“อ้าาา ซี๊ดดด มะ...หม่อมฉันเจ็บ องค์ชาย อ๋ายยย ท่านเบาก่อน” “ประตูหยินของเจ้า รัดข้าแน่นดีเหลือเกิน อ๊าาาา เยว่เอ๋อร์ เจ้าค่อยยังชั่วบ้างหรือยัง ก่อนที่ข้าจะทนแรงบีบรัดของเจ้าไม่ไหว” แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อดทนต่อคมดาบมามาก แต่กลับแทบทนไม่ได้ต่อแรงบีบรัดที่ได้รับจากพระชายา ก่อนที่เขาจะได้ขายหน้า ใบหน้าสวยของพระชายาก็พยักหน้าเชิงอนุญาต หลังจากใช้เวลาปรับตัวกับความคับแน่น ไม่นานก็สามารถปรับลมหายใจเข้าออกได้ เขาเริ่มเคลื่อนสะโพกช้าๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นด้วยความกระหาย จนร่างกายของทั้งสองสั่นคลอนเป็นจังหวะ มือเรียวของนางยื่นไปรั้งลำคอแกร่ง สายตาเว้าวอนให้เขามอบจูบให้ ตลอดเวลาที่ทั้งสองมอบความสุขให้กับริมฝีปากของพวกเขาประกบกันแน่นไม่เว้นห่าง พร้อมกับที่สะโพกนางยกร่อนตอบรับการกระแทกลำเอ็นของเขาด้วยความกระสัน ไม่ต่างจากบุรุษตรงหน้า อื้อออ จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ เสียงเนื้อกระทบเนื้อยามร่างแนบกัน ทำให้สติของทั้งสองพร่าเลือนในวังวนของเพลิงรัก “ไม่ไหวแล้ว เยว่เอ๋อร์... ข้าจะทนไม่ไหวอีกแล้ว...ข้าต้องการพ่นพิษใส่เจ้าแล้ว อ๊าาา” ร่างหนาจะกระแทก
“เยว่เอ๋อร์ คืนนี้เจ้าจะไม่ได้นอน ข้าจะมอบจูบให้เจ้าทั้งคืน”พูดจบ ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาหานางอย่างไม่ลังเล ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันนิ่งไม่ขยับ ก่อนที่หลงเจิ้งหยางจะกระชับมือตัวเองประคองศีรษะนางไว้ ริมฝีปากหยักบดริมฝีปากอวบอิ่มของนางอย่างดุดันด้วยฤทธิ์ยาและฤทธิ์เสน่หา ไป๋ลี่เยว่ก็ตอบรับด้วยการเผยอปาก รับเอาลิ้นร้อนที่เต็มไปด้วยความกระหายเข้ามาในโพรงปาก ทั้งสองมอบจูบดื่มด่ำดูดดื่มเต็มไปด้วยความกระหายให้แก่กัน ใบหน้าหวานผละออกมาจ้องใบหน้าคมที่ห่างเพียงฝ่ามือ“องค์ชาย หม่อมฉันอยากได้มากกว่าจูบ ที่ท่านมอบให้ได้หรือไม่” เขาจ้องใบหน้างามและเหลือบมองด้วยสายตาตกตะลึงพร้อมกับพยายามกวาดมองเพื่อจะหาท่าทางล้อเล่น แต่ก็ไม่ว่าจะมองอย่างไรเค้าก็ไม่พบท่าทางเหล่านั้นในดวงตาของนางเลย“นี่จะ…เจ้าพูดจริง หรือเพียงเพราะชาถ้วยเดียวของฮองเฮา”“ไม่ใช่เพราะชา... แต่เพราะท่าน” นางเอ่ยเบา ราวจะกล่าวโทษเขาทั้งที่ใจรู้สึกวูบหวามหลงเจิ้งหยางเลื่อนใบหน้าลงซบไหล่บาง กดจูบแผ่วเบาที่ซอกคอพลางกระซิบเสียงสั่นข้างหู “เยว่เอ๋อร์... คืนนี้ หากเจ้าห้าม ข้าจะหยุด” คำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยความเคารพการตัดสินใจ แต่ร่างกายของเข
ตำหนักชิงอวิ๋นยามพลบค่ำ เงาไม้สะท้อนผนังดั่งภาพวาดหมึกจีน กลีบดอกชิงเถิงร่วงโรยเบา ๆ ตามสายลม ภายนอกหิมะโปรยปรายบางเบา โคมไฟหน้าตำหนักเพิ่งจุดใหม่ ๆ แสงอ่อนสีนวลทาบทั่วลาน ไป๋ลี่เยว่นั่งจิบชาเงียบ ๆ ในโถงห้องบรรทม ท่าทางสงบนิ่งแม้ใจยังครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจ เหตุใดฮองเฮาจึงให้มาค้างตำหนักนี้เพียงลำพัง…แล้วคืนนี้ยังจะส่งองค์ชายสามมาห้องของนางอีก ใจนางตอนนี้กำลังเต้นโครมคราม ลุ้นว่าเมื่อใดเขาจะเข้ามา แล้วนางต้องกล่าวเช่นไรกับเขา เพื่อไม่ให้เขาคิดว่านางยินดีที่จะให้เขามาร่วมเตียงด้วย นางเหลือบมองถ้วยชาร้อนที่นางกำนัลของฮองเฮานำมาถวาย ชานี้มีกลิ่นหอมแปลกประหลาด “ชาหอมประหลาด…รสชาติละมุนนัก” นางพึมพำกับตนเอง ในขณะที่ลมเย็นโชยผ่านหน้าต่าง กระทบผิวกายจนนางรู้สึกเย็บวาบสลับกับอุ่นร้อนขึ้น…ความรุ่มร้อนได้ปลุกเร้าจากภายใน ร่างกายอันเย็นชากลับรู้สึกแผดเผาต้องการปลดปล่อย ไป๋ลี่เยว่รู้สึกหน้าร้อนวาบ แก้มแดงระเรื่อโดยไม่ทราบสาเหตุ นางมองถ้วยชาที่เพิ่งจิบหมดอย่างครุ่นคิด เสียงประตูกระทบเบา ๆ เสียงฝีเท้าแน่นหนัก ตามด้วยเงาร่างสูงที่เดินข้ามเขิงประตู …เข้ามา อย่างอ้อยอิ่งราวคนกำลัง
“ชาหอมดีรสละมุนลิ้นเหลือเกิน ฝีมือชงของเจ้าไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ เยว่เอ๋อร์” ฮองเฮากล่าวยิ้ม ๆไป๋ลี่เยว่ค้อมศีรษะ “หม่อมฉันเพียงทำตามเคล็ดวิธีเดิมที่เสด็จแม่เคยประทานถ่ายทอดไว้เท่านั้นเองเพคะ...หาได้มีฝีมืออันใดไม่”“แต่ข้าก็สอนนางกำนัล เช่นเดียวกับเจ้า” พระนางแย้มยิ้มแฝงแววแกล้งรู้“แต่…ชาที่นางกำนัลชงถวาย สู้รสชาติของเจ้าไม่ได้เลย ของนางกำนัลรสชาติฝาดไม่ก็จืดทุกครั้งไป”ไป๋ลี่เยว่ยิ้มละมุล ก่อนเอ่ยเสียงเบา “เสด็จแม่ทรงชมเกินไปแล้วเพคะ”“เสียดาย เจิ้งหยางมีโอกาสชิมบ้างหรือยัง”“ยังเพคะ องค์ชายอาจจะไม่ทรงโปรด”ฮองเฮาวางถ้วยชาอย่างช้าๆ สายตาสงบนิ่ง“ยังไม่ได้ลองเลย เขาอาจจะโปรดก็ได้…อดีตลบไม่ได้ แต่ปัจจุบันแก้ไขได้ และอนาคตก็เขียนใหม่ได้เสมอ” พระนางทอดเสียงนุ่ม สายพระเนตรที่มองมาอ่อนโยนและเมตตายิ่งนัก“เจ้าเคยมีหัวใจที่กล้าเผชิญ แม้ถูกตราหน้า แม้ถูกหันหลังใส่…แล้วเหตุใดตอนนี้จึงปิดประตูหัวใจตนเองเสีย เขาเคยเป็นคนที่เจ้ารักมิใช่หรือ ข้าว่าเจ้าลองเปิดใจให้โอกาสตัวเองและเจิ้งหยางดูสักครั้ง อย่างน้อยก็เพื่อจิ่นอวิ๋น”ไป๋ลี่เยว่นิ่งงัน หัวใจสะเทือนเพียงเล็กน้อยพระนางยิ้มอีกครั้ง ครานี้ดูจริง
“ท่านพ่อ ข้าได้กลิ่นหอม ท่านทำอะไรอยู่ขอรับ” เสียงเจื้อยแจ้วของหลงจิ่นอวิ๋นเสียงดังก้องมาแต่ไกล ก่อนที่ร่างเล็กจะวิ่งกระโจนโครมครามมาจากอีกฟากตำหนัก แล้วพรวดเข้ามาในห้องเครื่อง องค์ชายน้อยมาหยุดข้างโต๊ะบิดา ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นบิดาร่างสูงสง่าในชุดเรียบง่าย กำลังนั่งประคองมีดลอกเปลือกเผือกด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ หน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ มีซั่งซูห้องเครื่องนั่งถวายคำปรึกษาอยู่ใกล้ๆ “ทะ...ท่านพ่อ…อย่าบอกนะว่า ท่านกำลังจะทำขนม”“อืม…” หลงเจิ้งหยางยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ ยิ้มบาง ๆ“ข้ากำลังจะทำซาลาเปาเผือกหวานให้มารดาของเจ้า…ตอนอยู่ข้าเคยอยู่ในจวนไป๋ นางเคยบอกว่า นางชอบกินซาลาเปาเผือกที่ท่านแม่ของนางทำ มันอร่อยที่สุดในใต้หล้า ข้าไม่เคยแม้แต่จะจำ วันนี้...ข้าจำได้แล้ว แต่ข้าไม่เคยทำ…”โอรสน้อยทำตาโต อ้าปากพะงาบ ๆ “ถ้าท่านแม่เห็น นางต้องร้องไห้แน่เลย” เด็กชายหัวเราะคิก จากนั้นก็เอียงคอ พินิจเผือกที่ยังไม่หมดหัว“ว่าแต่…ท่านพ่อปลอกเป็นแน่นะขอรับ”“เป็นสิ เจ้าเห็นหรือไม่บิดาของเจ้าปลอกได้สองหัวแล้ว” “แต่ เวลาผ่านมาได้สักหนึ่งชั่วยามแล้วขอรับ” ขันทีเอ่ยกระซิบองค์ชายน้อยเสียงดัง“ก็ เ
“ท่านแม่”เสียงสดใสเจื้อยแจ้วของหลงจิ่นอวิ๋น มาพร้อมกับบานประตูไม้ถูกผลักออกอย่างแรงจนบานหนึ่งสั่นไหว ทำให้ไป๋ลี่เยว่ที่นั่งปักผ้าอยู่กลางสวนเงียบๆ ข้างกายมีนางกำนัลนั่งรอรับใช้อยู่ใกล้ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียง ผู้เป็นมารดาละสายตาจากเข็มปัก ดวงตาคู่งามทอดมองพระโอรสอย่างอ่อนโยน เด็กน้อยวิ่งหน้าตั้งเข้ามาในชุดผ้าแพรลายเมฆา ดวงตากลมโตเปล่งประกาย“ช้า ๆ เสี่ยวเป่า เดี๋ยวได้หกล้มเอา”“ข้าระวังตัวอยู่ขอรับ ท่านแม่ข้าไม่ได้มามือเปล่านะขอรับ” เด็กน้อยยื่นกล่องไม้ผูกริบบิ้นสีม่วงให้ นัยน์ตาแพรวพราวราวประกายดวงดาว“มีคนฝากมาให้ขอรับ…คนที่อยากให้ท่านแม่ยิ้ม”ไป๋ลี่เยว่ชะงัก ริมฝีปากที่กำลังยิ้มพลันแนบสนิทก่อนเม้มแน่นเล็กน้อย…มือเรียวยื่นไปรับกล่องไม้นั้นมาอย่างลังเลเมื่อเปิดออก ภายในคือปิ่นปักผมดอกเหมยแกะจากหยกขาว แกะลายประณีตจนแทบมองเห็นเส้นเกสร ใต้ปิ่นนั้นมีกระดาษแผ่นหนึ่ง มีตัวอักษรเรียงร้อยเป็นประโยค“โปรดรับไว้ อย่างน้อย…ก็ให้มันได้อยู่ใกล้เจ้าแทนข้า”นิ้วเรียวบางสั่นเล็กน้อย ไป๋ลี่เยว่หลุบตาลง ครู่หนึ่งก็กล่าวเสียงเรียบ“ของฝากจากบิดาเจ้าอีกแล้วหรือ”“อื้ม” เด็กน้อยพยักหน้าหงึก“แต่ไม่ใช่