เมื่อราตรีมาเยือน ฉูหนิวก็เข้ามาประคองให้มู่ชิงตานนั่งพิงกับเตียง และลงมือบีบนวดข้อเท้านวลให้นายหญิงแผ่วเบา
“พรุ่งนี้จะเป็นวันพักผ่อนประจำเดือนของแม่นางชิงตาน ในเมื่อขาท่านยังไม่หายเจ็บก็ยังไม่ควรออกไป...” ฉูหนิวมองด้วยแววตาน่าสงสาร
แม้จะบอกว่ามู่ชิงตานไปที่ใด ฉูหนิวย่อมไปที่นั้น แต่ทุกเดือนยามมู่ชิงตานออกไปพักผ่อนด้านนอกหอวสันต์สีชาด นางมักจะต้องรออยู่ที่นี่ อย่างว่า...สาวใช้อย่างนางไม่ได้มีวันพักผ่อนนี่นา
“อาหนิว ข้าจำเป็นต้องออกไป ข้าไม่ได้อยากจะอยู่ที่แห่งนี้ไปตลอดหรอกนะ” ทุกเดือนแม่เล้าม่อหรันจะให้หญิงคณิกาสามารถพักผ่อนได้หนึ่งวัน โดยทั้งวันไม่ต้องรับแขก มู่ชิงตานมักชอบออกไปข้างนอกหอนางโลมเสมอ หากให้พักอยู่ในที่แห่งนี้นางไม่อึดอัดตายหรือ “พรุ่งนี้อาหนิวก็ออกไปพร้อมข้าเถิด ข้าจะไปขอท่านแม่ให้ อาหนิวก็ไปรอข้าอยู่ที่บ้านในตรอก ข้าอยากไปไหว้พระเสียหน่อย”
“จริงหรือเจ้าคะ พรุ่งนี้อาหนิวตามแม่นางชิงตานไปได้จริงหรือเจ้าคะ” สาวใช้ตัวน้อยยิ้มร่าอย่างอารมณ์ดี
“ข้าพูดแล้วไม่คืนคำ อาหนิวไปพักเถอะ”
มู่ชิงตานยกยิ้มงามมองตามร่างสตรีตัวน้อยอย่างเอ็นดู พรุ่งนี้ก็ไปเยี่ยมบุรุษผู้นั้นเสียหน่อย...
เมื่อทั้งสองมาถึงบ้านในตรอก มู่ชิงตานก็ให้ฉูหนิวไปต้มยามาให้บุรุษที่นอนไม่ได้สติทันที ในเมื่อแผลบนหัวนางก็มีส่วนผิด นางก็เพียงแสดงความรับผิดชอบเท่านั้น
“ใคร!” เสียงแหบพร่าถามออกมาอย่างไม่ไว้ใจ มือใหญ่รีบจับดาบข้างเอวหนาอย่างรวดเร็ว
“คุณชาย ข้าคือมู่ชิงตาน ที่ช่วยคุณชายไว้เมื่อคืนก่อนเจ้าค่ะ” นางตอบชัดถ้อยชัดคำ
“มู่...” นางนี่เอง
“ข้าจะล้างแผลให้ท่านเอง แผลบนหัวก็สมควรเปลี่ยนผ้าแล้ว” มู่ชิงตานเห็นเลือดบนหัวซึมออกมาจนเปรอะไปทั่วผ้าสีขาวที่พันอยู่บนศีรษะของเขาก็ยิ่งรู้สึกผิด
ชายหนุ่มลืมตาขึ้นเต็มตา มองสตรีตรงหน้าด้วยความตะลึง งามกว่าที่เขาจินตนาการไว้มากนัก... คืนก่อนเป็นเพราะความง่วงเลยทำให้มองนางได้ไม่เต็มตา
หากมองข้ามรอยแผลเป็นตรงข้างหูของนางก็ยังงามอยู่ดี แม้มันจะดูจางๆ แต่เขากลับมองออกว่านางมีแผลเป็นตรงนี้จริงๆ
“เจ้าบอกว่าเจ้าคือมู่ชิงตาน” น้ำเสียงแหบถามออกมาแทบไม่ได้ศัพท์แต่กลับทำให้ชวนฟังราวกับถูกสะกดเอาไว้
“ใช่” แม้นางจะตอบแต่กลับไม่ได้เหลือบมองเขาสักนิด มือเล็กก็ลงมือล้างแผลให้เขาต่อ
เขาประเมินหญิงงามตรงหน้าด้วยแววตาสับสน คืนก่อนจำได้ว่านางหวาดกลัวเขายิ่งกว่าอะไร แต่มายามนี้กลับไม่กลัว?
มู่ชิงตานที่นางเป็นคือคนไหนกันแน่
คนที่อ่อนแอไร้แรงต่อสู้ หรือคนที่นิ่งเฉยมีสติต่อทุกสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเขายามนี้กันแน่
หรือนางกำลังตบตาเขาทำเป็นไม่กลัวงั้นหรือ
“ได้ข่าวว่าแม่นางชิงตานมีดาบหลอมพิษ” เขาเหล่ตามองนาง แต่กลับไม่ได้พบสีหน้าหวาดกลัวแม้แต่น้อย
“เรียนคุณชาย ชิงตานได้ดาบมาไม่ผิด แต่ยามนี้ดาบเล่มนั้นไม่ได้อยู่ที่ชิงตานแล้วเจ้าค่ะ”
นางเปลี่ยนเสียงเรียกขานของตนเอง? คงจะติดมาเวลารับแขกน่ะสิ เขาลืมได้อย่างไรว่านางเป็นหญิงคณิกา
เขาสะบัดมือนางออกอย่างรังเกียจ มู่ชิงตานมองไม่ผิด เขาดูรังเกียจนางจริงๆ!
“งั้นเป็นผู้ใดได้ดาบไปกัน”
“ชิงตานไม่ทราบเจ้าค่ะ วันนั้นที่รับแขกอยู่ห้องโถงของเรือน ชิงตานกลับเข้ามาก็ไม่พบดาบแล้ว”
เขาเหลือบมองมู่ชิงตานก็พบว่านางไม่ได้หลบสายตา นั่นก็คือนางไม่ได้พูดโกหก
เขาเรียนวิชามามากมาย เพลงดาบ วิชากระบี่ มีดบิน ปรุงยาพิษ หรือไม่ว่าจะเป็นวิชาอ่านใจก็เรียนมาหมด ยามอ่านใจฝ่ายตรงข้ามเขาก็ไม่เคยผิดพลาด
“แม่นางชิงตาน อาหนิวต้มยาเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ฉูหนิวประคองสำรับยาอย่างระมัดระวัง
“เชิญคุณชายดื่มยา หากจะให้ชิงตานป้อนก็ดูไม่ควร”
นางกำลังพูดเหน็บแนมเขาใช่ไหม! ที่เมื่อครู่เขาทำรังเกียจนาง
เขารับถ้วยยามาแล้วดื่มรวดเดียวจนหมด ก่อนจะวางถ้วยยาเสียงดังลั่น แต่มีเพียงฉูหนิวคนเดียวที่ตกใจ ตรงกันข้ามกับมู่ชิงตานที่นิ่งสงบ เขาต้องประเมินนางใหม่อีกครั้งหรือไม่
“ถ้าเช่นนั้นชิงตานขอตัวก่อน”
ยังไม่ทันที่มู่ชิงตานจะลุกขึ้นยืนก็ถูกเขาคว้าแขนขึ้นมาเสียก่อน นางมองอย่างงุนงง บุรุษผู้นี้จะเอาอย่างไรเมื่อครู่ก็ยังทำท่ารังเกียจนาง มายามนี้เล่นมาจับแขนนางแน่นไม่ปล่อย
“เจ้าถูกพิษหรือ” เขาจับชีพจรของนางเพื่อตรวจสอบร่างบางให้ถี่ถ้วน เดิมทีจะตรวจว่านางมีวรยุทธ์หรือไม่ นอกจากจะไม่มีแล้วยังแถมพิษอยู่ด้านในตัวอีก
“คุณชาย! ท่านรู้รึไม่เจ้าคะว่าแม่นางชิงตานถูกพิษอะไร” ฉูหนิวถามขึ้น ดูร้อนใจยิ่งกว่านายหญิงของนางเสียเอง
“ไม่ทราบ แม้ข้าจะรู้เรื่องพิษมากมาย แต่กลับไม่รู้จักพิษชนิดนี้มาก่อน” เขาปล่อยมือนางออกอย่างรังเกียจอีกครั้ง “เช่นนี้ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมของแม่นางแล้ว”
“นะ นี่!” ฉูหนิวชี้หน้าด้วยความโมโหแต่ถูกมู่ชิงตานขัดไว้เสียก่อน
“อาหนิว อย่าเสียมารยาท” สาวงามเอ่ยออกมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน มองไปยังชายหนุ่มด้วยแววตาอ่อนโยน “ขอบคุณ คุณชายที่ไขข้อข้องใจให้ชิงตาน รู้ว่าที่ร่างกายต้องป่วยเช่นนี้เป็นเพราะถูกพิษ แม้ต้องตายชิงตานก็ตายอย่างหมดห่วงแล้ว”
“แต่หากเจ้านำดาบหลอมพิษมาแลก ข้าก็อาจจะช่วยเจ้าถอนพิษดู”
“คุณชาย แม้ชิงตานจะอยากหายแต่จะให้ไปตามหาดาบหลอมพิษอีกชิงตานก็เกรงว่าจะตายระหว่างทางเสียก่อน เช่นนั้นชิงตานขอตัว ขอให้คุณชายหายไวในเร็ววันนะเจ้าคะ”
นางพูดจบก็ไม่สนว่าบุรุษผู้นั้นจะมีอาการเช่นไร รีบเดินออกไปจากบ้านให้ไว จนพ้นประตูมาแล้วมู่ชิงตานจึงกล้าถอนหายใจ
“แม่นางชิงตาน ท่านทนได้อย่างไรเจ้าคะ อาหนิวแค่ได้ยินเสียงเขายังกลัวเลย นี่หากท่านไม่ได้บอกให้อาหนิวห้ามพูดเรื่องดาบออกมา อาหนิวก็เกือบเผลอหลุดปากไปแล้วนะเจ้าคะ”
“ลำบากอาหนิวแล้ว” มู่ชิงตานมองสาวใช้ตัวน้อยอย่างเอ็นดู หากปล่อยให้นางอยู่ที่นี่ก็เกร็งว่าจะกลัวจนไม่กล้าไปไหนเสียก่อน “ไปไหว้พระกับข้าเถอะ”
“ได้จริงหรือเจ้าคะ”
“ในเมื่อออกมาแล้ว ก็ไปด้วยกันนี่แหละ แต่วัดที่ข้าจะไปมีกฎว่าห้ามเสียงดัง เช่นนั้น...”
“แม่นางชิงตานไว้ใจอาหนิวเถอะเจ้าค่ะ อาหนิวจะไม่พูดมากเสียงดัง!” ฉูหนิวยิ่งตื่นเต้นก็ยิ่งพูดมากขึ้นและเสียงดังขึ้นจนลืมตัว จนเห็นว่ามู่ชิงตานยกนิ้วชี้ขึ้นปรามนางจึงได้รู้สึกตัวแล้วเอาสองมืออุดปากตนไว้แน่น
สองเงาร่างสตรีเดินไปตามทางยาวของตรอกลึก โดยไม่รู้สึกตัวว่ามีสายตาดุจเหยี่ยวจ้องมองสตรีร่างบางที่ยิ้มรับท่าทางของสาวใช้ด้านข้างอยู่
“มู่ชิงตาน...” เสียงแหบพร่าเอ่ยออกมาจากปากของบุรุษในเรือนอย่างแผ่วเบา
ยามเมื่อทั้งสองกลับมายังหอวสันต์สีชาดอีกครั้งก็พบว่า แม่เล้าม่อหรันยืนรออยู่ตรงทางเข้าด้วยสีหน้าเปรมปรีราวกับอิ่มอกอิ่มใจ
“ท่านแม่ มีเรื่องอะไรเจ้าคะ”
“เร็วเข้าจับมู่ชิงตานไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า!” มู่ชิงตานที่กำลังมึนงงอยู่นั้นมองแม่เล้าอย่างไม่เข้าใจ เห็นนางยังมองอยู่จึงเท้าเอวใส่มู่ชิงตานอย่างวางอำนาจ “ยังไม่รีบไปอีก คืนนี้เจ้าจะต้องประมูลราตรีแรก”
ประมูลราตรีแรก... นี่มันอะไรกัน!
เมื่อทั้งสองมาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนของโม่จือตาน หญิงสาวก็ตรงดิ่งไปทางห้องนอนเล็กของเด็กน้อยทั้งสอง ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบลอดออกมาแทน“พี่อีเหริน พี่ว่าวันนี้ท่านพ่อกับท่านแม่จะกลับมาหรือยัง” เด็กชายถามผู้เป็นพี่สาวที่อยู่เตียงข้างๆ“พี่ไม่รู้เหมือนกัน แต่ท่านแม่สัญญาแล้วว่าจะพาท่านพ่อกลับมา เจ้าก็นอนได้แล้ว”โม่จือตานไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กพวกนี้ยังไม่ได้หลับเลยนี่นา!“ยังไม่อยากนอนเลย เอ้อร์หลานกลัวว่าจะพลาดตอนที่ท่านแม่กับท่านพ่อกลับมาแล้ว แต่ตัวเอ้อร์หลานยังหลับอยู่บนที่นอน”หญิงสาวกุมขมับแน่น ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกจากลำคอ “ถ้าพวกเจ้ายังไม่หลับ แม่จะออกไปเที่ยวกับพ่ออีกครั้งแล้วนะ”“ท่านแม่!!” เด็กน้อยสองคนวิ่งออกมาจากนอกห้อง จากนั้นก็พบร่างสูงอีกร่างที่เคียงคู่กัน “ท่านพ่อ!!”ร่างเล็กกระโดดขึ้นกอดซวี่รุ่ยเข่อแน่น น้ำตาของเด็กน้อยไหลออกมาพร้อมความทรงจำต่างๆ นาๆ ที่พรั่งพรูออกมายามเจอผู้เป็นบิดาครั้งแรก‘นายท่าน... ข้าน้อยและน้องชายยินดีรับใช้ท่าน ที่ซื้อตัวข้าทั้งสอง แต่ได้โปรดซื้อโลงศพให้บิดาข้าน้อยแล้วทำพิธีให้ด้วยเจ้าค่ะ’ เด็กสาวก้มหน้าแนบลงพื้นดินใกล้เท้าชายหนุ่มร่า
“ชิงเอ๋อร์ อย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าทำเพื่ออยากตอบแทนบุญคุณให้ท่านพ่อตา แต่กลัวเจ้าจะเป็นห่วงเช่นนี้...เลยไม่ได้บอก” ชายหนุ่มอธิบายไปด้วยกอดเอวนางพร้อมกับซุกหน้าที่ซอกคอนางไปด้วย“แล้วเป็นเช่นไร สุดท้ายเสี่ยวชิงก็ต้องมาตามหาท่าน”“อืม...กลายเป็นว่าคนที่ข้าติดหนี้ชีวิต จะเป็นภรรยาตัวแสบของข้า” จากนั้นก็ก้มหน้าหอมนางหนึ่งฟอดโดยไม่อายผู้ใด“นี่! ไม่อายผู้อื่นเลย” โม่จือตานทั้งตวาดทั้งเขินอาย ตำหนิชายหนุ่มที่ส่งมอบความรักให้โดยไม่เลือกสถานที่ชนเผ่าทะเลทรายแสร้งทำเป็นไม่มองทำงานของตัวเองเดินผ่านพวกเขาทั้งคู่ไป...หลังจากทั้งคู่ทานอาหารที่ชนเผ่าสาวยกมาให้ เลยตั้งใจว่าจะพักอยู่ที่นี่อีกหนึ่งราตรีก่อนจะกลับสำนัก“เสี่ยวชิง...ที่นี่ก็ได้บรรยากาศดีนะ”ไม่ผิดจากที่ซวี่รุ่ยเข่อคาดไว้ ทันทีที่โม่จือตานได้ยินเขาพูดเช่นนี้ออกมา ก็ปรากฏดวงหน้าสีชมพูระเรื่อขึ้นมาเห็นแล้วราวกับผลไม้ที่กำลังสุกงอมได้ที่“เสี่ยวชิง คืนนี้นะ” จากนั้นหญิงสาวก็วิ่งหายออกไปไม่รอให้เขากล่าวคำพูดแทะโลมใดๆ อีกเมื่อยามโพล้เพล้มาถึง พระอาทิตย์ตกลงเส้นขอบของทะเลทราย เห็นเป็นภาพงดงามที่ยากจะลืมเลือน“สวยมากเลยนะเจ้าคะ” โม่จือตานที่ได้
15ร่างเพรียวบางของสตรีโฉบลงมาเหยียบระหว่างกึ่งกลางของพื้นดินและพื้นทราย ก่อนจะตัดสินใจสะบัดย่ามไปข้างหลังแล้วก้าวเข้าไปในเขตที่ร้อนระอุระหว่างทางก็ยังพบคนชนเผ่าสัญจรไปมาสม่ำเสมอ นางก็กล่าวทักทายไปตามมารยาทเช่นกัน โม่จือตานปาดเหงื่อบนหน้าผากออกเพราะความร้อน“แม่นางมีเรื่องอะไรต้องเดินทางมาถึงทะเลทราย หรือว่าหลงทางกัน” สตรีชนเผ่านางหนึ่งเอ่ยถามนางขึ้นขณะที่ยังยกโอ่งน้ำไว้บนหัวโม่จือตานราวกับได้เปิดหูเปิดตามองสตรีที่ขนน้ำเข้ามาในทะเลทรายด้วยสีหน้าตื่นเต้น “เปล่าหรอก ข้าแค่มาหาคน ว่าแต่...เจ้าไม่หนักหรือ” ว่าแล้วก็ชี้ขึ้นไปบนหัว“ไม่หรอก มันเป็นเรื่องปกติของเผ่าเรา ต้องเปลี่ยนกันไปหาน้ำ ล่าสัตว์เพื่อมาเลี้ยงคนในเผ่าน่ะ” นางอธิบายยาวเหยียด “ถ้าแม่นางไม่ได้หลง ข้าก็ขอตัวก่อน ขอให้ท่านโชคดีเจอคนที่กำลังตามหานะ”โม่จือตานยินดีรับคำอวยพรที่หญิงชนเผ่านางนั้นให้ ก่อนจะย่างเท้าเข้าไปลึกกว่าเดิมเวลาล่วงเลยมานานจนถึงเวลาค่ำ เสียงจันทร์กระจ่างส่องกระทบร่างเล็กที่ยังไม่หยุดพัก แม้เจ้าสำนักจะเคยบอกนางแล้วว่าทะเลทรายตอนราตรีนั้นน่ากลัวมาก ให้หยุดพักแล้วกางกระโจมก่อน แต่นางไม่รู้ว่ายามนี้ซวี่รุ่ยเข่
โม่จือตาน และ ‘ซวี่รุ่ยเข่อ’ เดินมาทางโต๊ะอาหารพร้อมกัน นางเองก็ช่วยประคองร่างเขาอย่างดี โม่อู๋หลินที่เพิ่งมาถึงก็มองมาทั้งคู่ด้วยสายตาเหนื่อยล้า“ทำไมยังไม่กินกันล่ะเจ้าค่ะ เสี่ยวชิงว่าพี่เข่อกับท่านอาเล็กคงจะเหนื่อยน่าดู รีบยกอาหารมาให้ทั้งคู่เถอะเจ้าค่ะ” โม่จือตานให้เขานั่งลงใกล้นาง ก่อนจะรินน้ำให้เป็นอันดับแรก “พี่เข่อ...น้ำเจ้าค่ะ”“อืม...ขอบ... แค่ก!” ยังไม่ทันพูดอาการไอก็กำเริบขึ้นมาอีก“แค่ไปทำภารกิจแค่นี้ถึงขั้นไม่สบายกลับมาเชียวหรือเจ้าคะ พี่เข่อนี่เหตุใดไม่รักตัวเองเสียเลย” นางกล่าวเสร็จก็ช่วยทุบหลังให้เช่นเดิม“ท่านแม่ๆ ท่านพ่อเป็นอะไรไหมเจ้าคะ ไอจนหน้าแดงหมดแล้ว” ซวี่อีเหรินถามด้วยความสงสัย“ท่านพ่อของพวกเจ้าคนนี้น่ะ ไม่เป็นอะไร...” หยุดพูดครู่หนึ่ง ก็พูดต่อพพร้อมกับตบบนแผ่นหลังอย่างแรงพร้อมกัน “...หรอก!!”“โอ๊ย!!”โม่จือตานกล่าวเสร็จก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปโดยไม่หันไปมองผู้ใดอีก จากนั้นฝีเท้าเล็กๆ สองคู่ก็วิ่งตามออกไปเช่นกัน“ข้าบอกแล้ว ยังไงนางก็จำได้” เสียงบ่นลอดออกมาจากปากของ ‘ซวี่รุ่ยเข่อ’ ที่ใช้มือลูบหลังอันแสบร้อนแม้มันจะไปไม่ถึงทั่วทั้งแผ่นหลัง“เอาน่า ยังมีอีเหร
โม่หวางเป้ยยืนเอามือไพล่หลังมองบนดวงจันทร์ด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม พระจันทร์ก็ขึ้นนานแล้วเหตุใดยังไม่เกิดสิ่งใดอีก“ท่านพี่กลุ้มใจเรื่องเสี่ยวเข่อหรือเจ้าคะ” จูซิงอีเดินมาประชิดข้างกายสามี ก่อนจะใช้ผ้าคลุมร่างให้เขา “คืนนี้อากาศหนาวเย็น ท่านอย่าฝืนตัวเองนักเลย”“อืม... เจ้าบุตรเขยของข้านั้นน่าเป็นห่วง ไม่รู้ว่ายามนี้จะเป็นเช่นไร ข้าส่งจดหมายไปให้เขาด้วยเหยี่ยวของสำนัก แต่ดูเหมือนว่าจะไปไม่ถึง”ที่เหยี่ยวบินเข้าไปไม่ถึง เป็นไปได้ว่าทะเลทรายที่ซวี่รุ่ยเข่อเดินทางเข้าไปคงลึกมากเป็นแน่“ท่านพี่ เดิมทีข้าก็คิดว่าเขาเก่งกาจและไม่น่าเป็นห่วง แต่เสี่ยวเข่อเล่นหายไปโดยไร้ร่องรอยตอบกลับเช่นนี้ข้าก็เป็นห่วงเขาขึ้นมาจริงๆ” ภรรยาของเจ้าสำนักถอนหายใจอยู่ด้านข้าง “ข้ารู้สึกผิดต่อเสี่ยวชิงเหลือเกิน”ยามที่ได้ยินภรรยาตัดพ้อเช่นนี้เขาก็ถูกกระแสบางอย่างเข้ามาในหัวจังๆ ราวกับว่าเขาเป็นคนผิดที่สั่งบุตรเขยไปสถานที่อันตรายเช่นนั้น “ข้าสิต้องรู้สึกผิดต่อลูก น้องหญิง...ไม่ใช่เจ้า เป็นข้าเอง ข้าส่งจดหมายไปหลายครั้งว่าถ้าเขาเหนื่อยก็ให้กลับมา แล้วหาวิธีอื่น แต่ยามนั้นข้าเป็นห่วงอาหลินจนลืมคิดวิธีสำรอง คิดว่าต้องหาพื
หลังจากที่ทั้งสามแวะทักทายติงเจี่ยและสวี่เซวียเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น โม่จือตานก็พาเด็กทั้งคู่แวะไหว้พระที่นอกประตูสำนักพร้อมกับบอกลูกๆ ว่าให้ขอพรเพื่อซวี่รุ่ยเข่อจะได้ทำภารกิจสำเร็จจนปลอดภัยหลับมา“ท่านแม่ขอรับ ถ้าเอ้อร์หลานปักธูปไปในกระถาง ท่านเทพจะได้ยินคำอวยพรแล้วไปช่วยท่านพ่อใช่หรือไม่ขอรับ” เด็กชายขอพรเสร็จก็เข้ามาประจบโม่จือตานทันทีนางมองซวี่เอ้อร์หลานด้วยแววตาอ่อนโยน มือบางก็ยกขึ้นลูบหัวไปมา “อืม ลูกเก่งมาก ตัวแค่นี้ก็ปักธูปด้วยตัวเองได้แล้ว”ซวี่อีเหรินจึงรีบปักธูปลงไปบ้างก่อนจะกระโจนเข้าไปกอดนาง “ท่านแม่ อีเหรินก็ปักธูปให้ท่านเทพไปช่วยท่านพ่อแล้วเจ้าค่ะ”“อีเหรินตัวน้อยของแม่ก็เก่งมากเหมือนกัน” โม่จือตานหัวเราะให้กับนิสัยประจบประแจงของทั้งคู่ ถึงปากเล็กจะพร่ำบอกเช่นนั้นแต่มือของนางก็กอดเด็กสาวเข้ามาใกล้ชิดนางมากขึ้นเช่นกันอีกด้านหนึ่งนั้นซวี่รุ่ยเข่อตื่นขึ้นมากลางทะเลทรายในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นฝูหยวน เนื่องจากตัวเขามีวิชาตัวเบาที่ดีเลิศ การมาถึงที่นี่ในเวลาหนึ่งวันย่อมเป็นไปได้ แต่...นี่ก็จะปาเข้าอาทิตย์ที่สองแล้ว เขารอมาทุกราตรีกลับไม่มีทีท่าว่าดวงจันทร์จะเกิดปรากฏก