ตำหนักมู่ฮวา — ยามเซิน“เหวินเอ๋อร์...เจ้ารู้หรือไม่ อำนาจไม่เคยมอบให้ใคร มันต้องช่วงชิง”เสียงเรียบเย็นของพระสนมชิงอวี่เอ่ยกับพระโอรส ในขณะที่นางนั่งพิงพนักหยกขาว เบื้องหน้าคือโต๊ะน้ำชาเคลือบเคลิ้มด้วยไอน้ำอุ่น นางยกชาขึ้นจิบช้า ๆ ก่อนจะหลุบตาลงอย่างรื่นรมย์ แม้สีหน้าดูอ่อนหวาน มุมปากยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ทว่าแววตากลับลึกล้ำดั่งธารามืดในเหมันต์เบื้องหน้าคือ หลงเหวินหยาง โอรสของนางผู้มีสายพระโลหิตของจักรพรรดิ องค์ชายผู้สง่าอยู่ในชุดสีดำหมึก กำลังทอดสายตาไปยังแผนที่ผืนใหญ่ที่คลี่อยู่บนโต๊ะไม้จันทน์อีกตัวภายใต้แสงตะเกียงทองคำวูบไหว ชิงอวี่ลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้จันทน์ แผนที่ราชสำนักต้าเฉิง ที่แต่งแต้มเส้นทางสีแดงเข้มทอดผ่านภูผาซับซ้อน ริมขอบเป็นลายมืออักษรเล็กที่จดจังหวะเดินขบวนและจุดหยุดพักของคณะทูตจากต้าเหยียน มือเรียวยกถ้วยชาจิบ ก่อนวางลงบนจานรองอย่างแผ่วเบา เสียงกระทบกันดังกริกองค์ชายหลงเหวินหยางยืนกอดอก ดวงตาคมกริบเป็นเงาดำใต้แสงตะเกียง เขาหรี่ตามองเส้นสีแดงที่ลากผ่าน ชั่วจินโป๋ซานหลู เส้นทางแคบขนาบผา หนทางที่คณะทูตจะผ่านก่อนเข้าสู่ประตูเมืองหลวงหลงเหวินหยาง มองตาม
ตำหนักชิงอวิ๋น — ยามโหย่ว“ท่านแม่ ปลานี่อร่อยยิ่งนักขอรับ”เสียงเล็ก ๆ ของหลงจิ่นอวิ๋นเอ่ยขึ้นอย่างสดใส ดวงตากลมโตเปล่งประกายระยับชอบใจบนโต๊ะกลมเล็กใต้ม่านหยกขาว ไป๋ลี่เยว่นั่งอยู่ในชุดผ้าแพรสีอ่อนเรียบง่าย มือหนึ่งคีบเนื้อปลานุ่มส่งให้โอรสตัวน้อย อีกมือเช็ดปากลูกเบา ๆ ดวงหน้านางมีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่ แม้ในแววตาจะซ่อนความซ่อนกังวลไว้บางส่วน“ดีแล้ว เจ้าชอบแม่ก็ดีใจ” นางเอ่ยเสียงเบา ลูบศีรษะลูกน้อยด้วยแววรักใคร่เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบา ๆ ก่อนเงาร่างสูงในอาภรณ์สีเขียวเข้มจะก้าวเข้ามา หลงเจิ้งหยางทอดตามองภาพตรงหน้าอย่างอ่อนโยน ดวงตาคมแข็งในยามศึกนุ่มลงอย่างห้ามไม่อยู่“วันนี้ท่านพ่อกลับมาเร็ว” เด็กน้อยเงยหน้าทักด้วยรอยยิ้มกว้าง หลงเจิ้งหยางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เขาเดินเข้าไปใกล้ย่อตัวยกมือลูบศีรษะโอรสเบา ๆ พลางปรายตามองพระชายาของตน ก่อนจะหย่อนกายนั่งข้างนางอย่างสงบนิ่งประหนึ่งไม่มีเรื่องใดให้กังวลไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองสบตาเขาเพียงครู่ ริมฝีปากเม้มแน่น ก่อนจะหันไปประคองถ้วยน้ำซุปให้ลูกอย่างเงียบงัน ยังไม่ทันเอ่ยถาม เสียงเด็กน้อยก็แทรกขึ้นอีกครั้ง“ท่านพ่อ วันนี้มีเรื่องหนักอกหรือขอ
ตำหนักมู่ฮวา“เสด็จแม่…ท่านก็ได้ยินแล้วใช่หรือไม่” เสียงของหลงเหวินหยางเค้นต่ำ ริมฝีปากบิดเบี้ยวด้วยรอยยิ้มเหยียด ลมหายใจร้อนจัดราวเพลิงที่อัดแน่นในอก คล้ายสะกดบรรยากาศในห้องให้ร้อนระอุ ต่างจากอากาศนอกหน้าต่างที่เย็นเฉียบ โปรยปรายด้วยหิมะกลิ่นกำยานจันทน์แผ่ไอลอยอ้อยอิ่ง ดั่งหมอกพิษคลุมทั่วห้องโถง ม่านแพรสีเขียวหยกสะบัดเบาตามแรงลม กลีบเหมยในแจกันทองแดงร่วงโรยส่งกลิ่นขื่นขม ตำหนักของพระสนมชิงอวี่แม้ดูอ่อนหวานในสายตาผู้อื่น แต่ยามนี้กลับแฝงความอันตรายของความริษยาเสียงถ้วยกระเบื้องกระทบจานรอง ดังแผ่ว…ราวกับใช้มันเพื่อรองรับความโกรธของอารมณ์“วันนี้…ฮ่องเต้กลับตัดสินข้า…ทรงเลือกองค์ชายสามให้รับทูตต้าเหยียน... ทรงเชื่อถ้อยคำของเจิ้งหยางเพียงผู้เดียว เพียงเพราะเขาเป็นพระโอรสของฮองเฮา เพียงเพราะเขาเป็นแม่ทัพ ฮ่องเต้ปล่อยให้เจิ้งหยางแย่งหน้าที่ ที่ควรเป็นของข้าไปต่อหน้าขุนนางทั้งท้องพระโรง ทั้งที่ข้าเตรียมการที่จะเป็นผู้ได้รับเกียรตินั้นมานับเดือน มันควรเป็นของข้าแท้ ๆ แต่ ข้า…กลับต้องฝืนยิ้ม ก้มหน้าน้อมรับความพ่ายแพ้”น้ำเสียงเขาเคียดแค้นจัด ในอกร้อนผ่าว มือกำแน่นจนข้อขึ้นขาว จนเส้นเอ็นลอย
หอพระโรงชุมนุมขุนนาง – รุ่งเช้าหลังหิมะตกหนักหิมะบางยังเกาะตามชายอาภรณ์ของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ทยอยเข้าสู่หอชุมนุมอย่างเคร่งขรึม เสียงรองเท้าหนังสัตว์กระทบบนพื้นศิลาหินก้องสะท้อนภายใต้เพดานสูง เสาหินแกะลวดลายมังกรโบราณเงียบงัน ทว่าเหมือนจ้องมองมนุษย์อย่างลึกลับจากเบื้องบนฮ่องเต้ประทับเหนือบัลลังก์มังกรในฉลองพระองค์คลุมขนจิ้งจอกสีดำ สายพระเนตรทอดนิ่งราวหยั่งจิต ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ที่ทยอยค้อมกายถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียงเสียงขันทีหลวงประกาศราชกิจขึ้นอย่างกังวาน“ขอถวายรายนามราชทูตแคว้นต้าเหยียน จะเดินทางถึงเมืองหลวงภายในห้าวัน ขอฝ่าบาททรงพระเมตตาแต่งตั้งผู้รับรองทูตเพื่อเป็นตัวแทนพระองค์โดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ”สิ้นเสียงขันทีประกาศสงบลงบรรยากาศยังเงียบขรึม ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกจากแถวมาคำนับ และกล่าวทูลเสียงดังขึ้นแทบจะทันที“กระหม่อม เวินซื่อเจี้ยน เสนาบดีฝ่ายธรรมบัญญัติ ขอเสนอให้องค์ชายสอง หลงเหวินหยาง ทรงเป็นผู้รับหน้าที่เจรจาครานี้พ่ะย่ะค่ะ เพราะองค์ชายสองเหมาะสมที่สุด พระองค์ทรงเปี่ยมวาทศิลป์ เป็นผู้มีความสามารถศาสตร์ด้านการเจรจา เข้าใจระเบียบธรรมเนียมการทูตมากกว่าผู้ใด และเป็นผู้มีค
เรือนรองในตำหนักชิงอวิ๋น ยามสายของยามเฉิน หิมะบางเบาโปรยปรายลงบนยอดไม้ด้านนอก ต้นเหมยใต้เฉลียงยังคงผลิบานพลิ้วไหวท้าลมหนาวอย่างสง่างาม กลีบดอกสีแดงชาดแต้มอยู่กลางสีขาวโพลนของหิมะบริสุทธิ์งดงามราวภาพวาด ม่านบางพลิ้วไหวกระพือเบาตามลม กลิ่นชาอู่หลงหอมกรุ่นลอยอวลเจืออยู่ในอากาศ อบอุ่นเพียงพอจะกลบความหนาวเย็นของยามเช้าได้อย่างอ่อนโยน หงเหมยรินถวายถ้วยชา ก่อนจะก้มตัวถอยออกไปเงียบงัน อย่างรู้หน้าที่ปล่อยให้ความสงบกลับคืนสู่เรือนรอง ภายในห้องเหลือเพียง ฮองเฮาที่ประทับนั่งอยู่ด้านหน้าในอาภรณ์ขนจิ้งจอกสีเงินอ่อน แววตาแน่นิ่งแต่เปี่ยมด้วยความคิดลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน ไป๋ลี่เยว่นั่งที่ตั่งเล็กอย่างนอบน้อมและสำรวมด้วยความเคารพ ทั้งคู่เผชิญหน้ากันด้วยรอยยิ้มละมุน แววตาทั้งสองประสานกันอย่างสงบ แต่ลึกซึ้งคล้ายอาวุธที่ซ่อนปลายไว้ในปลอกไหม“เจิ้งหยางพาจิ่นอวิ๋นไปดูลูกม้าตัวใหม่ในคอกแล้ว… เด็กน้อยคงวิ่งตามหลังบิดาจนหิมะเกาะชายอาภรณ์หมดแล้วเป็นแน่… น่าเอ็นดูเสียจริง” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของฮองเฮาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ“ข้าจึงถือโอกาสนี้…พูดในสิ่งที่ควรพูดเสียที” ฮองเฮาเอ่ยเสียงนุ่มแต่ แววตาส่งมาที่ไป๋ลี่
“องค์ชายน้อย…โปรดใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายนอกห้องบรรทม แสงอรุณแรกยังมิทันแตะปลายยอดหลิว เสียงเล็กแหลมขององค์ชายตัวน้อยกลับดังก้องกับเสียงซูเหวินองครักษ์คนสนิท ที่ยังคงยืนสงบเสงี่ยมเบื้องหน้าประตูใหญ่ แม้นใบหน้าจะไม่ไหวติง ทว่าเสียงที่เปล่งออกกลับอบอุ่นมั่นคง มือทั้งสองพยายามใช้กันร่างเล็กที่พยายามเบียดเข้าไปอย่างมุ่งมั่น“ไม่! ... ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ซูเหวินเจ้าพูดไม่รู้เรื่อง เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไปดูน้องของข้า หวงไหน่ไหน่บอกว่า...หากเมื่อคืนข้านอนกับหวงไหน่ไหน่ ท่านพ่อกับท่านแม่จะทำน้องให้ข้า”ภายในห้องบรรทม กลิ่นหอมอ่อนของกำยานจันทน์ยังคงคลุ้งอบอวลจางๆ ร่างสองร่างที่แนบชิดใต้ผ้าห่มสีอ่อนบนเตียงขยับไหวเล็กน้อยไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย นางรู้สึกเหมือนตัวเองแทบไม่มีแรงจะลุกจากเตียง หากคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้… กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ข้างๆ ร่างบางของนางผวาน้อย ๆ กับเสียงด้านนอก ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชัดเจนขึ้น นางพยายามขยับตัว แต่แรงอ่อนราวไม่มีแม้กระดูก ร่างกายยังอ่อนระโหยจากบทรักอันยาวนาน วงแขนแกร่งของหลงเจิ้งหยางยังโอบรัดเอวคอดไว้แน่นไม่ย