LOGINพระราชวังฉางอาน
ภายในห้องทรงงานของจักรพรรดิถังโจว
“กระหม่อมทูลลา” กุ้ยหย่งหมิงยกมือคำนับ
“เจ้าจะไม่อยู่ดื่มเหล้าเป็นเพื่อนข้าก่อนหรือ” บุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรถามอย่างสุขุม
“ไม่ดีกว่า กระหม่อมยังมีงานต้องทำอีกมาก ไม่ได้เกิดมาบนกองเงินกองทองเหมือนฝ่าบาท”
ถังโจวกลั้วหัวเราะ ไม่ได้ถือสากับคำพูดเหน็บแนมของที่ปรึกษาคู่ใจ
“ทุกวันนี้เจ้าน่าจะร่ำรวยยิ่งกว่าฮ่องเต้อย่างข้าเสียอีก” ถังโจวกล่าวกับญาติผู้น้องที่เกิดจากน้องสาวของพระมารดา ที่ท่านรักและเมตตายิ่งกว่าพี่น้องร่วมบิดา เพราะเขาคอยช่วยเหลืองานต่าง ๆ ของราชสำนักโดยไม่เคยหวังลาภยศและสิ่งตอบแทนใด ๆ
แม้แต่ตำแหน่งอ๋องท่านก็ต้องเป็นฝ่ายยัดเยียดให้เอง หรือแม้กระทั่งชายาสักคนสองคน ไม่ว่าจะเป็นลูกขุนนางหรือแม้กระทั่งองค์หญิงทั้งหลาย ท่านก็พยายามยัดเยียดให้ แต่ก็ยังไม่เป็นผล
อ๋องรูปงามนามว่ากุ้ยหย่งหมิงยิ้มมุมปากนิด ๆ “สมบัติเหล่านั้นเป็นของที่บิดากระหม่อมหาไว้ก่อนตาย คนที่รวยคือบิดาของกระหม่อมต่างหาก ทูลลา”
“แล้วเรื่องพระชายาเล่า เมื่อไหร่เจ้าจะตกลงปลงใจสักที หรือที่ข้าเสนอให้ยังไม่ถูกใจ”
ยังไม่ทันก้าวเดิน คำถามของฝ่าบาทก็ดักขาของเขาไว้ก่อน
“พวกนางอาจจะถูกใจฝ่าบาท แต่ยังไม่ถูกใจกระหม่อม”
“เลือกมาก แล้วเจ้าต้องการสตรีแบบไหนเล่า บอกข้ามา ข้าจะเฟ้นหาให้เจ้าเอง”
“ถ้าพบแล้วกระหม่อมจะรีบมาบอกพระองค์เป็นคนแรก ทูลลา” แล้วรีบเดินจากไปก่อนที่จะมีคำพูดอะไรมาขวางไว้อีก
จักรพรรดิถังโจวมองตามร่างสูงสง่าที่เดินจากไป ฟังจากน้ำเสียงก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังหงุดหงิด
นี่เขาไม่อยากแต่งงานถึงเพียงนั้นเชียว สตรีที่เขาแนะนำล้วนเป็นสตรีสูงศักดิ์ที่งามล่มเมือง งานสตรีก็ชำนาญ กิริยาก็ล้วนอ่อนช้อยน่าทะนุถนอม
ทำไมกัน.. หรือเขาไม่ชอบสตรี!
กุ้ยหย่งหมิงเดินไปถึงที่จอดรถม้า พยักหน้าให้โต้วฉือกับอี่เฉิน เป็นอันรู้กันว่าหมดธุระแล้ว เดินทางกับคฤหาสน์ได้
“วันนี้ใช้เส้นทางหลังคฤหาสน์ ข้าอยากตรวจดูความเรียบร้อยสักหน่อย”
“ขอรับท่านอ๋อง” องครักษ์ทั้งสองรับคำ รอให้ชายหนุ่มขึ้นไปนั่งในรถม้า เรียบร้อยแล้วจึงประจำที่ คนหนึ่งควบรถม้า อีกคนขี่ม้ารั้งท้าย…
พุทธิญาพยายามที่จะหลับแต่ก็ไม่เป็นผล เธอรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิดออกเป็นเสี่ยง ๆ แสบจมูกไปทั้งโพรง และเริ่มมีไข้สูงเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง ภายในร้อนระอุแต่ภายนอกกลับหนาวจนสั่น
เธอหลับตาพิงกำแพง ล้วงเข้าไปในกระเป๋า หยิบผ้าเช็ดหน้ากับขวดน้ำออกมา เทน้ำใส่ผ้าเช็ดหน้าแล้วบิดหมาด โปะลงไปบนใบหน้าของตัวเองเพื่อช่วยลดไข้
“ไหวหรือไม่แม่นาง” ชายหนุ่มที่เฝ้ายามเดินไปถามอาการด้วยความเป็นห่วง อยากให้ถึงเวลาผลัดเวรเร็ว ๆ จะได้รีบพานางไปหาหมอ
“เลิกงานแล้วใช่มั้ย” พุทธิญาเข้าใจแบบนั้น จึงดีดตัวลงจากกระเป๋าที่นั่งอยู่.. แล้วโลกของเธอก็หมุนติ้ว ๆ ก่อนที่มันจะมืดสนิท
“แม่นาง! แม่นาง! เจ้าเป็นอะไร แม่นาง!” เห็นนางล้มหัวกระแทกกับกำแพงต่อหน้าต่อตาก็ตกใจ ทั้งลนลานและทั้งไม่กล้าเข้าไปช่วยนาง.. แต่สุดท้ายก็คุกเข่าลงไปเอามือลองอังที่จมูก ใจของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงลมหายใจ “แม่นางได้ยินข้าไหม แม่นาง”
โต้วฉือกับอี่เฉินเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหน้าแต่ไกล เห็นตั้งแต่ยามเฝ้าคฤหาสน์เดินไปหาสตรีผู้นั้น คุยกับนางก่อนที่นางจะล้มลงไป
“ท่านอ๋อง ข้างหน้าดูเหมือนจะมีเหตุ” อี่เฉินรายงาน
“ที่กำแพงบ้านข้านี่นะหรือ”
“ขอรับ คนของเรากำลังช่วยเหลือนางอยู่”
“เข้าไปดู ใช่กลลวงของศัตรูหรือไม่”
“ขอรับ”
กุ้ยหย่งหมิงมององครักษ์ประจำกายผ่านม่านหน้าต่าง มองสตรีไร้สติที่ถูกคนของตนจับประคองหลัง
นางดูแตกต่างจากคนที่นี่อย่างสิ้นเชิง จึงเพ่งมองด้วยความสนใจมากยิ่งขึ้น ใบหน้าที่ซีดเซียวและหลับสนิทนั้นดูมีเสน่ห์ดึงดูด เรียกความสนใจจากเขาได้มากที่เดียว
“นางเป็นอะไร”
“นางมีไข้ขอรับท่านอ๋อง”
“นางเป็นอะไรกับเจ้า”
“เรียนท่านอ๋อง แม่นางคนนี้ไม่ได้เป็นอะไรกับข้าน้อย นางมาจากดินแดนอื่นและพลัดหลงกับสหาย จึงเข้ามาถามทางไปโรงเตี๊ยม แล้วนางก็ขอนั่งพักสักหน่อย ข้าน้อยเห็นอาการของนางไม่ค่อยดี และนางเพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรก จึงบอกให้นางนั่งรอข้าน้อยผลัดเวร ตั้งใจว่าจะพานางไปพักที่บ้านพ่อตาแม่ยายของข้าก่อน พรุ่งนี้ค่อยให้เมียของข้าพานางไปหาโรงเตี๊ยม” ทหารยามนามว่าเสี่ยวหัวเล่าละเอียดยิบ เพราะกลัวจะถูกทำโทษที่ละทิ้งหน้าที่
กุ้ยอ๋องมองสตรีที่อยู่ในการประคองของเสี่ยวหัว ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกดึงดูด ทำเอาใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะขึ้นมา ละสายตาแทบไม่ลง
“พานางขึ้นมา”
“ท่านอ๋องหมายควา”
“พานางมาขึ้นรถม้า” เขาพูดขัดน้ำเสียงเฉียบขาด
โต้วฉือแปลกใจกับท่าทีของท่านอ๋อง มองสตรีแปลกหน้า..นางงามหมดจดจริง ๆ เขายอมรับกับตัวเอง แล้วรีบอุ้มนางขึ้นรถม้า
แล้วเขาจะวางนางไว้ตรงไหนดีล่ะ ก็ในเมื่อเจ้านายของเขาถือตัวเป็นหนักหนา ไม่นิยมให้ใครนั่งร่วมเกี้ยว
“เจ้าจะอุ้มนางไว้อีกนานไหมโต้วฉือ มองนางอิ่มหรือยัง” เสียงถามราบเรียบมีความขุ่นเคืองผสมอยู่
“ท่านอ๋อง ข้าเพียงแค่แปลกใจเท่านั้น” โต้วฉือร้อนใจหาข้อแก้ตัว
“เมื่อไหร่เจ้าจะส่งนางมาให้ข้าเสียที” อ๋องกุ้ยหันไปมองอี่เฉินที่เปิดประตูรถม้าค้างไว้ “ตกใจอะไรนัก.. ส่งนางมาให้ข้า” เขายื่นมือออกไปรับหญิงสาวจากโต้วฉือ
องครักษ์หนุ่มรีบส่งนางให้ท่านอ๋อง
“เอาของใช้ของนางไปด้วย และให้เจ้านั่นตามไปรับรางวัลกับข้า แล้วไปตามหมอหลวงมาดูอาการของนาง”
“ขอรับท่านอ๋อง” โต้วฉือรับคำสั่งแล้วรีบลงจากรถม้า
กุ้ยหย่งหมิงโอบประคองหญิงสาวแนบกาย ใช้นิ้วปัดลูกผมบางส่วนที่บดบังใบหน้าออก กลิ่นหอมกรุ่นละมุนจมูกจากตัวนาง ทำให้เขาสูดหายใจเข้าเต็มปอด
เขาเพ่งพิจใบหน้าเรียวได้รูป ยอมรับอย่างไม่มีข้อแม้ว่านางงดงามจับใจ งามจนไร้ที่ติ พิลาสล้ำเหนือคำบรรยาย สะดุดตาสะดุดใจแม้เพียงเห็นแค่หางตา ผิวพรรณของนางผุดผาด เนียนละเอียดไร้จุดด่างดำ แต่ก็แปลกใจกับการแต่งกายแปลกตาของนาง
“เจ้ามีชายอื่นอยู่ในใจหรือ ทำไมต้องใช้เวลานานขนาดนั้น” ความหึงหวงวิ่งวุ่นอยู่ในหัวใจ ถามออกไปด้วยเสียงที่เครียดขรึม ต่อให้นางมีฮ่องเต้อยู่ในใจ เขาก็ไม่ยอมหลีกทางเด็ดขาด “เจ้าเป็นเมียข้าแล้วนะ” จะมาย้ำทำไมให้รู้สึกอายด้วยนะ “ข้ารู้ดี พวกเราเป็นสามีภรรยากันมานานแล้ว..ไม่ใช่หรือ” เห็นหัวคิ้วเขากระตุก สีหน้างง ๆ ก็แปลกใจ “ใช่ อือใช่ ดังนั้นเจ้ารีบตัดสินใจเถิด” ซื่อบื้อยิ่งนัก จนป่านนี้ยังไม่รู้ตัวอีกว่าถูกเขาหลอก..แต่ก็ดีเหมือนกัน เห็นนัยน์ตาทอประกายแปลก ๆ ของเขา นางก็เริ่มเอะใจ “หรือว่าท่านโกหกข้า...ความจริงเรา” “ความจริงเราคือสามีภรรยากันมานานแล้ว ผิดแต่การกระทำที่ข้ามีต่อเจ้าเท่านั้นเอง ถ้าไม่เชื่อลองไปถามเสี่ยวหลันดูก็ได้ ถามว่านางกับอี่เฉินเคยร่วมเตียงเหมือนคู่ของเราหรือยัง” ถ้านางกล้าถามสุนัขก็ออกลูกเป็นแมวแล้ว “ท่านบ้าไปแล้ว! ใครจะกล้าถามแบบนั้น” เรื่องน่าอายแบบนี้จะไปถามคนอื่นได้ยังไง “พรุ่งนี้นะ..พรุ่งนี้ข้าจะให้คำตอบท่านก็แล้วกัน” “ก็ได้ พรุ่งนี้เช้าตรู่เจ้าต้องให้คำตอบที่น่าพอใจแก่ข้า” พูดจบก็ช้อนร่างบางมา
เมื่อเช้าตอนตื่นนอน นางได้กลิ่นหอมของดอกกระดังงาโชยมาตามอากาศ ต้นไม้ชนิดนี้นางได้เป็นของฝากมาจากพ่อค้าชาวไทยเมื่อหลายเดือนก่อน จึงรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อยที่ดอกไม้ในบ้านเกิดได้ผลิบานที่นี่ “ข้าไม่ใช่ฝ่ายที่ห่างเหินกับเจ้านะชายาที่รัก แต่เป็นเจ้าต่างหากที่มัวแต่วุ่นวายอยู่กับเด็กคนนั้น แล้วก็องค์หญิงร้อยเล่ห์นั่น” เขาบ่นด้วยความหงุดหงิด เพราะพวกนางแท้ๆ ที่เป็นต้นเหตุ “หย่งหมิง..ท่านก็อย่าเอาแต่ใจนักเลย รู้จักทำใจให้กว้างบ้างสิ” เขาโอบเอวนางแน่นขึ้น “ข้ามันคนใจแคบ หวงของเป็นที่สุด โดยเฉพาะหวงเจ้า..ข้าทำใจไม่ได้ถ้าต้องถูกเจ้าหมางเมินจำเอาไว้” ……………... โต้วฉือเดินเข้าบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้มผิดวิสัย ทำให้บ่าวรับใช้ทั้งสองต่างหันไปมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ “นางตื่นหรือยัง” เขาตั้งคำถามกับคนที่สั่งงานไว้เมื่อเช้านี้ “ตื่นแล้วขอรับ บ่าวเตรียมน้ำอาบเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว แต่นางไม่ยอมให้บ่าวเข้าไปในห้อง โชคดีที่นายท่านกลับมาเร็ว” หนุ่มน้อยก้มหน้ารายงาน “รอฟังคำสั่ง” สั่งสั้น ๆ แล้วรีบเดินไปที่ห้องนอน เมื่
กุ้ยถิงอยากถามว่าไอ้เล่ห์เหลี่ยมที่ใช้นี่คืออะไร แต่ก็รู้ว่ามันไม่สมควร เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขาสองคน นางไม่ควรละลาบละล้วงเกินไป แต่ถ้าคนของนางมาฟ้องสิ นางจะปกป้องเต็มที่ “เอาเถิด วันนี้เจ้ารีบกลับไปดูแลนางเถิด ข้าเดาว่านางน่าจะอยู่ที่บ้านเจ้าตอนนี้” นางไม่ใช่คนโง่ เสี่ยวซิงหายไปในขณะที่เขาเข้ามาหาแบบนี้ มันจะเป็นแบบอื่นไปได้อย่างไร “ใช่ขอรับ” “งั้นก็รีบกลับไปอยู่เป็นเพื่อนนางเถิด” “ขอบคุณพระชายา” โต้วฉือยกมือคารวะหญิงสาวด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งนึกถึงหญิงสาวอันเป็นที่รักก็รู้สึกเป็นห่วงไม่น้อย ป่านนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ตื่นนอนตอนไหน กินข้าวหรือยัง คนของเขาดูแลนางดีหรือเปล่า หาสาวใช้มาดูแลนางตามที่สั่งไว้ได้หรือยัง.................... กุ้ยอ๋องเงยหน้าจากงานกองใหญ่ แล้วรีบเดินไปรับนางอันเป็นที่รักที่เดินเข้ามาในห้อง ใบหน้างดงามแต่ดูซีดเซียวของนางทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจนัก ถามนางหลายครั้งนางก็ยืนยันว่าสบายดี แค่มีอาการอ่อนเพลียนิดหน่อย คงเพราะเครียดเรื่องบัญชีเนื่องจากเป็นช่วงสิ้นเดือน “ทำไมไม่ให
สุดท้ายจึงสรุปว่าเพราะก่อนหน้านั้นคงไม่เนิ่นนานเหมือนเมื่อคืนนี้ เมื่อคืนนางมีสติครบถ้วนเหมือนเขา จึงทำให้รับรู้ทุกอย่างแจ่มแจ้งนั่นเอง……………เสี่ยวหลันไม่นึกเอะใจสักนิดที่เพื่อนรักไม่ได้มาทำงานในเช้าวันนี้ กลับยินดีลางานให้นางเสร็จสรรพ เพราะคิดว่านางคงอยู่ที่บ้านกับบิดามารดาและบรรดาน้อง ๆแต่พอตกช่วงบ่ายของวันก็ต้องมีเรื่องให้แปลกใจ เมื่อเห็นโต้วฉือ เพื่อนรักของคนรักมาขอพบพระชายากุ้ยถิง“ข้าจะเข้าไปรายงานให้พระชายาทราบก่อนนะเจ้าคะ ท่านโต้วโปรดรอสักครู่”หายไปไม่นานก็กลับมาเชื้อเชิญให้เขาเข้าไป ส่วนตัวนางที่ยืนทิ้งระยะห่างออกไปก็พยายามเงี่ยหูฟังเต็มที่ว่าเขาพูดอะไรกับพระชายากุ้ยถิง“ท่านต้องการแต่งงาน และอยากให้ข้าช่วยจัดการให้.. แล้วนางคือใครเล่า” เห็นเขาพยักหน้าจึงถามต่อ ภาวนาในใจว่าขออย่าให้เป็นหลินโม่วเลย ถ้าใช่นางจะปฏิเสธเด็ดขาด และจะจัดการกับสามีตัวดีซึ่งอาจจะมีส่วนกับเรื่องนี้“เสี่ยวซิงขอรับ.. พระชายาได้ยินไม่ผิดหรอก นางคือเสี่ยวซิง” เขาย้ำชัดเจนเมื่อเห็นสายตาตกตะลึงของนายหญิง“เสี่ยวซิง!” คนที่อุทานออกมาไม่ใช่กุ้ยถิง แต่เป็นเสี่ยวหลัน นางรีบยกมือปิดปากเมื่อรู้ตัวว่าเสียมารยา
เขากลับมาให้ความสนใจกับร่างกายของนางอีกครั้งเมื่อรับรู้อาการเกร็งของนาง จูบปากกระซิบคำปลอบโยน วนเวียนกับอกเต่งตึงขนาดพอเหมาะทั้งสองข้างอย่างเป็นธรรม ขณะที่สะโพกสอบยังทำหน้าที่ของมันไม่บกพร่องทำไมมันไม่เหมือนทุกครั้ง.. ทำไมมันไม่เหมือนทุกครั้ง คำถามเดิม ๆ วนอยู่ในความคิดของหญิงสาว ทุกครั้งเขาจะนอนกอดนางไว้เฉย ๆ ไม่เคยทำแบบนี้เลย การเป็นสามีภรรยานี่มีหลายแบบจริง ๆ นางเพิ่งเข้าใจวันนี้เองความเจ็บปวดผสมความรัญจวนทำให้นางอยากรู้นักว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร จึงกัดฟันทนเจ็บ ใช้สองขาและสองมือเกาะเกี่ยวร่างกายแกร่งแรงๆ เพื่อให้บางอย่างสนิทแนบเป็นหนึ่งเดียวเฮือก! เจ็บ! เจ็บที่สุด! ทำไมไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย ทั้งที่นางกับเขาก็เป็นสามีภรรยากันมาแล้ว อ๋อ..ตอนนั้นตนหมดสตินี่นา คงเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่รู้สึกใด ๆอ๊ะ! อา.. ความรู้สึกเสียวซ่านวิ่งผ่านเข้ามาเป็นระลอกเมื่อเขาเริ่มขยับสะโพก นางรีบขบริมฝีปากแน่นเพราะกลัวเสียงร้องเล็ดลอดออกไปเสียงครางกระเส่าในลำคอของนาง ทำให้โต้วฉือฮึกเหิมเต็มที่ จังหวะรักจึงทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ นางกำลังมีความสุขด้วยฝีมือของเขา ดังนั้นเขาจะต้องเป็นบุรุษคนเดียวที่
ตอนนี้นางรู้ซึ้งแล้วว่าความผูกพันของสามีภรรยามันยิ่งใหญ่ขนาดไหน ขนาดไม่ได้มีใจกันมาก่อนยังเจ็บปวดหัวใจขนาดนี้ แล้วถ้ารักกันมากแบบเสี่ยวหลันกับใต้เท้าเฉินล่ะ จะปวดใจเจียนตายเลยหรือไม่หนอโต้วฉือเห็นหญิงสาวรูปร่างบอบบาง หน้าตากำลังอยู่ในความโศกเศร้าจากระยะไกล ใจหนึ่งอยากเข้าไปกระชากนางมากอดปลอบ และช่วยซับน้ำตาที่รินไหล แต่อีกใจหนึ่งก็ห้ามไว้ บอกให้รอโอกาสเหมาะ ๆ และปลอดคนจะดีกว่า แล้วพาไปปรับความเข้าใจกันให้รู้เรื่องเขารอจนคนอื่นห่างออกไปแล้ว จึงอาศัยความไวฉกชิงตัวนางไปจากเส้นทางอย่างรวดเร็วและไร้ซุ่มเสียง ดีดกายไม่กี่ทีก็กลับอยู่ในห้องนอนส่วนตัวที่บ้านเรียบร้อยวางร่างที่ตื่นตะลึงลงบนเตียงอย่างเบามือไม่คาดคิดว่าปฏิกิริยาของนางจะว่องไวและรุนแรงทันทีที่เขาปล่อยมือ กำปั้นที่ไม่เคยมีเรี่ยวแรงของนางบัดนี้มันแรงและหนักหน่วงใช้ได้เลยทีเดียว แต่เขาก็ยอมตกเป็นเป้าให้นางอย่างเต็มใจ พร้อมกับรับคำบริภาษของนางไว้เต็มสองรูหู“ท่านเป็นใครถึงมาทำกับข้าแบบนี้ กล้าดียังไงถึงชิงตัวข้ามา ข้าจะไปฟ้องพระชายาไม่เชื่อก็คอยดู ฮือๆๆ” ความน้อยใจ อัดอั้นตันใจสารพัดประดังเข้ามา เรื่องที่หลันเล่าให้ฟังว่าเขายินดี







