เข้าสู่ระบบยามอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนส่องผ่านผ้าม่านสีแดงสดภายในห้องหอ ร่างของบุรุษรูปงามลืมตาขึ้น และทันทีที่สติของเขากลับมาเต็มที่ สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยโทสะ
“ข้าทำสิ่งใดลงไป”
“เมื่อคืน ข้าหลับนอนกับนางอย่างนั้นหรือ” หลงเจิ้งหยางหันขวับไปมอง และสิ่งที่เขาเห็นคือร่างของไป๋ลี่เยว่ที่นอนขดตัวอยู่ข้างกาย
นางยังคงหลับตา ดวงหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉมยังคงเต็มไปด้วยรอยแดงจากสัมผัสของเขาเมื่อคืน
“ข้าแตะต้องนาง ซ้ำแล้วย้ำเล่า” ความร้อนรุ่มในร่างกายของเขามอดดับไปแล้ว แต่สิ่งที่แทนที่กลับเป็นเพลิงแห่งความเกลียดชัง
“ข้าถูกนางทำให้แปดเปื้อน”
เขาผุดลุกขึ้นจากเตียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความขยะแขยง
“ไป๋ลี่เยว่”
ไป๋ลี่เยว่สะดุ้งตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงตวาด นางกะพริบตาช้าๆ ราวกับยังไม่ทันตั้งตัว
“องค์ชาย”
นางมองใบหน้าของพระสวามี แต่สิ่งที่นางเห็นกลับมิใช่สายตาอ่อนโยนหรือความยินดี มีเพียง ความรังเกียจ
“เมื่อคืน เจ้าทำสิ่งใดกับข้า” หลงเจิ้งหยางกล่าวเสียงเย็นชา
“เจ้ากล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ไป๋ลี่เยว่ชะงัก มือของนางกำผ้าห่มแน่น
“หม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใดเพคะ”
“หึ มิได้ทำสิ่งใด” เขาหัวเราะเยาะ
“เมื่อคืนข้าถูกวางยาได้อย่างไร”
“หม่อมฉันมิรู้เรื่องนี้จริงๆ เพคะ” นางรีบปฏิเสธ
“หม่อมฉันมิได้วางยา”
“อย่ามาโกหก”
หลงเจิ้งหยางตวัดสายตาคมกริบมองนาง ก่อนจะกระชากผ้าห่มออกจากตัวนางโดยไร้ซึ่งความอ่อนโยน
“เจ้ามิได้เป็นคนวางยา แต่เจ้าคงทูลขอเสด็จแม่ให้วางยาข้าแทนใช่ไหม เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องแตะต้องเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า”
ไป๋ลี่เยว่หน้าซีดเผือด นางอาจมิได้วางยาเขา แต่นางก็เป็นผู้เดียวที่ได้รับผลจากมัน ถูกครอบครองโดยบุรุษที่นางรัก แต่เขากลับเกลียดชังมันยิ่งกว่าสิ่งใด
“เจ้าอ้วน ไร้เสน่ห์ และต่ำต้อยเกินกว่าจะเป็นพระชายาของข้า ถึงกับต้องให้เสด็จแม่ช่วยวางยาข้า”
คำพูดนั้น บาดลึกลงกลางใจของไป๋ลี่เยว่
“ข้าต้องทนแตะต้องเจ้าทั้งคืน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าขยะแขยงเพียงใด”
ไป๋ลี่เยว่กำมือตัวเองแน่น นางเม้มริมฝีปาก กลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาไม่ให้ไหลออกมา
“หม่อมฉัน” ไป๋ลี่เยว่ตัวสั่น นางมองเขาด้วยดวงตาเจ็บปวด
“หุบปากเสีย” หลงเจิ้งหยางเดินไปคว้าอาภรณ์ของตนเอง ก่อนจะสวมใส่อย่างเร่งร้อน
“ข้ามิอาจทนอยู่ที่นี่ได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว เจ้ามิใช่สตรีที่ข้าเลือก และข้ามิอาจทนมองหน้าเจ้าได้อีก”
เขาโยนผ้าสีขาวที่เปื้อนโลหิตของนางลงบนพื้น รอยยิ้มของเขายิ่งเย้ยหยันกว่าเดิม
“ยินดีด้วย เจ้าเป็นพระชายาของข้าอย่างสมบูรณ์แล้ว”
ไป๋ลี่เยว่กำผ้าห่มแน่น ตัวสั่นสะท้านด้วยความอับอาย น้ำตาคลอเบ้าแต่กลับไม่ยอมไหลออกมา หลงเจิ้งหยางยืนกอดอก มองนางด้วยสายตาไร้ความรู้สึก
“วันนี้ ข้าจะกราบทูลฝ่าบาท ขอออกไปทำศึกที่ชายแดน” หลงเจิ้งหยางเอ่ยอย่างเรียบเฉย ราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติของเขา
ไป๋ลี่เยว่ชะงักงัน เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาตกตะลึง “ท่านจะไป ท่านจะทิ้งหม่อมฉันไปเลยหรือเพคะ”
“ใช่” หลงเจิ้งหยางกล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วโน้มตัวลงกระซิบข้างหูนาง
“ข้ามิได้เพียงทิ้งเจ้า แต่ข้าจะไล่เจ้าไปให้ไกลที่สุด” หลงเจิ้งหยางหัวเราะเย็นชา
“ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะต้องย้ายไปอยู่ตำหนักเย็น อย่าได้ก้าวล้ำเข้ามาในชีวิตของข้าอีก”
“ตำหนักเย็น”
คำพูดนั้นราวกับมีดที่กรีดลงกลางหัวใจของไป๋ลี่เยว่ นางเม้มริมฝีปากแน่นพยายามสะกดกลั้นน้ำตา นางไม่นึกว่า เขาจะกล้าทิ้งนางไว้เพียงลำพังเช่นนี้
“เพราะเหตุใดเพคะ” นางพึมพำเสียงสั่น มือสั่นระริก
“เพราะข้าไม่ต้องการเห็นเจ้า ข้าไม่มีวันยอมให้เจ้ามาอยู่ข้างกายข้าเด็ดขาด เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้อยู่ในตำหนักของข้า เช่นพระชายาคนอื่นหรือ ฝันไปเถิด ตำหนักนี้ ข้าจะปิดตาย จนกว่าข้าจะกลับมา เจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาอยู่”
“แต่หม่อมฉันเป็นพระชายาของท่าน”
“แล้วอย่างไรเล่า ถึงเจ้าจะมีตำแหน่ง แต่เจ้าก็มิได้อยู่ในใจข้า” เขาตวัดสายตามองนาง
“เจ้าคิดว่าเพียงแค่คืนเดียว เจ้าจะสามารถผูกมัดข้าได้หรือ” หลงเจิ้งหยางกล่าวอย่างเย็นชา
“อย่าได้คิดว่าเพราะเมื่อคืน ข้าจะเปลี่ยนใจ สำหรับข้า มันก็เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะถูกบีบบังคับ ไม่มีวันที่ข้าจะยินยอมรับเจ้า” เขาก้าวเข้าไปใกล้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและความดูแคลน
“ไม่มีวัน” เพียงเท่านั้น หลงเจิ้งหยางก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไปจากห้อง โดยไม่แม้แต่จะเหลียวมองนางอีก
หลงเจิ้งหยางก้าวไปที่ประตู แต่ก่อนที่เขาจะออกจากห้อง ไป๋ลี่เยว่ก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว รู้สึกเหมือนลมหายใจของนางกำลังจะหมดไป หัวใจของนางถูกบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“องค์ชาย ”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็มิได้หันกลับมา แต่ถึงแม้เขาจะรังเกียจนางเพียงใด นางก็ยังอยากให้เขารู้ว่านางมิได้มีเจตนาร้าย
“หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่เคยคิดจะวางยาท่าน แม้ท่านจะไม่รักหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันก็ไม่เคยคิดจะทำให้ท่านต้องลำบากใจ เพียงเพราะว่า..”
“พอเถิด” หลงเจิ้งหยางตัดบท มิให้โอกาสนางอธิบาย
“ถึงแม้เจ้าจะมิได้วางยา ข้าก็มิได้ต้องการเจ้าตั้งแต่แรก”
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ ว่าการที่ข้าต้องแตะต้องเจ้ามันเป็นเรื่องที่ข้าขยะแขยงเพียงใด”
ไป๋ลี่เยว่รู้สึกเหมือนมีดพันเล่มพุ่งเข้าใส่ ร่างกายของนางเย็นเฉียบ หัวใจของนางแทบหยุดเต้น
“จงอยู่ที่ตำหนักเย็นไปเถิด” เขากล่าวอย่างไร้เยื่อใย
“และอย่าได้หวังว่าข้าจะมองเจ้าด้วยสายตาอื่น เพราะข้ามิได้รักเจ้า และจะไม่มีวันรัก”
สิ้นถ้อยคำเฉือนใจน้ำตาของนางเอ่อล้นที่ขอบตา แต่สุดท้ายนางก็กัดฟันอดกลั้นเอาไว้ เขามิได้ต้องการให้นางอยู่ เช่นนั้นนางก็ควรไป นางสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจะไม่รบกวนชีวิตของท่านอีก”
“ต่อให้ท่านมิได้รักหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันก็ยังรักท่าน”
“แต่ตั้งแต่นี้ไป หม่อมฉันจะไม่ขอร้องให้ท่านเมตตาหม่อมฉันอีก”
“เพราะหม่อมฉันกำลังจะจากไป เช่นเดียวกับหัวใจของหม่อมฉัน”
หลงเจิ้งหยางชะงักไปชั่วครู่ กำหมัดแน่น แต่เขาก็มิได้หันกลับมามองนางแม้แต่น้อย มีเพียงแค่น้ำเสียงเย็นชาเป็นคำพูดสุดท้าย ที่ถูกทิ้งไว้แทนคำลาจาก
“ก็ดี”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็ก้าวออกจากห้องหอไปโดยไม่แม้แต่หันกลับมามองอีกเลย
ไป๋ลี่เยว่จ้องมองแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆ ห่างออกไป น้ำตาที่นางกลั้นเอาไว้ก็ร่วงหล่นลงมาเงียบๆ
ลมหนาวพัดแรงจากทิศเหนือ ใบไม้แห้งปลิวว่อนเหนือผืนดินที่เพิ่งถูกกลบใหม่ หน้าหลุมศพมีเพียงร่างชายหนุ่มในอาภรณ์ดำสนิท ยืนอยู่เงียบงันราวรูปสลักหิน ผืนผ้าคลุมไหล่สีดำเข้มปราศจากลวดลาย เป็นสีที่อนุญาตให้ผู้ต้องโทษสกุลราชสวมได้ หากสำหรับเขาแล้ว มันคือสีแห่งอาลัยและความอัปยศที่ไม่อาจประกาศต่อฟ้าดินพิธีศพจัดในบริเวณสุสานวังหลังอย่างเรียบง่าย เสียงสวดส่งวิญญาณดับสิ้นไปพร้อมแสงสุดท้ายของอาทิตย์ยามอัสดง เหลือเพียงเสียงลมหวิวลอดช่องอิฐของสุสานเย็นเฉียบ กลิ่นดินชื้นปนกลิ่นยาพิษอ่อน ๆ ยังไม่ทันจางจากลมหายใจสุดท้ายของมารดา หลงเหวินหยางก้าวเข้าไปใกล้จนปลายรองเท้าแตะขอบดิน มือที่กำแน่นจนเส้นเลือดปูดสั่นเทา เขายกมือแตะป้ายไม้เล็ก ๆ ที่จารึกเพียงว่า “สุสานสตรีวังหลัง” ไม่มีพระนาม ไม่มียศศักดิ์ ห่อเกียรติยศไว้ในความเงียบ ไม่มีคำใดกล่าวถึงมารดาผู้เคยเป็น “ดวงใจแห่งวังหลวง” ข้าง ๆ มีเพียงธูปและดอกเหมยสีขาวเรียงรายอยู่เป็นระยะ หอมอ่อน ๆ ปนกลิ่นดินชื้นเขาก้มมองมือของตน...เย็นเยียบ ดั่งเลือดในกายถูกแช่แข็ง ปลายนิ้วนั้นเคยถูกมารดาจับอย่างอ่อนโยนเมื่อยังเยาว์ เคยแตะมงกุฎไหมทองเมื่อครั้งขึ้นรับตำแหน่งองค์ชายร
“เหวินหยาง เจ้าแน่ใจหรือว่าจะรับผิดเรื่องนี้แทนแม่ของเจ้า” สุรเสียงของฮ่องเต้ดังก้องและเย็นชา องค์ชายสองชะงักงันทันที แววตาไหววูบ ไม่กล้าสบพระพักตร์ ความเงียบปกคลุมทั่วโถงจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน ผู้เป็นพระมารดาหันไปมองหลงเหวินหยาง ที่กำลังสั่นเทาด้วยความกลัวอยู่เบื้องหน้า ภาพโอรสที่กำลังจะถูกลงโทษรุนแรงและสูญสิ้นอนาคตก่อขึ้นในหัวของนาง แผนที่วางไว้จะถูกทำลายไม่ได้เด็ดขาด “เหวินเอ๋อร์...แม่จะไม่ให้ใครแตะต้องเจ้า” ความคิดนั้นแว่วขึ้น หัวใจนางสั่นระรัว มิใช่เพราะกลัวความตาย แต่กลัวเห็นเลือดในอุทรถูกเหยียบย่ำต่อหน้าต่อตา สิ่งเหล่านั้นทำให้กำแพงความเย่อหยิ่งของนางพังทลายลง ในสายตาของนางเต็มไปด้วยความรักและความเด็ดเดี่ยวอันน่าสะพรึงกลัว พระสนมชิงอวี่หลับตาลงช้า ๆ ยอมจำนนต่อโชคชะตาที่มืดมิด นางรู้ว่าไม่ว่านางจะปฏิเสธอย่างไร หลักฐานก็มัดตัวแน่นหนา แต่... หากนางยอมรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว อย่างน้อย… หลงเหวินหยาง ผู้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนางก็ยังมีทางรอด และยังมีความหวัง ที่จะกลับมาทวงอำนาจคืน ก่อนนางจะเงยหน้าขึ้นอีกคราอย่างเด็ดเดี่ยวไร้ความกลัว แววตาคมกริบแต่เปี่ยมด้วยความรันทด มอง
เมื่อโจรทั้งห้าถูกลากเข้ามาและส่งเสียงร้องอ้อนวอนขอความเมตตา พระสนมชิงอวี่ก็จำต้องสบตาพวกมันเพียงครู่ แม้นางจะปฏิเสธไม่รู้จัก...แต่ลึกในใจนางกลับย่อมรู้ดีว่า คนจากหลงซานเหล่านี้ล้วนแต่เป็นขุมกำลังลับของพระโอรสของนางเอง นางรักษาสีหน้าให้คงที่ ทว่ามุมปากของนางเริ่มเกร็งขึ้นเล็กน้อยอย่างมิอาจควบคุมได้“หม่อมฉันมิได้รู้จักพวกมัน… แม้แต่คนเดียวเพคะ” เสียงตอบของนางสงบ แต่นิ้วมือเรียวใต้แขนเสื้อเริ่มกำแน่นหลงเจิ้งหยางที่คุกเข่าอยู่ด้านข้าง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ แต่กรีดลึกกว่าคมดาบ “ถ้าเป็นเช่นนั้น หากพระสนมบริสุทธิ์ไร้มลทิน ก็ขอให้พระสนมได้โปรดอธิบายเรื่องตราประทับของตระกูลเซียวที่โจรผู้นั้นครอบครอง ถุงทองคำที่มาจากกรมคลังด้วยเส้นทางที่เชื่อมโยงผ่านทางตระกูลของท่าน และคำสารภาพของนางกำนัลและขันทีที่ถูกส่งไปสำนักพิธีการด้วยพ่ะย่ะค่ะ”พระสนมชิงอวี่ชะงักเพียงเสี้ยววินาที ก่อนคลี่ยิ้มบาง นางเพียงแค่นหัวเราะในลำคอ“สตรีในวังมีคนรับใช้มากมาย จะมีใครทราบได้ทุกฝีก้าวกันเล่าเพคะ”เสียงฮือฮาดังก้อง เหล่าเสนาบดีบางคนถึงกับทำปากขมุบขมิบด้วยความตกตะลึง ขณะที่หลงเหวินหยางโอรสของนาง กำหมัดแน่นจนข้อขาวซีดเส้นเ
ในความเงียบอันหนักอึ้งนั้น มีเพียงเสียงลมหายใจอันถี่กระชั้นของ องค์ชายสอง หลงเหวินหยางเท่านั้นที่โดดเด่นดังสะท้อนก้องอยู่กลางท้องพระโรงกว้าง ดวงตาคมวาวโรจน์มองตามแผ่นหลังของเสนาบดีฉีที่ค่อย ๆ ก้าวเดินออกจากท้องพระโรงไป ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวผ้าขาว ริมฝีปากสั่นระริก เมื่อแผนการที่สมบูรณ์แบบ บัดนี้ได้ถูกไอ้ลูกฮองเฮาตัวร้ายทำลายลงอย่างสิ้นเชิงด้วยหลักฐานที่มิอาจปฏิเสธได้“ฝ่าบาท... น้องสามทรงกล่าวเหลวไหล เพียงต้องการใส่ร้ายกระหม่อมกับท่านแม่” เสียงของหลงเหวินหยางโพล่งออกมาอย่างลืมตัว เสียงนั้นดังลั่นสะเทือนกล้ามเนื้อในลำคอ มือที่เคยจับพู่กันเขียนฎีกาอย่างมั่นคงและกุมอำนาจพลเรือน บัดนี้สั่นเทาจนแทบจะจับอากาศไม่ได้“ปัง”เสียงกระแทกกำปั้นลงบนโต๊ะจากเบื้องบัลลังก์ดังก้องสะเทือนถึงอกของทุกผู้คน ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้นช้า ๆ พระพักตร์มืดครึ้มราวท้องฟ้าไม่มีแสงตะวัน เหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างค้อมกายลงต่ำจนศีรษะแทบจรดพื้น ไม่มีผู้ใดกล้าสบพระเนตรขององค์จักรพรรดิแม้แต่ผู้เดียว“หยุดวาจากันทุกคน” พระสุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้น พระเนตรคมกริบของพระองค์หันไปทางขันทีหลวงที่ยืนอยู่ข้างบัลลังก์“หลี่กงกง”
“แล้วเกี่ยวข้องสิ่งใดกับเรื่องที่องค์ชายสองกล่าวหาเมื่อครู่” “พวกมันหาใช่โจรภูเขาแท้พ่ะย่ะค่ะ หากแต่เป็นหมากของผู้ใดบางคนที่ถูกส่งมาจากหลงซานเพื่ออำพรางตนภายใต้เงาโจรแอบอ้างเป็นโจรภูเขา แล้วสร้างเหตุปล้น เพื่อโยนความผิดให้ผู้รับผิดชอบการดูแลขบวนของคณะทูต” เสียงขององค์ชายสามนิ่ง ทว่าทุกพยางค์ราวกับคมดาบวาดลงบนกระดานหมาก ขณะเสียงลมหายใจของผู้คนในท้องพระโรงแทบหยุดนิ่ง แววตาของหลงเหวินหยางชะงักแข็งค้างชั่ววูบ ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มพลันจางไปอย่างไม่อาจควบคุมไม่ทัน องค์ชายสามสะบัดมือเบา ๆ ขันทีนำหีบไม้เข้ามา เปิดเผยของในนั้น เอกสารตราประทับกรมคลังแห่งต้าเฉิง, ถุงทองคำ, และตราสัญลักษณ์ของตระกูลขุนนาง โจรผู้หนึ่งตัวสั่น ก่อนหมอบกราบร้องเสียงดัง “พะ...พวกข้าได้รับคำสั่งจากท่านผู้มีพระคุณ ให้ปล้นขบวนคณะทูต เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ” “ผู้มีพระคุณที่เจ้ากล่าวอ้างถึง คือผู้ใดกัน” สุรเสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากบัลลังก์มังกร “เอ่อ…คนตระกูลเซียวพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อคำว่า ‘ตระกูลเซียว’ หลุดจากปากโจร เสียงสูดลมหายใจพลันดังพร้อมกันทั่วโถงราวคลื่นกระแทก เสนาบดีบางคนถึงกับสะดุ้ง พระเนตรของฮ่องเต้แคบลงช้า
“อย่างไรก็ดี เรื่องเช่นนี้… หากมองอีกแง่ ก็เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดที่ก็เป็นได้” เสียงพูดของหลงเหวินหยางแผ่วลงพร้อมรอยยิ้มบางที่ยากอ่าน“แต่ก็คงเป็นเพียงไมตรีระหว่างเชื้อพระวงศ์ต่างแคว้น หาใช่เรื่องใหญ่โต... หามิใช่เรื่องที่ควรน่าสงสัยใด ๆ หรอกกระมัง” เขาหยุดเพียงชั่วอึดใจ ก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนราวจะคลี่คลายเรื่อง แต่กลับกลายเป็นคมมีดซ่อนในรอยยิ้ม“ถึงอย่างไร กระหม่อมก็เชื่อมั่นว่าองค์ชายสามผู้ทรงสัตย์มั่นในราชวงศ์คงไม่กล้าก่อการสิ่งใด...ที่อาจดูคล้ายเป็นการลอบติดต่อกับต่างแคว้นอย่างลับ ๆ อันเข้าข่ายกบฏต่อใต้หล้าเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”คำพูดนั้นอ่อนโยน เสียงท้ายประโยคนั้นเบาเพียงลมหายใจ แต่แฝงแรงสะเทือนถึงหัวใจคนฟังทั้งท้องพระโรง คำพูดดูคล้ายปกป้อง ทว่าเมื่อพินิจเนื้อหากลับเป็นการสาดน้ำมันลงบนเปลวเพลิงถ้อยคำ “มิอาจคิดการใหญ่” และ “ชิงความดีความชอบ” ดังก้องในใจผู้ฟังเหล่าขุนนางบางคนเริ่มซุบซิบ บ้างหลุบตา บ้างเหลือบมององค์ชายสามอย่างระแวดระวังแววพระเนตรของฮ่องเต้ที่วางอยู่บนพัดหลวงพลันไหววูบ พระโอษฐ์เม้มแน่น เสียงพระทัยคล้ายหนักอึ้งกว่าเดิมหลงเจิ้งหยางยังก้มศีรษะนิ่งงัน ดวงตาคู่น







