LOGINเสียงเด็กหญิงน้อยตอบอย่างนอบน้อม นางนั่งหลังตรง ใบหน้าจริงจังจนผู้พบเห็นยังอดยิ้มไม่ได้ ข้างกายมีเด็กชายอีกคนกำลังยกนิ้วนับถอยหลัง
“ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง ฟุบ!” ไม่ทันขาดคำ อาจารย์ผู้เฒ่า ก็ฟุบหลับลงบนโต๊ะจริงๆ! “อืม หนิงหนิง เจ้านี่พัฒนาขึ้นไม่น้อยเลยนะ!” เด็กชายพูดยิ้มๆ “แหงสิ! ข้าหนิงหนิงผู้ยิ่งใหญ่ไงเล่า!” เด็กหญิงสะบัดหน้าภูมิใจ มือเล็กๆ ยกขึ้นลูบมวยผมทรง “หัวซาลาเปา” อย่างอวดดี แต่พอแขนเสื้อร่นลง กลับเผยรอยแดงประหลาดราวกับสัญลักษณ์บนข้อมือ! หนิงหนิงขมวดคิ้ว รีบดึงแขนเสื้อปิดแน่น “อย่าปิดเลย ข้าเห็นหมดแล้ว!” เป่าเป่าหัวเราะพลางยกแขนเสื้อตนเองขึ้นบ้าง “ดูสิ ข้าก็มีเหมือนกัน…แถมเข้มขึ้นทุกวันด้วย!” หนิงหนิงเบิกตากว้าง ก่อนจะฟาดน้องชายไปเพี้ยะหนึ่ง “พูดมากจริง! รีบลงมือได้แล้ว!” “โอ้ย~ ใจเย็นๆเถิดท่านพี่ อาจารย์หลับปุ๋ยขนาดนี้ จะหนีไปไหนได้อีกเล่า” แม้จะบ่น แต่เป่าเป่าก็รีบวิ่งไปคว้าพู่กัน จุ่มหมึกลงเต็มปลาย แล้ว… จัดการวาดลวดลายบนหน้าของ อาจารย์อย่างไรความปรานี “ฮ่าๆๆ! งามนัก! งดงามยิ่งนัก เสียจนท่านแม่เองก็ยังจำไม่ได้!” เมื่อแกล้งจนหนำใจแล้ว สองแฝดหัวเราะคิกคัก พลางจูงมือกันออกจาก ห้องศึกษา แต่ทันทีที่ประตูเปิดออก กลับเจอกับ พ่อบ้านใหญ่ ยืนรออยู่ตรงหน้า! สายตาทั้งคู่สบกันเพียงแวบเดียว เป่าเป่ารีบพุ่งเข้าไปหาอย่างว่องไว “ท่านลุงพ่อบ้าน~ เมื่อครู่อาจารย์เล่าเรื่องสนุกนัก! ข้าอยากเล่าให้ท่านฟังด้วย!” พ่อบ้านใหญ่ได้ยินชื่อเรื่องเท่านั้น ใบหน้าก็แข็งค้างเสร็จแน่…หายนะมาเยือนแล้ว! แต่เพราะเกรงเสียมารยาท จึงทำได้เพียงพยักหน้าเบาๆเป่าเป่าก็ยืดอก สูดลมหายใจอย่างมาดมั่นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังประหนึ่งนักเล่านิทานมืออาชีพ “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีภูเขาลูกหนึ่งบนภูเขานั้นมีวัด ในวัดมีพระชราหนึ่งองค์กับแม่ชีอีกหนึ่งรูป…” ภายในห้องหนังสือเล็กของจวน ตะวันสายสาดลอดหน้าต่างเข้ามาอบอุ่น อากาศสงบเงียบจนได้ยินแม้เสียงปลายพู่กันเสียดสีกับกระดาษ พ่อบ้านชราผู้มากประสบการณ์ นั่งเงี่ยหูฟังเรื่องเล่าของคุณชายตัวน้อยตั้งแต่ต้น ก็ยังคงพยักหน้ารับด้วยมารยาทตามหน้าที่แต่พอได้ยินประโยคถัดมา…กลับสะดุ้งเฮือก! หัวใจแก่ๆ แทบหยุดเต้น เขารีบโค้งกาย ลนลานเอ่ยว่า “คุณชาย เรื่องเล่าของท่านช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก! เพียงแต่บ่าวยังมีธุระต้องไปจัดการ ขออภัยที่ไม่อาจอยู่ฟังจนจบขอรับ!” สิ้นคำ ร่างชรานั้นก็หมุนกายออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ฝีเท้าแทบสะดุดเพราะความลนลาน ไม่แม้เหลียวหลังกลับมามองสองแฝดสักนิดเดียว เสียงหัวเราะใสแจ๋วดังขึ้นทันทีที่พ่อบ้านลับตา “ฮ่าๆๆ … ท่านพ่อบ้านนี่ชักจะน่ารักขึ้นทุกวันแล้วนะ!”เป่าเป่าหัวเราะจนตัวโยน แววตาเจิดจ้าเต็มไปด้วยความซุกซน หนิงหนิงผู้เป็นพี่สาวแม้มิได้หัวเราะเสียงดัง แต่ก็ยกหน้าพยักหน้า สีหน้าบ่งบอกชัดว่าเห็นด้วยเต็มที่ “ท่านพ่อบ้านน่ารักจริงๆ แต่ก็ออกจะน่าสงสารนิดหน่อยด้วยแหละ” น้ำเสียงของนางอ่อนโยนแต่ซ่อนความเอ็นดู “ไปเถอะ! แอบออกไปเล่นกัน!” เป่าเป่าคว้ามือพี่สาวทันที ร่างเล็กกระตือรือร้นพาอีกฝ่ายมุ่งหน้าไปยังสวนด้านหลัง ความตั้งใจปรากฏชัดในดวงตากลมโต เขาคิดจะปีนกำแพงหนีออกไป หนิงหนิงชะงักเล็กน้อย แววตากังวลผุดขึ้น เอ่ยเสียงเบา “หากท่านแม่รู้เข้า…จะเป็นอย่างไรนะ” เป่าเป่าทำปากยื่น เบ้หน้า “หากท่านแม่รู้ ก็แค่โดนดุเท่านั้น! หรือว่าเจ้าไม่กล้า” “ไม่ใช่ว่าไม่กล้า!” หนิงหนิงขมวดคิ้วแน่น เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังเกินวัย “เพียงแต่…ช่วงนี้ท่านแม่ไม่ค่อยสบายใจ ข้าว่าเราไม่ควรทำให้ท่านลำบากใจเพิ่ม เข้าใจหรือไม่” เป่าเป่าพยักหน้าหงึกๆ แต่รอยยิ้มยังไม่จาง “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว! เช่นนั้นไม่หนีไปเล่นก็ได้! เปลี่ยนแผน…ไปหาของกินในครัวแทนเป็นไร” หนิงหนิงสบตาน้องชาย ก่อนคลี่ยิ้มบางๆ ยอมตามใจในที่สุด “อื้ม!” ห้องหนังสืออีกฟากของจวน บรรยากาศเงียบขรึมหนักอึ้ง ชายผู้คุกเข่าอยู่บนพื้นไม่กล้าขยับ ไม่กล้าหายใจแรงแม้แต่น้อย ยิ่งไม่กล้าแหงนหน้ามองสตรีชุดขาวที่ยืนอยู่ริมหน้าต่าง ผมยาวสยาย ดวงตาเย็นเฉียบ ร่างทั้งร่างแผ่กลิ่นอายเย็นยะเยือกจนขนลุก ครู่ใหญ่ หลินซีจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น “ซือหรงกับพวกนางอยู่ที่ใด” “เรียนคุณหนู พวกนางได้ตามไปยังเมืองหลวงแล้วขอรับ!” “เมืองหลวง” หลินซีพึมพำเบาๆ สองคำนี้ทำให้นางใจสั่น นึกถึงความหมายที่ฝังอยู่ลึกในความทรงจำ หลายปีก่อน… ที่นอกเมืองหลวง ในป่าแห่งนั้น นาง บังคับขืนใจชายผู้หนึ่ง และหลังจากนั้นก็ได้ตั้งครรภ์ ให้กำเนิดเป่าเป่ากับหนิงหนิง เดิมทีนางเพียงคิดว่าในโลกแปลกแยกนี้ อย่างน้อยก็ยังมีผู้ที่สืบสายเลือดเดียวกันกับนาง ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมทางในโชคชะตา ทว่าไม่เคยคาดคิดเลยว่า… ชายคนนั้นไม่เพียงได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ยังมีพิษฝังลึกในร่างกาย! และพิษนั้น ได้ส่งต่อถึงลูกทั้งสองที่ยังอยู่ในครรภ์ ทำให้พวกเขาเกิดมาพร้อมกับความเจ็บปวดทรมาน นางเคยเชื่อว่า เพียงได้ หิมะบัวแห่งเทือกเขาเทียนซาน มาเป็นตัวยาหลัก ก็จะถอนพิษนี้ได้ ปกป้องชีวิตลูกทั้งสองให้ปลอดภัยตลอดไป แต่ใครจะคาดคิดว่าโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นดั่งใจ “ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังเท่าไร” หลินซีเอ่ยถามเสียงเรียบ “ทัพใหญ่สามหมื่นนาย!” เพียงเพราะบัวหิมะหนึ่งดอกของเทือกเขาเทียนซาน…อีกฝ่ายกลับกล้าส่งกำลังพลนับ สามหมื่นคนบุกมาเพื่อตามหา! แต่ที่ทำให้นางขบกรามแน่นกว่านั้นคือ คนของนางที่ส่งไปล่วงหน้าเพื่อสืบข่าว กลับ ไม่มีแม้แต่คนเดียว ที่สามารถจับเบาะแสใดๆ ได้! แม้แต่เงาก็ไม่มี! เรื่องนี้ บ่งบอกเพียงสิ่งเดียวพวกมันซ่อนตัวได้ลึกอย่างน่ากลัว!หลินสูดลมหายใจเข้าลึก ลึกเสียจนเหมือนจะกลืนโทสะทั้งหมดลงในอก จากนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงต่ำและเยือกเย็น “พวกเรามีกี่คน” เสียงตอบมาจากชายผู้คุกเข่าอยู่ตรงหน้า นิ่งแต่หนักแน่น “สามพันขอรับ” สามพัน… ปะทะสามหมื่น… ความต่างนี้มิใช่เพียงแค่จำนวน แต่คือหายนะที่มองเห็นชัดอยู่เบื้องหน้า “แล้วเราสูญเสียไปกี่คน” ขณะเอ่ยประโยคนี้ มือเรียวข้างหนึ่งของหลินซี กำแน่นจนเส้นเลือดนูนขึ้น นิ้วทั้งห้าสั่นระริกด้วยความอดกลั้นอย่างสุดกำลัง หากมิใช่เพราะช่วงนี้หนิงหนิงกับเป่าเป่าอาการพิษกำเริบ… หากมิใช่เพราะลูกทั้งสองของนางอยู่ในช่วงเวลาอันเปราะบางนี้ ต่อให้ต้องข้ามภูเขา ฝ่าทะเลเพลิงนางก็จะออกศึกด้วยตนเอง! จะไม่มีวันยอมให้ใครต้องตายแทนนาง! เด็ดขาด!หลินซีอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจพวกคนสวมหน้ากากไม่ได้เอ่ยคำใดแม้แต่น้อยเพียงแค่หมายตาเป้าหมาย แล้วโถมเข้ามาโจมตีหวงจิ่วเยี่ยอย่างบ้าคลั่งหวงจิ่วเยี่ยออกมาโดยไม่ได้พกกระบี่หรืออาวุธใดๆนางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปลดกระบี่อ่อนที่พันอยู่ที่เอว ส่งให้เขาอย่างรวดเร็ว“ยืมไปใช้ก่อน!”หวงจิ่วเยี่ยชะงักนิดเดียว แต่เพียงพริบตาก็ยื่นมือรับกระบี่จากนางจากนั้นกลับควักกระบี่เล็กจากเอวตนออกมาเป็นกระบี่ขนาดเล็กเพียงนิ้วมือเดียว แล้วยื่นให้หลินซีแทน ไม่กล่าวคำใด พลันเหินร่างเข้าสู่สมรภูมิ “นี่มัน…” หลินซีอึ้งไปชั่วครู่ แล้วก็อดหัวเราะทั้งน้ำตาไม่ได้ นางนึกถึงเหตุการณ์ในจวน ขนม ของเล่น ของใช้ของสองพี่น้อง ที่มักจะสลับกันอยู่เสมอ ทั้งที่นางจัดวางไว้แยกชัดเจน ไม่แน่ว่า… นิสัยแบบนี้ คงถ่ายทอดมาจากเขา นางเงยหน้าขึ้น สายตามองไปยังร่างของหวงจิ่วเยี่ยในสนามรบ เขาใช้กระบี่ได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วราวสายฟ้า กระบวนท่าลื่นไหลดั่งสายน้ำ แต่เฉียบขาดทุกดอกฟัน แต่ละท่วงท่า ไม่มีความลังเล ไม่มีคำว่าเมตตา ทุกครั้งที่ลงมือ มีเสียงโหยหวนติดตามมา ไม่ถึงขั้นตาย แต่ล้วนถูกฟันจนเส้นเอ็นขาด บางคนถูก
หนิงหนิงกับเป่าเป่ามีทางรอดแล้ว ไม่ต้องทรมานกับพิษร้ายที่กัดลึกถึงไขกระดูกอีกต่อไป “เทียนซานเสวี่ยเหลียน” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบชัด แววตาแน่วแน่ไม่เปลี่ยน หลินซีหัวเราะทั้งน้ำตา มือหนึ่งยกขึ้นปิดปากแต่น้ำตากลับไหลไม่หยุด ยิ่งเช็ดก็ยิ่งไหลไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงง่าย ๆ เขาไม่เคยชินกับการเห็นผู้หญิงร้องไห้และไม่รู้เลยว่าควรปลอบอย่างไร “อยู่ดี ๆ จะร้องไห้ไปไยกัน” เขาพึมพำเบา ๆ ล้วงหาผ้าเช็ดหน้าภายในชุดแต่สุดท้ายกลับพบว่า ไม่ได้พกมาเลย มือที่กำลังจะเอื้อมไปเช็ดน้ำตานางกลับถูกคว้าไว้แน่น “ของจริงหรือ?” เสียงของนางเบาแทบไม่ได้ยิน แต่ในแววตากลับสั่นไหว “ใช่ ของจริงแน่นอน” เขาตอบกลับโดยไม่ลังเล นางยิ้มทั้งน้ำตา ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย “ของจริง… แล้วเจ้าจะให้ข้าจริงๆ หรือ?” เขาพยักหน้าแน่นหนัก “อืม ให้เจ้าแน่นอน” หลินซีไม่ลังเล มือเรียวกวาดกล่องผ้าไหมในมือเขามาแน่นหนา ปิดฝาลงแล้วกอดไว้แนบอกเหมือนสิ่งนี้คือชีวิตนาง น้ำหนักภายในใจที่แบกมาตลอดห้าปี ร่วงหล่นในพริบตา หญิงสาวที่เคยแข็งแกร่งไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครกลับรู้สึกอ่อนแรงจนต้องพิงพาเขา โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงความจริงว่า ชายตรงหน้าคือบิด
หลินซีแค่นเสียงเย็นชา ไม่แม้แต่จะชายตามอง หมุนกายหมายจะจากไป แต่ยังไม่ทันพ้นสองก้าว กลับรู้สึกถึงสิ่งใดบางอย่างผิดแผก จึงหยุดยืน หันกลับมามองเขาด้วยแววตาเรียบเย็น “ท่านอ๋องทรงว่างนักหรือ?” คำเรียกขานว่า ‘ท่านอ๋อง’ ทำให้คิ้วของหวงจิ่วเยี่ยขมวดเข้าหากันอย่างไม่อาจปิดบัง เขาเกลียดชื่อนี้ยิ่งกว่าสิ่งใด หากจะให้เลือก เขายอมให้นางเอ่ยนามเขาออกมาเต็มปากเสียยังดี ชื่อว่า หวงจิ่วเยี่ย เดิมทีสำหรับเขาก็เป็นเพียงชื่อหนึ่ง แต่เมื่อหลุดจากเรียวปากนาง กลับคล้ายกลายเป็นบทเพลงที่ไพเราะเกินบรรยาย เมื่อเห็นเขานิ่งเฉย นางจึงก้าวเข้าไปหา แววตาเปี่ยมระแวง เขาเห็นนางยิ่งใกล้ หัวใจในอกก็เต้นแรงขึ้นทุกที เผลอก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว แต่แล้ว… แขนของเขากลับถูกรั้งไว้โดยนาง อีกมือนางล้วงอ้อมไปด้านหลังเขา ลูบคลำโดยไร้ซึ่งความเกรงใจ “เจ้าคิดทำสิ่งใด?” เขากัดฟันถามเสียงต่ำ “มิได้คิดสิ่งใด” นางตอบเรียบ “เพียงอยากดูว่า เจ้าซ่อนอะไรไว้กันแน่ ถึงต้องลอบเร้นนัก” ยามนั้น เป็นกลางคืน ลมแรง แสงจันทร์เจือจาง หญิงชายยืนใกล้ชิดแนบอกกันกลางเงามืด ท่วงท่าคล้ายบุรุษสตรีที่มีสัมพันธ์ลึกซึ้ง เ
นางจากไปแล้ว เขาเพียงนั่งนิ่งอยู่เบื้องหน้ากระดานหมากล้อม แม้ผลแพ้ชนะจะตัดสินไปแล้ว แต่ในใจกลับยังว้าวุ่นไม่รู้จบ มือหนึ่งหยิบตำราพิชัยสงครามขึ้นมาแต่แม้จะเคยอ่านจนขึ้นใจ ทว่าครั้งนีไม่มีแม้แต่ตัวอักษรเดียว ที่จะผ่านเข้าสู่จิตใจได้เลย จนกระทั่ง สายตาเขาหยุดลงตรงถ้อยคำเพียงไม่กี่บรรทัด “เมื่อศัตรูยึดชัยภูมิไว้แล้ว จักต้องโยนหินล่อหยก ลอบย้ายเส้นทาง สร้างเรื่องลวง ฉกโอกาส พลิกแผนศัตรูและสุดท้าย เคี่ยวไฟใต้หม้อให้หมดทางเดือด!” ประโยคนั้น แม้รุนแรงเกินจำเป็น แต่กลับทำให้เขานึกถึงนางอย่างห้ามใจไม่ได้ หญิงสาวผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีราวเพลิงที่ไม่มีวันดับ หากวันหนึ่ง เขาเผลอทำลายความหยิ่งในแววตาคู่นั้นลงจนหมดสิ้น บางทีนางก็คงไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออีก ที่สามารถดึงดูดใจเขาได้ หรือไม่ ก็อาจถึงคราวต้องฆ่านางเสียด้วยซ้ำ ให้สมกับสิ่งที่นางเคยทำไว้กับเขา! แต่ในเมื่อถึงตอนนี้ เขากลับไม่ได้ฆ่านาง หากแต่เก็บนางไว้ในใจเสียแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันเริ่มต้นขึ้นเมื่อใด เพียงรู้ว่าอยากคว้าเอาความรู้สึกนั้นไว้ให้แน่น อยากให้มีนางอยู่ข้างกาย แล้วค่อยๆคิดหาคำตอบในภายหลัง ทว่
“ปุ๊!”“แค่ก แค่ก แค่ก!!”หลินซีสำลักชาทันทีที่ได้ยินถ้อยคำจากปากเขาน้ำชาที่เพิ่งจิบเข้าไปแทบพ่นกระจายออกมาทั้งคำ นางรีบหันหน้าหนีไปอีกทางอย่างลนลาน หน้าแดงจัดจนแทบเปลี่ยนสีนางไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ชายตรงหน้าผู้ซึ่งผู้คนร่ำลือกันว่าโหดเหี้ยมอำมหิต เย็นชาดั่งน้ำแข็งพันปี ฆ่าคนไม่กะพริบตา เป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุดแห่งแคว้นเยี่ย จะเป็นบุรุษคนเดียวกันกับที่เพิ่งกล่าววาจาเช่นนั้นออกมาสุดท้าย…คำว่า “เล่าลือ” ก็เป็นเพียง “คำเล่า” เท่านั้นเองหวงจิ่วเยี่ยมองนางไอจนตัวโยน ไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแค่ขยับมือวางหมากลงอย่างสงบนิ่งดวงตาคมทอดมองกระดานตรงหน้า เห็นผลแพ้ชนะที่สิ้นสุดไปแล้วอย่างเรียบง่ายแม้เขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแต่ในแววตานั้นกลับไร้ซึ่งความโกรธหรือไม่พอใจตรงกันข้าม ยังรู้สึกยินดีที่ได้พบผู้ที่ทัดเทียมกับตนโดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าคนผู้นั้นคือ “นาง”หลินซีวางหมากลงอีกเม็ด เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น ตรงไปตรงมาไร้เยื่อใย“ท่านอ๋อง ท่านแพ้แล้ว ได้โปรดทำตามสัญญาเถิด”เขาพยักหน้าช้า ๆ รับคำอย่างสงบ“ข้ายอมรับว่าแพ้จริงแต่ถึงข้าจะบอกเจ้าว่า หิมะบัวเทียนซานอยู่ที่ใด…เจ้าก็ใช่ว่าจะได้มันไปง่าย ๆ ห
เพราะหนิงหนิงกับเป่าเป่าเคยพูดไว้ว่า…‘พวกเราไม่กลัวตาย… แต่เรากลัวว่า ตอนที่ต้องตายท่านแม่จะไม่อยู่ด้วย…”ไม่… เป็นไปไม่ได้!หลินซีไม่มีวันยอมให้ลูกๆต้องตาย!นางไม่มีวันปล่อยให้ลูก ๆ ของนางจากไปอย่างเดียวดายในโลกที่โหดร้ายเช่นนี้ ไม่มีวัน!เด็กทั้งสองยังเล็กนัก เส้นทางชีวิตในวันหน้ายังอีกยาวไกลนางจะต้องหาวิธีไม่ว่าอย่างไรจะต้องให้พวกเขามีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตของตนเอง นางก็ยินยอมหวงจิ่วเยี่ยเดินนำหน้า นางเดินตามอยู่เงียบ ๆเขาก้าวไปช้า นางก็ย่างตามช้า ๆ ทั้งสองมิได้เอ่ยสิ่งใดเขาไม่หันกลับมา นางก็ไม่ทัก ไม่เรียก ไม่ใส่ใจกระทั่งถึงทางแยก ระหว่างหอพักกับโถงหน้าเขาตั้งใจจะตรงไปยังห้องของตน แต่หลินซีกลับหยุดยืนอยู่ที่เดิมไม่กี่ก้าวถัดไป เขารู้สึกถึงความว่างเปล่าด้านหลังจึงชะงัก หันกลับมา สายตาเย็นเฉียบจับจ้องนาง “เหตุใดจึงไม่เดินต่อ?”หลินซียกคิ้ว ตอบเสียงเรียบ“ท่านอ๋อง ท่านเดินผิดทางแล้ว”จะพาไปห้องพักของเขารึ? จะให้ไปเล่นหมากในนั้น?เห็นทีจะไม่เหมาะมังหวงจิ่วเยี่ยนิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นก็คล้ายเข้าใจบางสิ่งเขาส่ายหน้าเบา ๆ อย่างไร้อารมณ์ก่อนจะเปลี่ยนเส้นทาง เด







