“ต่อไป ด่านที่สอง ด่านปรุงตำรับยา ขอเชิญท่านหมอหานเซียว หัวหน้าแพทย์หลวง แถลงกติกาขอรับ” เสียงขันทีประกาศก้องในลานประลองหานเซียว ไท่ยี่หลิ่งวัยชราประจำราชสำนัก เงยหน้าขึ้นมาจากการจัดสมุนไพรหลากชนิดมาวางตรงโต๊ะกลาง ก่อนจะวางมือจากสมุนไพรเบื้องหน้าเมื่อจัดเสร็จเรียบร้อย สายตาทอดมองบรรดาผู้ชมพลางลุกขึ้นยืนหลังเหยียดตรง ดวงตาคมกริบเปี่ยมด้วยอำนาจแห่งผู้คร่ำหวอดในวงการโอสถ“สมุนไพรที่เห็นนี้ ล้วนถูกคัดสรรจากหอแพทย์หลวง ใช้สำหรับปรุงยาแก้พิษไข้ร้อนสลับหนาว ผู้ประลองทั้งสองต้องเลือกสมุนไพรเพียงห้าชนิดที่วางอยู่ นำมาปรุงยาถอนพิษไข้ ตำรับยาที่ได้ต้องไม่ขัดฤทธิ์กัน และต้องปรุงยาภายในเวลาหนึ่งชั่วยาม จึงจะถือว่าสมบูรณ์และเป็นผู้ชนะ”เสียงฮือเบา ๆ ดังกระเพื่อมในหมู่ผู้ชม ขณะทุกสายตาจับจ้องโต๊ะประลองทั้งสองโต๊ะด้านหนึ่ง หลี่ซุนเหม่ยสะบัดแขนเสื้อ ยืดกายขึ้น พลางกวาดตามองสมุนไพรตรงหน้าราวผู้เชี่ยวชาญ แววตานางแน่วแน่เผยสีหน้ามั่นใจ ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อย หน้างามเงยเชิดขึ้นราวผู้กำชัยก่อนการรบ ริมฝีปากบางเม้มยิ้มเจือเยาะอยู่ในที“ตำรับโอสถของข้า… คือโอสถต้านพิษร้อน เร่งขับพิษให้สิ้น คงต้องใช้สูตรร
พระบัญชาจากฮ่องเต้ดุจเสียงสายฟ้าฟาดลงกลางลานหินขาว ท่ามกลางความอึ้งงันและงุนงงของผู้คนในงาน เสียงขานของขันทีหลวงดังขึ้นอย่างชัดเจนก้องกลางลาน “วันนี้ เพื่อถวายความเพลิดเพลินแก่ใต้หล้า และแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์แห่งชนชั้นสูง ฝ่าบาททรงโปรดให้จัดการประลองวัดเชาวน์ปัญญาและฝีมือ ระหว่าง... คุณหนูหลี่ซุนเหม่ย บุตรีแห่งเสนาบดีหลี่ กับ องค์ชายหลงจิ่นอวิ๋น พระโอรสแห่งองค์ชายหลงเจิ้งหยาง..” แต่ยังไม่ทันที่ขันทีจะกล่าวประกาศขั้นตอนต่อไป เสียงฮือฮา เสียงคัดค้านหลายระลอกจากเหล่าเชื้อพระวงศ์และกลุ่มขุนนางก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับระลอกคลื่น “องค์ชายเพียงห้าชันษา จะต่อกรกับคุณหนูผู้เจนจบจากสำนักบัณฑิตได้หรือพ่ะย่ะค่ะ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาอีกรอบเถิด” “องค์ชายน้อยยังเยาว์เกินไปนัก กระหม่อมคิดว่า...ยังไม่ถึงเวลาที่สมควรเปิดศึกต่อหน้าผู้คน ขอฝ่าบาททรงพระกรุณายกเลิกหรือจับคู่การประลองใหม่เถิดพ่ะย่ะค่ะ” “การให้เด็กไร้ประสบการณ์มาต่อสู้กับสตรีที่ผ่านการฝึกมานับปี ดูจะไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของเหล่าเสนาบดีเฒ่าต่างช่วยกันทูลคัดค้าน แม้แต่หมู่พระญาติในราชสกุลหลายพระองค์ก็พลอยนิ่วหน้า บ้างก
“หากองค์ชายทรงตรัสเช่นนั้นแล้ว... หม่อมฉันย่อมมิกล้าบังอาจฝันเกินตนแล้วเพคะ”สุ้มเสียงของหลี่ซุนเหม่ยหวานนุ่มนวล เอ่ยออกมาอย่างอ่อนน้อม นางก้มศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจเบา ๆ ประหนึ่งยอมรับโชคชะตา แต่ประกายในดวงตาที่หลุบต่ำกลับฉายแววดื้อรั้นและความทระนงไม่ยอมจำนน“หม่อมฉันเพียงประสงค์พิสูจน์ตนให้เทียบเท่าหรือไม่ได้ด้อยกว่าผู้อื่น หาได้มีเจตนาหมายคิดช่วงชิงใคร ถึงตอนนี้แล้วหม่อมฉันขอทูลฝ่าบาท หากพระองค์ทรงพระเมตตา หม่อมฉันใคร่ขอท้าประลองฝีมือด้านสติปัญญา ศาสตร์การปรุงยา และศิลปะยิงธนู เพื่อถวายเป็นของขวัญและความเพลิดเพลินในงานชมบุปผาในวันนี้ เพคะ”สิ้นคำ เสียงฮือฮาก็เริ่มดังขึ้นรอบลาน เหล่าขุนนางทั่วทั้งศาลาประทับ ต่างพากันกระซิบกระซาบดังอื้ออึง บ้างหัวเราะแผ่ว บ้างแลดูด้วยความแปลกประหลาดใจขุนนางเฒ่าผู้หนึ่งกระแอมเสียงแหบๆ “ตระกูลหลี่ ดื้อด้านถึงเพียงนี้หรือ… หึ”“ตระกูลหลี่มั่นใจเพียงนี้เชียวหรือ…”“นางคงหวังว่า หากแสดงความสามารถแล้ว องค์ชายสามจะเปลี่ยนพระทัยกระมัง”“คุณหนูหลี่… เชี่ยวชาญทุกศาสตร์เช่นนี้ แล้วใครจะไปมีฝีมือเทียบเคียงนางได้ บิดานางยังบอกว่านางเก่งนัก”“นางช่างหาญกล้า.
เสนาบดีหลี่ลุกออกมาจากที่นั่ง ก้าวสู่เบื้องพระพักตร์ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แต่แววตาลอบกวาดมองมายังองค์ชายสามที่นั่งนิ่งเด่นสง่าอยู่ที่โต๊ะกับพระชายาสาม ก่อนคุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีเรื่องใคร่ทูลให้พิจารณา...” เสียงของเขาหนักแน่น แต่เต็มไปด้วยความมุ่งหวัง “กระหม่อมใคร่ขอถวายบุตรี แด่องค์ชายสาม เพื่อช่วยดูแลตำหนักและรับใช้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทโดยแท้ หากใต้หล้าจะมีสตรีใดสมควรเคียงข้างองค์ชายสามในฐานะพระชายารองแล้วไซร้ กระหม่อมเห็นว่า...ไม่มีผู้ใดเหมาะเทียบเท่าซุนเหม่ย บุตรีของกระหม่อมแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงรอบลานเงียบงันคล้ายแม้แต่สายลมยังกลั้นหายใจ เหล่าเสนาบดีผู้ใหญ่ในงานเหลือบตามองกัน แลกเปลี่ยนแววเย้ยหยันเจือเย็น นี่คือครั้งที่สองที่เสนาบดีหลี่เสนอธิดาให้โอรสสวรรค์ ซึ่งหากองค์ชายสามเพียงเมินสายตา นั่นคือการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง แต่...หากทรงลังเล แม้เพียงครึ่งใจ ย่อมหมายถึงเปิดประตูให้ตระกูลหลี่สอดเท้าเข้าวัง ไป๋ลี่เยว่นั่งนิ่งมิได้ขยับกายแม้สักนิด แต่ปลายนิ้วของนางที่วางบนตักเกร็งเล็กน้อย ดวงหน้าเรียบสงบยิ่งกว่าธารน้ำแข็ง...หากแต่ในอกกลับปั่นป่วนรอฟังคำตอบ ‘
เทศกาลชมบุปผา ณ วังต้าเฉิน เสียงขลุ่ยอู่อวลดั่งลมวสันต์พัดผ่านยอดไม้ ขับกล่อมควบคู่กับพิณเจ็ดสายที่บรรเลงอยู่เหนือศาลากลางสวน กลีบดอกเหมยปรายปลิวตามสายลมบางเบาราวหิมะโปรย ล้อแสงตะวันอ่อนยามสาย ดอกบ๊วย และดอกท้อก็ไม่น้อยหน้าเบ่งบานราวแข่งกันอวดโฉมทั่ววังต้าเฉิน ลานชมบุปผาในสวนหลวง ถูกประดับประดาด้วยม่านแพรบางสีมรกตประดับอัญมณี ราวถูกเนรมิตให้เป็นแดนสวรรค์บนพื้นพิภพที่งดงามตระการตา เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่และเชื้อพระวงศ์ทยอยเข้าสู่ลานงานพร้อมภริยาและบุตรหลาน สตรีจากตระกูลใหญ่ต่างแต่งองค์ด้วยผ้าแพรไหมพริ้วพราย เครื่องประดับหยก หยกขาวหยกเขียวส่องประกายระยิบ ภายใต้รอยยิ้มแย้มล้วนแฝงสายตาวัดใจประเมินกันอย่างไม่เปิดเผย เสียงฮือฮาเบา ๆ ดังขึ้น เมื่อครอบครัวเสนาบดีหลี่ปรากฏกายด้วยอาภรณ์หรูหรา เสนาบดีหลี่ในชุดขุนนางครามเข้มขลิบทอง ยืนตระหง่านดั่งผู้ควบโชควาสนาแห่งราชสำนัก ฮูหยินหลี่เคียงข้างในผ้าไหมสีชมพูปักลายเมฆมงคล ขับใบหน้าเยือกเย็นให้ดูเฉียบขาด แต่ผู้ที่สะกดทุกสายตาในยามนั้นกลับเป็นหลี่ซุนเหม่ย บุตรีที่ทุกคนกล่าวขานถึงความเพียบพร้อมของกุลสตรี นางสวมอาภรณ์ผ้าไหมสีชมพูกุหลาบยกดิ้นทอง ผ
จวนเสนาบดีหลี่ “โผล๊ะ” เสียงสะท้อนดังของกล่องหยกขนาดย่อมตกกระแทกพื้นอย่างแรง ภายในห้องนอนหรูประจำเรือนในของคุณหนูประจำตระกูล จนข้ารับใช้ที่เฝ้าอยู่ถึงกับตัวสะดุ้ง“เขากล้าดีอย่างไร…” เสียงหวานแฝงพิษเอ่ยลอดไรฟัน ร่างบอบบางในชุดนอนแพรเนื้อละเอียดนั่งตัวตรงหน้ากระจกทองเหลือง เส้นผมยาวดำขลับหลุดมวยและปล่อยสยายราวม่านไหม ใบหน้างามล้ำที่ครั้งหนึ่งเคยหยิ่งผยองยามนี้บิดเบี้ยวด้วยเพลิงโทสะนางหันไปหาพี่เลี้ยง“ข้าอุตส่าห์วางหมากด้วยความอ่อนโยน อ่อนน้อม… แม้ต้องโผเข้าหา ก็ยังทำให้ดูเหมือนบังเอิญ แล้วเขากลับไม่แม้แต่จะแลข้าอีก”หลี่ซุนเหม่ยจิกเล็บลงบนโต๊ะไม้หอม เสี้ยวหน้าในกระจกฉายเพียงความเคียดแค้นอันลึกล้ำ กลิ่นเครื่องหอมอวลอบอาบไปทั่วห้อง ร่มเงาของม่านแพรบางพลิ้วไหวตามแรงลมยามค่ำ ไม่ได้ทำให้จิตใจนางสงบได้เลย“คิดว่าข้าไม่รู้หรือ ว่าไป๋ลี่เยว่กำลังหึงหวงเขา” นางแค่นเสียงหัวเราะในลำคอ“ก็ดี… เช่นนั้นข้าจะไม่ให้พวกเขาคืนดีกันอีกเป็นอันขาด” แววตาของนางเย็นชา แข็งกร้าวขึ้นทีละน้อยราวกับคมมีดชุบพิษ“ต่อให้ต้องใช้ชื่อของบิดาข้าเดิมพัน… ข้าก็จะไม่ยอมให้หญิงต่ำศักดิ์ผู้นั้นแย่งชิงบุรุษที่ข้าหมายปอง”