“คุณหนูเจ้าคะ ท่านลืมตาสิ ท่านเป็นแบบนี้บ่าวใจคอไม่ดีเลย”
เสียงเรียกที่แสนคุ้นเคย เสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและความเจ็บปวดแทนนาง ทำให้ไป๋ลี่เยว่พยายามขยับตัว แต่เพียงแค่ขยับปลายนิ้ว ร่างกายกลับหนักอึ้งราวกับถูกโซ่ตรวนพันธนาการไว้ รู้สึกเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดถูกสูบหายไป ทุกส่วนของร่างกายร้อนดั่งกับถูกเผาไหม้จากพิษไข้
“อืมมม” ไป๋ลี่เยว่ครางเสียงแผ่ว แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับแหบแห้งจนแทบไม่ได้ยิน ลำคอแห้งผากราวกับมีไฟเผา แต่ลมหายใจกลับแผ่วเบาเหมือนกับเชือกที่พร้อมจะขาดลงได้ทุกเมื่อ
“คุณหนู ท่านต้องไม่เป็นอะไรนะเจ้าคะ หากท่านเป็นอะไรไป แล้วบ่าวกับคนอื่นๆ จะทำเช่นไร”
เสียงของหงเหมยสะอื้นไห้ มือเล็กๆ นั้นเย็นเฉียบ เพราะความวิตกกังวลกับอาการป่วยของไป๋ลี่เยว่คุณหนูของนาง หงเมยขอตามเข้าวังมารับใช้คุณหนูของจวนตระกูลไป๋ด้วยความซื่อสัตย์
เสียงสั่นเครือของหงเหมย สาวใช้คนสนิทดังอยู่ข้างหู ไป๋ลี่เยว่พยายามฝืนลืมตาขึ้นอีกครั้งแต่กลับรู้สึกหนักอึ้ง ราวกับมีหินกดทับ
ร่างอวบอ้วนของไป๋ลี่เยว่นอนขดตัวอยู่บนเตียงหลังเก่า อาภรณ์บางเบาที่เคยงดงามของนางบัดนี้เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งบัดนี้ซีดขาวราวกระดาษ แก้มอวบอิ่มซีดเผือดแต่กลับร้อนผ่าว ริมฝีปากอวบแตกระแหงจากพิษไข้
ตั้งแต่ค่ำคืนแห่งความอัปยศนั้น ไป๋ลี่เยว่ถูกผลักไสไล่ส่งมายังตำหนักเย็นทันทีในตอนเช้า ไม่มีขบวนส่งตัว ไม่มีเกียรติยศสมเป็นพระชายา ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนหัวใจของนางยังตั้งรับไม่ทัน
และหลังจากคืนนั้น ทุกส่วนของร่างกายเหมือนกำลังถูกกลืนกินด้วยความอ่อนแอ ความหนาวเหน็บกัดกินร่างกายของนาง แต่ในความทรมานนั้น นางกลับรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากมือเล็กๆ ของสาวใช้ที่กำลังกุมมือนางไว้แน่น ประหนึ่งกลัวว่าหากปล่อยมือไป นางจะหายไปจากโลกนี้ตลอดกาล
อาการไข้ของไป๋ลี่เยว่ขึ้นสูงจนหมดสติ หงเหมยและบ่าวรับใช้ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คน ต้องช่วยกันปรนนิบัตินาง ดูแลนางตลอดทั้งคืนทั้งวัน
พวกนางต้องไปต้มยาสมุนไพรจากเศษยาที่เก็บสะสมไว้ คอยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้นางทุกชั่วยาม คอยพยุงป้อนน้ำ ป้อนยา และคอยภาวนาให้คุณหนูของพวกนางฟื้นขึ้นมา
ทว่าระหว่างนั้น บุรุษผู้เป็นพระสวามีกลับไม่เคยย่างกรายเข้ามาสักก้าวเดียว
หลงเจิ้งหยางยังคงใช้ชีวิตของเขาตามปกติ เตรียมตัวออกศึก และไม่เคยสนใจว่าพระชายาของตนเองจะเป็นหรือตาย
ในที่สุด เช้าวันที่สี่ ไป๋ลี่เยว่ก็ฟื้นขึ้นมาจากไข้หนัก นางลืมตาช้าๆ มองเพดานห้องที่แตกร้าว ที่นี่มิใช่ตำหนักอันโอ่อ่าของพระชายา แต่เป็นเพียงสถานที่ที่ใช้ขับไล่สตรีที่ไม่เป็นที่ต้องการ หัวใจของนางสงบนิ่งอย่างประหลาด ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงสะอื้น มีเพียงความว่างเปล่า
“คุณหนู เอ่อ พระชายา ท่านฟื้นแล้ว” หงเหมยรีบเข้ามาประคองนาง ดวงตาแดงก่ำด้วยความยินดี
ไป๋ลี่เยว่พยายามเคลื่อนริมฝีปากที่แห้งผาก เปล่งเสียงแหบแห้งออกมา
“ขะ ข้า ไม่เป็นไร เรียกข้าเหมือนเดิมเถิด หงเหมย”
“คุณหนู” หงเหมยรีบเอาหลังมือเช็ดน้ำตาของตัวเองที่ไหลอาบแก้ม ด้วยความดีใจที่เห็นอีกคุณหนูของตนได้สติ
“ในที่สุดท่านก็ฟื้นแล้ว”
หงเหมยรีบใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดใบหน้าซีดเซียวของนาง ดวงตาแดงก่ำ “คุณหนู บ่าวจะไปขอหมอจากจวนอ๋องมาให้ท่านนะเจ้าคะ”
ไป๋ลี่เยว่ส่ายหน้าแผ่วเบา
หมอของจวนอ๋องหรือ ฮึ ต่อให้นางตายตรงนี้ องค์ชายสามก็คงไม่แม้แต่จะปรายตามอง ตอนนี้เขาคงออกไปชายแดนแล้วกระมัง
“ไม่จำเป็น” นางพึมพำเสียงแหบ
“ข้าแค่ ไข้ขึ้นเท่านั้น หงเหมย ตอนนี้ข้าเกือบหายแล้ว ขอบใจเจ้าที่ดูแลข้า เจ้าแค่ต้มยาให้ข้าก็พอแล้ว”
“คุณหนู แต่ท่านป่วยหนักมาก” หงเหมยรีบกล่าวค้านเสียงสะอื้น
“ตั้งแต่ท่านถูกส่งมาที่ตำหนักเย็น ท่านก็เป็นไข้สูงจนไม่ได้สติมาหลายวันแล้ว”
หงเหมยกัดริมฝีปากแน่น แม้จะรู้ว่าคุณหนูของนางไม่ต้องการให้ไปขอร้องใคร แต่นางกลับอดเจ็บใจไม่ได้ องค์ชายสามช่างใจร้ายเกินไป แม้จะไม่รักคุณหนูของนาง แต่ก็ไม่น่าจะปล่อยให้พระชายาป่วยหนักเช่นนี้
สามวันสามคืนที่คุณหนูของนางไม่ได้สติ มีเพียงบ่าวรับใช้ที่พากันเฝ้าดูแล แต่ทว่า ไร้เงาของพระสวามีมาเยือน ไม่เคยแม้แต่จะส่งคนมาไถ่ถาม ความใจร้ายขององค์ชายสามเกินจะกล่าวถึง
“หลายวัน หรือ”
ไป๋ลี่เยว่พยายามนึกย้อนกลับไป แต่สิ่งที่แล่นเข้ามาในความคิดของนาง คือใบหน้าของบุรุษหนึ่งเดียวในใจ ใบหน้าของหลงเจิ้งหยาง
เมื่อภาพแห่งความทรงจำ ย้อนกลับมาแทงใจนางอีกครั้ง นางยังจำได้ดี คืนนั้น เขากระชากผ้านางออกโดยไร้ซึ่งความอ่อนโยน คืนนั้น เขาทำให้นางกลายเป็นของเขา ทั้งๆ ที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ และรุ่งเช้าเขากลับสาดวาจาทำร้ายนางให้เจ็บช้ำ
“เจ้าจะถูกย้ายไปอยู่ตำหนักเย็น ตั้งแต่วันนี้ไป อย่าได้ก้าวล้ำเข้ามาในชีวิตของข้าอีก”
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ ว่าการที่ข้าต้องแตะต้องเจ้า มันเป็นเรื่องที่ข้าขยะแขยงเพียงใด”
“อย่าได้หวังว่าข้าจะมองเจ้าด้วยสายตาอื่น เพราะข้ามิได้รักเจ้า และจะไม่มีวันรัก”
หัวใจของไป๋ลี่เยว่บีบรัดแน่น ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบคั้นมันอย่างไร้ปรานี น้ำตาเอ่อคลอในดวงตา แต่สุดท้าย นางก็เม้มริมฝีปากแน่น กลืนมันกลับลงไป
“ข้าจะอ่อนแอมิได้ ถึงแม้เขาจะทอดทิ้งข้า แต่ข้าจะไม่ยอมให้ตัวเองพังทลายเพราะเขา”
ไป๋ลี่เยว่กะพริบตาช้าๆ นางมองมือที่ซีดเซียวของตนเอง แล้วกำมันแน่น
สามวันสามคืน องค์ชายสามไม่เคยมาเยี่ยมนางเลยสักครั้ง ทำราวกับว่านางไม่มีตัวตน นางเข้าใจแล้ว ความรักของนางช่างไร้ค่าเพียงใดในสายตาของเขา
ไป๋ลี่เยว่สูดหายใจลึก นางพยายามพยุงตัวเองขึ้นนั่ง แม้ร่างกายจะยังอ่อนแอ แต่จิตใจของนางกลับแข็งแกร่งกว่าครั้งไหนๆ
“หงเหมย” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่น
“ต่อจากนี้ไป ข้าจะไม่รอคอยใครอีกแล้ว”
หงเหมยมองคุณหนูของตนอย่างตกตะลึง
นัยน์ตาของไป๋ลี่เยว่ในตอนนี้ มิได้อ่อนแอเช่นเคยอีกแล้ว นับจากวันนี้ไป ไป๋ลี่เยว่คนเดิมจะไม่มีวันกลับมา
ท้องพระโรง – ยามเฉินกลางม่านแพรไหมบางเบาสีทองอ่อนสะบัดแผ่วใต้สายลมภายในท้องพระโรง หอมกลิ่นไม้จันทน์จากถาดธูปหอมซ่อนอยู่ในมุมห้อง เคล้ากับกลิ่นหอมอ่อนของดอกหลี่ฮวาปะปนกับกลิ่นกำยานเร้าอารมณ์แห่งพิธีราชสำนัก เสริมให้บรรยากาศงดงามสูงส่ง บนบัลลังก์มังกรสูง ฮ่องเต้หลงฉางจิ้นทรงประทับนิ่งสง่า ใต้พระพักตร์นิ่งขรึม เบื้องพระวรกายคือ พระมเหสีหยางเซียนเยวี่ย ฮองเฮาผู้เป็นแม่ของแผ่นดิน นางแต่งองค์ด้วยชุดลายหงส์ทอสีทอง นั่งสง่างาม สงบนิ่งดั่งดวงจันทร์และเบื้องล่างซ้ายขวาห้อมล้อมด้วยเหล่าพระสนมและบรรดาองค์ชายพร้อมพระชายา และขุนนางจากทุกฝ่ายนั่งประจำตำแหน่งอย่างเคร่งขรึม พระสนมชิงอวี่นั่งที่พระเก้าอี้ประทับสำรองของพระสนมอยู่เยื้องด้านซ้าย ที่มีพระสนมคนอื่นๆ นั่งรวมอยู่ ท่าทีของนางงามสง่า เรียบร้อยไร้ที่ติ ทว่าในดวงตาคู่งามกลับซ่อนแววเร้นลึกดั่งทะเลพิโรธ ชิงอวี่ปรายตามองลานหยกเบื้องล่างหน้าพระโรง ซึ่งสมควรเป็นจุดที่ ขบวนทูตจากต้าเหยียนควรเดินทางถึงตามกำหนดแล้ว ทว่ายามนี้ แสงแดดยามสายกลับทอดยาวไร้เงาของเกี้ยวผ้าไหม และกองดุริยางค์ก็ยังไร้สัญญาณสั่งโหมประโคม เสียงขุนนางต่างลือกระซิบตลอดลานพิธี เสน
รุ่งเช้า ณ ตำหนักชิงอวิ๋นม่านแพรบางสีไข่มุกไหวระริกตามแรงลมหิมะเบา แสงแดดยามเช้าเจือกลิ่นเกสรเหมย ลอดผ่านกระจกหยกสลักฉลุลาย กลั่นเป็นแสงอุ่นอ่อนทอดลงบนเตียงใหญ่ผืนงาม ร่างสูงของหลงเจิ้งหยางหลับตานิ่งบนหมอนปักลายคลื่นมังกร ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ผิวพรรณเนื้อทองของแม่ทัพใหญ่สะท้อนแสงอ่อนในยามเช้า เส้นผมยาวสลายจากปิ่นทองเมื่อคืน กระจายแนบหมอนอย่างไร้แบบแผน ความสงบสุขที่หาได้ยากนักปรากฏอยู่บนใบหน้าคมเข้ม เขาเพียงหายใจช้า ๆ อย่างพอใจในอ้อมแขนที่โอบร่างบางไว้ไม่ห่างกาย ดวงตาดำสนิทที่มักแฝงกลิ่นคมคายเยือกเย็น บัดนี้กลับมีแววอ่อนโยนสะท้อนประกายอรุณ เขาทอดตามองใบหน้าที่คุ้นเคยยิ่งกว่าลมหายใจของตน พลันยื่นมือหนาออกลูบเรือนผมสลวยเบา ๆ ดั่งหวาดว่าจะแตะต้องความฝันไป๋ลี่เยว่พลิกกายอย่างแผ่วเบาเมื่อโดนรบกวน เส้นผมปล่อยยาวประดุจม่านไหมดำขลับหล่นลงปกบ่าขาวนวล ไหล่เปลือยโผล่พ้นผ้านวมผืนหนา กลีบปากนุ่มยังระเรื่อรอยจุมพิตจากรัตติกาล ดวงหน้างดงามอาบเรื่อแสงแดด ดูราวภาพวาดต้องห้ามจากหอสมุดลับในวังหลวง“เจ้าตื่นก่อนแล้วหรือ เยว่เอ๋อร์…” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกระซิบชิดข้างหูพระชายา ก่อนจะโน้มใบหน้าแนบหน้าผากนา
“เยว่เอ๋อร์...เจ้าร้ายกาจนัก เจ้าสามารถฆ่าข้าด้วยเพียงแค่ปลายลิ้นของเจ้า อ๊าาา ข้าก็เกรงว่า...ข้าจะไม่อาจปล่อยให้เจ้าได้นอนก่อนรุ่งสางแน่นอน อ๊าาา”เสียงแม่ทัพหนุ่มครางราวกับบาดเจ็บเจียนขาดใจ เมื่อแท่งหยกแข็งแกร่งของเขาถูกไป๋ลี่เยว่ใช้มือนุ่มลูบสัมผัสแผ่วเบา ก่อนจะเพิ่มน้ำหนักที่อุ้งมือประกบสัมผัสแท่งหยกแนบแน่นมากขึ้น ปลายนิ้วลูบวนๆ ตามความยาว สัมผัสจากฝ่ามือนุ่มทำเอาขนกายเขาลุกชัน แขนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะคว้ามือนางยึดไว้"คืนนี้ หม่อมฉันขอลงโทษพระองค์บ้าง… โทษฐานที่เคยว่าร้ายหม่อมฉัน ไล่หม่อมฉันมาอยู่ตำหนักเย็น”หลงเจิ้งหยางมิทันได้ตอบ กางเกงแพรเนื้อเบาบนร่างแกร่งถูกคลายเชือกอย่างง่ายดาย แท่งหยกพิโรธที่ร้อนผ่าวถูกปลดปล่อยเผยโฉมออกมาผงาดพร้อมรบเมื่อพ้นเนื้อผ้าบดบังกลีบบุปผาแห่งนางแอบสั่นไหวระริก ขับน้ำเหนียวออกมา จนเจ้าของร่างก็ไม่กล้าขยับแรง ริมฝีปากอวบอิ่มของนางหยุดอยู่ตรงกลางแหล่งอารมณ์อันเป็นศูนย์รวมความทรมานของบุรุษ พลางก้มลง... ประทับจุมพิตแท่งหยกงามที่เคยอ่อนนิ่ม แต่บัดนี้กลับแข็งตึงราวเหล็กกล้า ซ้ำยังดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามกว่าเดิม“พระองค์ หม่อมฉันสามารถชิมเจ้าสิ่งนี้ได้หรือไม่เ
หลงเจิ้งหยางบดจุมพิตลงบนกลีบปากนางอย่างลุ่มหลง ปลายลิ้นแผ่วพลิ้วสัมผัสกับความหวานภายในโพรงปากของพระชายา ราวกับจะแสวงหาน้ำทิพย์จากเกสรดอกเหมยในฤดูวสันต์ ลิ้นของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกันไปมา ละเมียดละไมแต่อัดแน่นด้วยแรงปรารถนา“อื้อ อื้อ อื้อ จ๊วบ จ๊วบ” มือแกร่งค่อย ๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ขวางกั้นระหว่างกันอย่างแช่มช้า แต่มั่นคง ดั่งนักรบผู้ถอดเกราะก่อนศึกใหญ่ เสื้อคลุมชั้นนอกของนางหลุดลู่ไปตามแรงมือ จากนั้นเป็นชุดตู้โตวบางเบาผืนแดงลายบุปผา ที่ยังคลุมเรือนกายไว้อย่างแผ่วเบาแนบเนื้อ เผยให้เห็นผิวขาวนวลผ่องดั่งหิมะให้ดูยิ่งเปล่งประกายยามต้องแสงเทียน แม้จะยังมีเพียงแพรบางผูกแน่นที่ช่วงสะโพก แต่ก็กลับยิ่งขับเรือนกายของพระชายาให้ยิ่งดูยั่วเย้าใจ น่าค้นหายิ่งขึ้นฝั่งหลงเจิ้งหยางเองก็มิได้ต่างกัน อาภรณ์ของเขาหลุดลอกออกทีละชั้น จนเหลือเพียงกางเกงแพรผูกเชือกเนื้อบางที่แนบไปกับลำกายกำยำ กล้ามเนื้อแน่นชัดประหนึ่งปั้นจากหยกกล้า เผยให้เห็นเค้าโครงแห่งบุรุษผู้ช่ำชองในสมรภูมิ สมชายชาติทหารที่แม้ยามไร้อาวุธยังเปี่ยมไปด้วยอำนาจริมฝีปากอุ่นร้อนค่อย ๆ ละจากกลีบปากอวบอิ่ม เลื่อนลงสัมผัสปลายคาง แล้วไล้ลงมาต
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ หลิวอวี้ มาขอเข้าเฝ้าพร้อมกับแจ้งข่าวลับพ่ะย่ะค่ะ” เสียงฝีเท้าร้อนรนของหลินซ่างดังขึ้นพร้อมรีบเข้ามาคุกเข่ารายงาน กระบอกไม้ถูกส่งถึงมือหลงเจิ้งหยางในชั่วพริบตา เขาคลี่แผ่นรายงานออก สายตาคมดั่งกระบี่สะบั้นเพียงปรายตามอง “ข่าวจากสายลับของหลิวอวี้แจ้งมาว่า ตอนนี้ คณะทูตต้าเหยียนเดินทางใกล้ถึงเขตชายแดนแล้ว เราได้ให้คนของเราล่วงหน้าไปเตรียมตัวการต้อนรับและเปลี่ยนเกี้ยว เตรียมขบวนใหม่ที่นั่น คาดว่าขบวนทูตจะผ่านหน้าผาแม่น้ำหยกขาว ในอีกสามวัน” เสียงทุ้มของหลงเจิ้งหยางเอ่ยขึ้น ขณะส่งกระดาษข่าวลับต่อให้สตรีที่นั่งเบื้องหน้า พระชายาของเขา ไป๋ลี่เยว่ที่สวมอาภรณ์แพรเนื้อละเอียดสีมุก ผมดำขลับปล่อยสยายลงบนบ่า ขัดแย้งกับแววตาคมลึกที่สะท้อนความคิดล้ำลึก นางไล่สายตาอ่านรายงานข่าวลับที่เพิ่งส่งถึง มือเรียวบางของนางแตะแผ่นกระดาษแผ่วเบา ขณะที่ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มเจือเยาะเย้ย หลงเจิ้งหยางวางม้วนแผนที่เส้นทางขบวนทูตกางบนโต๊ะ เเละใช้ด้ามพู่กันชี้แตะลงบนตำแหน่งหน้าผาแม่น้ำหยกขาว จุดชั่วจินโป๋ซานหลู ตำแหน่งที่ศัตรูหวังให้เขาพลาดท่า… “ขบวนทูตมาพร้อมของขวัญล้ำค่า หากมีสิ่งใดผิดพลาด จะไม่ใ
ตำหนักมู่ฮวา — ยามเซิน“เหวินเอ๋อร์...เจ้ารู้หรือไม่ อำนาจไม่เคยมอบให้ใคร มันต้องช่วงชิง”เสียงเรียบเย็นของพระสนมชิงอวี่เอ่ยกับพระโอรส ในขณะที่นางนั่งพิงพนักหยกขาว เบื้องหน้าคือโต๊ะน้ำชาเคลือบเคลิ้มด้วยไอน้ำอุ่น นางยกชาขึ้นจิบช้า ๆ ก่อนจะหลุบตาลงอย่างรื่นรมย์ แม้สีหน้าดูอ่อนหวาน มุมปากยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ทว่าแววตากลับลึกล้ำดั่งธารามืดในเหมันต์เบื้องหน้าคือ หลงเหวินหยาง โอรสของนางผู้มีสายพระโลหิตของจักรพรรดิ องค์ชายผู้สง่าอยู่ในชุดสีดำหมึก กำลังทอดสายตาไปยังแผนที่ผืนใหญ่ที่คลี่อยู่บนโต๊ะไม้จันทน์อีกตัวภายใต้แสงตะเกียงทองคำวูบไหว ชิงอวี่ลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้จันทน์ แผนที่ราชสำนักต้าเฉิง ที่แต่งแต้มเส้นทางสีแดงเข้มทอดผ่านภูผาซับซ้อน ริมขอบเป็นลายมืออักษรเล็กที่จดจังหวะเดินขบวนและจุดหยุดพักของคณะทูตจากต้าเหยียน มือเรียวยกถ้วยชาจิบ ก่อนวางลงบนจานรองอย่างแผ่วเบา เสียงกระทบกันดังกริกองค์ชายหลงเหวินหยางยืนกอดอก ดวงตาคมกริบเป็นเงาดำใต้แสงตะเกียง เขาหรี่ตามองเส้นสีแดงที่ลากผ่าน ชั่วจินโป๋ซานหลู เส้นทางแคบขนาบผา หนทางที่คณะทูตจะผ่านก่อนเข้าสู่ประตูเมืองหลวงหลงเหวินหยาง มองตาม