LOGINชายผู้นั้นก้มหน้า กล่าวเสียงสั่นเล็กน้อย
“หนึ่งร้อยยี่สิบเจ็ดคนขอรับ ข้าน้อยได้จัดการดูแลร่างให้พวกเขาแล้ว…” เสียงยังไม่ทันจบ เพล้ง! เสียงแตกของถ้วยชา พู่กัน หมึก และกระดาษ! ทั้งหมด หล่นกระจาย เกลื่อนพื้น! เสียงนั้นดังลั่น เสียดแทงหูราวกับสายฟ้าฟาดกลางห้อง เป็นเสียงระเบิดของโทสะที่อัดแน่นจนแทบคลั่ง! แม้ไม่มีคำใดหลุดจากปากนาง แต่ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น ต่างรับรู้ได้ ว่าไฟในอกของหลินซี… กำลังลุกไหม้จนเผาผลาญแม้กระทั่งอากาศรอบตัว! หลังความเงียบที่ยาวนานชั่วหนึ่ง เสียงของหลินซีก็เอ่ยออกมา เสียงนั้นต่ำ เยือกเย็น ดั่งคำพิพากษาจากฟากฟ้า “ไปเตรียมตัวให้พร้อม…อีกห้าวัน ข้าจะเข้าวังหลวงด้วยตนเอง” “รับคำสั่งขอรับ!” ชายผู้นั้นรีบลุกขึ้นทันที ก้าวออกไปเพียงไม่กี่ก้าว แต่แล้วก็หยุดลง ลังเลเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมาถามเสียงแผ่ว “คุณหนูแล้วคุณชายน้อยกับคุณหนูน้อย… จะให้พาไปด้วยหรือไม่ขอรับ” หลินซีกำลังจะเอ่ยคำตอบ… แต่ก่อนที่ถ้อยคำใดจะทันหลุดจากริมฝีปาก พ่อบ้านใหญ่ก็วิ่งกระหืดกระหอบพุ่งเข้ามาในห้อง! ไม่มีมารยาท ไม่มีการเคาะประตู ไม่มีการคุกเข่า เขาโยนทุกกฎพิธีทิ้งลงใต้ฝ่าเท้า! ถึงหน้าประตูเขาใช้มือหนึ่งคว้ากรอบประตูไว้แน่น อีกมือกดที่หน้าอก หอบหายใจจนอกกระเพื่อมแรง ริมฝีปากอ้ากว้างจะเอ่ยถ้อยคำ แต่หลินซีกลับหายวับไปประหนึ่งสายลมแล้ว! ยังไม่ทันที่ใครจะทันตั้งสติ ร่างของนางก็พุ่งออกนอกเรือนราวกับจ้าวพายุฟาดฟัน! ชายใต้บังคับบัญชาข้างกาย…สะดุ้งเพียงพริบตา ก่อนรีบตามออกไปอย่างไม่ลังเล! เหลือเพียงพ่อบ้านที่ร่างค่อยๆ ทรุดลงกับพื้น นั่งพิงกรอบประตู ดวงหน้าเปื้อนเหงื่อเต็มใบหน้า น้ำเสียงของเขาสั่นระริก เอ่ยออกมาทั้งที่น้ำตาเริ่มเอ่อล้น เสียงสะอื้นขาดๆ หายๆ ราวกับจะขาดใจ “ข้า…ข้าเพียงจะมา…รายงาน…ว่า…คุณชายน้อย…กับคุณหนูน้อย…พิษกำเริบแล้ว…ฮือๆ ฮือๆ ฮือๆๆ…” หลินซีเพิ่งมาถึงลานหน้าเรือน กลิ่นคาวโลหิตปนกลิ่นยาสมุนไพรขมขื่นก็ลอยอบอวลไปทั่วอากาศ! กลิ่นนั้น…รุนแรงนัก! ขมเสียจนแสบจมูก เหมือนกลิ่นที่ลอยออกมาจากความตาย! ตรงกลางลาน มีโอ่งยักษ์สองใบถูกตั้งอยู่บนกองไฟเปลวไฟกำลังลุกโชน ควันดำหนาทึบพวยพุ่งขึ้นฟ้า ไม่หยุด!หลินซีเร่งฝีเท้าเข้าไปยังห้องด้านในทันที! สิ่งที่นางเห็น คือภาพของเด็กน้อยสองคน ที่ครั้งหนึ่งเคยงดงามดั่งหยกแกะสลักแต่บัดนี้…กลับขดตัวอยู่ที่มุมห้องอย่างน่าเวทนาร่างเล็กสั่นเทา ราวกับจะขาดใจทุกวินาที ริมฝีปากเล็กๆ ที่เคยแดงเรื่อ บัดนี้ ดำคล้ำ ราวกับหมึก! ข้างกายของเด็กทั้งสอง มีชายชราผู้หนึ่ง สวมชุดขาวสะอาด ในมือคือเข็มเงิน ที่ควรนิ่งมั่น แต่ในยามนี้…กลับ สั่นระริก จนเกือบหลุดจากมือ! สายตาเยียบเย็นของหลินซีกวาดไปเพียงนิด ใบหน้าของนางเยียบชาดุจน้ำแข็งพันปี เสียงที่หลุดจากริมฝีปากกลับแหลมคมยิ่งกว่าคำพิพากษา “เจ้าสองตัวนั้น…อยู่ที่ใด!” เสียงยังไม่ทันจบสิ้น พลันปรากฏเงาขาวกลิ้งพรวดเข้ามาจากนอกประตู สองก้อนขนปุยสีขาวราวหิมะบริสุทธิ์ คลานเข่ามาหยุดลงเบื้องหน้าของหลินซี กายสั่นระริก ดวงตากลมโตใสดั่งหยดน้ำ ฉายชัดเพียงความหวาดกลัวสุดขีด! นางมองพวกมันด้วยสายตาเยียบเย็น จากนั้นตวาดด้วยเสียงขุ่นกร้าว “มองหน้าข้าทำไม! ยังไม่รีบไปทำหน้าที่ของเจ้าอีก?!” นางยกเท้าขึ้นอย่างแรง หมายจะเตะก้อนขนทั้งสองให้ปลิวกระเด็น! แต่สองก้อนขนกลับกระโดดหลบอย่างว่องไว ราวกับเคยชินกับโทสะนี้มานาน จากนั้นพวกมันพุ่งตัวเข้าหาเด็กสองคนทันที หนิงหนิงและเป่าเป่าที่กำลังนอนอ่อนแรงอยู่ไม่ไกล! ชายชราในชุดแพรขาวที่เฝ้าอยู่ด้านข้าง รีบคว้าข้อมือของเด็กทั้งสองยื่นออกมาให้พวกมันทันที! และในวินาทีนั้น สองก้อนขนขาวไม่รีรอ พุ่งฟันฝังลงบนข้อมือเล็กๆ อย่างแม่นยำ! กัดลึก! ดูดแรง! เสียงซู่วเบาๆ ของการดูดกลืนเลือดดั่งเสียงปีศาจกลางคืน ฝ่ามือของเด็กทั้งสองเริ่มซีด แต่ริมฝีปากที่ดำคล้ำเมื่อครู่…ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อ หลินซียืนนิ่งอยู่กับที่ สีหน้าของนางไม่ได้อ่อนลงแม้แต่น้อย ราวกับคนที่ตัดใจให้ลูกตายได้ หากนั่นคือทางรอดเดียว สองก้อนขนดูดโลหิตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทั้งคู่เริ่มสั่นหัว คล้ายจะหมดสติ เดินเซไปมา ไม่รู้เหนือใต้สายตาเลื่อนลอยดั่งเมายา จนถึงจุดนั้น หลินซีจึงแค่นเสียงเย็นชา “พอแล้ว!” เสียงนั้นไม่ดัง แต่แหลมและหนัก พอให้สั่นสะเทือนไปถึงกระดูกสันหลังของทุกคนในห้อง นางก้าวเข้าไปไม่ลังเล ตบฝ่ามือลงบนตัวก้อนขนเบาๆ เพียงหนึ่งครั้ง แต่กลับปลิวกระเด็นราวกับแรงฟ้าฟาด! จากนั้น นางโผเข้ากอดร่างเล็กของเป่าเป่าไว้แน่น! เด็กน้อยในอ้อมแขน ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “ท่านแม่… ข้าจะตายหรือไม่”หลินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจพวกคนสวมหน้ากากไม่ได้เอ่ยคำใดแม้แต่น้อยเพียงแค่หมายตาเป้าหมาย แล้วโถมเข้ามาโจมตีหวงจิ่วเยี่ยอย่างบ้าคลั่งหวงจิ่วเยี่ยออกมาโดยไม่ได้พกกระบี่หรืออาวุธใดๆนางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดกระบี่อ่อนที่พันอยู่ที่เอว ส่งให้เขาอย่างรวดเร็ว“ยืมไปใช้ก่อน!”หวงจิ่วเยี่ยชะงักนิดเดียว แต่เพียงพริบตาก็ยื่นมือรับกระบี่จากนางจากนั้นกลับควักกระบี่เล็กจากเอวตนออกมาเป็นกระบี่ขนาดเล็กเพียงนิ้วมือเดียว แล้วยื่นให้หลินซีแทน ไม่กล่าวคำใด พลันเหินร่างเข้าสู่สมรภูมิ “นี่มัน…” หลินซีอึ้งไปชั่วครู่ แล้วก็อดหัวเราะทั้งน้ำตาไม่ได้ นางนึกถึงเหตุการณ์ในจวน ขนม ของเล่น ของใช้ของสองพี่น้อง ที่มักจะสลับกันอยู่เสมอ ทั้งที่นางจัดวางไว้แยกชัดเจน ไม่แน่ว่า… นิสัยแบบนี้ คงถ่ายทอดมาจากเขา นางเงยหน้าขึ้น สายตามองไปยังร่างของหวงจิ่วเยี่ยในสนามรบ เขาใช้กระบี่ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วราวสายฟ้า กระบวนท่าลื่นไหลดั่งสายน้ำ แต่เฉียบขาดทุกดอกฟัน แต่ละท่วงท่า ไม่มีความลังเล ไม่มีคำว่าเมตตา ทุกครั้งที่ลงมือ มีเสียงโหยหวนติดตามมา ไม่ถึงขั้นตาย แต่ล้วนถูกฟันจนเส้นเอ็นขาด บางคนถูก
หนิงหนิงกับเป่าเป่ามีทางรอดแล้ว ไม่ต้องทรมานกับพิษร้ายที่กัดลึกถึงไขกระดูกอีกต่อไป “เทียนซานเสวี่ยเหลียน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบชัด แววตาแน่วแน่ไม่เปลี่ยน หลินซีหัวเราะทั้งน้ำตา มือหนึ่งยกขึ้นปิดปากแต่น้ำตากลับไหลไม่หยุด ยิ่งเช็ดก็ยิ่งไหลไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ เขาไม่เคยชินกับการเห็นผู้หญิงร้องไห้และไม่รู้เลยว่าควรปลอบอย่างไร “อยู่ดี ๆ จะร้องไห้ไปไยกัน” เขาพึมพำเบา ๆ ล้วงหาผ้าเช็ดหน้าภายในชุดแต่สุดท้ายกลับพบว่า ไม่ได้พกมาเลย มือที่กำลังจะเอื้อมไปเช็ดน้ำตานางกลับถูกคว้าไว้แน่น “ของจริงหรือ?” เสียงของนางเบาแทบไม่ได้ยิน แต่ในแววตากลับสั่นไหว “ใช่ ของจริงแน่นอน” เขาตอบกลับโดยไม่ลังเล นางยิ้มทั้งน้ำตา ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย “ของจริง… แล้วเจ้าจะให้ข้าจริงๆ หรือ?” เขาพยักหน้าแน่นหนัก “อืม ให้เจ้าแน่นอน” หลินซีไม่ลังเล มือเรียวกวาดกล่องผ้าไหมในมือเขามาแน่นหนา ปิดฝาลงแล้วกอดไว้แนบอกเหมือนสิ่งนี้คือชีวิตนาง น้ำหนักภายในใจที่แบกมาตลอดห้าปี ร่วงหล่นในพริบตา หญิงสาวที่เคยแข็งแกร่งไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครกลับรู้สึกอ่อนแรงจนต้องพิงพาเขา โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงความจริงว่า ชายตรงหน้าคือบิด
หลินซีแค่นเสียงเย็นชา ไม่แม้แต่จะชายตามอง หมุนกายหมายจะจากไป แต่ยังไม่ทันพ้นสองก้าว กลับรู้สึกถึงสิ่งใดบางอย่างผิดแผก จึงหยุดยืน หันกลับมามองเขาด้วยแววตาเรียบเย็น “ท่านอ๋องทรงว่างนักหรือ?” คำเรียกขานว่า ‘ท่านอ๋อง’ ทำให้คิ้วของหวงจิ่วเยี่ยขมวดเข้าหากันอย่างไม่อาจปิดบัง เขาเกลียดชื่อนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด หากจะให้เลือก เขายอมให้นางเอ่ยนามเขาออกมาเต็มปากเสียยังดี ชื่อว่า หวงจิ่วเยี่ย เดิมทีสำหรับเขาก็เป็นเพียงชื่อหนึ่ง แต่เมื่อหลุดจากเรียวปากนาง กลับคล้ายกลายเป็นบทเพลงที่ไพเราะเกินบรรยาย เมื่อเห็นเขานิ่งเฉย นางจึงก้าวเข้าไปหา แววตาเปี่ยมระแวง เขาเห็นนางยิ่งใกล้ หัวใจในอกก็เต้นแรงขึ้นทุกที เผลอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่แล้ว… แขนของเขากลับถูกรั้งไว้โดยนาง อีกมือนางล้วงอ้อมไปด้านหลังเขา ลูบคลำโดยไร้ซึ่งความเกรงใจ “เจ้าคิดทำสิ่งใด?” เขากัดฟันถามเสียงต่ำ “มิได้คิดสิ่งใด” นางตอบเรียบ “เพียงอยากดูว่า เจ้าซ่อนอะไรไว้กันแน่ ถึงต้องลอบเร้นนัก” ยามนั้น เป็นกลางคืน ลมแรง แสงจันทร์เจือจาง หญิงชายยืนใกล้ชิดแนบอกกันกลางเงามืด ท่วงท่าคล้ายบุรุษสตรีที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง เ
นางจากไปแล้ว เขาเพียงนั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้ากระดานหมากล้อม แม้ผลแพ้ชนะจะตัดสินไปแล้ว แต่ในใจกลับยังว้าวุ่นไม่รู้จบ มือหนึ่งหยิบตำราพิชัยสงครามขึ้นมาแต่แม้จะเคยอ่านจนขึ้นใจ ทว่าครั้งนีไม่มีแม้แต่ตัวอักษรเดียว ที่จะผ่านเข้าสู่จิตใจได้เลย จนกระทั่ง สายตาเขาหยุดลงตรงถ้อยคำเพียงไม่กี่บรรทัด “เมื่อศัตรูยึดชัยภูมิไว้แล้ว จักต้องโยนหินล่อหยก ลอบย้ายเส้นทาง สร้างเรื่องลวง ฉกโอกาส พลิกแผนศัตรูและสุดท้าย เคี่ยวไฟใต้หม้อให้หมดทางเดือด!” ประโยคนั้น แม้รุนแรงเกินจำเป็น แต่กลับทำให้เขานึกถึงนางอย่างห้ามใจไม่ได้ หญิงสาวผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีราวเพลิงที่ไม่มีวันดับ หากวันหนึ่ง เขาเผลอทำลายความหยิ่งในแววตาคู่นั้นลงจนหมดสิ้น บางทีนางก็คงไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออีก ที่สามารถดึงดูดใจเขาได้ หรือไม่ ก็อาจถึงคราวต้องฆ่านางเสียด้วยซ้ำ ให้สมกับสิ่งที่นางเคยทำไว้กับเขา! แต่ในเมื่อถึงตอนนี้ เขากลับไม่ได้ฆ่านาง หากแต่เก็บนางไว้ในใจเสียแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด เพียงรู้ว่าอยากคว้าเอาความรู้สึกนั้นไว้ให้แน่น อยากให้มีนางอยู่ข้างกาย แล้วค่อยๆคิดหาคำตอบในภายหลัง ทว่
“ปุ๊!”“แค่ก แค่ก แค่ก!!”หลินซีสำลักชาทันทีที่ได้ยินถ้อยคำจากปากเขาน้ำชาที่เพิ่งจิบเข้าไปแทบพ่นกระจายออกมาทั้งคำ นางรีบหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างลนลาน หน้าแดงจัดจนแทบเปลี่ยนสีนางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ชายตรงหน้าผู้ซึ่งผู้คนร่ำลือกันว่าโหดเหี้ยมอำมหิต เย็นชาดั่งน้ำแข็งพันปี ฆ่าคนไม่กะพริบตา เป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุดแห่งแคว้นเยี่ย จะเป็นบุรุษคนเดียวกันกับที่เพิ่งกล่าววาจาเช่นนั้นออกมาสุดท้าย…คำว่า “เล่าลือ” ก็เป็นเพียง “คำเล่า” เท่านั้นเองหวงจิ่วเยี่ยมองนางไอจนตัวโยน ไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแค่ขยับมือวางหมากลงอย่างสงบนิ่งดวงตาคมทอดมองกระดานตรงหน้า เห็นผลแพ้ชนะที่สิ้นสุดไปแล้วอย่างเรียบง่ายแม้เขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแต่ในแววตานั้นกลับไร้ซึ่งความโกรธหรือไม่พอใจตรงกันข้าม ยังรู้สึกยินดีที่ได้พบผู้ที่ทัดเทียมกับตนโดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นคือ “นาง”หลินซีวางหมากลงอีกเม็ด เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ตรงไปตรงมาไร้เยื่อใย“ท่านอ๋อง ท่านแพ้แล้ว ได้โปรดทำตามสัญญาเถิด”เขาพยักหน้าช้า ๆ รับคำอย่างสงบ“ข้ายอมรับว่าแพ้จริงแต่ถึงข้าจะบอกเจ้าว่า หิมะบัวเทียนซานอยู่ที่ใด…เจ้าก็ใช่ว่าจะได้มันไปง่าย ๆ ห
เพราะหนิงหนิงกับเป่าเป่าเคยพูดไว้ว่า…‘พวกเราไม่กลัวตาย… แต่เรากลัวว่า ตอนที่ต้องตายท่านแม่จะไม่อยู่ด้วย…”ไม่… เป็นไปไม่ได้!หลินซีไม่มีวันยอมให้ลูกๆต้องตาย!นางไม่มีวันปล่อยให้ลูก ๆ ของนางจากไปอย่างเดียวดายในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้ ไม่มีวัน!เด็กทั้งสองยังเล็กนัก เส้นทางชีวิตในวันหน้ายังอีกยาวไกลนางจะต้องหาวิธีไม่ว่าอย่างไรจะต้องให้พวกเขามีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตนเอง นางก็ยินยอมหวงจิ่วเยี่ยเดินนำหน้า นางเดินตามอยู่เงียบ ๆเขาก้าวไปช้า นางก็ย่างตามช้า ๆ ทั้งสองมิได้เอ่ยสิ่งใดเขาไม่หันกลับมา นางก็ไม่ทัก ไม่เรียก ไม่ใส่ใจกระทั่งถึงทางแยก ระหว่างหอพักกับโถงหน้าเขาตั้งใจจะตรงไปยังห้องของตน แต่หลินซีกลับหยุดยืนอยู่ที่เดิมไม่กี่ก้าวถัดไป เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าด้านหลังจึงชะงัก หันกลับมา สายตาเย็นเฉียบจับจ้องนาง “เหตุใดจึงไม่เดินต่อ?”หลินซียกคิ้ว ตอบเสียงเรียบ“ท่านอ๋อง ท่านเดินผิดทางแล้ว”จะพาไปห้องพักของเขารึ? จะให้ไปเล่นหมากในนั้น?เห็นทีจะไม่เหมาะมังหวงจิ่วเยี่ยนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็คล้ายเข้าใจบางสิ่งเขาส่ายหน้าเบา ๆ อย่างไร้อารมณ์ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทาง เด







