หลังจากฟื้นตัวจากพิษไข้ ไป๋ลี่เยว่นั่งพิงหมอนใบใหญ่ ร่างกายของนางยังคงอ่อนแอจากพิษไข้
ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้ากระจกเก่าๆ พลางจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเอง
หญิงสาวในกระจกมีใบหน้าซีดเซียว ร่องรอยความเจ็บป่วยยังไม่จางหาย ผมยาวสลวยยุ่งเหยิงเล็กน้อย ร่างอวบอ้วนดูเปราะบางกว่าก่อนป่วย แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุด คือแววตาของนาง
แววตาที่มิได้อ่อนแอตามร่างกาย แววตาของนางกลับแน่วแน่และมุ่งมั่น เพราะนางรู้ดีว่านางมิอาจปล่อยให้ตัวเองตกต่ำไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
นางไม่ใช่ไป๋ลี่เยว่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว นางมองผ้าม่านสีซีดของตำหนักเย็น ปราสาทแห่งความเดียวดายของสตรีที่ถูกขับไล่จากสายตาของผู้คน
ที่นี่คือตำหนักเย็น ตำหนักที่ถูกลืมเลือน ไม่มีใครให้การสนับสนุน นางไม่มีเงินทองจากตำหนักใหญ่อีกต่อไป นางไม่มีสถานะเป็นที่โปรดปรานของพระสวามี
หากนางยังมัวแต่เฝ้ารอความเมตตาจากใคร นางกับสาวใช้ในตำหนักคงอดตายกันหมด
“หงเหมย” นางเรียกสาวใช้คนสนิทที่กำลังเช็ดถูห้องอยู่ใกล้ๆ
“ช่วยบอกข้า ตำหนักเย็นนี้มีเสบียงเพียงพอหรือไม่”
หงเหมยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสียงเศร้า “ตำหนักนี้ถูกปล่อยร้างมานานเจ้าค่ะ นอกจากข้าและบ่าวอีกไม่กี่คน ก็ไม่มีผู้ใดเหลียวแล”
“เช่นนั้น เรามีเงินหรือไม่”
“มีเพียงเล็กน้อยเจ้าค่ะ ก่อนที่คุณหนูจะถูกส่งตัวมาที่นี่ บ่าวกับคนอื่นพยายามเก็บรวบรวมเงินมาให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังไม่พอและก็มีของส่วนตัวของคุณหนูเจ้าค่ะ”
ไป๋ลี่เยว่หลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนที่เมื่อนางลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แววตาของนางเปล่งประกายขึ้นมาใหม่
“ข้ามิอาจพึ่งพาตำหนักอ๋องได้อีกแล้ว” นางกล่าวช้าๆ นึกถึงที่องค์ชายสามว่าจะปิดตำหนัก
“นับจากนี้ ข้าจะต้องพึ่งพาตัวเอง ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะมิใช่สตรีอ่อนแอที่รอความเมตตาจากผู้ใดอีก หงเหมย ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย”
“คุณหนู โปรดสั่งการเถอะเจ้าค่ะ”
“ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าในตำหนักเย็นนี้ เรามีอะไรบ้าง”
หงเหมยพยักหน้า “บ่าวสำรวจไว้แล้วเจ้าค่ะ”
“ที่นี่แม้จะถูกปล่อยร้าง แต่ยังพอมีสวนเล็กๆ ด้านหลัง มีเรือนครัวที่ยังใช้งานได้ และมีโรงเก็บของเก่าที่ไม่ได้ใช้มานาน”
“สวน” ไป๋ลี่เยว่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ด้านหลังตำหนักเย็นมีพื้นที่เพาะปลูกหรือ”
“เจ้าค่ะ แต่เป็นที่รกร้างและไม่ค่อยมีใครสนใจ”
ไป๋ลี่เยว่ยิ้มบางๆ นี่อาจเป็นโชคชะตาที่เข้าข้างนางเล็กน้อย
“เช่นนั้น เราจะเริ่มจากที่นั่น”
“คุณหนู”
“ข้าจะปลูกผักและสมุนไพร เพื่อใช้เป็นเสบียง และเพื่อสร้างเส้นทางของข้าเอง” ไป๋ลี่เยว่สูดหายใจลึกๆ ก่อนจะพยายามกลับมาที่เตียง
“คุณหนู ท่านยังอ่อนแออยู่” หงเหมยรีบเข้ามาประคองนาง
“ท่านต้องพักผ่อนก่อน”
“หงเหมย” ไป๋ลี่เยว่กล่าวเสียงแผ่ว แต่แววตาของนางกลับแน่วแน่กว่าที่เคยเป็นมา
ไป๋ลี่เยว่ยิ้มจางๆ แม้ร่างกายจะยังอ่อนแอ แต่นางก็ตัดสินใจแล้ว ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
“เจ้าคะ คุณหนู” หงเหมยรีบเดินเข้ามารับคำสั่ง
ไป๋ลี่เยว่กุมมือของสาวใช้ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เราจะอยู่รอดในตำหนักนี้ได้ ก็ต่อเมื่อเรามีเสบียง มีเงิน และมีหนทางหาเลี้ยงตัวเอง”
หงเหมยมองเจ้านายของนางด้วยความประหลาดใจ ปกติแล้วคุณหนูของนางเป็นหญิงสาวเรียบร้อย อ่อนโยน และขี้อาย แม้จะมีความรู้เรื่องสมุนไพร แต่ก็ไม่เคยคิดเรื่องการทำมาหากิน แต่ตอนนี้ นางกลับดูมุ่งมั่นยิ่งกว่าใคร
“แต่คุณหนู ท่านจะต้องออกแรงมากนะเจ้าคะ ตอนนี้ร่างกายของท่านยังไม่แข็งแรง”
“ข้ารู้” ไป๋ลี่เยว่ยิ้มจางๆ
“แต่หากข้าไม่เริ่มลงมือเสียตอนนี้ ข้าจะไม่มีวันรอดไปได้”
“ข้ามิอาจพึ่งพาองค์ชายสามได้อีกแล้ว หากข้าไม่สร้างเส้นทางของตัวเอง ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร” นางหยุดพูดเพียงครู่ เพื่อบังคับน้ำตาไม่ให้ไหล
“หงเหมย เจ้าจะช่วยข้าหรือไม่”
“บ่าวจะช่วยคุณหนูแน่นอนเพคะ” หงเหมยรีบตอบทันที ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความภักดี
“ดี เราต้องรอดด้วยกัน”
“แล้วคุณหนูจะให้พวกเราทำอย่างไร เจ้าคะ” หงเหมยถามอย่างจริงจัง
ไป๋ลี่เยว่หลับตาคิดก่อนเอ่ยออกมาอย่างมั่นใจ
“อันดับแรก เราจะปลูกพืชผัก และสมุนไพร พวกเราต้องปลูกและดูแลมันให้ดี เพราะนี่จะเป็นแหล่งอาหารและรายได้ของพวกเรา”
ไป๋ลี่เยว่กล่าว แม้นางไม่เคยทำการเกษตรมาก่อน แต่การอ่านตำราและความรู้จากบิดาเรื่องการค้าทำให้นางพอจะเข้าใจหลักการอยู่บ้าง
นอกจากพืชผักสำหรับยังชีพ นางยังคิดไปถึงการทำเงิน สมุนไพรเป็นสิ่งที่มีค่าในทุกยุคสมัย หากพวกนางสามารถปลูกสมุนไพรที่หายากและมีสรรพคุณดีได้ ก็น่าจะนำไปขายให้ร้านขายยาในเมืองได้
“แต่คุณหนูเจ้าคะ ร้านยาจะรับของจากพวกเราได้หรือ” หงเหมยถามด้วยความกังวล
ไป๋ลี่เยว่ยิ้มบาง “แน่นอน ถ้าหากสมุนไพรของเรามีคุณภาพดีพอ”
นางรู้ว่าเส้นทางนี้ไม่ง่าย แต่หากทำสำเร็จ ไม่เพียงแต่พวกนางจะมีเงินใช้ ยังสามารถซื้อข้าวของจำเป็น และอาจสะสมกำลังให้มากพอจนไม่ต้องพึ่งพาใครได้อีกต่อไป
ไป๋ลี่เยว่ให้หงเหมยไปนำกล่องไม้เก่าๆ ที่ซ่อนหีบของนางออกมา
เมื่อเปิดฝากล่องออก ด้านในมีเงินจำนวนหนึ่งซึ่งเป็นเงินที่บิดาของนางเคยให้ไว้ก่อนแต่งงาน
“เงินนี่” หงเหมยมองด้วยความตกตะลึง
“เป็นเงินที่ท่านพ่อเคยให้ข้าไว้ ข้าคิดจะเก็บมันไว้ใช้ยามจำเป็น แต่ตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว” ไป๋ลี่เยว่กล่าว
นางแบ่งเงินส่วนหนึ่งให้หงเหมยนำไปซื้อเมล็ดพันธุ์สมุนไพรและอุปกรณ์ทำสวน อีกส่วนให้ไปหาซื้อเสื้อผ้า ผ้าห่ม และเสบียงอาหาร
“หลังจากนี้ เราต้องไม่ให้ผู้ใดดูถูกพวกเราได้อีก”
ไม่กี่วันต่อมา ตำหนักเย็นที่เคยเงียบเหงาก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง พื้นที่ด้านหลังตำหนักร้างเคยเป็นสวนมาก่อน แม้จะถูกปล่อยให้รกร้าง แต่ดินยังดีพอสำหรับการเพาะปลูก
“เช่นนั้นวันนี้เริ่มจากทำความสะอาดสวน และเตรียมดินให้พร้อม”
หงเหมยและบ่าวอีกสองสามคนเริ่มช่วยกันถางหญ้า พรวนดิน และลงมือปลูกพืชผักที่โตไว เช่น ผักกาด หัวไชเท้า และถั่วงอก ส่วนสมุนไพรที่มีค่ากว่า เช่น โสม ปี่เสี่ยะ และไป๋จื่อ ก็ถูกปลูกแยกไว้ในเรือนเล็กๆ ที่ทำขึ้นจากเศษไม้และผ้าป่านเก่าๆเมล็ดพันธุ์แห่งความเข้มแข็ง ได้ถูกหว่านลงแล้ว
ไป๋ลี่เยว่แม้จะยังอ่อนแอ แต่ก็ลงมือทำด้วยตัวเองทุกอย่าง นางมิได้เป็นเพียงพระชายาผู้สูงศักดิ์ที่นั่งรอรับใช้ แต่เลือกจะเป็นผู้ลงมือสร้างทุกสิ่งด้วยตัวเอง
ท้องพระโรง – ยามเฉินกลางม่านแพรไหมบางเบาสีทองอ่อนสะบัดแผ่วใต้สายลมภายในท้องพระโรง หอมกลิ่นไม้จันทน์จากถาดธูปหอมซ่อนอยู่ในมุมห้อง เคล้ากับกลิ่นหอมอ่อนของดอกหลี่ฮวาปะปนกับกลิ่นกำยานเร้าอารมณ์แห่งพิธีราชสำนัก เสริมให้บรรยากาศงดงามสูงส่ง บนบัลลังก์มังกรสูง ฮ่องเต้หลงฉางจิ้นทรงประทับนิ่งสง่า ใต้พระพักตร์นิ่งขรึม เบื้องพระวรกายคือ พระมเหสีหยางเซียนเยวี่ย ฮองเฮาผู้เป็นแม่ของแผ่นดิน นางแต่งองค์ด้วยชุดลายหงส์ทอสีทอง นั่งสง่างาม สงบนิ่งดั่งดวงจันทร์และเบื้องล่างซ้ายขวาห้อมล้อมด้วยเหล่าพระสนมและบรรดาองค์ชายพร้อมพระชายา และขุนนางจากทุกฝ่ายนั่งประจำตำแหน่งอย่างเคร่งขรึม พระสนมชิงอวี่นั่งที่พระเก้าอี้ประทับสำรองของพระสนมอยู่เยื้องด้านซ้าย ที่มีพระสนมคนอื่นๆ นั่งรวมอยู่ ท่าทีของนางงามสง่า เรียบร้อยไร้ที่ติ ทว่าในดวงตาคู่งามกลับซ่อนแววเร้นลึกดั่งทะเลพิโรธ ชิงอวี่ปรายตามองลานหยกเบื้องล่างหน้าพระโรง ซึ่งสมควรเป็นจุดที่ ขบวนทูตจากต้าเหยียนควรเดินทางถึงตามกำหนดแล้ว ทว่ายามนี้ แสงแดดยามสายกลับทอดยาวไร้เงาของเกี้ยวผ้าไหม และกองดุริยางค์ก็ยังไร้สัญญาณสั่งโหมประโคม เสียงขุนนางต่างลือกระซิบตลอดลานพิธี เสน
รุ่งเช้า ณ ตำหนักชิงอวิ๋นม่านแพรบางสีไข่มุกไหวระริกตามแรงลมหิมะเบา แสงแดดยามเช้าเจือกลิ่นเกสรเหมย ลอดผ่านกระจกหยกสลักฉลุลาย กลั่นเป็นแสงอุ่นอ่อนทอดลงบนเตียงใหญ่ผืนงาม ร่างสูงของหลงเจิ้งหยางหลับตานิ่งบนหมอนปักลายคลื่นมังกร ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ผิวพรรณเนื้อทองของแม่ทัพใหญ่สะท้อนแสงอ่อนในยามเช้า เส้นผมยาวสลายจากปิ่นทองเมื่อคืน กระจายแนบหมอนอย่างไร้แบบแผน ความสงบสุขที่หาได้ยากนักปรากฏอยู่บนใบหน้าคมเข้ม เขาเพียงหายใจช้า ๆ อย่างพอใจในอ้อมแขนที่โอบร่างบางไว้ไม่ห่างกาย ดวงตาดำสนิทที่มักแฝงกลิ่นคมคายเยือกเย็น บัดนี้กลับมีแววอ่อนโยนสะท้อนประกายอรุณ เขาทอดตามองใบหน้าที่คุ้นเคยยิ่งกว่าลมหายใจของตน พลันยื่นมือหนาออกลูบเรือนผมสลวยเบา ๆ ดั่งหวาดว่าจะแตะต้องความฝันไป๋ลี่เยว่พลิกกายอย่างแผ่วเบาเมื่อโดนรบกวน เส้นผมปล่อยยาวประดุจม่านไหมดำขลับหล่นลงปกบ่าขาวนวล ไหล่เปลือยโผล่พ้นผ้านวมผืนหนา กลีบปากนุ่มยังระเรื่อรอยจุมพิตจากรัตติกาล ดวงหน้างดงามอาบเรื่อแสงแดด ดูราวภาพวาดต้องห้ามจากหอสมุดลับในวังหลวง“เจ้าตื่นก่อนแล้วหรือ เยว่เอ๋อร์…” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกระซิบชิดข้างหูพระชายา ก่อนจะโน้มใบหน้าแนบหน้าผากนา
“เยว่เอ๋อร์...เจ้าร้ายกาจนัก เจ้าสามารถฆ่าข้าด้วยเพียงแค่ปลายลิ้นของเจ้า อ๊าาา ข้าก็เกรงว่า...ข้าจะไม่อาจปล่อยให้เจ้าได้นอนก่อนรุ่งสางแน่นอน อ๊าาา”เสียงแม่ทัพหนุ่มครางราวกับบาดเจ็บเจียนขาดใจ เมื่อแท่งหยกแข็งแกร่งของเขาถูกไป๋ลี่เยว่ใช้มือนุ่มลูบสัมผัสแผ่วเบา ก่อนจะเพิ่มน้ำหนักที่อุ้งมือประกบสัมผัสแท่งหยกแนบแน่นมากขึ้น ปลายนิ้วลูบวนๆ ตามความยาว สัมผัสจากฝ่ามือนุ่มทำเอาขนกายเขาลุกชัน แขนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะคว้ามือนางยึดไว้"คืนนี้ หม่อมฉันขอลงโทษพระองค์บ้าง… โทษฐานที่เคยว่าร้ายหม่อมฉัน ไล่หม่อมฉันมาอยู่ตำหนักเย็น”หลงเจิ้งหยางมิทันได้ตอบ กางเกงแพรเนื้อเบาบนร่างแกร่งถูกคลายเชือกอย่างง่ายดาย แท่งหยกพิโรธที่ร้อนผ่าวถูกปลดปล่อยเผยโฉมออกมาผงาดพร้อมรบเมื่อพ้นเนื้อผ้าบดบังกลีบบุปผาแห่งนางแอบสั่นไหวระริก ขับน้ำเหนียวออกมา จนเจ้าของร่างก็ไม่กล้าขยับแรง ริมฝีปากอวบอิ่มของนางหยุดอยู่ตรงกลางแหล่งอารมณ์อันเป็นศูนย์รวมความทรมานของบุรุษ พลางก้มลง... ประทับจุมพิตแท่งหยกงามที่เคยอ่อนนิ่ม แต่บัดนี้กลับแข็งตึงราวเหล็กกล้า ซ้ำยังดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามกว่าเดิม“พระองค์ หม่อมฉันสามารถชิมเจ้าสิ่งนี้ได้หรือไม่เ
หลงเจิ้งหยางบดจุมพิตลงบนกลีบปากนางอย่างลุ่มหลง ปลายลิ้นแผ่วพลิ้วสัมผัสกับความหวานภายในโพรงปากของพระชายา ราวกับจะแสวงหาน้ำทิพย์จากเกสรดอกเหมยในฤดูวสันต์ ลิ้นของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกันไปมา ละเมียดละไมแต่อัดแน่นด้วยแรงปรารถนา“อื้อ อื้อ อื้อ จ๊วบ จ๊วบ” มือแกร่งค่อย ๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ขวางกั้นระหว่างกันอย่างแช่มช้า แต่มั่นคง ดั่งนักรบผู้ถอดเกราะก่อนศึกใหญ่ เสื้อคลุมชั้นนอกของนางหลุดลู่ไปตามแรงมือ จากนั้นเป็นชุดตู้โตวบางเบาผืนแดงลายบุปผา ที่ยังคลุมเรือนกายไว้อย่างแผ่วเบาแนบเนื้อ เผยให้เห็นผิวขาวนวลผ่องดั่งหิมะให้ดูยิ่งเปล่งประกายยามต้องแสงเทียน แม้จะยังมีเพียงแพรบางผูกแน่นที่ช่วงสะโพก แต่ก็กลับยิ่งขับเรือนกายของพระชายาให้ยิ่งดูยั่วเย้าใจ น่าค้นหายิ่งขึ้นฝั่งหลงเจิ้งหยางเองก็มิได้ต่างกัน อาภรณ์ของเขาหลุดลอกออกทีละชั้น จนเหลือเพียงกางเกงแพรผูกเชือกเนื้อบางที่แนบไปกับลำกายกำยำ กล้ามเนื้อแน่นชัดประหนึ่งปั้นจากหยกกล้า เผยให้เห็นเค้าโครงแห่งบุรุษผู้ช่ำชองในสมรภูมิ สมชายชาติทหารที่แม้ยามไร้อาวุธยังเปี่ยมไปด้วยอำนาจริมฝีปากอุ่นร้อนค่อย ๆ ละจากกลีบปากอวบอิ่ม เลื่อนลงสัมผัสปลายคาง แล้วไล้ลงมาต
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ หลิวอวี้ มาขอเข้าเฝ้าพร้อมกับแจ้งข่าวลับพ่ะย่ะค่ะ” เสียงฝีเท้าร้อนรนของหลินซ่างดังขึ้นพร้อมรีบเข้ามาคุกเข่ารายงาน กระบอกไม้ถูกส่งถึงมือหลงเจิ้งหยางในชั่วพริบตา เขาคลี่แผ่นรายงานออก สายตาคมดั่งกระบี่สะบั้นเพียงปรายตามอง “ข่าวจากสายลับของหลิวอวี้แจ้งมาว่า ตอนนี้ คณะทูตต้าเหยียนเดินทางใกล้ถึงเขตชายแดนแล้ว เราได้ให้คนของเราล่วงหน้าไปเตรียมตัวการต้อนรับและเปลี่ยนเกี้ยว เตรียมขบวนใหม่ที่นั่น คาดว่าขบวนทูตจะผ่านหน้าผาแม่น้ำหยกขาว ในอีกสามวัน” เสียงทุ้มของหลงเจิ้งหยางเอ่ยขึ้น ขณะส่งกระดาษข่าวลับต่อให้สตรีที่นั่งเบื้องหน้า พระชายาของเขา ไป๋ลี่เยว่ที่สวมอาภรณ์แพรเนื้อละเอียดสีมุก ผมดำขลับปล่อยสยายลงบนบ่า ขัดแย้งกับแววตาคมลึกที่สะท้อนความคิดล้ำลึก นางไล่สายตาอ่านรายงานข่าวลับที่เพิ่งส่งถึง มือเรียวบางของนางแตะแผ่นกระดาษแผ่วเบา ขณะที่ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มเจือเยาะเย้ย หลงเจิ้งหยางวางม้วนแผนที่เส้นทางขบวนทูตกางบนโต๊ะ เเละใช้ด้ามพู่กันชี้แตะลงบนตำแหน่งหน้าผาแม่น้ำหยกขาว จุดชั่วจินโป๋ซานหลู ตำแหน่งที่ศัตรูหวังให้เขาพลาดท่า… “ขบวนทูตมาพร้อมของขวัญล้ำค่า หากมีสิ่งใดผิดพลาด จะไม่ใ
ตำหนักมู่ฮวา — ยามเซิน“เหวินเอ๋อร์...เจ้ารู้หรือไม่ อำนาจไม่เคยมอบให้ใคร มันต้องช่วงชิง”เสียงเรียบเย็นของพระสนมชิงอวี่เอ่ยกับพระโอรส ในขณะที่นางนั่งพิงพนักหยกขาว เบื้องหน้าคือโต๊ะน้ำชาเคลือบเคลิ้มด้วยไอน้ำอุ่น นางยกชาขึ้นจิบช้า ๆ ก่อนจะหลุบตาลงอย่างรื่นรมย์ แม้สีหน้าดูอ่อนหวาน มุมปากยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ทว่าแววตากลับลึกล้ำดั่งธารามืดในเหมันต์เบื้องหน้าคือ หลงเหวินหยาง โอรสของนางผู้มีสายพระโลหิตของจักรพรรดิ องค์ชายผู้สง่าอยู่ในชุดสีดำหมึก กำลังทอดสายตาไปยังแผนที่ผืนใหญ่ที่คลี่อยู่บนโต๊ะไม้จันทน์อีกตัวภายใต้แสงตะเกียงทองคำวูบไหว ชิงอวี่ลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้จันทน์ แผนที่ราชสำนักต้าเฉิง ที่แต่งแต้มเส้นทางสีแดงเข้มทอดผ่านภูผาซับซ้อน ริมขอบเป็นลายมืออักษรเล็กที่จดจังหวะเดินขบวนและจุดหยุดพักของคณะทูตจากต้าเหยียน มือเรียวยกถ้วยชาจิบ ก่อนวางลงบนจานรองอย่างแผ่วเบา เสียงกระทบกันดังกริกองค์ชายหลงเหวินหยางยืนกอดอก ดวงตาคมกริบเป็นเงาดำใต้แสงตะเกียง เขาหรี่ตามองเส้นสีแดงที่ลากผ่าน ชั่วจินโป๋ซานหลู เส้นทางแคบขนาบผา หนทางที่คณะทูตจะผ่านก่อนเข้าสู่ประตูเมืองหลวงหลงเหวินหยาง มองตาม