คำถามนั้น ราวกับมีเข็มพันเล่มทิ่มแทงเข้าหัวใจของนาง แต่ริมฝีปากของนางกลับยังคงมั่นคง
“จะไม่ตาย!” เสียงของนางดุจคำสั่งสวรรค์ “มีแม่อยู่…เป่าเป่าจะไม่ตาย! พี่สาวของเจ้าก็จะไม่ตาย!แม่เคยสัญญาไว้แล้วว่า จะถอนพิษให้พวกเจ้าให้ได้! จากนั้นเราจะเดินทางไปด้วยกัน…ไปให้ทั่วใต้หล้า!” เด็กน้อยได้ยินดังนั้น ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยยิ้มอ่อนๆ ที่ฝืนเอาไว้ทั้งที่ไร้เรี่ยวแรง “ท่านแม่…เป่าเป่าไม่เจ็บเลย…ไม่เจ็บแม้แต่น้อย…” เสียงนั่นเบายิ่งกว่าเสียงลมในยามราตรี “ท่านไปกอดพี่สาวเถิด…พี่เป็นผู้หญิง…ผู้หญิง…กลัวเจ็บมากกว่าข้า…” จริงอยู่ เขาพูดว่า “ไม่เจ็บ” แต่ร่างเล็กนั้นกำลังปวดร้าวจนขยับแทบไม่ได้ เนื้อตัวบวมชาเหมือนถูกเข็มพันเล่มทิ่มแทง แม้แต่แขนขา…ก็เหมือนจะไม่ใช่ของตนเองแล้ว! โดยปกติ เป่าเป่าไม่เคยเรียกหนิงหนิงว่า “พี่สาว” เลยสักครั้งนอกจากช่วงเวลาที่พิษกำเริบเท่านั้น… และแม้แต่หัวใจที่แข็งดั่งเหล็กกล้าของหลินซีเอง ก็ยังต้องสั่นไหวในวินาทีนั้น… นางก้มลงกระซิบแผ่วเบา “แม่จะช่วยเจ้าเปลี่ยนเสื้อก่อน แล้วจะอุ้มเจ้าไปแช่ในโอ่งยา จากนั้นจะกลับมาดูแลพี่สาวของเจ้า…ดีหรือไม่” เสียงของเด็กน้อยค่อยๆ เล็ดลอดออกมาจากลำคอแห้งผาก “ดีขอรับ…เป่าเป่าเชื่อฟังท่านแม่…” หลินซีช้อนร่างของเป่าเป่าเข้ามาแนบอก ปลายนิ้วทั้งห้าสั่นเทา แม้จะเย็นจนขาวซีด ราวถูกลมหนาวกัดกร่อน แต่กลับยังคงกุมเสื้อผ้าบางๆ ของเด็กน้อยไว้แน่น นางถอดเสื้อออกจากร่างนั้นด้วยมือที่ไร้ความมั่นคง ไม่ใช่เพราะอากาศหนาว… หากเพราะใจของมารดา ยากเกินจะหยัดยืนในยามต้องลงมือกับลูกตนเอง ร่างน้อยในอ้อมแขนเปลือยเปล่าราวแก้วน้ำค้าง เนื้อขาวผ่องแต่ไร้ชีวิต เย็นชืดราวซากน้ำแข็งที่มิอาจคืนอบอุ่น ฝีเท้าของหลินซีหนักอึ้งทุกย่างก้าว ประหนึ่งแบกโชคชะตาของทั้งแผ่นดินเดินออกจากเรือน ตรงเข้าสู่ลานด้านนอก ที่ควันพิษของยาเผาแรงยังคงลอยฟุ้งทั่วอากาศ กลางลาน โอ่งยาขนาดยักษ์ตั้งอยู่เหนือเปลวไฟโชนร้อน เสียงเดือดของน้ำยาในนั้น…ฟังแล้วคล้ายเสียงกระซิบของยมทูต สาวใช้สี่นางล้อมรอบโอ่งแต่ละทิศ ไม้คนยาในมือเคลื่อนไหวไม่หยุด ท่าทีคล่องแคล่ว จังหวะนิ่งราวฝึกมาแล้วนับพันครั้ง กลิ่นยาเข้มข้นสีดำข้นคลั่ก พวยควันฟุ้งขึ้นปะปนกับกลิ่นฟืนและเปลวเพลิง เหมือนเป็นกลิ่นอันถูกส่งมาจากนรกสำหรับกลืนกินเลือดเนื้อคน หนึ่งในสาวใช้ยื่นมือเปล่าลงแตะผิวน้ำยา “ฉ่า…” เสียงเงียบ แต่แหลมลึก เสียดแทงเข้าโสต ฝ่ามือของนางพองขึ้นแทบในพริบตา ผิวหนังเปลี่ยนสี ปุดบวมเป็นแผลน้ำร้อนลวกทันทีที่ดึงขึ้น แต่สีหน้าของนางกลับยังนิ่ง ไม่แม้แต่จะครางนางเพียงเอ่ยเสียงเรียบ “คุณหนูเจ้าขา…อุณหภูมิพอเหมาะแล้วเจ้าค่ะ” หลินซีเพียงพยักหน้า ไร้คำ ไร้น้ำเสียง ราวกับสูญเสียการพูดไปชั่วขณะ นางก้มมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ร่างเล็กนั้นแน่นิ่ง ไร้สีเลือด ริมฝีปากคล้ำซีด เย็นชืดราวกับถูกชะล้างด้วยหยดน้ำค้างยามฤดูหิมะ …นี่คือเลือดเนื้อของนาง แต่ในยามนี้ นางกลับต้องเป็นผู้ผลักร่างนั้น…ลงสู่นรกด้วยมือของตนเอง ฟันที่ขบแน่นจนได้ยินเสียงกรอด น้ำตาที่ค้างคาแต่ไม่อาจไหลใจของแม่ที่แทบขาด หลินซีตัดใจ! และในชั่วขณะนั้นเอง นางเหวี่ยงร่างเล็กเข้าสู่โอ่งยาอย่างรวดเร็ว “อ๊า—!!” เสียงกรีดร้องของเด็กชายดังลั่น สะท้อนก้องไปทั่วฟ้า เสียงนั้นหาใช่เสียงร้องธรรมดา แต่เป็นเสียงของน้ำแข็งในร่าง ที่ปะทะกับ เปลวเพลิงของยาเดือด เป็นเสียงของเส้นประสาทที่ถูกแผดเผาจากภายใน เสียงของชีวิตที่ดิ้นรนเฮือกสุดท้าย เป่าเป่าแทบจะดิ้นพล่าน หากแต่เขาเพียงเบือนหน้าขึ้นแล้วสบตาเข้ากับหยดน้ำตาของแม่ ที่ไหลลงมาเงียบๆ ดวงตาเล็กสั่นไหว ริมฝีปากที่ควรจะแผดร้อง…กลับขบแน่น เลือดไหลออกจากมุมปาก เพราะเขากัดมันไว้ด้วยทุกหยดแรงใจ เขาจะไม่ตาย… หากเขาตาย แล้วใครจะอยู่กับท่านแม่ ใครจะประคองพี่สาว ใครจะยืนข้างท่านแม่ ในวันที่ฟ้าดินไม่เหลือผู้ใด หลินซีเบือนหน้าหนี ไม่เอ่ยถ้อยคำ ไม่แม้แต่หายใจ นางหมุนตัวกลับเข้าเรือน ปลดอาภรณ์ของหนิงหนิงออกช้าๆจากนั้นโอบร่างบุตรสาวเอาไว้แน่น แล้วพาเดินออกมา โอ่งยาใบที่สองรออยู่ตรงหน้า กลิ่นควันยังคงแผดเผาแต่แล้ว… มือของหนิงหนิงกลับยกขึ้น ยึดข้อมือของหลินซีไว้แน่น “หนิงเอ๋อร์…” นางเอ่ยเรียกเสียงพร่า บุตรสาวเงยหน้าขึ้น ดวงตาใสแจ่ม…แต่เปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณที่ไม่ยอมแพ้ “ท่านแม่…ข้าจะไม่ตาย น้องชายของข้าก็จะไม่ตาย พวกเราจะมีชีวิตอยู่… เพื่ออยู่เคียงข้างท่าน เพื่อปกป้องท่านแม้ทั่วหล้าจะมีเพียงเรา!” คำพูดที่หนักแน่นนั้น เสียดแทงเข้ากลางอกของหลินซีมารดาผู้ผ่านความตายมานับครั้งไม่ถ้วน กลับไม่อาจทนฟังถ้อยคำเช่นนี้ได้โดยไม่สะท้านใจ นางหลับตาแน่น น้ำตาไหลริน เสียงที่เปล่งออกมาสะอื้นปนแข็งกร้าว “หนิงเอ๋อร์ เจ้าจะต้องอยู่รอด! เป่าเป่าก็เช่นกัน แม่ขอสาบาน! แม่จะไปนำบัวหิมะกลับมา! ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตทั้งชีวิตของแม่…ก็จะเอามาให้ได้!” หนิงหนิงพยักหน้า แน่วแน่ มิไหวเอน “ข้า…เชื่อท่านแม่” และในอีกมุมหนึ่ง กลางโอ่งยาที่เป่าเป่ากำลังหมดสติ ริมฝีปากเล็กขยับขึ้นเพียงน้อย เสียงไม่มี ลมหายใจไร้เงา แต่ถ้อยคำสุดท้ายที่ปากเอื้อนเอ่ยออกมา… “ข้าเอง.. ก็เชื่อท่านแม่… เช่นกัน…”“ต่อให้เทียนซานเสวี่ยเหลียนไม่ตกอยู่ในมือพวกเราตั้งแต่แรก หากเมื่อใดมันเผยโฉม เราก็ต้อง แย่งมาให้ได้…ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม!” เสียงของนางราวสายลมหนาวในหุบเหว ฉูเหวินทรุดกายคุกเข่าทันที “ขอรับ!” ศึกหญิงงามชิงเด่น ข่าวลือเรื่องที่อ๋องผู้สำเร็จราชการจะจัดการคัดเลือกหญิงงาม เพียงแพร่สะพัดออกไป ก็สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางผู้ทรงอำนาจและตระกูลมั่งคั่งต่างรีบส่งบุตรีที่งดงามที่สุดของตนออกมาอวดโฉม บ้างว่าจ้างครูผู้ชำนาญมาสอนศิลปะสารพัดแขนง บ้างสั่งตัดชุดงามล้ำจากหอจิ่นซ่านเก๋อ ยิ่งใครปรารถนาผลลัพธ์มากเท่าไร ยิ่งทุ่มเทมากเท่านั้น โชคดีที่หอจิ่นซ่านเก๋อมีหญิงปักผ้าฝีมือเอกมากพอ แม้จะสั่งทำเฉพาะ ก็ยังสามารถส่งมอบได้ภายในสามวัน แน่นอนว่า สิ่งแรกที่ถูกนำมานับถือคือเงินทอง หากเจ้ามีเงิน เจ้าก็เป็นได้ถึงขั้นบงการ หากขัดสนแต่ยังอยากรักษาหน้า ก็เลือกซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปแขวนอยู่ตรงนั้น จ่ายเงินแล้วนำกลับไปอวดอ้างก็ยังได้อยู่ดี เพราะเสื้อผ้าของหอจิ่นซ่านเก๋อขึ้นชื่อมาแต่เดิมว่า หรูหรา งดงาม และสูงศักดิ์ “คุณหนู ฮะฮะฮะ ช่วงนี้รายได้งามนัก” ฉูเหวินถือสมุดบัญชีเดินยิ้มเข้ามาใ
คืนนั้น… คงทำให้ตาเฒ่าชราผู้นั้น ตกใจไม่น้อยเลยกระมัง ไม่อย่างนั้น ตลอดหลายวันที่ผ่านมาผู้คนมากมายยังแวะเวียนมาดูอาการนาง ทว่าเพียงเขาผู้เดียวที่ไม่เคยปรากฏตัว“ตาเฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง?” ซือหรงชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบเสียงเรียบ “ท่านอาวุโสยังแข็งแรงดีเจ้าค่ะ!” หลินซีส่ายหน้าเบา ๆ แววตาเศร้าลึกจนยากจะเอ่ย “ข้าไม่ได้หมายถึงยามนี้ แต่หมายถึงคืนนั้น หลังจากเขาส่งข้ากลับมาแล้ว… เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” ซือหรงเม้มปากแน่น หันมองรอบกายอย่างระวัง พอแน่ใจว่าไม่มีผู้ใดอยู่ใกล้ จึงโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูอย่างแผ่วเบา “คืนนั้น หลังจากผู้อาวุโสอุ้มคุณหนูกลับถึงเรือน เขาก็หมดสติลงทันทีเจ้าค่ะ ” คำพูดแผ่วๆ เหล่านั้น กลับดังกึกก้องในห้วงจิตของหลินซี หัวใจพลันบีบรัดแน่น ราวถูกมือใครบีบไว้เต็มแรง “ข้าคิดว่า… เทียนซานเสวี่ยเหลียน หาได้ง่ายดายนัก เหมือนของที่หยิบออกมาจากกระเป๋า แต่เปล่าเลย…” เสียงนางสั่นเครือ มือเรียวค่อย ๆ ยกขึ้นปิดริมฝีปากแน่น กลั้นเสียงสะอื้นที่แทบจะทะลักออกมา สูดลมหายใจเข้าลึกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหมด… คือความประมาทของนางเอง นางควรระลึกไว้ให้มั่น ว่า… หวงจิ่วเยี่ยคือผู้ใด เขาไม่ใช่ชายคนหน
เด็กน้อยสองคน วัยเพียงห้าขวบเท่านั้น กลับกอดกันแน่นราวกับโลกทั้งใบพังทลาย และมีเพียงอ้อมกอดนี้เท่านั้น… ที่ยังหลงเหลือ หลายวันที่ผ่านมา พวกเขาไม่เคยร้อง ไม่เคยเอะอะ แม้กระทั่งคำพูดก็ยังต้องเอื้อนเอ่ยเบาที่สุด เพราะกลัวจะรบกวนผู้เป็นมารดาที่นอนหลับไม่รู้สึกตัว แม้จะยังเล็กนัก แต่กลับเข้าใจทุกอย่างเข้าใจมากเกินกว่าที่เด็กวัยนี้ควรจะเข้าใจ และเพราะเข้าใจ พวกเขาจึงเลือกที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจ ในความเงียบที่กดทับ บนใบหน้าที่ฝืนแววกล้า ไม่มีใครรู้เลยว่าในใจของเด็กน้อยสองคนนี้ เต็มไปด้วยความกลัว ความว้าเหว่ และความหวังเพียงริบหรี่ที่เกาะกุมอยู่ ซือหรงยืนเงียบอยู่หน้าประตูห้อง สายตาแน่วนิ่งไปยังภาพบนเตียง เด็กน้อยสองคนกอดกันแน่นจนแทบเป็นเนื้อเดียว ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะหันหน้าหนีเงียบๆ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงอาบแก้ม ไร้เสียงสะอื้น แต่กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจนแทบกลืนไม่ลง ในห้วงขณะนั้นเอง มือของหลินซีก็ขยับไหวเพียงเล็กน้อย เปลือกตาคู่งามค่อยๆ เปิดขึ้นช้าๆ อย่างยากเย็นและภาพแรกที่แลเข้ามาในสายตา คือภาพของเป่าเป่าและหนิงหนิง เด็กน้อยทั้งสองที่กอดกันแน่น เฝ้านา
เพราะเขารู้ดี หวงจิ่วเยี่ยไม่เคยเป็นเช่นนี้ เขาไม่ใช่คนชอบดื่มสุรา และต่อให้ดื่ม… ก็ไม่เคยเมา แต่ยามนี้… เขากลับดื่มราวกับไม่ต้องการตื่นขึ้นมาอีกเลย เหมือนคนที่ไม่เหลืออะไรให้หวงแหนในโลกนี้อีกแล้ว “ท่านอ๋อง?” จิ่นอู่เอ่ยขึ้นเบา ๆ พักใหญ่ กว่าหวงจิ่วเยี่ยจะค่อย ๆ ลืมตา เขาหันมามองจิ่นอู่ตรง ๆ สายตานิ่งราวกับคนสิ้นใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “จิ่นอู่… เจ้ารู้ไหม ที่จริง ข้ามีความลับข้อหนึ่ง ไม่เคยบอกใครมาก่อนเลยจริงๆ” จิ่นอู่ขมวดคิ้วทันที “ความลับ? ท่านน่ะ มีมากเกินพอแล้ว ข้าไม่อยากรู้ ” แต่หวงจิ่วเยี่ยกลับจับไหล่เขาไว้แน่น มือที่ยังอุ่นด้วยสุรา แต่กลับสั่นอย่างรุนแรง “ไม่… เจ้าต้องฟัง! จิ่นอู่… ข้าขอแค่ครั้งเดียว เจ้าต้องฟังให้จบ!” จิ่นอู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจยาว “ก็ได้ ว่ามา ข้าฟังอยู่” เงียบไปชั่วอึดใจ แล้วเสียงนั้นก็ดังขึ้นเบาๆ “จริง ๆ แล้ว ข้า...”หวงจิ่วเยี่ยกระดกสุราลงคอหลายอึกติดกัน สุราร้อนลวกราวเปลวเพลิง ไหลผ่านลำคอจนแทบหายใจไม่ออก ในห้วงขณะหนึ่ง เขากลับรู้สึก อยากกลับไป… อยากกลับไปเสียเถอะ… เสียงไอแห้งๆ ดังขึ้นถี่รัว ก่อนที่ร่างสูงจะโซเซเดินออกจากลานอย่างเ
แต่กลับ… ไม่อาจสลัดหลุดและในอ้อมแขนนั้น ร่างของหญิงสาวผู้แกร่งกล้า ค่อย ๆ เย็นเยียบลงทุกที เลือดสีเข้มไหลรินจากมุมปาก หยดลงบนอกเสื้อของเขาเป็นดวง ๆ “เจ้าหนู…?” เสียงเรียกนั้นเบาหวิว ราวตาเฒ่ากำลังร้องเรียกวิญญาณใกล้พราก หลินซีฝืนลืมตา ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด “ข้าไม่เป็นไร… พาข้ากลับไป ข้า… ข้าจะไปหาหนิงหนิงกับเป่าเป่า ข้ายัง… ยังต้องไปหา…ลูก…ของข้า…” เสียงของนางแผ่วจนแทบไร้ลมหายใจ แต่ทุกคำกลับหนักแน่นดุจภูผา ชายชรากัดฟันแน่น น้ำเสียงพลันแปรเป็นเกรี้ยวกราด “ไม่! คนดีมักอายุสั้น แต่คนอย่างเจ้า ไม่ใช่แน่นอน! เจ้ายังต้องอยู่ต่อไป!” เขาแหงนหน้าสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหยุดวิ่ง หันกลับทันควัน แล้วพาร่างในอ้อมแขนพุ่งตรงไปยัง “สาขาหลักของสำนักกุ้ยเซี่ย” ที่ตั้งอยู่กลางเมือง! หากหวงจิ่วเยี่ยมันจะตาม ก็ให้มันตามมา! หากมันกล้าขวาง ข้าจะฆ่ามันเสียด้วยมือของข้าเอง!และหวงจิ่วเยี่ยก็ไล่ตามไม่ลดละ สีหน้าของเขาแข็งกร้าว ดวงตาแดงฉาน มือแน่นดั่งกรงเหล็ก เขาไม่ได้ไล่เพื่อฆ่า เขาแค่จะชิงตัวนางกลับคืนมา แต่แล้ว… เมื่อแสงจันทร์ทอดตัวลงกระทบใบหน้าหญิงสาวในอ้อมแขนของกู่เซี่ย เขาก็ต้องชะงัก ใบหน้าท
เขาไม่เคยต้องการให้นางเจ็บ ไม่เคยเลย… เขาปล่อยกระบี่ลง ปล่อยให้นางแทงเข้ามาโดยไม่หลบเลี่ยง ขณะเดียวกัน หวงจิ่วเยี่ยรวบรวมพลังไว้ที่มือข้างหนึ่งก่อนปลายกระบี่ของหลินซีจะสัมผัสถึงอก เขากลับยื่นมือออกอย่างรวดเร็ว ใช้เคล็ด “ดูดพลัง” ดูดลมปราณทั้งหมดของนางกลับเข้าสู่ร่างตน! “เคล็ดดูดพลัง! เจ้าหนู ระวัง!” เสียงคำรามของชายชรากู่เซี่ยดังลั่นราวฟ้าผ่า เขากระโจนเข้าหานางทันที ทว่า มังกรหนึ่งกับองครักษ์เงาสองคน พุ่งมาขวางไว้ในพริบตา! เสียงกระบี่ปะทะดังแหลมสนั่นกลางอากาศ ประกายโลหิตกระเซ็นวาบ แต่กู่เซี่ยไม่มีทางฝ่าเข้าไปได้ หลินซีเบิกตาโพลง จ้องหน้าเขาด้วยความไม่อยากเชื่อขณะพลังภายในร่างไหลออกอย่างไม่อาจควบคุม มือเรียวไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะจับกระบี่ไว้ให้มั่น ร่างทั้งร่างอ่อนแรงลงเรื่อย ๆ สุดท้าย… กระบี่ร่วงหล่นจากมือ และร่างของนางก็ตกจากอากาศอย่างหมดเรี่ยวแรง แต่หลินซี… ยังไม่ยอมแพ้! ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร นางจะตายไม่ได้! ภาพในใจแวบขึ้นมา เสียงหัวเราะใสๆของหนิงหนิงรอยยิ้มอบอุ่นของเป่าเป่า หัวใจที่แทบหยุดเต้นของนางกลับเต้นแรงอีกครั้ง นางยังมีลูก นางต้องอยู่ต่อ! ทันใดนั้น ร่างที่ใกล้