เข้าสู่ระบบหลังจากฟื้นตัวจากพิษไข้ ไป๋ลี่เยว่นั่งพิงหมอนใบใหญ่ ร่างกายของนางยังคงอ่อนแอจากพิษไข้
ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้ากระจกเก่าๆ พลางจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเอง
หญิงสาวในกระจกมีใบหน้าซีดเซียว ร่องรอยความเจ็บป่วยยังไม่จางหาย ผมยาวสลวยยุ่งเหยิงเล็กน้อย ร่างอวบอ้วนดูเปราะบางกว่าก่อนป่วย แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุด คือแววตาของนาง
แววตาที่มิได้อ่อนแอตามร่างกาย แววตาของนางกลับแน่วแน่และมุ่งมั่น เพราะนางรู้ดีว่านางมิอาจปล่อยให้ตัวเองตกต่ำไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
นางไม่ใช่ไป๋ลี่เยว่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว นางมองผ้าม่านสีซีดของตำหนักเย็น ปราสาทแห่งความเดียวดายของสตรีที่ถูกขับไล่จากสายตาของผู้คน
ที่นี่คือตำหนักเย็น ตำหนักที่ถูกลืมเลือน ไม่มีใครให้การสนับสนุน นางไม่มีเงินทองจากตำหนักใหญ่อีกต่อไป นางไม่มีสถานะเป็นที่โปรดปรานของพระสวามี
หากนางยังมัวแต่เฝ้ารอความเมตตาจากใคร นางกับสาวใช้ในตำหนักคงอดตายกันหมด
“หงเหมย” นางเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังเช็ดถูห้องอยู่ใกล้ๆ
“ช่วยบอกข้า ตำหนักเย็นนี้มีเสบียงเพียงพอหรือไม่”
หงเหมยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงเศร้า “ตำหนักนี้ถูกปล่อยร้างมานานเจ้าค่ะ นอกจากข้าและบ่าวอีกไม่กี่คน ก็ไม่มีผู้ใดเหลียวแล”
“เช่นนั้น เรามีเงินหรือไม่”
“มีเพียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ ก่อนที่คุณหนูจะถูกส่งตัวมาที่นี่ บ่าวกับคนอื่นพยายามเก็บรวบรวมเงินมาให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังไม่พอและก็มีของส่วนตัวของคุณหนูเจ้าค่ะ”
ไป๋ลี่เยว่หลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนที่เมื่อนางลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของนางเปล่งประกายขึ้นมาใหม่
“ข้ามิอาจพึ่งพาตำหนักอ๋องได้อีกแล้ว” นางกล่าวช้าๆ นึกถึงที่องค์ชายสามว่าจะปิดตำหนัก
“นับจากนี้ ข้าจะต้องพึ่งพาตัวเอง ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะมิใช่สตรีอ่อนแอที่รอความเมตตาจากผู้ใดอีก หงเหมย ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย”
“คุณหนู โปรดสั่งการเถอะเจ้าค่ะ”
“ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าในตำหนักเย็นนี้ เรามีอะไรบ้าง”
หงเหมยพยักหน้า “บ่าวสำรวจไว้แล้วเจ้าค่ะ”
“ที่นี่แม้จะถูกปล่อยร้าง แต่ยังพอมีสวนเล็กๆ ด้านหลัง มีเรือนครัวที่ยังใช้งานได้ และมีโรงเก็บของเก่าที่ไม่ได้ใช้มานาน”
“สวน” ไป๋ลี่เยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ด้านหลังตำหนักเย็นมีพื้นที่เพาะปลูกหรือ”
“เจ้าค่ะ แต่เป็นที่รกร้างและไม่ค่อยมีใครสนใจ”
ไป๋ลี่เยว่ยิ้มบางๆ นี่อาจเป็นโชคชะตาที่เข้าข้างนางเล็กน้อย
“เช่นนั้น เราจะเริ่มจากที่นั่น”
“คุณหนู”
“ข้าจะปลูกผักและสมุนไพร เพื่อใช้เป็นเสบียง และเพื่อสร้างเส้นทางของข้าเอง” ไป๋ลี่เยว่สูดหายใจลึกๆ ก่อนจะพยายามกลับมาที่เตียง
“คุณหนู ท่านยังอ่อนแออยู่” หงเหมยรีบเข้ามาประคองนาง
“ท่านต้องพักผ่อนก่อน”
“หงเหมย” ไป๋ลี่เยว่กล่าวเสียงแผ่ว แต่แววตาของนางกลับแน่วแน่กว่าที่เคยเป็นมา
ไป๋ลี่เยว่ยิ้มจางๆ แม้ร่างกายจะยังอ่อนแอ แต่นางก็ตัดสินใจแล้ว ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
“เจ้าคะ คุณหนู” หงเหมยรีบเดินเข้ามารับคำสั่ง
ไป๋ลี่เยว่กุมมือของสาวใช้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เราจะอยู่รอดในตำหนักนี้ได้ ก็ต่อเมื่อเรามีเสบียง มีเงิน และมีหนทางหาเลี้ยงตัวเอง”
หงเหมยมองเจ้านายของนางด้วยความประหลาดใจ ปกติแล้วคุณหนูของนางเป็นหญิงสาวเรียบร้อย อ่อนโยน และขี้อาย แม้จะมีความรู้เรื่องสมุนไพร แต่ก็ไม่เคยคิดเรื่องการทำมาหากิน แต่ตอนนี้ นางกลับดูมุ่งมั่นยิ่งกว่าใคร
“แต่คุณหนู ท่านจะต้องออกแรงมากนะเจ้าคะ ตอนนี้ร่างกายของท่านยังไม่แข็งแรง”
“ข้ารู้” ไป๋ลี่เยว่ยิ้มจางๆ
“แต่หากข้าไม่เริ่มลงมือเสียตอนนี้ ข้าจะไม่มีวันรอดไปได้”
“ข้ามิอาจพึ่งพาองค์ชายสามได้อีกแล้ว หากข้าไม่สร้างเส้นทางของตัวเอง ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร” นางหยุดพูดเพียงครู่ เพื่อบังคับน้ำตาไม่ให้ไหล
“หงเหมย เจ้าจะช่วยข้าหรือไม่”
“บ่าวจะช่วยคุณหนูแน่นอนเพคะ” หงเหมยรีบตอบทันที ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความภักดี
“ดี เราต้องรอดด้วยกัน”
“แล้วคุณหนูจะให้พวกเราทำอย่างไร เจ้าคะ” หงเหมยถามอย่างจริงจัง
ไป๋ลี่เยว่หลับตาคิดก่อนเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
“อันดับแรก เราจะปลูกพืชผัก และสมุนไพร พวกเราต้องปลูกและดูแลมันให้ดี เพราะนี่จะเป็นแหล่งอาหารและรายได้ของพวกเรา”
ไป๋ลี่เยว่กล่าว แม้นางไม่เคยทำการเกษตรมาก่อน แต่การอ่านตำราและความรู้จากบิดาเรื่องการค้าทำให้นางพอจะเข้าใจหลักการอยู่บ้าง
นอกจากพืชผักสำหรับยังชีพ นางยังคิดไปถึงการทำเงิน สมุนไพรเป็นสิ่งที่มีค่าในทุกยุคสมัย หากพวกนางสามารถปลูกสมุนไพรที่หายากและมีสรรพคุณดีได้ ก็น่าจะนำไปขายให้ร้านขายยาในเมืองได้
“แต่คุณหนูเจ้าคะ ร้านยาจะรับของจากพวกเราได้หรือ” หงเหมยถามด้วยความกังวล
ไป๋ลี่เยว่ยิ้มบาง “แน่นอน ถ้าหากสมุนไพรของเรามีคุณภาพดีพอ”
นางรู้ว่าเส้นทางนี้ไม่ง่าย แต่หากทำสำเร็จ ไม่เพียงแต่พวกนางจะมีเงินใช้ ยังสามารถซื้อข้าวของจำเป็น และอาจสะสมกำลังให้มากพอจนไม่ต้องพึ่งพาใครได้อีกต่อไป
ไป๋ลี่เยว่ให้หงเหมยไปนำกล่องไม้เก่าๆ ที่ซ่อนหีบของนางออกมา
เมื่อเปิดฝากล่องออก ด้านในมีเงินจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นเงินที่บิดาของนางเคยให้ไว้ก่อนแต่งงาน
“เงินนี่” หงเหมยมองด้วยความตกตะลึง
“เป็นเงินที่ท่านพ่อเคยให้ข้าไว้ ข้าคิดจะเก็บมันไว้ใช้ยามจำเป็น แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว” ไป๋ลี่เยว่กล่าว
นางแบ่งเงินส่วนหนึ่งให้หงเหมยนำไปซื้อเมล็ดพันธุ์สมุนไพรและอุปกรณ์ทำสวน อีกส่วนให้ไปหาซื้อเสื้อผ้า ผ้าห่ม และเสบียงอาหาร
“หลังจากนี้ เราต้องไม่ให้ผู้ใดดูถูกพวกเราได้อีก”
ไม่กี่วันต่อมา ตำหนักเย็นที่เคยเงียบเหงาก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง พื้นที่ด้านหลังตำหนักร้างเคยเป็นสวนมาก่อน แม้จะถูกปล่อยให้รกร้าง แต่ดินยังดีพอสำหรับการเพาะปลูก
“เช่นนั้นวันนี้เริ่มจากทำความสะอาดสวน และเตรียมดินให้พร้อม”
หงเหมยและบ่าวอีกสองสามคนเริ่มช่วยกันถางหญ้า พรวนดิน และลงมือปลูกพืชผักที่โตไว เช่น ผักกาด หัวไชเท้า และถั่วงอก ส่วนสมุนไพรที่มีค่ากว่า เช่น โสม ปี่เสี่ยะ และไป๋จื่อ ก็ถูกปลูกแยกไว้ในเรือนเล็กๆ ที่ทำขึ้นจากเศษไม้และผ้าป่านเก่าๆเมล็ดพันธุ์แห่งความเข้มแข็ง ได้ถูกหว่านลงแล้ว
ไป๋ลี่เยว่แม้จะยังอ่อนแอ แต่ก็ลงมือทำด้วยตัวเองทุกอย่าง นางมิได้เป็นเพียงพระชายาผู้สูงศักดิ์ที่นั่งรอรับใช้ แต่เลือกจะเป็นผู้ลงมือสร้างทุกสิ่งด้วยตัวเอง
ลมหนาวพัดแรงจากทิศเหนือ ใบไม้แห้งปลิวว่อนเหนือผืนดินที่เพิ่งถูกกลบใหม่ หน้าหลุมศพมีเพียงร่างชายหนุ่มในอาภรณ์ดำสนิท ยืนอยู่เงียบงันราวรูปสลักหิน ผืนผ้าคลุมไหล่สีดำเข้มปราศจากลวดลาย เป็นสีที่อนุญาตให้ผู้ต้องโทษสกุลราชสวมได้ หากสำหรับเขาแล้ว มันคือสีแห่งอาลัยและความอัปยศที่ไม่อาจประกาศต่อฟ้าดินพิธีศพจัดในบริเวณสุสานวังหลังอย่างเรียบง่าย เสียงสวดส่งวิญญาณดับสิ้นไปพร้อมแสงสุดท้ายของอาทิตย์ยามอัสดง เหลือเพียงเสียงลมหวิวลอดช่องอิฐของสุสานเย็นเฉียบ กลิ่นดินชื้นปนกลิ่นยาพิษอ่อน ๆ ยังไม่ทันจางจากลมหายใจสุดท้ายของมารดา หลงเหวินหยางก้าวเข้าไปใกล้จนปลายรองเท้าแตะขอบดิน มือที่กำแน่นจนเส้นเลือดปูดสั่นเทา เขายกมือแตะป้ายไม้เล็ก ๆ ที่จารึกเพียงว่า “สุสานสตรีวังหลัง” ไม่มีพระนาม ไม่มียศศักดิ์ ห่อเกียรติยศไว้ในความเงียบ ไม่มีคำใดกล่าวถึงมารดาผู้เคยเป็น “ดวงใจแห่งวังหลวง” ข้าง ๆ มีเพียงธูปและดอกเหมยสีขาวเรียงรายอยู่เป็นระยะ หอมอ่อน ๆ ปนกลิ่นดินชื้นเขาก้มมองมือของตน...เย็นเยียบ ดั่งเลือดในกายถูกแช่แข็ง ปลายนิ้วนั้นเคยถูกมารดาจับอย่างอ่อนโยนเมื่อยังเยาว์ เคยแตะมงกุฎไหมทองเมื่อครั้งขึ้นรับตำแหน่งองค์ชายร
“เหวินหยาง เจ้าแน่ใจหรือว่าจะรับผิดเรื่องนี้แทนแม่ของเจ้า” สุรเสียงของฮ่องเต้ดังก้องและเย็นชา องค์ชายสองชะงักงันทันที แววตาไหววูบ ไม่กล้าสบพระพักตร์ ความเงียบปกคลุมทั่วโถงจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน ผู้เป็นพระมารดาหันไปมองหลงเหวินหยาง ที่กำลังสั่นเทาด้วยความกลัวอยู่เบื้องหน้า ภาพโอรสที่กำลังจะถูกลงโทษรุนแรงและสูญสิ้นอนาคตก่อขึ้นในหัวของนาง แผนที่วางไว้จะถูกทำลายไม่ได้เด็ดขาด “เหวินเอ๋อร์...แม่จะไม่ให้ใครแตะต้องเจ้า” ความคิดนั้นแว่วขึ้น หัวใจนางสั่นระรัว มิใช่เพราะกลัวความตาย แต่กลัวเห็นเลือดในอุทรถูกเหยียบย่ำต่อหน้าต่อตา สิ่งเหล่านั้นทำให้กำแพงความเย่อหยิ่งของนางพังทลายลง ในสายตาของนางเต็มไปด้วยความรักและความเด็ดเดี่ยวอันน่าสะพรึงกลัว พระสนมชิงอวี่หลับตาลงช้า ๆ ยอมจำนนต่อโชคชะตาที่มืดมิด นางรู้ว่าไม่ว่านางจะปฏิเสธอย่างไร หลักฐานก็มัดตัวแน่นหนา แต่... หากนางยอมรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว อย่างน้อย… หลงเหวินหยาง ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนางก็ยังมีทางรอด และยังมีความหวัง ที่จะกลับมาทวงอำนาจคืน ก่อนนางจะเงยหน้าขึ้นอีกคราอย่างเด็ดเดี่ยวไร้ความกลัว แววตาคมกริบแต่เปี่ยมด้วยความรันทด มอง
เมื่อโจรทั้งห้าถูกลากเข้ามาและส่งเสียงร้องอ้อนวอนขอความเมตตา พระสนมชิงอวี่ก็จำต้องสบตาพวกมันเพียงครู่ แม้นางจะปฏิเสธไม่รู้จัก...แต่ลึกในใจนางกลับย่อมรู้ดีว่า คนจากหลงซานเหล่านี้ล้วนแต่เป็นขุมกำลังลับของพระโอรสของนางเอง นางรักษาสีหน้าให้คงที่ ทว่ามุมปากของนางเริ่มเกร็งขึ้นเล็กน้อยอย่างมิอาจควบคุมได้“หม่อมฉันมิได้รู้จักพวกมัน… แม้แต่คนเดียวเพคะ” เสียงตอบของนางสงบ แต่นิ้วมือเรียวใต้แขนเสื้อเริ่มกำแน่นหลงเจิ้งหยางที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แต่กรีดลึกกว่าคมดาบ “ถ้าเป็นเช่นนั้น หากพระสนมบริสุทธิ์ไร้มลทิน ก็ขอให้พระสนมได้โปรดอธิบายเรื่องตราประทับของตระกูลเซียวที่โจรผู้นั้นครอบครอง ถุงทองคำที่มาจากกรมคลังด้วยเส้นทางที่เชื่อมโยงผ่านทางตระกูลของท่าน และคำสารภาพของนางกำนัลและขันทีที่ถูกส่งไปสำนักพิธีการด้วยพ่ะย่ะค่ะ”พระสนมชิงอวี่ชะงักเพียงเสี้ยววินาที ก่อนคลี่ยิ้มบาง นางเพียงแค่นหัวเราะในลำคอ“สตรีในวังมีคนรับใช้มากมาย จะมีใครทราบได้ทุกฝีก้าวกันเล่าเพคะ”เสียงฮือฮาดังก้อง เหล่าเสนาบดีบางคนถึงกับทำปากขมุบขมิบด้วยความตกตะลึง ขณะที่หลงเหวินหยางโอรสของนาง กำหมัดแน่นจนข้อขาวซีดเส้นเ
ในความเงียบอันหนักอึ้งนั้น มีเพียงเสียงลมหายใจอันถี่กระชั้นของ องค์ชายสอง หลงเหวินหยางเท่านั้นที่โดดเด่นดังสะท้อนก้องอยู่กลางท้องพระโรงกว้าง ดวงตาคมวาวโรจน์มองตามแผ่นหลังของเสนาบดีฉีที่ค่อย ๆ ก้าวเดินออกจากท้องพระโรงไป ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวผ้าขาว ริมฝีปากสั่นระริก เมื่อแผนการที่สมบูรณ์แบบ บัดนี้ได้ถูกไอ้ลูกฮองเฮาตัวร้ายทำลายลงอย่างสิ้นเชิงด้วยหลักฐานที่มิอาจปฏิเสธได้“ฝ่าบาท... น้องสามทรงกล่าวเหลวไหล เพียงต้องการใส่ร้ายกระหม่อมกับท่านแม่” เสียงของหลงเหวินหยางโพล่งออกมาอย่างลืมตัว เสียงนั้นดังลั่นสะเทือนกล้ามเนื้อในลำคอ มือที่เคยจับพู่กันเขียนฎีกาอย่างมั่นคงและกุมอำนาจพลเรือน บัดนี้สั่นเทาจนแทบจะจับอากาศไม่ได้“ปัง”เสียงกระแทกกำปั้นลงบนโต๊ะจากเบื้องบัลลังก์ดังก้องสะเทือนถึงอกของทุกผู้คน ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้นช้า ๆ พระพักตร์มืดครึ้มราวท้องฟ้าไม่มีแสงตะวัน เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างค้อมกายลงต่ำจนศีรษะแทบจรดพื้น ไม่มีผู้ใดกล้าสบพระเนตรขององค์จักรพรรดิแม้แต่ผู้เดียว“หยุดวาจากันทุกคน” พระสุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้น พระเนตรคมกริบของพระองค์หันไปทางขันทีหลวงที่ยืนอยู่ข้างบัลลังก์“หลี่กงกง”
“แล้วเกี่ยวข้องสิ่งใดกับเรื่องที่องค์ชายสองกล่าวหาเมื่อครู่” “พวกมันหาใช่โจรภูเขาแท้พ่ะย่ะค่ะ หากแต่เป็นหมากของผู้ใดบางคนที่ถูกส่งมาจากหลงซานเพื่ออำพรางตนภายใต้เงาโจรแอบอ้างเป็นโจรภูเขา แล้วสร้างเหตุปล้น เพื่อโยนความผิดให้ผู้รับผิดชอบการดูแลขบวนของคณะทูต” เสียงขององค์ชายสามนิ่ง ทว่าทุกพยางค์ราวกับคมดาบวาดลงบนกระดานหมาก ขณะเสียงลมหายใจของผู้คนในท้องพระโรงแทบหยุดนิ่ง แววตาของหลงเหวินหยางชะงักแข็งค้างชั่ววูบ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มพลันจางไปอย่างไม่อาจควบคุมไม่ทัน องค์ชายสามสะบัดมือเบา ๆ ขันทีนำหีบไม้เข้ามา เปิดเผยของในนั้น เอกสารตราประทับกรมคลังแห่งต้าเฉิง, ถุงทองคำ, และตราสัญลักษณ์ของตระกูลขุนนาง โจรผู้หนึ่งตัวสั่น ก่อนหมอบกราบร้องเสียงดัง “พะ...พวกข้าได้รับคำสั่งจากท่านผู้มีพระคุณ ให้ปล้นขบวนคณะทูต เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” “ผู้มีพระคุณที่เจ้ากล่าวอ้างถึง คือผู้ใดกัน” สุรเสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากบัลลังก์มังกร “เอ่อ…คนตระกูลเซียวพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อคำว่า ‘ตระกูลเซียว’ หลุดจากปากโจร เสียงสูดลมหายใจพลันดังพร้อมกันทั่วโถงราวคลื่นกระแทก เสนาบดีบางคนถึงกับสะดุ้ง พระเนตรของฮ่องเต้แคบลงช้า
“อย่างไรก็ดี เรื่องเช่นนี้… หากมองอีกแง่ ก็เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดที่ก็เป็นได้” เสียงพูดของหลงเหวินหยางแผ่วลงพร้อมรอยยิ้มบางที่ยากอ่าน“แต่ก็คงเป็นเพียงไมตรีระหว่างเชื้อพระวงศ์ต่างแคว้น หาใช่เรื่องใหญ่โต... หามิใช่เรื่องที่ควรน่าสงสัยใด ๆ หรอกกระมัง” เขาหยุดเพียงชั่วอึดใจ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวจะคลี่คลายเรื่อง แต่กลับกลายเป็นคมมีดซ่อนในรอยยิ้ม“ถึงอย่างไร กระหม่อมก็เชื่อมั่นว่าองค์ชายสามผู้ทรงสัตย์มั่นในราชวงศ์คงไม่กล้าก่อการสิ่งใด...ที่อาจดูคล้ายเป็นการลอบติดต่อกับต่างแคว้นอย่างลับ ๆ อันเข้าข่ายกบฏต่อใต้หล้าเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”คำพูดนั้นอ่อนโยน เสียงท้ายประโยคนั้นเบาเพียงลมหายใจ แต่แฝงแรงสะเทือนถึงหัวใจคนฟังทั้งท้องพระโรง คำพูดดูคล้ายปกป้อง ทว่าเมื่อพินิจเนื้อหากลับเป็นการสาดน้ำมันลงบนเปลวเพลิงถ้อยคำ “มิอาจคิดการใหญ่” และ “ชิงความดีความชอบ” ดังก้องในใจผู้ฟังเหล่าขุนนางบางคนเริ่มซุบซิบ บ้างหลุบตา บ้างเหลือบมององค์ชายสามอย่างระแวดระวังแววพระเนตรของฮ่องเต้ที่วางอยู่บนพัดหลวงพลันไหววูบ พระโอษฐ์เม้มแน่น เสียงพระทัยคล้ายหนักอึ้งกว่าเดิมหลงเจิ้งหยางยังก้มศีรษะนิ่งงัน ดวงตาคู่น







