“ได้! หม่อมฉันไม่มีสิทธิ์ก้าวล่วงความรู้สึกของพระองค์ แต่หากเป็นเรื่องท่านหญิงที่ต้องปรนนิบัติองค์หญิงใหญ่ กลับมีส่วนทำให้นางสิ้นพระชนม์หม่อมฉันคงยุ่งได้กระมัง” ลี่อินเผชิญกับแววตาเย็นชานั่นอย่างไม่หวาดหวั่น
“นี่เจ้า!”
หยางหมิงไม่คาดคิดว่านางจะกล้าโต้แย้งกับเขาถึงเพียงนี้ หากเป็นผู้อื่นคงหวานกลัวจนหัวหดไปนานแล้ว
“ท่านอ๋องอย่าทรงโต้แย้งกับองค์หญิงสามเพราะหม่อมฉันอีกเลยเพคะ” เสวี่ยหนิงยื่นมือมาคว้าแขนบุรุษที่อยู่เบื้องหน้า พลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย
“เหอะ!” ลี่อินเมื่อเห็นการกระทำอย่างไม่ละลายของเสวี่ยหนิง ก็หัวเราะอย่างดูแคลน
“เจ้าหัวเราะเยาะสิ่งใด” หยางหมิงไม่พอใจการกระทำที่ดูแคลนนี้ของลี่อิน
“เป็นถึงท่านหญิงผู้สง่างามของฮ่องเต้แคว้นฉี แต่พอห่างจากสายพระเนตรบิดากลับทำตัวไร้ยางอาย กล้าแตะเนื้อต้องตัวสามีของผู้อื่น” สายตาเย้ยหยันของลี่อิน ส่งผ่านไปยังสตรีที่อยู่ด้านหลังของหยางหมิงอย่างไม่ปิดบัง
เสวี่ยหนิงหน้าชารีบดึงมือตนเองกลับในทันที น้ำตาเอ่อล้นคล้ายไม่ได้รับความเป็นธรรม
“หากสิ่งที่เสวี่ยหนิงทำเรียกว่าไร้ยางอาย แล้วสิ่งที่เสด็จพี่ท่านทำกับข้าจะเรียกว่าอะไร~”
หยางหมิงบัดนี้อารมณ์ขุ่นมัว สายตาเยือกเย็นจ้องมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมกอดของปิงเซียง ทำให้นางต้องใช้ชายอาภรณ์ซ่อนเด็กน้อยให้พ้นจากสายตาท่านอ๋อง
ลี่อินสับสนกับสายตาของชินอ๋องที่มองไปยังอี้หนิง และอาการหวาดกลัวของปิงเซียงที่พยายามซ่อนเด็กน้อยให้พ้นจากสายตาคู่นั้น
‘นี่มันใช่สายตาของคนเป็นบิดาใช้มองบุตรของตนหรือ’ นางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“องค์หญิงสาม หากท่านมาอย่างมิตรข้ายินดีเตรียมเรือนพักให้ท่านได้ แต่หากท่านหวังก่อเรื่องในจวนอ๋องอย่าหาว่าข้าชินอ๋องไม่เกรงใจ”
หยางหมิงจ้องลี่อินไม่วางตา
“นี่!” ลี่อินอยากจะโต้แย้งกับเขาต่อ แต่เมื่อนี่เป็นจวนอ๋องนางเองก็ไม่มีสิทธิ์ยุ่ง
“ได้ เช่นนั้นลี่อินต้องรบกวนท่านจนกว่าพิธีศพของเสด็จพี่จะแล้วเสร็จ หากจะขอรบกวนพักที่เรือนเดียวกับอี้หนิงท่านอ๋องจะขัดข้องหรือไม่” ลี่อินพยายามข่มอารมณ์ที่เดือดพล่านอย่างสุดความสามารถ
“หากคิดว่าสมฐานะ องค์หญิงเชิญพักตามสบาย”
หยางหมิงกล่าวพลางหันไปหาหาเสวี่ยหนิงที่ยังอยู่บนเตียงนอนตามเดิม
ลี่อินเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยว จึงหันหลังเดินออกจากเรือนไป
ปิงเซียงนำทางลี่อินไปยังเรือนที่เหมยหลิงและอี้หนิงอาศัย แต่นั่นกลับทำให้ลี่อินต้องขมวดคิ้วแน่น ด้วยเรือนที่ปิงเซียงนำทางไปไม่ใช่เรือนหลักที่ตั้งติดกลับตำหนักอ๋อง หากแต่เป็นเรือนเล็กด้านหลังจวน สภาพที่อยู่ทรุดโทรมจนเกินบรรยาย อากาศที่หนาวเย็นทั้งที่ไม่ใช่ฤดูเหมันต์ ต้นไม้น้อยใหญ่ที่ขึ้นอย่างรกร้างแทบไม่มีพื้นที่ให้ก้าวเดิน สภาพตัวเรือนที่เก่าจนหน้าต่างห้องโถงไม่สามารถปิดลงได้ เครื่องเรือนมีน้อยชิ้นจนนับได้และพื้นที่มีฝุ่นเขรอะนี่อีก
“นี่มันอะไร? อี้หนิงพักที่นี่หรือ” ลี่อินภาวนาให้นางเข้าใจผิด
“เพคะ” ปิงเซียงก้มหน้าตอบด้วยความละอาย
หัวใจของลี่อินบีบรัดจนหายใจแทบไม่ออก นางมองหลานสาวตัวน้อยที่บัดนี้หลับปุ๋ยในอ้อมแขนของปิงเซียง
“นี่! จะเป็นไปได้อย่างไร เขาให้บุตรของตนพักที่นี่หรือ แล้วแต่ก่อนพักที่ไหน?” ลี่อินขมวดคิ้วด้วยความสับสน
“ท่านหญิงพักที่นี่ตั้งแต่เกิดเพคะ”
“ตั้งแต่เกิด! มันเกิดสิ่งใดขึ้นเหตุใดชินอ๋องถึงให้บุตรีของตนพักในเรือนที่หนาวเย็นและทรุดโทรมเช่นนี้ เสด็จพี่ข้ายอมหรือ แล้วเหตุใดหากไม่ได้รับความเป็นธรรมถึงไม่ส่งจดหมายไปแคว้นฉี”
คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาจากความคิดของนาง แม้ชินอ๋องจะได้รับขนานนามว่าบุรุษผู้บ้าคลั่ง แต่คงไม่ถึงขั้นทารุณกับเด็กทารกเช่นนี้ได้
“ทูลองค์หญิง ตอนที่องค์หญิงใหญ่แต่งเข้าจวนใหม่ ๆ ก็พักที่ตำหนักตะวันออกเพคะ” ปิงเซียงสูดหายใจเข้าลึก พลางวางท่านหญิงตัวน้อยลงบนเตียงในห้องบรรทม ก่อนทูลความจริงกับลี่อิน
“หากแต่หลังแต่งงานมาเพียงสองเดือน ในวันคล้ายวันประสูติของท่านอ๋อง คืนนั้นรัชทายาทเสด็จมาร่วมอวยพรด้วย แลดูท่าจะพอพระทัยในท่านหญิงเสวี่ยหนิงไม่น้อย จากนั้น.......” ปิงเซียงไม่กล้าเล่าต่อ
ลี่อินได้ฟังเช่นนี้ นางคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นได้ หากแต่มันอัปยศเกินกว่าที่พี่สาวนางจะกระทำลงไป
“เล่า!” เสียงไม่มั่นคงกำชับนางกำนัล
“รัชทายาทเมามาย ท่านหญิงจึงฉวยโอกาสพารัชทายาทเข้าห้องบรรทม” บ่าวพยายามทัดทานพระองค์แล้วเพคะ บ่าวทำสุดความสามารถแล้วแต่องค์หญิงใหญ่ไม่ยอมฟังบ่าวเลย เสียงสะอื้นของ
ปิงเซียงดังขึ้น
“จากนั้นเกิดอะไรขึ้น”
มือเรียวของลี่อินกำแน่น ดวงตาพร่ามัวด้วยหยดนำที่เอ่อล้น นางไม่คาดคิดว่าเสด็จพี่ของตนจะกระทำเรื่องน่าอับอายเช่นนี้ได้ รัชทายาทคือพระเชรษฐาร่วมอุทรของชินอ๋อง หากเป็นเช่นนั้นจริงการที่หยางหมิงจะเดือดดาลก็เป็นเรื่องที่สมควร
“ท่านอ๋องพบทั้งสองเปลือยเปล่าบนเตียงบรรทม พะ พระองค์กริ้วมาก ใช้กระบี่จ่อที่คอของพระเชรษฐา”
“แล้วท่านพี่ล่ะ นางว่าอย่างไร” ลี่อินสงสัยว่านางทำเพื่อการใดกันแน่
“พระนางไม่กล่าวสิ่งใด เพียงยิ้มเหย้ยหยันท่านหญิง
เสวี่ยหนิงเจ้าค่ะ”
“นี่เจ้าจะบอกว่า เรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นเพียงเพื่อเอาชนะ
เสวี่ยหนิงเช่นนั้นหรือ” ลี่อินแทบทรงตัวยืนไม่ไหว นางจำต้องนั่งลงบนตั่งเตี้ยข้างเตียงนอน
ปิงเซียงไม่กล่าวสิ่งใด เพียงพยักหน้าตอบ
“จากนั้นเกิดสิ่งใดขึ้นอีก”
“องค์รัชทายาทคุกเข่าขอโทษท่านอ๋อง พระองค์อ้างว่าเมามากเพคะ เมื่อท่านอ๋องหันไปมององค์หญิงพระนางกลับยิ้มอย่าพอใจ นั่นจึงทำให้ท่านอ๋องรู้ว่านางจงใจ”
“เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ท่านอ๋องทำสิ่งใดไม่ได้ฝ่าบาทไม่ยอมให้หย่า แลไม่สามารถยกองค์หญิงเป็นชายารัชทายาทได้ เรื่องนี้จึงถูกกำชับไม่ให้ผู้ใดเอ่ยถึง”
“แล้วชินอ๋องยอมหรือ” นางสงสัยว่าเขายอมเสียเกียรติได้หรือ
“เพื่อบ้านเมือง ท่านอ๋องไม่ตรัสถึงเรื่องนั้นอีกแลให้องค์หญิงใหญ่มาอยู่เรือนหลังไม่ให้เกี่ยวข้องกันอีก ให้พระนางใช้สินเดิมให้การใช้ชีวิต และจะมอบเงินอีกสี่ร้อยตำลึงให้ทุกเดือนในการใช้จ่ายแลจ้างบ่าวไพร่เพคะ”
“แล้วเหตุใดภายใน 2 ปี เรือนหลังนี้ถึงได้ทรุดโทรมนัก”
“พระนางนำสินเดิมและเงินที่ได้จากท่านอ๋องไปปรนเปรอเหล่าชายงามจนเหมดเพคะ” ปิงเซียงก้มหน้าอย่างละอายใจ
ลี่อินรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งตัว นางไม่รู้จักเสด็จพี่ของนางเพียงน้อย พลางสายตาหวาดหวั่นถูกส่งไปหาอี้หนิงที่ยังคงหลับบนเตียง
“นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ท่านพี่ของข้า.....” ลี่อินไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดต่อ
“หลังจากเหตุการณ์ของรัชทายาท ท่านอ๋องก็ออกปราบกบฏทางตอนเหนือ ทำให้องค์หญิงสามารถทำตามพระทัยได้โดยง่ายเพคะ”
“แล้วอี้หนิง....” ลี่อินไม่กล้าถามต่อ
“พระธิดาขององค์รัชทายาทเพคะ” ปิงเซียงรู้ว่าองค์หญิงสามต้องการตรัสสิ่งใด
“เหตุใดเจ้ามั่นใจเช่นนั้น”
“เพราะองค์หญิงใหญ่ไม่เคยร่วมหอกับท่านอ๋อง แลก่อนที่ท่านอ๋องจะออกศึกองค์หญิงใหญ่ก็ทรงครรภ์แล้ว” ปิงเซียงที่อยู่ข้างกายผู้เป็นนายอย่างใกล้ชิด นางไม่มีทางคาดเดาผิดแน่
“มิน่าเล่า สายตาที่เขามองอี้หนิงถึงมีแต่ความเกลียดชัง”
ลี่อินหันมองหลานตัวน้อยด้วยความสงสาร การเกิดมาของนางนอกจากปราศจากความรักของบิดาแล้ว ยังได้รับความเกลียดชังจากผู้คนมากมาย
“อี้หนิงของน้าไม่ต้องกลัว ทั้งหมดไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
หยดน้ำใสร้อนผ่าวไหลอาบแก้ม นางเวทนาในชะตาของเด็กน้อยผู้นี้สุดขั้วหัวใจ
“ชินอ๋องเคยทุบตีเสด็จพี่หรือไม่” ลี่อินแม้ผิดหวังต่อการกระทำของเหมยหลิง แต่ก็ไม่ปรารถนาให้ใครทำร้ายนาง
“ไม่เพคะ แม้ทรงกริ้วเพียงใดก็มิเคยลงมือ มากสุดคือมัดเท้านางไว้ในตำหนักเป็นเวลา 7 วัน เพราะรู้ว่าองค์หญิงหลับนอนกับบุรุษอื่นทั้งที่ทรงพระครรภ์”
“แล้วเหตุใดการเป็นอยู่ยากลำบากเช่นนี้ เจ้าไม่แจ้งท่านอ๋อง” ลี่อินหันไปถามปิงเซียง
“บ่าวมิกล้า องค์หญิงใหญ่ไม่ให้บ่าวบอกเพราะเกรงท่านอ๋องจะลงโทษอีกเพคะ” ปิงเซียงทูลอย่างสิ้นหวัง
ลี่อินยากจะเชื่อว่าทั้งหมดคือฝีมือขององค์หญิงใหญ่ ผู้ที่รักคนในครอบครัวยิ่งกว่าสิ่งใด แล้วไยปล่อยให้พระธิดาของตนทุกข์ทรมานเช่นนี้
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ