ยามอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนส่องผ่านผ้าม่านสีแดงสดภายในห้องหอ ร่างของบุรุษรูปงามลืมตาขึ้น และทันทีที่สติของเขากลับมาเต็มที่ สายตาของเขาก็เต็มไปด้วยโทสะ
“ข้าทำสิ่งใดลงไป”
“เมื่อคืน ข้าหลับนอนกับนางอย่างนั้นหรือ” หลงเจิ้งหยางหันขวับไปมอง และสิ่งที่เขาเห็นคือร่างของไป๋ลี่เยว่ที่นอนขดตัวอยู่ข้างกาย
นางยังคงหลับตา ดวงหน้าที่ไร้เครื่องประทินโฉมยังคงเต็มไปด้วยรอยแดงจากสัมผัสของเขาเมื่อคืน
“ข้าแตะต้องนาง ซ้ำแล้วย้ำเล่า” ความร้อนรุ่มในร่างกายของเขามอดดับไปแล้ว แต่สิ่งที่แทนที่กลับเป็นเพลิงแห่งความเกลียดชัง
“ข้าถูกนางทำให้แปดเปื้อน”
เขาผุดลุกขึ้นจากเตียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความขยะแขยง
“ไป๋ลี่เยว่”
ไป๋ลี่เยว่สะดุ้งตื่นทันทีที่ได้ยินเสียงตวาด นางกะพริบตาช้าๆ ราวกับยังไม่ทันตั้งตัว
“องค์ชาย”
นางมองใบหน้าของพระสวามี แต่สิ่งที่นางเห็นกลับมิใช่สายตาอ่อนโยนหรือความยินดี มีเพียง ความรังเกียจ
“เมื่อคืน เจ้าทำสิ่งใดกับข้า” หลงเจิ้งหยางกล่าวเสียงเย็นชา
“เจ้ากล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ไป๋ลี่เยว่ชะงัก มือของนางกำผ้าห่มแน่น
“หม่อมฉันมิได้ทำสิ่งใดเพคะ”
“หึ มิได้ทำสิ่งใด” เขาหัวเราะเยาะ
“เมื่อคืนข้าถูกวางยาได้อย่างไร”
“หม่อมฉันมิรู้เรื่องนี้จริงๆ เพคะ” นางรีบปฏิเสธ
“หม่อมฉันมิได้วางยา”
“อย่ามาโกหก”
หลงเจิ้งหยางตวัดสายตาคมกริบมองนาง ก่อนจะกระชากผ้าห่มออกจากตัวนางโดยไร้ซึ่งความอ่อนโยน
“เจ้ามิได้เป็นคนวางยา แต่เจ้าคงทูลขอเสด็จแม่ให้วางยาข้าแทนใช่ไหม เช่นนั้นข้าคงไม่ต้องแตะต้องเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า”
ไป๋ลี่เยว่หน้าซีดเผือด นางอาจมิได้วางยาเขา แต่นางก็เป็นผู้เดียวที่ได้รับผลจากมัน ถูกครอบครองโดยบุรุษที่นางรัก แต่เขากลับเกลียดชังมันยิ่งกว่าสิ่งใด
“เจ้าอ้วน ไร้เสน่ห์ และต่ำต้อยเกินกว่าจะเป็นพระชายาของข้า ถึงกับต้องให้เสด็จแม่ช่วยวางยาข้า”
คำพูดนั้น บาดลึกลงกลางใจของไป๋ลี่เยว่
“ข้าต้องทนแตะต้องเจ้าทั้งคืน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าขยะแขยงเพียงใด”
ไป๋ลี่เยว่กำมือตัวเองแน่น นางเม้มริมฝีปาก กลั้นน้ำตาที่รื้นขึ้นมาไม่ให้ไหลออกมา
“หม่อมฉัน” ไป๋ลี่เยว่ตัวสั่น นางมองเขาด้วยดวงตาเจ็บปวด
“หุบปากเสีย” หลงเจิ้งหยางเดินไปคว้าอาภรณ์ของตนเอง ก่อนจะสวมใส่อย่างเร่งร้อน
“ข้ามิอาจทนอยู่ที่นี่ได้อีกแม้แต่วินาทีเดียว เจ้ามิใช่สตรีที่ข้าเลือก และข้ามิอาจทนมองหน้าเจ้าได้อีก”
เขาโยนผ้าสีขาวที่เปื้อนโลหิตของนางลงบนพื้น รอยยิ้มของเขายิ่งเย้ยหยันกว่าเดิม
“ยินดีด้วย เจ้าเป็นพระชายาของข้าอย่างสมบูรณ์แล้ว”
ไป๋ลี่เยว่กำผ้าห่มแน่น ตัวสั่นสะท้านด้วยความอับอาย น้ำตาคลอเบ้าแต่กลับไม่ยอมไหลออกมา หลงเจิ้งหยางยืนกอดอก มองนางด้วยสายตาไร้ความรู้สึก
“วันนี้ ข้าจะกราบทูลฝ่าบาท ขอออกไปทำศึกที่ชายแดน” หลงเจิ้งหยางเอ่ยอย่างเรียบเฉย ราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติของเขา
ไป๋ลี่เยว่ชะงักงัน เงยหน้ามองเขาด้วยสายตาตกตะลึง “ท่านจะไป ท่านจะทิ้งหม่อมฉันไปเลยหรือเพคะ”
“ใช่” หลงเจิ้งหยางกล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ แล้วโน้มตัวลงกระซิบข้างหูนาง
“ข้ามิได้เพียงทิ้งเจ้า แต่ข้าจะไล่เจ้าไปให้ไกลที่สุด” หลงเจิ้งหยางหัวเราะเย็นชา
“ตั้งแต่นี้ไป เจ้าจะต้องย้ายไปอยู่ตำหนักเย็น อย่าได้ก้าวล้ำเข้ามาในชีวิตของข้าอีก”
“ตำหนักเย็น”
คำพูดนั้นราวกับมีดที่กรีดลงกลางหัวใจของไป๋ลี่เยว่ นางเม้มริมฝีปากแน่นพยายามสะกดกลั้นน้ำตา นางไม่นึกว่า เขาจะกล้าทิ้งนางไว้เพียงลำพังเช่นนี้
“เพราะเหตุใดเพคะ” นางพึมพำเสียงสั่น มือสั่นระริก
“เพราะข้าไม่ต้องการเห็นเจ้า ข้าไม่มีวันยอมให้เจ้ามาอยู่ข้างกายข้าเด็ดขาด เจ้าคิดว่าเจ้าจะได้อยู่ในตำหนักของข้า เช่นพระชายาคนอื่นหรือ ฝันไปเถิด ตำหนักนี้ ข้าจะปิดตาย จนกว่าข้าจะกลับมา เจ้าไม่มีสิทธิ์จะมาอยู่”
“แต่หม่อมฉันเป็นพระชายาของท่าน”
“แล้วอย่างไรเล่า ถึงเจ้าจะมีตำแหน่ง แต่เจ้าก็มิได้อยู่ในใจข้า” เขาตวัดสายตามองนาง
“เจ้าคิดว่าเพียงแค่คืนเดียว เจ้าจะสามารถผูกมัดข้าได้หรือ” หลงเจิ้งหยางกล่าวอย่างเย็นชา
“อย่าได้คิดว่าเพราะเมื่อคืน ข้าจะเปลี่ยนใจ สำหรับข้า มันก็เป็นแค่เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะถูกบีบบังคับ ไม่มีวันที่ข้าจะยินยอมรับเจ้า” เขาก้าวเข้าไปใกล้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหยิ่งผยองและความดูแคลน
“ไม่มีวัน” เพียงเท่านั้น หลงเจิ้งหยางก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไปจากห้อง โดยไม่แม้แต่จะเหลียวมองนางอีก
หลงเจิ้งหยางก้าวไปที่ประตู แต่ก่อนที่เขาจะออกจากห้อง ไป๋ลี่เยว่ก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว รู้สึกเหมือนลมหายใจของนางกำลังจะหมดไป หัวใจของนางถูกบดขยี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“องค์ชาย ”
เขาชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็มิได้หันกลับมา แต่ถึงแม้เขาจะรังเกียจนางเพียงใด นางก็ยังอยากให้เขารู้ว่านางมิได้มีเจตนาร้าย
“หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่เคยคิดจะวางยาท่าน แม้ท่านจะไม่รักหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันก็ไม่เคยคิดจะทำให้ท่านต้องลำบากใจ เพียงเพราะว่า..”
“พอเถิด” หลงเจิ้งหยางตัดบท มิให้โอกาสนางอธิบาย
“ถึงแม้เจ้าจะมิได้วางยา ข้าก็มิได้ต้องการเจ้าตั้งแต่แรก”
“เจ้ารู้ตัวหรือไม่ ว่าการที่ข้าต้องแตะต้องเจ้ามันเป็นเรื่องที่ข้าขยะแขยงเพียงใด”
ไป๋ลี่เยว่รู้สึกเหมือนมีดพันเล่มพุ่งเข้าใส่ ร่างกายของนางเย็นเฉียบ หัวใจของนางแทบหยุดเต้น
“จงอยู่ที่ตำหนักเย็นไปเถิด” เขากล่าวอย่างไร้เยื่อใย
“และอย่าได้หวังว่าข้าจะมองเจ้าด้วยสายตาอื่น เพราะข้ามิได้รักเจ้า และจะไม่มีวันรัก”
สิ้นถ้อยคำเฉือนใจน้ำตาของนางเอ่อล้นที่ขอบตา แต่สุดท้ายนางก็กัดฟันอดกลั้นเอาไว้ เขามิได้ต้องการให้นางอยู่ เช่นนั้นนางก็ควรไป นางสูดหายใจลึกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเขาเป็นครั้งสุดท้าย
“หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ หม่อมฉันจะไม่รบกวนชีวิตของท่านอีก”
“ต่อให้ท่านมิได้รักหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันก็ยังรักท่าน”
“แต่ตั้งแต่นี้ไป หม่อมฉันจะไม่ขอร้องให้ท่านเมตตาหม่อมฉันอีก”
“เพราะหม่อมฉันกำลังจะจากไป เช่นเดียวกับหัวใจของหม่อมฉัน”
หลงเจิ้งหยางชะงักไปชั่วครู่ กำหมัดแน่น แต่เขาก็มิได้หันกลับมามองนางแม้แต่น้อย มีเพียงแค่น้ำเสียงเย็นชาเป็นคำพูดสุดท้าย ที่ถูกทิ้งไว้แทนคำลาจาก
“ก็ดี”
หลังจากกล่าวจบ เขาก็ก้าวออกจากห้องหอไปโดยไม่แม้แต่หันกลับมามองอีกเลย
ไป๋ลี่เยว่จ้องมองแผ่นหลังของเขาที่ค่อยๆ ห่างออกไป น้ำตาที่นางกลั้นเอาไว้ก็ร่วงหล่นลงมาเงียบๆ
ท้องพระโรง – ยามเฉินกลางม่านแพรไหมบางเบาสีทองอ่อนสะบัดแผ่วใต้สายลมภายในท้องพระโรง หอมกลิ่นไม้จันทน์จากถาดธูปหอมซ่อนอยู่ในมุมห้อง เคล้ากับกลิ่นหอมอ่อนของดอกหลี่ฮวาปะปนกับกลิ่นกำยานเร้าอารมณ์แห่งพิธีราชสำนัก เสริมให้บรรยากาศงดงามสูงส่ง บนบัลลังก์มังกรสูง ฮ่องเต้หลงฉางจิ้นทรงประทับนิ่งสง่า ใต้พระพักตร์นิ่งขรึม เบื้องพระวรกายคือ พระมเหสีหยางเซียนเยวี่ย ฮองเฮาผู้เป็นแม่ของแผ่นดิน นางแต่งองค์ด้วยชุดลายหงส์ทอสีทอง นั่งสง่างาม สงบนิ่งดั่งดวงจันทร์และเบื้องล่างซ้ายขวาห้อมล้อมด้วยเหล่าพระสนมและบรรดาองค์ชายพร้อมพระชายา และขุนนางจากทุกฝ่ายนั่งประจำตำแหน่งอย่างเคร่งขรึม พระสนมชิงอวี่นั่งที่พระเก้าอี้ประทับสำรองของพระสนมอยู่เยื้องด้านซ้าย ที่มีพระสนมคนอื่นๆ นั่งรวมอยู่ ท่าทีของนางงามสง่า เรียบร้อยไร้ที่ติ ทว่าในดวงตาคู่งามกลับซ่อนแววเร้นลึกดั่งทะเลพิโรธ ชิงอวี่ปรายตามองลานหยกเบื้องล่างหน้าพระโรง ซึ่งสมควรเป็นจุดที่ ขบวนทูตจากต้าเหยียนควรเดินทางถึงตามกำหนดแล้ว ทว่ายามนี้ แสงแดดยามสายกลับทอดยาวไร้เงาของเกี้ยวผ้าไหม และกองดุริยางค์ก็ยังไร้สัญญาณสั่งโหมประโคม เสียงขุนนางต่างลือกระซิบตลอดลานพิธี เสน
รุ่งเช้า ณ ตำหนักชิงอวิ๋นม่านแพรบางสีไข่มุกไหวระริกตามแรงลมหิมะเบา แสงแดดยามเช้าเจือกลิ่นเกสรเหมย ลอดผ่านกระจกหยกสลักฉลุลาย กลั่นเป็นแสงอุ่นอ่อนทอดลงบนเตียงใหญ่ผืนงาม ร่างสูงของหลงเจิ้งหยางหลับตานิ่งบนหมอนปักลายคลื่นมังกร ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ผิวพรรณเนื้อทองของแม่ทัพใหญ่สะท้อนแสงอ่อนในยามเช้า เส้นผมยาวสลายจากปิ่นทองเมื่อคืน กระจายแนบหมอนอย่างไร้แบบแผน ความสงบสุขที่หาได้ยากนักปรากฏอยู่บนใบหน้าคมเข้ม เขาเพียงหายใจช้า ๆ อย่างพอใจในอ้อมแขนที่โอบร่างบางไว้ไม่ห่างกาย ดวงตาดำสนิทที่มักแฝงกลิ่นคมคายเยือกเย็น บัดนี้กลับมีแววอ่อนโยนสะท้อนประกายอรุณ เขาทอดตามองใบหน้าที่คุ้นเคยยิ่งกว่าลมหายใจของตน พลันยื่นมือหนาออกลูบเรือนผมสลวยเบา ๆ ดั่งหวาดว่าจะแตะต้องความฝันไป๋ลี่เยว่พลิกกายอย่างแผ่วเบาเมื่อโดนรบกวน เส้นผมปล่อยยาวประดุจม่านไหมดำขลับหล่นลงปกบ่าขาวนวล ไหล่เปลือยโผล่พ้นผ้านวมผืนหนา กลีบปากนุ่มยังระเรื่อรอยจุมพิตจากรัตติกาล ดวงหน้างดงามอาบเรื่อแสงแดด ดูราวภาพวาดต้องห้ามจากหอสมุดลับในวังหลวง“เจ้าตื่นก่อนแล้วหรือ เยว่เอ๋อร์…” เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยกระซิบชิดข้างหูพระชายา ก่อนจะโน้มใบหน้าแนบหน้าผากนา
“เยว่เอ๋อร์...เจ้าร้ายกาจนัก เจ้าสามารถฆ่าข้าด้วยเพียงแค่ปลายลิ้นของเจ้า อ๊าาา ข้าก็เกรงว่า...ข้าจะไม่อาจปล่อยให้เจ้าได้นอนก่อนรุ่งสางแน่นอน อ๊าาา”เสียงแม่ทัพหนุ่มครางราวกับบาดเจ็บเจียนขาดใจ เมื่อแท่งหยกแข็งแกร่งของเขาถูกไป๋ลี่เยว่ใช้มือนุ่มลูบสัมผัสแผ่วเบา ก่อนจะเพิ่มน้ำหนักที่อุ้งมือประกบสัมผัสแท่งหยกแนบแน่นมากขึ้น ปลายนิ้วลูบวนๆ ตามความยาว สัมผัสจากฝ่ามือนุ่มทำเอาขนกายเขาลุกชัน แขนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะคว้ามือนางยึดไว้"คืนนี้ หม่อมฉันขอลงโทษพระองค์บ้าง… โทษฐานที่เคยว่าร้ายหม่อมฉัน ไล่หม่อมฉันมาอยู่ตำหนักเย็น”หลงเจิ้งหยางมิทันได้ตอบ กางเกงแพรเนื้อเบาบนร่างแกร่งถูกคลายเชือกอย่างง่ายดาย แท่งหยกพิโรธที่ร้อนผ่าวถูกปลดปล่อยเผยโฉมออกมาผงาดพร้อมรบเมื่อพ้นเนื้อผ้าบดบังกลีบบุปผาแห่งนางแอบสั่นไหวระริก ขับน้ำเหนียวออกมา จนเจ้าของร่างก็ไม่กล้าขยับแรง ริมฝีปากอวบอิ่มของนางหยุดอยู่ตรงกลางแหล่งอารมณ์อันเป็นศูนย์รวมความทรมานของบุรุษ พลางก้มลง... ประทับจุมพิตแท่งหยกงามที่เคยอ่อนนิ่ม แต่บัดนี้กลับแข็งตึงราวเหล็กกล้า ซ้ำยังดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามกว่าเดิม“พระองค์ หม่อมฉันสามารถชิมเจ้าสิ่งนี้ได้หรือไม่เ
หลงเจิ้งหยางบดจุมพิตลงบนกลีบปากนางอย่างลุ่มหลง ปลายลิ้นแผ่วพลิ้วสัมผัสกับความหวานภายในโพรงปากของพระชายา ราวกับจะแสวงหาน้ำทิพย์จากเกสรดอกเหมยในฤดูวสันต์ ลิ้นของทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกันไปมา ละเมียดละไมแต่อัดแน่นด้วยแรงปรารถนา“อื้อ อื้อ อื้อ จ๊วบ จ๊วบ” มือแกร่งค่อย ๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ขวางกั้นระหว่างกันอย่างแช่มช้า แต่มั่นคง ดั่งนักรบผู้ถอดเกราะก่อนศึกใหญ่ เสื้อคลุมชั้นนอกของนางหลุดลู่ไปตามแรงมือ จากนั้นเป็นชุดตู้โตวบางเบาผืนแดงลายบุปผา ที่ยังคลุมเรือนกายไว้อย่างแผ่วเบาแนบเนื้อ เผยให้เห็นผิวขาวนวลผ่องดั่งหิมะให้ดูยิ่งเปล่งประกายยามต้องแสงเทียน แม้จะยังมีเพียงแพรบางผูกแน่นที่ช่วงสะโพก แต่ก็กลับยิ่งขับเรือนกายของพระชายาให้ยิ่งดูยั่วเย้าใจ น่าค้นหายิ่งขึ้นฝั่งหลงเจิ้งหยางเองก็มิได้ต่างกัน อาภรณ์ของเขาหลุดลอกออกทีละชั้น จนเหลือเพียงกางเกงแพรผูกเชือกเนื้อบางที่แนบไปกับลำกายกำยำ กล้ามเนื้อแน่นชัดประหนึ่งปั้นจากหยกกล้า เผยให้เห็นเค้าโครงแห่งบุรุษผู้ช่ำชองในสมรภูมิ สมชายชาติทหารที่แม้ยามไร้อาวุธยังเปี่ยมไปด้วยอำนาจริมฝีปากอุ่นร้อนค่อย ๆ ละจากกลีบปากอวบอิ่ม เลื่อนลงสัมผัสปลายคาง แล้วไล้ลงมาต
“องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ หลิวอวี้ มาขอเข้าเฝ้าพร้อมกับแจ้งข่าวลับพ่ะย่ะค่ะ” เสียงฝีเท้าร้อนรนของหลินซ่างดังขึ้นพร้อมรีบเข้ามาคุกเข่ารายงาน กระบอกไม้ถูกส่งถึงมือหลงเจิ้งหยางในชั่วพริบตา เขาคลี่แผ่นรายงานออก สายตาคมดั่งกระบี่สะบั้นเพียงปรายตามอง “ข่าวจากสายลับของหลิวอวี้แจ้งมาว่า ตอนนี้ คณะทูตต้าเหยียนเดินทางใกล้ถึงเขตชายแดนแล้ว เราได้ให้คนของเราล่วงหน้าไปเตรียมตัวการต้อนรับและเปลี่ยนเกี้ยว เตรียมขบวนใหม่ที่นั่น คาดว่าขบวนทูตจะผ่านหน้าผาแม่น้ำหยกขาว ในอีกสามวัน” เสียงทุ้มของหลงเจิ้งหยางเอ่ยขึ้น ขณะส่งกระดาษข่าวลับต่อให้สตรีที่นั่งเบื้องหน้า พระชายาของเขา ไป๋ลี่เยว่ที่สวมอาภรณ์แพรเนื้อละเอียดสีมุก ผมดำขลับปล่อยสยายลงบนบ่า ขัดแย้งกับแววตาคมลึกที่สะท้อนความคิดล้ำลึก นางไล่สายตาอ่านรายงานข่าวลับที่เพิ่งส่งถึง มือเรียวบางของนางแตะแผ่นกระดาษแผ่วเบา ขณะที่ริมฝีปากแย้มรอยยิ้มเจือเยาะเย้ย หลงเจิ้งหยางวางม้วนแผนที่เส้นทางขบวนทูตกางบนโต๊ะ เเละใช้ด้ามพู่กันชี้แตะลงบนตำแหน่งหน้าผาแม่น้ำหยกขาว จุดชั่วจินโป๋ซานหลู ตำแหน่งที่ศัตรูหวังให้เขาพลาดท่า… “ขบวนทูตมาพร้อมของขวัญล้ำค่า หากมีสิ่งใดผิดพลาด จะไม่ใ
ตำหนักมู่ฮวา — ยามเซิน“เหวินเอ๋อร์...เจ้ารู้หรือไม่ อำนาจไม่เคยมอบให้ใคร มันต้องช่วงชิง”เสียงเรียบเย็นของพระสนมชิงอวี่เอ่ยกับพระโอรส ในขณะที่นางนั่งพิงพนักหยกขาว เบื้องหน้าคือโต๊ะน้ำชาเคลือบเคลิ้มด้วยไอน้ำอุ่น นางยกชาขึ้นจิบช้า ๆ ก่อนจะหลุบตาลงอย่างรื่นรมย์ แม้สีหน้าดูอ่อนหวาน มุมปากยกยิ้มเพียงเล็กน้อย ทว่าแววตากลับลึกล้ำดั่งธารามืดในเหมันต์เบื้องหน้าคือ หลงเหวินหยาง โอรสของนางผู้มีสายพระโลหิตของจักรพรรดิ องค์ชายผู้สง่าอยู่ในชุดสีดำหมึก กำลังทอดสายตาไปยังแผนที่ผืนใหญ่ที่คลี่อยู่บนโต๊ะไม้จันทน์อีกตัวภายใต้แสงตะเกียงทองคำวูบไหว ชิงอวี่ลุกขึ้นเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าโต๊ะไม้จันทน์ แผนที่ราชสำนักต้าเฉิง ที่แต่งแต้มเส้นทางสีแดงเข้มทอดผ่านภูผาซับซ้อน ริมขอบเป็นลายมืออักษรเล็กที่จดจังหวะเดินขบวนและจุดหยุดพักของคณะทูตจากต้าเหยียน มือเรียวยกถ้วยชาจิบ ก่อนวางลงบนจานรองอย่างแผ่วเบา เสียงกระทบกันดังกริกองค์ชายหลงเหวินหยางยืนกอดอก ดวงตาคมกริบเป็นเงาดำใต้แสงตะเกียง เขาหรี่ตามองเส้นสีแดงที่ลากผ่าน ชั่วจินโป๋ซานหลู เส้นทางแคบขนาบผา หนทางที่คณะทูตจะผ่านก่อนเข้าสู่ประตูเมืองหลวงหลงเหวินหยาง มองตาม