีในครั้งก่อนบัดนี้ถูกกำจัดออกบ้างแล้ว อีกทั้งฝุ่นเขรอะตามพื้นดูเบาบางลงไม่น้อย
“พระชายา” ปิงเซียงดีใจเมื่อเห็นว่าผู้ใดมายังตำหนัก
“อี้หนิงเล่า?” ลี่อิงหันมองหาเด็กน้อยที่นางห่วงใย
“ยังหลับอยู่เพคะ”
“อือ แล้วระหว่างที่ข้ากลับแคว้นฉี ทุกอย่างเรียบร้อยหรือไม่”
ลี่อินกล่าวถาม พลางเดินเข้าห้องนอนเพื่อพบหน้าเด็กน้อยที่บัดนี้หลับปุ๋ยอยู่บนเตียงกว้าง
“ท่านหญิงป่วยเพคะ หม่อมฉันนำหยกที่พระองค์ทิ้งไว้ให้ไปจำนำเพื่อเอาเงินไปจ้างหมอ” ปิงเซียงละอายใจ
“แล้วตั๋วเงินก่อนหน้าไม่พอหรือ” ลี่อินสงสัยเงินห้าร้อยตำลึงไม่ใช่น้อย ๆ เหตุใดเพียงไม่นานถึงได้หมดไวนัก
“หม่อมฉันนำมาซ่อมจวนบางส่วน แลจ้างนางกำนัลสองสามคนมาช่วยดูแลตำหนักเป็นครั้งคราวเพคะ” ปิงเซียงทูลรายละเอียด
“ท่านอ๋องไม่ยื่นมือช่วยเหลือเลยหรือ”
“หม่อมฉันไม่กล้าทูลขอ แต่หลังจากที่ท่านอ๋องรู้เรื่องก็ให้พ่อบ้านนำเงินมาให้เพคะ”
“ถือว่ายังมีคุณธรรมอยู่บ้าง เช่นนี้น่าจะเจรจาง่ายขึ้น” ลี่อินพึมพำพลางไตร่ตรอง
“พระชายาคิดจะทำสิ่งใด?”
“ข้าจะขออี้หนิงไปเลี้ยงดูที่ตำหนักชายาเอก เช่นนี้นางจะได้ไม่ต้องสัมผัสอาการหนาวจนล้มป่วยอีก” ลี่อินนั่งลงข้างเตียงพลางใช้มือเรียวสัมผัสแก้มนุ่มอย่างรักใคร่
ยามเฉินหลังจากป้อนข้าวอี้หนิงเสร็จ ลี่อินจึงพาเด็กน้อยเข้านอนกลางวัน เจ้าก้อนแป้งเลี้ยงง่ายเพียงวางลงบนผ้านุ่มแลลูบหัวให้ก็หลับปุ๋ยอย่างง่ายดาย จากนั้นค่อยหันมากำชับปิงเซียงให้ดูแลเด็กน้อยบนเตียงนอนให้ดี ส่วนตัวนางเองควรรีบจัดการเรื่องอี้หนิงให้เรียบร้อยเสียที
ลี่อินตรงไปยังตำหนักท่านอ๋อง หน้าห้องอักษรเย่จินยืนอารักขาอยู่ บ่งบอกว่าหยางหมิงยังคงอยู่ด้านใน
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่เพคะ”
หากแต่ด้านในกลับไม่มีเสียงใด ๆ ตอบออกมา ลี่อินหันมองเย่จินเพื่อขอคำอธิบาย หากแต่องครักษ์หนุ่มเมื่อเห็นสายตาคาดคั้นเช่นนั้นของพระชายา เขาเองทำได้เพียงมองไม่เห็นสายตานั้นของนางก่อนจะหันมองไปทางอื่น
“...................” เมื่อไม่มีเสียงใดเอื้อนเอ่ยออกมาจากคนภายในห้องอักษร ลี่อินจึงได้แต่ยืนอดทนรออยู่เช่นนั้น
“เข้ามาได้”
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามน้ำเสียงเย็นชาจึงดังขึ้น ลี่อินก้าวเข้าไปภายในห้อง บุรุษผู้นั้นนั่งอ่านตำราด้วยท่าทีสงบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองนางเพียงนิด
“องค์หญิงสามต้องการสิ่งใด” คำที่เขาใช้เรียกนางช่างเหินห่าง ไม่เหมือนสามีภรรยาใช้เรียกกันแม้แต่น้อย
“หม่อมฉันอยากขอเป็นผู้ดูลี่อี้หนิงได้หรือไม่เพคะ”
“ตามใจเจ้า” เสียงเรียบตอบขึ้นอย่างไม่ไยดี
“เช่นนั้นนางสามารถย้ายมาอยู่ตำหนักพระชายาเอกได้หรือไม่ หม่อมฉันสัญญาว่าจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับท่านและเสวี่ยหนิงอีก”
ลี่อินเสนอข้อแลกเปลี่ยนที่คาดว่าหยางหมิงจะพึงพอใจ
“องค์หญิงสามจะต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับเสวี่ยหนิงและข้านั่นแน่นอนอยู่แล้ว แต่จะให้เด็กคนนั้นมาอยู่ตำหนักพระชายาเอกนั้นข้าไม่อนุญาต”
“เช่นนั้นหม่อมฉันยกตำหนักพระชายาเอกให้เสวี่ยหนิง แลกเปลี่ยนกับตำหนักชายารองไว้ดูแลอี้หนิงได้หรือไม่เพคะ” ลี่อินยังไม่คิดยอมแพ้
“นี่เป็นความคิดที่ดีนัก”
หยางหมิงพอใจ ทำให้ลี่อินสามารถยิ้มออกที่ในที่สุดการเจรจาทางการทูตของนางก็ประสบความสำเร็จ
“ข้าจะให้เสวี่ยหนิงย้ายมาอยู่ตำหนักพระชายาเอก ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงคนเดียวที่จะทำหน้าที่เป็นชายาของข้า”
“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง” ลี่อินยอบกายขอบคุณ
“เจ้าขอบคุณสิ่งใด” หยางหมิงครานี้ยอมเงยหน้ามองนาง
“พระองค์จะมอบตำหนักพระชายารองให้ข้าดูแลอี้หนิงไม่ใช่หรือเพคะ”
“ข้าบอกตั้งแต่เมื่อไหร่” หยางหมิงยกคิ้วมองนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“นี่! ท่านหมายความว่าอย่างไร~” เป็นลี่อินที่เริ่มโมโหแทน
“เจ้าจะดูแลนางข้าไม่ขัด หากแต่นางต้องอยู่ในเรือนเดิมของนางที่เคยอยู่กับมารดา”
“แต่ที่นั่นอากาศหนาวเหน็บ เด็กจะอยู่ได้อย่างไรกัน”
“แต่ก่อนตำหนักเล็กสวยงาม และอากาศอบอุ่น เพราะพี่สาวขององค์หญิงเองนำเงินที่ข้ามอบให้ดูแลตำหนักไปปรนเปรอบุรุษอื่นจนหมดสิ้น แล้วเช่นนี้องค์หญิงจะโทษใครได้”
คำพูดของหยางหมิงทำให้ลี่อินตัวชาไปหมด นางมิอาจหาคำโต้แย้งกับบุรุษเบื้องหน้าได้ สถานการณ์ตอนนี้นางเป็นรองทุกด้าน จำต้องข่มอารมณ์โกรธไว้เท่านั้น
“ได้! หม่อมฉันจะเลี้ยงดูนางในตำหนักเล็กหลังนั้น”
“ดี ตำหนักเล็กจะได้เงินใช้จ่ายเดือนละหนึ่งพันตำลึงเท่ากับตำหนักของเสวี่ยหนิง” หยางหมิงกล่าวจบก็กลับไปอ่านตำราเช่นเดิม
“หากองค์หญิงสามไม่มีสิ่งใดจะกล่าวแล้ว ก็รีบกลับไปเก็บของเถอะ” เขาไล่นางกลาย ๆ
“หม่อมฉันทูลลา”
ลี่อินกลับตำหนักตะวันออกด้วยสีหน้าบึ้งตึง อี้เฉาที่เห็นลี่อินหน้าง้ำมาแต่ไกล จึงรู้ได้ทันทีว่าองค์หญิงสามมิอาจเอาชนะท่านอ๋องได้แน่
“เป็นอย่างไรบ้างเพคะพระชายา” อี้เฉาทูลถาม
“เจ้าพานางกำนัลเก็บของเถอะ”
“เหตุใดต้องเก็บ ท่านอ๋องไล่เราออกจากจวนหรือเพคะ?” อี้เฉาตาโตด้วย พูดเสียงดังความตกใจ
ลี่อินมองหน้านางกำนัลที่อยู่ข้างกายกันมาตั้งแต่ยังเด็ก พร้อมทั้งส่ายหน้าให้กับอาการตีตนไปก่อนไข้ของนาง
“แค่จะย้ายไปอยู่ตำหนักเล็ก เจ้านี่คิดไปถึงไหน”
“เหตุใดต้องย้ายไป ท่านอ๋องไม่ยินยอมหรือเพคะ”
“อือ ข้าสามารถเลี้ยงดูอี้หนิงได้แต่ต้องอยู่ภายในตำหนักเล็กเท่านั้น” ลี่อินกล่าวพลางยกชาขึ้นดื่มดับความโมโหภายในใจ
ภายในครึ่งวันลี่อินย้ายของออกจากตำหนักตะวันออกได้เรียบร้อย หากแต่ระหว่างเดินออกจากตำหนักเล็ก กลับต้องพบเสวี่ยหนิงที่มาสำรวจตำหนักตำหนักตะวันออกเสียก่อน
“องค์หญิงสาม”
เสวี่ยหนิงยอบกายเคารพนางตามศักดิ์ แม้จะเป็นธิดาของฮ่องเต้
หย่งเฮ่าเช่นเดียวกัน แต่นางกลับมียศที่ต่ำกว่า เพราะมารดาที่เป็นเพียงสาวใช้ของฮองเฮา
ลี่อินเพียงปรายตามองเสวี่ยหนิงหากไม่คิดจะสนทนาด้วย เตรียมเดินออกจากตรงนั้น
“หม่อมฉันขอบพระทัยองค์หญิงที่เมตตา สละตำหนักพระชายาเอกให้หม่อม”
“เจ้าชอบก็ดีแล้ว หากแต่คนที่เคยอยู่แต่ตำหนักเล็ก ๆ อย่างเจ้าระวังจะเดินหลงทางเพราะไม่คุ้นชินกับตำหนักที่ใหญ่โตเช่นนี้ล่ะ” ลี่อินรู้ว่าเสวี่ยหนิงต้องการเย้ยหยันนางจึงตอบโต้กลับไป
คำพูดของลี่อินทำให้เสวี่ยหนิงหน้าชา รอยยิ้มดูแคลนที่นางแสดงออกมาเมื่อครู่เลือนหายไปทันที แม้อยากโต้แย้งแต่ลี่อินกลับเดินหายไปแล้ว นางจึงจำเป็นต้องเก็บความแค้นเคืองนี้ไว้ก่อน
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ