LOGINเสี่ยวหลันลุกขึ้นแล้วเดินไปหาสามีที่ยังยืนนิ่งอยู่กลางห้อง จ้องมองเขาด้วยสายตาขัดเขิน แล้วจึงเอื้อมแขนไปโอบกอดรอบกายของเขา บดเบียดตัวเองใส่ร่างใหญ่แนบแน่น “อี่เฉิน” “หือ” สองแขนกอดตอบอย่างรวดเร็ว ใจเต้นระส่ำกับการกระทำของนาง “..รีบนอนเถิด ข้าง่วงแล้ว” ชวนเขาขึ้นเตียงแล้วจัดการเลยดีกว่า ให้พูดออดอ้อนนางทำไม่ได้หรอก “อือ” พูดมากกว่านี้เสียงคงสั่นจนฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าไม่ได้ฟังคำพูดของโต้วฉือเขาคงไม่ประหม่าขนาดนี้ ‘คืนนี้รีบทำให้มันถูกต้องเสียนะ ขอให้เจ้าสมหวัง’ เสี่ยวซิงรอสามีขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วจึงดับตะเกียง เหลือเพียงความสว่างจากแสงจันทร์ที่ลอดผ่านมาทางหน้าต่างเพียงรำไร เสี่ยวหลันสูดหายใจลึก ๆ แล้วปลดเสื้อนอนตัวยาวมือไม้สั่นก่อนก้าวขึ้นเตียง อี่เฉินมองการกระทำของภรรยา ใจเต้นรัวดั่งกลองศึก เมื่อเห็นนางถอดเสื้อตัวยาวออกจนเหลือเพียงเนื้อแท้เมื่อนางก้าวขึ้นเตียง ความอดทนตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมาก็สิ้นสุดลงทันที รีบดึงนางเข้ามากอดแล้วฝั่งใบหน้ากับซอกคอหอมกรุ่น ‘อย่าบุ่มบ่ามเอาแต่ได้ จูบปลอบ เล้าโลม
“มองลึกเข้ามาในดวงตาข้าสิ มันไม่ได้เบิกบานเหมือนเจ้าสักนิด” พูดเรื่องนี้แล้วคนเจ้าสำราญแบบเขาคิดไม่ตกจริง ๆ “นางเป็นภรรยาของเจ้านะ เรื่องแบบนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคู่ เจ้าจะกลัวไปทำไม” “ข้าไม่ได้กลัว!” อี่เฉินตะคอกเสียงเครียด กระดกเหล้าขึ้นดื่ม “ไม่ได้กลัว! แล้วทำไมถึงปล่อยให้เวลาเป็นเดือนผ่านไปอย่างเปล่าประโยชน์แบบนี้ เวลาอันแสนสุนทรีที่วังมัจฉาคงผ่านไปอย่างเหี่ยวเฉามากสินะ” คงมีแต่คู่ของเขาที่มีความสุขกันมาก ทุกที่ที่มีโอกาสเขาไม่เคยปล่อยให้ผ่านไปอย่างไร้ค่า จับนางมาสั่งสอนด้วยบทรักหลากลีลาไม่เคยเว้นวันเว้นคืนโต้วฉือเสหน้าไปทางอื่นแล้วอมยิ้ม เลือดในกายของเขาร้อนซู่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น อี่เฉินมองเห็นด้านข้างของเพื่อนรัก รู้ดีว่าเขากำลังยิ้ม“เจ้าคงมีความสุขมากสินะ ทำไมไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อยล่ะ รีบกลับมาทำไม” จึงแขวะออกไป “ข้ามีความสุขมากและอยากอยู่ต่อ แต่มาคิดอีกทีที่บ้านก็หาความสุขได้ จึงกลับมารับใช้ท่านอ๋องตามกำหนด” เขาไม่ได้เยาะเย้ยเพื่อนรักเลยนะ แค่พูดความจริงเท่านั้น “ชิ!” อี่เฉิน
“ฝีมือข้าเองจะไม่อร่อยได้อย่างไร ท่านกินมาก ๆ เถิด จะได้มีแรงติดตามท่านอ๋อง” แล้วคีบอาหารใส่ถ้วยข้าวสามีด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เจ้าก็กินบ้าง ข้าไม่ยอมอ้วนคนเดียวหรอก” เขาคีบกลับไปให้นางและยกถ้วยข้าวหนีเมื่อนางคีบคืนมา “ถ้าไม่ยอมกินข้าว ข้าจะกินเจ้าแทนแล้วนะ” ได้ผลชะงัด นางหดมือกลับและยอมป้อนใส่ปากตัวเองโดยดี สีหน้าแดงซ่าน หญิงสาวคีบอาหารเข้าปากเรื่อย ๆ จนข้าวหมดถ้วยจึงวาง ยกชาขึ้นดื่มเพื่อล้างคอ เสร็จแล้วจึงนั่งมองสามีนิ่ง ๆ รอให้เขาอิ่มอาหาร “มีอะไรจะพูดกับข้าหรือเปล่า” อี่เฉินเลิกคิ้วสูงขณะวางถ้วยข้าวถ้วยที่สองลง ฝีมือการทำอาหารของนางทำให้เขาเจริญอาหารดีจริง ๆ “..ข้ามีธุระกับเสี่ยวซิง จะขออนุญาตท่านไปหานางสักหน่อย” “ธุระอะไร” “ธุระส่วนตัวเจ้าค่ะ” “ข้ากับเจ้าเป็นสามีภรรยากันแล้ว ยังมีเรื่องส่วนตัวกันอีกเหรอ” นางมีความลับปิดบังเขาหรือนี่ เรื่องอะไรทำไมบอกไม่ได้ เขาสงสัยมาก “มันเป็นเรื่องของผู้หญิงค่ะ บอกไปท่านก็ช่วยอะไรข้าไม่ได้หรอก ท่านอิ่มแล้วใช่ไหม ข้าจะได้เก็บสำรับ” “เรียกอาวุ่
ส่วนเจ้าบ่าวทั้งสองต่างวางสุขุม สีหน้านิ่งสงบ แต่ในใจนั้นกลับรู้สึกเหมือนถูกสบประมาทอย่างแรงอี่เฉินเอียงหน้าไปใกล้หูโต้วฉือ “ข้าจะมีลูกก่อนท่านอ๋องให้ได้”“แต่ข้าจะต้องมีก่อนเจ้าและก่อนท่านอ๋อง” โต้วฉือข่มกลับแม้ท่านอ๋องจะอยู่กับพระชายามาเป็นปีแล้ว แต่ถึงตอนนี้ก็ยังไร้วี่แวว ดังนั้นคู่ที่น่าลุ้นที่สุดในตอนนี้ก็ต้องเป็นเขากับเสี่ยวซิงแน่นอน เพราะเขากับนางร่วมหอล่วงหน้ามาเกือบเดือนแล้ว โต้วฉืออมยิ้มอย่างพอใจกุ้ยหย่งหมิงก้มหน้าลงไปแทรกกลางระหว่างกลางองครักษ์ทั้งสอง“ถ้าข้ามีโอกาสได้ไปอยู่ในสถานที่ที่เป็นใจแบบนั้น ลูกของข้าคงวิ่งได้แล้ว ฮา ๆ ๆ ฮา ๆ ๆ” กระซิบบอกเบา ๆ แต่หัวเราะเสียงดัง แล้วยกกาเหล้าขึ้นดื่มจนหมด “ชายาที่รัก ช่วยสามีคิดหน่อยว่าเราจะไปไหนกันดี ระหว่างถ้ำลับแลที่อยู่ทางทิศใต้ กับเรือนหิมะทางทิศตะวันตกอากาศร้อนแบบนี้พานางไปโอบรักที่เรือนหิมะน่าจะดี ไม่ได้ ๆ นางไม่ถูกกับหิมะ ขืนไปเที่ยวที่นั่นคงนอนป่วยอยู่บนเตียงมากกว่าได้ระเริงรักกัน ไปถ้ำลับแลก็แล้วกัน เย็นสบาย ๆ กำลังดี ด้านหน้าเป็นลำธาร ด้านหลังเป็นน้ำตก ตัวบ้านถูกดัดแปลงอยู่ภายในถ้ำ อยู่ในป่าลึกที่อุดมสมบูรณ์ด้วยไม้ยืน
คำขอร้องปนเสียงร้องกระซิกจากด้านหลังไม่ได้ทำให้เขาใจอ่อนสักนิด สองมือแกะแขนที่กอดเกี่ยวนั้นออกอย่างแรง แล้วเดินจากไปทันทีโดยไม่หันกลับไปมอง“คนใจดำ! ฮือ ๆ ๆ ฮือ ๆ ๆ ทำไมข้าต้องรักคนใจดำอำมหิตแบบท่านด้วย ทำไมข้าถึงเกลียดท่านไม่ลงสักที ทั้งที่ท่านไม่เคยรักข้าสักนิด ฮือ ๆ ๆ ฮือ ๆ ๆ” มองแผ่นหลังพร่ามัวที่กำลังก้าวข้ามประตูกำแพง “หันกลับมามองข้าสักนิดเถิด ได้โปรด ฮือ ๆ ๆ กุ้ยอ๋อง ฮือ ๆ ๆ” หญิงสาวทรุดตัวลงกับพื้น ร้องไห้แทบขาดใจ “คนใจดำ คนใจร้าย คนอำมหิต คนไม่มีหัวใจ ฮือ ๆ ๆ ฮึก ๆ ๆ” ตัดพ้อไม่ขาดปากกุ้ยหย่งหมิงได้ยินคำพร่ำรำพันปนสะอื้นของนางชัดเจน แต่เขาไม่คิดจะหันกลับไป คำว่าอโหสิของเขา ไม่ได้หมายความว่าหายโกรธหายเกลียดกับการกระทำที่นางเคยทำไว้………………….งานแต่งงานขององครักษ์ทั้งสองถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมกับตำแหน่งที่คฤหาสน์ของสกุลกุ้ย เหตุผลเพราะทั้งคู่เป็นเด็กกำพร้า กุ้ยอ๋องจึงรับเป็นญาติผู้ใหญ่ให้ทั้งสอง และจัดห้องรับรองแขกให้เป็นห้องหอตามคำแนะนำของพระชายา ผ่านพ้นคืนเข้าหอนี้ไปแล้ว เขายังอนุญาตให้ทั้งคู่หยุดงานได้อีกสิบห้าวัน จะได้มีเวลาหวานชื่นกับเจ้าสาว ผลิตทายาทเอาไว้สืบตระกูล“นี่
“กระหม่อมขอบอกความจริงกับพระองค์สักเรื่อง ตอนที่ได้ยินคำสารภาพของนาง กระหม่อมอยากหยิบดาบบั่นคอนางให้ขาดคามือด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องอดกลั้นไว้ เพราะเห็นว่าเป็นคนของพระอัยยิกา กระหม่อมไว้หน้านาง แต่นางกลับเหยียดหยามกุ้ยถิงของกระหม่อมต่อหน้าทุกคน ไม่มีใครปกป้องกุ้ยถิงยกเว้นฝ่าบาท ไม่มีใครออกปากตำหนินางแม้แต่พระองค์ แล้วแบบนี้จะให้กระหม่อมเห็นใจพระองค์หรือ”พระอัยยิกาหลบสายตาที่มองมาอย่างดุดันคู่นั้น ไม่สามารถตอบคำถามของเขาได้ เพราะรู้ตัวดีว่าเอนเอียงไปทางเหวินเว่ยเพียงใด เขาไม่ฆ่าเด็กคนนั้นให้ตายคามือก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว พระองค์ยังต้องการให้เขารับนางเป็นชายารองอีก มันก็เหมือนเหยียบย่ำหยามใจเขาเกินไปจริงนั่นแหละ..........................กุ้ยหย่งหมิงมองสำรวจบ้านหลังกะทัดรัดที่อยู่ห่างจากวังหลวงไม่ไกลเท่าไหร่นัก แค่มองเผิน ๆ ก็รู้ได้ทันทีว่ามันถูกสร้างจากวัสดุชั้นเลิศ บ่งบอกถึงฐานะของเจ้าของได้อย่างดี แต่เขาก็ไม่อยากเข้าไปเหยียบอยู่ดี‘เห็นแก่คนแก่อย่างข้าสักครั้งเถิดนะ ช่วยไปคุยกับนางให้ที’ คิดถึงคำพูดของพระอัยยิกาแล้ว เขาก็ต้องจำใจก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไปด้านในองค์หญิงเหวินเว่ยที่ถูกปลดจากตำ







