ครึ่งชั่วโมงผ่านไปท่านอ๋องก็เดินออกมาจากตำหนัก เขาทั้งสองไม่รอช้า รีบก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วสบตาผู้เป็นนาย
กุ้ยหย่งหมิงรู้ทันทีว่าต้องมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น จึงรีบเดินนำหน้าทั้งสองออกไปให้พ้นจากบริเวณนั้น
“องครักษ์ฉีรายงานว่าท่านหญิงยิปซีมีเรื่องกับคุณชายใหญ่อวี่หย่วนเจี่ย” อี่เฉินรายงานทันทีที่ท่านอ๋องหยุดเดินในบริเวณที่ลับตาผู้อื่น
หัวคิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากัน นัยน์ตาไหวระริกไปด้วยความแข็งกร้าวเมื่อได้ยินชื่ออวี่หย่วนเจี่ย ใจของเขารู้สึกเป็นห่วงนางเหลือเกิน
“มันทำอะไรนางหรือไม่” เขาก้าวเดินต่อไปแล้วถามเสียงเข้มแฝงด้วยโทสะ ถ้ามันทำให้นางเจ็บแค่เพียงปลายเล็บ เขาจะถล่มหอร้อยบุปผาของมันให้พังราบไม่เหลือชิ้นดีแน่
“ตามรายงานคุณชายอวี่เจตนาเข้าหาท่านหญิง หวังจะแทะโลมนาง แต่ก็โดนท่านหญิงเล่นงานจนเสียท่า” เขาเล่าเรื่องที่ได้ฟังมาจากอาฉีให้เจ้านายฟังอย่างละเอียด
อ๋องกุ้ยเลิกคิ้วนิด ๆ นัยน์ตาที่ไม่พอใจในตอนแรก แปรเปลี่ยนเป็นยิ้มสะใจ แต่ก็สงสัยว่านางทำอย่างไร ถึงล้มคนตัวใหญ่อย่างอวี่หย่วนเจี่ยลงได้ง่ายขน
“ขอรับ ฝ่าบาทดูแลนางและต้องป้อนอาหารให้นางด้วยพระองค์เองทุกวัน เหตุเพราะนางไม่ยอมแตะต้องอาหารเลยสักคำ ฝ่าบาทจึงต้องบังคับนางด้วยวิธีนี้”“ประเสริฐ!” คำพูดที่กล่าวออกมาเต็มไปด้วยความโมโห ไม่ใช่ยกย่องชมเชยใด ๆ “ท่านกล้าแอบไปตีท้ายครัวข้าเชียวหรือฝ่าบาท” สบถเสียงลอดไรฟัน ขบกรามจนขึ้นเป็นสัน เจ็บแผลมากขึ้นอีกหลายเท่า“ท่านอ๋องได้โปรดใจเย็น ท่านหญิงรักและคิดถึงเพียงแต่ท่านผู้เดียวเท่านั้น เรื่องนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็รู้ดี”ด้วยความหึงหวงในตัวหญิงสาว เขาอุตส่าห์พูดปิดทางไว้แล้วเพราะมั่นใจว่าชายใดที่ใกล้ชิดนาง คงไม่มีใครหักห้ามใจได้แน่ โดยเฉพาะชายที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่ชายของเขา คนที่สามารถชี้นิ้วสั่งการได้ทุกอย่างแม้ความตายของคนอื่น แล้วความเจ็บปวดสายหนึ่งก็วิ่งจี๊ดเข้าที่บาดแผลสุดจะทนไหว เขาผ่อนลมหายใจพยายามทำให้อารมณ์สงบ“พาข้ากลับคฤหาสน์เดี๋ยวนี้”“ขอรับ”เมื่อการล่ำลาสิ้นสุดลง กุ้ยหย่งหมิงและกองกำลังทั้งหมดก็เดินทางออกจากหมู่บ้าน มุ่งตรงสู่เมืองหลวงกุ้ยหย่งหมิงนอนอยู่บนรถม้าที่ปูด้วยฟางและฟูกหนา ที่ขับเคลื่อนไปช้า ๆ กระนั้นระหว่างการเดินทางเขาก็ยังได้รับแรงกระเทือนจนเจ็บระบม และต้องทนกับอากาศท
ชายหนุ่มรูปร่างสันทัด อายุประมาณสามสิบปี หน้าตาซื่อ ๆ ไร้พิษภัย ผู้ซึ่งได้รับคำสั่งจากหมอหลินเกิง ให้มาส่งข่าวแก่ท่านหญิงยิปซีที่คฤหาสน์กุ้ยอ๋องกุ้ยหย่งหมิง ยึดมั่นในปณิธานแน่วแน่ ถ้าไม่ใช่หญิงสาวนามว่ายิปซีเขาจะไม่บอกเรื่องนี้แก่ใครเด็ดขาดเพราะตอนเข้าเมืองมานั้น เขาเห็นภาพของชายหนุ่มที่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านหมอเกิงถูกติดไปทั่วเมือง ถึงแม้จะอ่านหนังสือที่เขียนไว้ใต้ภาพไม่ออก แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่งม จึงถามกับชาวบ้านจนรู้ว่าเป็นรางวัลสำหรับคนที่ให้ข่าว และสามารถพาไปพบชายหนุ่มตามรูปได้เขารู้ดีว่าถ้าได้รางวัลจริงคนที่สมควรได้รับก็คือหมอเกิง แต่หมอก็ต้องแบ่งให้เขาอยู่แล้ว เพราะหมอเกิงเป็นคนใจดีมีเมตตา ช่วยเหลือชาวบ้านอยู่เสมอ แต่ถึงหมอไม่ให้เขาเลย เขาก็ไม่โกรธหรอก เพราะหมอเกิงช่วยรักษาโรคประจำตัวให้เขาจนหายดี ทั้ง ๆ ที่เขาไม่มีเงินจ่ายค่ายาด้วยซ้ำ“เจ้ารู้มั้ยว่ากำลังพูดอยู่กับใคร” มหาดเล็กสั่วตะคอกถามชีจินด้วยความโมโห“เราจะคุยกับเขาเอง ไม่เป็นไรหรอก”มหาดเล็กสั่วน้อมรับอย่างไม่เต็มใจ ก่อนจะถอยออกไปอีกสามก้าว“ข้าแค่บอกว่าจะคุยกับท่านหญิงยิปซีเท่านั้น ทำไมชายผู้นั้นต้องโมโหข้าด้วยเล่า”“ท
พุทธิญารีบกลืนยาถ้วยนั้นให้หมดอย่างรวดเร็ว เพราะรู้สึกลำบากใจกับการกระทำของโอรสสวรรค์คนนี้“นับตั้งแต่วันนี้เราจะมาป้อนข้าวป้อนยาให้เจ้าทุกวัน จนกว่าร่างกายของเจ้าจะกลับสู่ปกติ”“ฝ่าบาท อย่าบังคับจิตใจหม่อมฉันเลยเพคะ”“ถ้าเจ้าไม่อยากเป็นคนบาป ที่ทำให้เราต้องลดตัวมาปรนนิบัติ ก็รีบทำให้ตัวเองหายเร็ว ๆ” ถ้าเขาไม่ทำแบบนี้นางก็คงนอนรอความตายอย่างเดียว...................จวนสกุลหลัวสวี่เซิ่นรอให้อวี่หมิ่งฟู่ได้พรอดรักกับใต้เท้าหลัวจนเขาหลับไป จึงกระโดดเข้าไปทางหน้าต่างแล้วกระชากหญิงสาวออกห่าง จากนั้นรีบเป่ายาสลบชนิดควันใส่ชายชรา“เจ้ามาทำไมสวี่เซิ่น ข้าบอกให้เจ้ารีบออกไปจากเมืองหลวงไง” เมื่อได้สตินางจึงตะคอกถามด้วยอารมณ์โกรธ แต่ก็ไม่ได้ดังมากเพราะกลัวคนอื่นจะได้ยิน ถึงแม้ยิปซีจะตายไปแล้ว แต่นางก็กลัวคนอื่นจะรู้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือใคร จึงบอกให้เขาไปจากเมืองหลวงและไม่ต้องกลับมาอีก“ข้าไปแล้ว แต่ที่กลับมาเพราะทนคิดถึงเจ้าไม่ไหว เจ้าเคยสัญญาว่าถ้างานนี้สำเร็จ เจ้าจะหนีไปกับข้า” สวี่เซิ่นทวงสัญญา“เรื่องนั้นข้าไม่ได้ลืม” นางจำใจรับปากในตอนแรกก็เพราะต้องการหลอกใช้เขาเป็นเครื่องมือในการแก้แค้
“ข้าชื่อหลินเซียง ลูกสาวข้าชื่อหลินโม่ว ส่วนหลินเกิง สามีของข้าเขาเป็นหมอ และเป็นคนพบท่าน เขามีความรู้เรื่องสมุนไพรดีทีเดียว ได้เขาช่วยรักษาท่านต้องหายดีแน่ ไม่ต้องห่วง.. จากที่ฟังท่านเล่ามาทั้งหมด แสดงว่าท่านลอยน้ำมาไกลมาก เพราะที่ที่สามีข้าพบท่านมันเป็นแม่น้ำสายเล็ก ๆ ที่แยกตัวมาจากแม่น้ำหวง ตอนนี้ท่านอยู่ที่หมู่บ้านถงทางทิศเหนือ เมืองไถ่ปู้ เป็นหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญมากที่สุดเพราะอยู่ในป่าลึก อยู่ห่างจากต้นแม่น้ำหวงถึงสองร้อยลี้.. ทีนี้ข้าถามท่านบ้างนะ ท่านได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่” หลินเซียงถามด้วยความสงสัยกุ้ยอ๋องบอกวันเวลาให้แก่อีกฝ่ายอย่างแม่นยำเมื่อได้ยินคำตอบ หลินเซียงก็ร้องอุทานด้วยความตกใจ ใครจะเชื่อว่าเขาสามารถทนพิษบาดแผลได้ถึงเจ็ดวัน แสดงว่าผู้ชายคนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา เขาต้องมีพลังลมปราณแกร่งมาก ร่างกายถึงทนได้นานขนาดนี้“อาการของท่านยังไม่สู้ดีนัก ท่านควรพักผ่อนให้มาก ๆ” พูดจบนางก็เดินไปหยิบสมุนไพรชนิดหนึ่งมาฝนกับฝาหม้อ จากนั้นจากใช้ผ้ากรองเอาแต่น้ำให้เขาดื่ม“ข้ามีเรื่องอยากขอร้องหลินฮูหยินสักเรื่อง” เขาไม่ยอมดื่ม แต่ตั้งใจจะพูดกับนางให้รู้เรื่องก่อน“ดื่มย
“หย่งหมิง..ยิปซีก็คิดถึงท่าน รีบกลับมานะ แล้วยิปซีจะบอกรักท่าน” เธอรำพันขณะเอาจดหมายแนบไว้กับอก นอนยิ้มอยู่บนเตียงนอนในห้องของเขาเพียงลำพัง เพราะคิดถึงเขามากจึงแอบบรรดาสาวใช้มาขลุกอยู่ในห้องนี้ ถึงไม่ได้เห็นหน้าแต่ได้สัมผัสกลิ่นอายของเขาก็ยังดี“ท่านหญิง ท่านหญิงอยู่ข้างในหรือเปล่า ท่านหญิงเจ้าคะตอบบ่าวหน่อยเถิด” สาวใช้คนหนึ่งตะโกนอยู่หน้าห้องด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีเธอดีดตัวลุกขึ้น “อยู่ เข้ามาเลย”เมื่อได้ยินคำตอบรับของหญิงสาว สาวใช้ก็เปิดประตูเข้าไปอย่างรีบร้อนแล้วปล่อยโฮออกมา“ท่านหญิงเจ้าคะ ฮือ ๆ ๆ”“เกิดอะไรขึ้น” พุทธิญาตกใจกับอาการของสาวใช้“เกิดเรื่องกับท่านอ๋องแล้วเจ้าค่ะ ฮือ ๆ ๆ”“เกิดอะไรขึ้น!? ท่านอ๋องเป็นอะไร!?” เธอก้าวไปเขย่าตัวสาวใช้ ถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก“ท่านหญิง!” เสี่ยวหลันวิ่งเข้าไปในห้องพร้อมน้ำตาที่นองหน้า“เกิดอะไรกับท่านอ๋อง? บอกข้ามาเร็วสิหลัน!” เธอเปลี่ยนจุดหมายไปที่เสี่ยวหลัน ถามด้วยน้ำเสียงกังวลยิ่งกว่าเดิม เห็นจากท่าทางของพวกนางแล้วมันต้องร้ายแรงมากแน่ ๆ“ท่านแม่ทัพที่ประจำการอยู่ที่ค่ายต้นแม่น้ำหวง ส่งข่าวมากับเหยี่ยวสื่อสาร บอกว่าเรือของท่านอ๋องระเ
ยิปซีหัวเราะเบา ๆ แล้วหันไปบอกเสี่ยวหลันให้ไปแจ้งแก่พ่อบ้าน ให้ทำอาหารเพิ่มเป็นสิบหกจานเพราะฝ่าบาทจะร่วมเสวยด้วย“ปกติท่านอ๋องจะทานอาหารแค่มื้อละแปดจาน แต่เมื่อท่านออกเดินทาง หม่อมฉันเพียงคนเดียวก็ทานแค่มื้อละสามจานเท่านั้นเพราะเยอะไปก็ทานไม่หมด วันนี้สั่งเพิ่มเป็นสิบหกจาน ฝ่าบาทอย่ามองว่ามันน้อยนิดนะเพคะ เพราะจริง ๆ แล้วอาหารสิบหกจานนี้พระองค์คนเดียวคงเสวยไม่หมด อาจจะเสวยไม่ครบทุกอย่างด้วย ส่วนที่เหลือก็ต้องเททิ้ง การทำอาหารมากเกินไปหม่อมฉันจึงมองว่าสิ้นเปลืองเพคะ”คนที่หายใจไม่ทั่วท้องไม่ใช่ถังโจวฮ่องเต้ แต่เป็นมหาดเล็กสั่ว เพราะเขารู้ดีว่าอาหารแต่ละมื้อของฝ่าบาทจะต้องมีอย่างน้อยสามสิบจานสำหรับมื้อหลัก และสิบห้าจานสำหรับมื้อดึก ซึ่งก็คือพวกเครื่องเคียงข้าวต้มนั่นเอง“น่าสนใจ เราคงต้องทำตามด้วยแล้ว”“ดีเพคะฝ่าบาท” เห็นหน้าพระองค์แล้วก็อดคิดคนรักไม่ได้ เพราะใบหน้าของพวกเขาคล้ายกันอยู่หกส่วน ป่านนี้เขาจะเป็นยังไงบ้างนะ เดินทางถึงไหนแล้ว แล้วเขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาหรือเปล่านะ“ยิปซี..แม่นางยิปซี เจ้ากำลังใจลอยอยู่หรือ” ถังโจวถามหญิงสาวที่นั่งตรงข้ามกัน เพราะถามนางสองครั้งแล้