พิธีศพของเหมยหลิงจัดอย่างสมพระเกียรติ แม้หยางหมิงจะเกลียดแค้นนางแต่ขบวนพระศพกลับยิ่งใหญ่สมชายาอ๋อง หีบพระศพเคลื่อนไปตามถนนเส้นหลักของซู่โจวมุ่งตรงสู่สุสานหลวงนอกเมือง เหล่านางกำนัลบ่าวไพร่สวมชุดไว้ทุกข์เดินต่อแถวยาวหลายลี้ ชินอ๋องควบม้าอยู่หน้าขบวนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ลี่อินเดินตามขบวนที่ทอดยาว พลางสังเกตเห็นชาวบ้านที่ออกมาดูต่างซุบซิบนินทาพี่สาวของตนสนุกปาก
“ได้ข่าวว่าชายาอ๋องผู้นี้มักมากในกามารมณ์”
“เห็นผู้ดูแลหอชายงามบอก นางมักปรนเปรอชายหนุ่มคืนละหลาย ๆ คน”
“ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นองค์หญิงแคว้นฉี น่าละลายจริง ๆ”
“สงสารแต่ชินอ๋อง ไม่รู้เวรกรรมใดถึงมาเจอสตรีไร้ยางอายเช่นนี้”
คำพูดดูแคลนนี้ลี่อินได้ยินทุกถ้อยคำ หากแต่นางทำสิ่งใดไม่ได้ ได้แต่น้อมรับคำพูดเหยียดหยามพวกนั้นเอาไว้
พิธีศพเสร็จสิ้นแล้วลี่อินจะไม่มีเหตุผลที่จะรั้งอยู่ต่อ หากแต่นางยังจากไปไม่ได้ นางต้องพาอี้หนิงกลับไปแคว้นฉีกับตนด้วย
“ท่านอ๋อง ข้าลี่อินขอเข้าไปได้หรือไม่” ลี่อินที่ยืนอยู่หน้าห้องอักษรแจ้งผู้อยู่ด้านใน
“เข้ามา” น้ำเสียงเย็นชาดังลอดออกมาจากภายใน
ลี่อินก้าวเข้าไปด้านใน สายตากลับสะดุดอยู่บนร่างของเสวี่ยหนิงที่บัดนี้กำลังเก็บถ้วยอาหารบนโต๊ะอยู่
“เจ้าหายดีได้ทันเวลาจริง” ลี่อินอดไม่ได้ที่จะดูแคลนนาง
“ยังไม่หายดีเท่าไหร่ เพียงแค่ค่อยยังชั่วจึงอยากตอบแทนท่านอ๋องที่ช่วยเหลือ” เสวี่ยหนิงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“เหอะ!” ลี่อินไม่เชื่อนางแม้เพียงนิด หากแต่ไม่อยากสนใจอีก
“องค์หญิงต้องการสิ่งใด” หยางหมิงไม่ชอบใจการกระทำที่แข็งกร้าวของนางที่มีต่อเสวี่ยหนิง
“หม่อมฉันต้องการพาอี้หนิงกลับแคว้นฉี” ลี่อินไม่อ้อมค้อม
“ไม่ได้!” หยางหมิงตอบทันควัน สายตายังคงจ้องมองหนังสือบนโต๊ะอักษร
“ท่านจะรั้งนางไว้ด้วยเหตุใด นางไม่ใช่บุตรของท่าน” ลี่อินไม่คิดปิดบังผู้ใด
หยางหมิงไม่แปลกใจที่นางรู้เรื่องนี้ เกรงว่าปิงเซียงจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้นางฟังแล้ว
“เช่นนั้นนางยิ่งต้องอยู่จวนอ๋อง บิดาของนางไม่ยอมรับหากราชสำนักทั้งสองแคว้นรู้เข้าว่าผู้ใดเป็นบิดา องค์หญิงสามรับมือความโกลาหลที่จะเกิดขึ้นได้หรือ” หยางหมิงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของลี่อิน
เหตุผลของชินอ๋องฟังขึ้นลี่อินที่รีบร้อน จนลืมคิดถึงผลกระทบที่จะตามมา
“เช่นนั้น ท่านจะช่วยยอมให้นางกลับไปแคว้นฉีในฐานะบุตรของท่านได้หรือไม่ เช่นไรแม่ของนางก็ไม่อยู่แล้วการให้นางไปอยู่กับท่านยายคงไม่ใช่เรื่องแปลก” ลี่อินต่อรอง
“เหอะ! องค์หญิงสามช่างอารมณ์ขันนัก การทำเช่นนั้นข้าผู้เป็นอ๋องได้ผลประโยชน์ใดกัน”
“การรั้งนางไว้ก็รังแต่จะทำให้ท่านเจ็บแค้น แล้วท่านจะทำเพื่อสิ่งใดกัน” ลี่อินรู้สึกขุ่นเคืองบ้างแล้ว
คำถามของนางกลับไร้การอธิบายของบุรุษที่นั่งนิ่งบนโต๊ะอักษร โดยที่นางไม่อาจคาดเดาความคิดของชายผู้นี้ได้เลย
“หากท่านอ๋องยอมให้อี้หนิงกลับไปกับหม่อมฉัน หม่อมฉันให้คำมั่นว่าจะช่วยทูลกับเสด็จพ่อให้ท่านแต่งเสวี่ยหนิงเป็นชายา”
ประโยคนี้ของลี่อินทำให้เสวี่ยหนิงที่ยืนฟังอยู่เงียบ ๆ ดีใจไม่น้อย ใบหน้าที่มักแต่งแต้มด้วยความโศกเศร้า บัดนี้เกือบปกปิดรอยยิ้มดีใจไม่มิด
“เรื่องของจวนอ๋องไม่คิดให้คนนอกช่วยจัดการ” คำพูดของเขาทำให้ลี่อินยืนตัวชาในทันที
“อีกอย่างการที่ข้าจะได้เสวี่ยหนิงเป็นชายาหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับองค์หญิง เกรงว่าเจ้าจะสำคัญตัวผิด” แววตาดูแคลนถูกส่งมา หยางหมิงไม่คิดไว้หน้าลี่อินเพียงน้อย
“นี่ก็สายแล้วข้าจะให้เย่จินส่งองค์หญิงออกนอกเมือง”
หยางหมิงไล่นางกลาย ๆ
“ได้! หม่อมฉันทูลลา” ลี่อินกำมือแน่น การต่อรองนี้กลับเป็นนางที่เสียเปรียบแลต้องอับอายขายขี้หน้า
ลี่อินกลับไปยังตำหนักเล็กหลังจวน นางไม่รู้จะอธิบายอย่างไรให้
ปิงเซียงไม่รู้สึกหวาดกลัว
“องค์หญิงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ” ปิงเซียงเมื่อเห็นลี่อินกลับมาก็รีบร้อนอุ้มอี้หนิงวิ่งไปทูลถามนางในทันที
ลี่อินได้แต่ส่ายหน้า นั่นทำให้ปิงเซียงหวาดกลัวไม่น้อย นางไม่รู้จะเลี้ยงดูท่านหญิงในจวนที่มีแต่ผู้คนรังเกียจได้อย่างไร อีกทั้งสภาพการเป็นอยู่ก็ลำบากเสียยิ่งกว่านางกำนัลในจวนเสียอีก
“ปิงเซียงเจ้าอย่าพึ่งกลัว ข้าสัญญาว่าจะกลับมาพาเจ้ากับ
อี้หนิงกลับแคว้นของเราให้ได้” ลี่อินปลอบนางกำนัลอย่างจนใจ
“นี่คือเงินที่ข้านำติดตัวมาทั้งหมด เจ้าเก็บไว้ใช้หากรวมกับเงินเดือนละสี่ร้อยตำลึงก็คงช่วยยื้อเวลาออกไปได้บ้าง”
ลี่อินไม่ชอบพกของมีค่าติดตัวมากนัก ครั้งนี้จึงมีตั๋วเงินเพียงห้าร้อยตำลึงให้ปิงเซียงไว้ใช้จ่าย
“เจ้าเก็บนี่ไว้ หากจำเป็นก็ขายนำเงินมาเลี้ยงดูอี้หนิงเสีย”
ลี่อินยื่นหยกขาวนวลสลักคำว่าซ่งลี่อินให้กับปิงเซียง พลางสายตาจ้องมองอี้หนิงที่มองนางอยางไร้เดียงสา
“อี้หนิงเด็กดี เจ้ารอท่านน้าอยู่ที่นี่น้าสัญญาว่าจะไปไม่นานแล้วจะกลับมารับเจ้า” ลี่อินประทับริมฝีปากลงแก้มอ่อนนุ่มของเด็กน้อย ก่อนจะตัดใจออกจากตำหนักอ๋องมุ่งกลับแคว้นฉี
ห้าวันหลังจากออกจากแคว้นเว่ย อาชาชั้นดีก็พาลี่อินเข้าสู่เมือง
ซีหนาน แม้จากวังหลวงไปถึงสิบห้าวันแต่ทุกสิ่งยังคงเดิม หากแต่ดวงใจที่หนักอึ้งของนางกลับทำให้ทุกสิ่งรอบตัวพลันดูเศร้าหมองไปด้วย
ลี่อินมุ่งตรงไปยังตำหนักหนิงอันทันทีที่ก้าวเข้าประตูวัง บัดนี้มีเรื่องราวมากมายที่นางต้องแจ้งพระมารดา
“ฮองเฮา องค์หญิงสามกลับมาแล้วเพคะ” เสียงดีใจของแม่นมหลิว ปลุกสตรีที่บัดนี้ผอมแห้งอยู่บนแท่นบรรทมให้ตื่นขึ้น
“รีบพานางมา” เสียงเบาแรงดังขึ้นพร้อมกับความพยายามลุกขึ้นนั่งของฮองเฮาเสวี่ยฉี
“ถวายพระพรเสด็จแม่”
“ลุกขึ้น ๆ” เสียงเบาเอ่ยบอกลี่อิน
“เหตุใดเสด็จแม่ถึงเป็นเช่นนี้” น้ำใสอุ่นประดับอยู่บนดวงตาของลี่อิน
“ฮองเฮาทรงตรอมพระทัยเพคะ พระนางไม่ยอมเสวยสิ่งใดตั้งแต่องค์หญิงจากไป” แม่นมหลิวทูลความจริง
“ได้อย่างไรกัน หากเสด็จแม่เป็นอะไรไปอีกคน หม่อมฉัน เสด็จพี่เจ๋อหานและอี้หนิงจะอยู่อย่างไรเพคะ” ลี่อินนั่งลงข้างแท่นบรรทมสายตาอ้อนวอนส่งมายังมารดาอย่างน่าสงสาร
“ได้ ๆ แม่จะไม่ทำแล้ว” เสวี่ยฉีรับปากลี่อินอย่างว่าง่าย
“แล้ว...พิธีศพเรียบร้อยดีหรือไม่” เสวี่ยฉีดวงตาแดงก่ำตรัสถามถึงพิธีของบุตรคนแรกของนาง
“อือ เรียบร้อยดีเพคะ เสด็จพี่จากไปอย่างสมพระเกียรติ”
ลี่อินปลอบใจพระมารดา หากแต่ว่าเรื่องอี้หนิงจะทำอย่างไร พระนางถึงจะสามารถรับเรื่องราวนี้ไหว
“มีสิ่งใดหรือไม่ อย่าคิดปิดบังแม่อีกเลย” เสวี่ยฉีที่เห็นแววตากังวลของธิดาตน นางรู้ได้ทันทีว่าลี่อินกำลังปิดบังนางอยู่
“มิกล้าปิดเสด็จแม่ หม่อมฉันรู้ความลับที่ยากจะเชื่อเข้า เสด็จแม่จะรับไหวหรือไม่” ลี่อินกล่าวหยั่งเชิง
“เล่ามาเถิด” เสวี่ยฉีกุมมือลี่อินแน่น
“เสด็จแม่ อี้หนิงไม่ใช่ธิดาของหยางหมิงอ๋อง หากแต่เป็นธิดาของรัชทายาทถานหย่งเจี๋ย” ลี่อินสัมผัสได้ว่าพระหัตถ์ของฮองเฮาสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่
“เสด็จพี่ต้องการเอาชนะเสวี่ยหนิงที่หมายจะเป็นชายา
รัชทายาท จึงฉวยโอกาสตอนที่เขาเมามายร่วมหลับนอน”
“เหตุใด เหตุใดกัน ทำไม่เหมยหลิงถึงสิ้นคิดเช่นนั้น” เสวี่ยฉีฮองเฮาไม่อาจกลั่นความโทมนัสได้อีกต่อไป ทรงกันแสงปานจะขาดใจ
ลี่อินทำสิ่งใดไม่ได้ นางปลอบพระทัยมารดาอยู่เงียบ ๆ นางจำต้องบอกความจริงพระมารดาให้กระจ่าง ดีกว่าให้พระนางคาดเดาสิ่งต่าง ๆ ด้วยพระองค์เอง นั่นจะยิ่งทำให้พระมารดาทรงประชวรหนักกว่าเดิม
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่พาหลานกลับมาด้วย” เสวี่ยฉีพลันหวนนึกถึงหลานสาวที่น่าสงสารของตน
“หม่อมฉันต่อรองกับอ๋องหยางหมิงแล้วเพคะ แต่เขาไม่ยอม” ลี่อินทูลฮองเฮาอย่างจนใจ
“แล้วเช่นนี้เราจะทำอย่างไรกันดี อี้หนิง! อี้หนิง!ของข้า” ความโทมนัสของฮองเฮาทำให้พระนางกันแสงอีกครั้ง
สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลิวไหว ม่านรถม้าสะบัดไปมาตามแรงลม เด็กชายวัยสองขวบเล่นซนบนรถม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อย “ถานจุนเฟิง หยุดเล่นได้แล้วตอนนี้จะถึงจวนแล้ว” ลี่อินที่กำลังอ่านบัญชีร้านกล่าวกับโอรสของตน “จุนเฟิงมาหาพ่อ ท่านแม่กำลังคร่ำเคร่ง” หยางหมิงเรียกลูกชายมาหา บัดนี้เขาสิ้นคราบชิงอ๋องผู้บ้าคลั่ง กลายเป็นพ่อค้าธรรมดาเท่านั้น “จื้อหาวบอกว่า ดินแดนทางตอนเหนือของแคว้นหานมีดอกไม้กลิ่นหอมมากมาย แลไข่มุกก็ราคาถูกฮูหยินสนใจหรือไม่” หยางหมิงเอ่ยถึงสหายเก่าที่หลังจากสำนึกตนมาสองปี จึงติดต่อหาเขาอีกครั้ง “สนใจสิเพคะ ท่านพี่แจ้งโหวน้อยด้วยว่าหลังจากงานเฉลิมฉลองการก่อตั้งแคว้นเว่ย เราจะเดินทางไปเจรจาราคาอีกครั้ง” ลี่อินยิ้มกว้างนางดีใจทุกครั้งหากสามารถหาวัตถุดิบราคาถูกและดีได้ “ของขวัญอี้หนิงครบสี่ปีจะให้สิ่งใดนางดีเพคะ” ลี่อินขอความเห็นกับหยางหมิง “เช่นนั้นมอบร้านขายอัญมณีในเมืองเถียนชิง พร้อมกับเงินอีกหมื่นตำลึงให้นางดีหรือไม่ โตขึ้นมานางจะได้เป็นสตรีที่ร่ำรวยที่สุดในแค้นฉี ไม่มีผู
ใกล้พิธีอภิเษกสมรสของฉินตงหยาง หยางหมิงพาลี่อิงเข้าวังหลวงเพื่อขอพระราชทานอนุญาตร่วมพิธีอภิเษกสมรส “ทูลเสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมและพระชายามาขอให้ทั้งสองพระองค์พระราชทานอนุญาตเข้าร่วมงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทแคว้นหานพ่ะย่ะค่ะ” “กำลังตั้งครรภ์จะเดินทางไกลได้อย่างไร ให้เพียงหยางหมิงไปก็พอ ส่วนลี่อินพักอยู่ที่จวนเถอะ” ฮองเฮากล่าวแย้งทั้งที่ยังปักผ้าอยู่ “ทูลฮองเฮา รัชทายาทแคว้นหานเป็นสหายของหม่อมฉันจึงจำเป็นต้องไปร่วมยินดีเพคะ” ลี่อินไม่ยินยอมทำตาม “เจ้าไปรังแต่จะเป็นภาระ เดินเหินลำบากอยู่จวนดีแล้ว” “หม่อมฉันยังคล่องแคล่ว ครรภ์ยังอ่อนไม่ได้เป็นภาระแต่อย่างใด” นางโต้แย้งทุกคำห้ามของมารดาสวามี หยางหมิงกับฮ่องเต้ทำได้เพียงนั่งดื่มน้ำชาอย่างเงียบเชียบ ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดกระหว่างที่สตรีทั้งสองกำลังโต้แย้งกัน “นี่ เหตุใดถึงมิยอมเชื่อฟังเอาซะเลยเจ้าเป็นลูกสะใภ้สมควรเชื่อฟังแม่สามีมิใช่หรือ” อวิ๋นซินจ้องมองลี่อินด้วยสายตาตำหนิ หากแต่ลูกสะใภ้ผู้นี้กลับ
ม้าศึกคู่กายชินอ๋องหยุดนิ่งหน้าจวนอ๋อง บุรุษบนหลังม้าไม่รีรอมุ่งหน้าไปตำหนักตะวันออกด้วยความร้อนใจ ทว่าภายในตำหนักกลับไม่มีผู้ใดอยู่ทำให้แน่ใจแล้วว่าลี่อินหนีเขาไปจริง ร่างทั้งร่างของหยางหมิงหนักอึ้งจนมิอาจย่างก้าวได้ หัวใจทั้งดวงเต้นช้าลงเรื่อย ๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมาที่เจ้าของร่างไม่รู้ตัว ภพของลี่อินในเวลาโกรธ เวลาร้องไห้ หัวเราะ แข็งกร้าว ผุดขึ้นในหัวเขาซ้ำไปซ้ำมา “ไปแค้วนฉี!” คำสั่งเดียวของหยางหมิง ทำทั้งกองทัพต้องเดินทางอีกครั้ง ประชาชนต่างงุนงง กองทัพที่กลับเข้าเมืองเพียงหนึ่งชั่วยาม บัดนี้กลับเดินทัพอีกครั้งมีเหตุใดสำคัญจนมิหยุดพัก การเดินทางโดยไม่หยุดพักทำเหล่าทหารอ่อนล้าไม่น้อย หากแต่มิมีใครกล้าปริปากบ่น กองกำลังเรือนหมื่นเหยียบเข้าใกล้เมืองเถียนชิง “ท่านอ๋อง สายสืบแคว้นหานแจ้งข่าวว่ารัชทายาทตงหยางจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสอีกสิบห้าวันข้างหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เย่จินรายงาน ม้าศึกของหยางหมิงหยุดชะงักทันที เขาหวาดกลัวว่าสิ่งที่ตนคาดเดาจะเป็นจริง “ข่าวนี้แคว้นฉีรู้เรื่องหรือไม่” มือหนากำบังเหียนแน่นจนเ
หิมะในเมืองเหออันสงบลง คนเจ็บป่วยเพราะภัยหนาวไม่มีแล้ว หน้าที่ของลี่อินในเมืองเหออันจึงสิ้นสุดลง นางไม่มีความจำเป็นที่จะรั้งอยู่ที่เหออันอีก จึงคิดขอกลับเมืองหลวงเพราะเป็นห่วงร้านประทินโฉมอีกทั้งเรื่องในจวนไม่มีผู้ใดคอยจัดการ “ท่านอ๋อง ข้าจะกลับซู่โจวก่อนได้หรือไม่” ลี่อินยืนอยู่หน้าโต๊ะทรงอักษร สีหน้าจริงจังจ้องบุรุษที่ยังอ่านสาน์สของทัพอยู่ “รอกลับพร้อมข้า” เสียงเอาแต่ใจดังขึ้น “กว่าท่านอ๋องจะเสด็จกลับ ก็อีกครึ่งเดือน หม่อมฉันเป็นกังวลเรื่องร้านหมื่นบุปผา อีกทั้งกิจการของจวนอ๋องก็ไม่ได้ตรวจบัญชีมาแรมเดือน” “แต่หากเจ้าแอบหนีหลับแคว้นฉีเล่า” ครานี้หยางหมิงยอมเงยหน้าจากสาน์สกองทัพ มองมายังนางด้วยแววตาเศร้าสร้อย “หม่อมฉันจะหนีไปทำไมกัน” ลี่อินท้อใจที่จะอธิบาย “ก็เจ้าไม่มีใจให้ข้า หากครบสองเดือนสัญญาระหว่างข้ากับฮ่องเต้แคว้นฉีก็ถือว่าเป็นโมฆะ” น้ำเสียงเศร้าหมองนั้นลี่อินไม่ได้ตอบกลับ ยิ่งทำให้หยางหมิงรู้สึกหวาดหวั่น หากแต่นางกลับเดินไปหยุดเบื้องหน้าเขาพลางยอบก
ตงหยางมิอาจรั้งอยู่ในแคว้นอื่นได้นาน ยิ่งเป็นชายแดนแล้วความอึดอัดยิ่งเพิ่มมากขึ้น ก่อนหิมะจะตกหนักอีกครั้งจึงจำต้องบอกลาลี่อิน “ข้ายังยืนกรานคำเดิม หากเจ้ามิอยากอยู่กับชินอ๋องแล้ว ไปหาข้าที่แคว้นหาน แม้ไม่อาจห่วงใยในฐานะคนรักแต่ข้ายังห่วงใยเจ้าในฐานะสหายเสมอ” ตงหยางยื่นหยกประจำตัวกลับให้นางเช่นเดิม “ขอบพระทัยรัชทายาท” ลี่อินยอบกายกล่าวลา ก่อนรถม้าจะเคลื่อนตัวออกจากประตูเมืองไป หยางหมิงยิ้มพอใจเมื่อเห็นบุรุษอื่นที่นางห่วงใยจากไปเสียที แม้เป็นเพียงสหายแต่เขาก็ยอมรับไม่ได้เช่นเดิม “รัชทายาทยังคงตัดใจจากเจ้าไม่ได้” หยางหมิงมองหยกในมือลี่อิน “สักวันเขาจะเจอสตรีที่ตนรักเพคะ” ลี่อินกล่าวพลางหันกายเข้าเมืองไป “เหมือนข้าที่เจอแล้ว” หยางหมิงเดินตามนาง “ใครกันหรือเพคะ” “เจ้าไง อาอิน” ลี่อินหน้าแดงเมื่อเขาบอกชื่อสตรีในดวงใจ ก่อนก้มหน้ารีบเดินหนีเข้าโรงหมอไป ทำให้ชินอ๋องยิ้มอย่างมีหวังว่าภายในสองเดือนนางต้องยินยอมอยู่ข้างกายเขาเป็นแน่
“เราต้องกลับแคว้นเว่ยพรุ่งนี้” น้ำเสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “มีอะไรหรือไม่เพคะ” “เมืองอันเหอมีพายุหิมะถล่ม ราษฎรขาดแคลนเสบียง กองทัพที่นั่นมิอาจรับมือได้ข้าต้องรีบไปจัดการ “แล้วเหตุใดหม่อมฉันต้องไปด้วย ท่านอ๋องเดินทางลำพังจะไม่เร็วกว่าหรือ หม่อมฉันจะไปรอพระองค์ที่จวนพร้อมอี้หนิง” “ข้าจะไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้า” หยางหมิงแววตาจริงจังจ้องนางอยู่เช่นนั้น “หากแต่อี้หนิงยังเด็กหากเผชิญหิมะ...” “นางจะอยู่ที่แคว้นฉี” หยางหมิงกล่าวขัด “ท่านอ๋องตรัสว่าอย่างไรนะเพคะ?”ลี่อินไม่อยากเชื่อว่าหยางหมิงจะยินยอมให้อี้หนิงที่มีสายเลือดของตระกูลถานอยู่ที่แคว้นฉี “นางอยู่ที่นี่จะมีความสุขกว่า ไม่ต้องถูกสายตาดูแคลนของผู้อื่นจ้องมองเช่นที่อยู่ในแคว้นเว่ย ที่นั่นไม่สามารถให้ความรักกับนางได้ต่างจากไทเฮาเสวี่ยฉีที่มอบความรักให้กับเด็กคนนั้นได้ไม่สิ้นสุด”คำพูดของหยางหมิง ทำให้นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ห่วงใยผู้อื่นมากกว่าที่เขาแสดงออก คลื่นความสุขจึงก่อตัวขึ้นภายในใจของนางอ