ตอนที่ 7
เหตุอลวนที่เกิดขึ้นแล้ว
“เถ้าแก่ตงเปิดประตูให้ข้าน้อยหน่อยเจ้าค่ะ คุณชายของข้าน้อยลืมของบางสิ่งเอาไว้ด้านใน”
เป็นหานอี้ที่เป็นผู้ยืนทุบประตูส่งเสียงเรียกคน โดยที่มีหลิวซู่ซู่ยืนรอท่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลเท่าไหร่นัก
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ บ่าวเคาะประตูนานแล้ว มิได้ยินเสียงผู้ใดขานตอบกลับมาเลยเจ้าค่ะ มิแน่ว่าเถ้าแก่ตงกับเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายอาจจะแยกย้ายกันกลับบ้านไปแล้วเจ้าคะ” หานอี้เอ่ยบอก นางยืนเคาะประตูอยู่ก็หลายคราแล้วทั้งร้องเรียกขนาดนี้หากยังมิมีผู้ใดออกมาย่อมแปลว่ามิมีคนอยู่ด้านในแล้วก็เท่านั้น
เห็นทีนางคงจะต้องให้ฮูหยินน้อยกลับจวนสกุลฉู่โดยไร้พัดที่ฮูหยินใหญ่ให้มาเสียแล้ว นางได้แต่ภวนาในใจให้ฮูหยินใหญ่ไม่ถามถึงพัดเล่มนั้น และโทษที่พวกนางจะได้รับก็อย่าให้ถึงขั้นโบยลงโทษเลย
มิเช่นนั้นนางก็มิอยากจะนึกถึงเลย ว่าสภาพของนางจะเป็นเช่นไร ยิ่งฮูหยินน้อยของนางยิ่งแล้วใหญ่หากโดนโทษโบยจริงเห็นทีจะล้มป่วยไปอีกนานทีเดียว
“มิสู้พรุ่งนี้เราให้คนนำเงินมาจ่ายเถ้าแก่ตงและก็ถือโอกาสให้นำพัดของท่านกลับไปให้ด้วยเลยจะดีกว่าไหมเจ้าคะ”
“นั้นสินะ ตกลงพรุ่งนี้ค่อยให้คนมานำพัดของท่านแม่สามีกลับมาให้ข้าก็แล้วกัน” นางเอ่ยออกมาอย่างเห็นด้วยกับความคิดของสาวใช้คนสนิทของนาง
หากแต่ในใจกับคิดอันใดบางอย่างที่ขัดแย้งขึ้นมาได้
หอเลิศรสแห่งนี้ยังมีแสงไฟส่องรอดออกมาจากช่องระบายอากาศด้านบนประตูแม้จะเป็นแสงริบหรี่เต็มที แต่ก็ยังพอเห็นเงาแสงไฟที่วูบไหวได้อยู่บ้าง หากเป็นดังที่หานอี้เอ่ยบอกนางจริงว่า พวกเถ้าแก่ตงกลับกันไปหมดแล้ว ย่อมต้องดับไฟจนหมดเรียบร้อย คนอย่างเถ้าแก่ตงมิใช่คนที่มิรอบคอบ แน่นอนว่าไม่มีทางที่เถ้าแก่ตงจะลืมดับเทียนเป็นแน่
เรื่องนี้นับว่าเป็นสิ่งที่แปลกมิน้อยมีหลายอย่างที่ขัดแย้ง และน่าสงสัย
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็ทำท่าทีบอกหานอี้ว่ามิให้เอ่ยสิ่งใดออกมา ก่อนจะใช้มือของนางดันบานประตูตรงหน้าของหอเลิศรส
ประตูตรงหน้านางมิสามารถเปิดออกมาได้ และแน่นอนว่ามันถูกล็อคจากด้านใน มิใช้จากด้านนอก แน่นอนแล้วว่าเถ้าแก่ตงอาจจะกำลังเกิดเรื่องอยู่ด้านในนั้น
“หานอี้พวกเรารีบกลับกันเถิด”
นางแน่ใจแล้วก็แกล้งเอ่ยออกมาเสียงดังอย่างจงใจให้ผู้อื่นผู้ใดที่อยู่ด้านในของหอเลิศรสได้ยิน
“เจ้าค่ะคุณชาย” หานอี้เมื่อเห็นว่าฮูหยินน้อยของนางจงใจเอ่ยเสียงดัง เพราะเหตุใดบางอย่างนางจึงเอ่ยรับคำเสียงดังตามไปด้วยอย่างเสียมิได้
ขณะเดียวกันด้านในของหอเลิศรส ยามนี้เถ้าแก่ตงและเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ทั้งสามคน โดนชายปิดหน้าสามคนจัดมัดมือมัดเท้าและมัดปากเอาไว้ทำให้มิสามารถส่งเสียงของความช่วยเหลือใดๆได้เลย
“อือ อือ อือ!!!” เป็นเสียงของเถ้าแก่ตงที่พยายามส่งเสียงเรียกให้คุณชายน้อยผู้ที่ติดเงินค่าอาหารให้ช่วยเหลือตน
แต่ก็ดูเหมือนว่าการกระทำของเขาจะเปล่าประโยชน์เนื่องจากแม้เขาจะพยายามส่งเสียงออกไป แต่ก็มิใช่ว่าเสียงของเขาจะดังพอที่คุณชายน้อยผู้นั้นจะได้ยินได้เลย เนื่องจากซึ่งที่เขาและเหล่าเสี่ยวเอ้อร์อีกสามคนที่บาดเจ็บเพราะการต่อสู้กับคนพวกนี้จนหมดสตินั้น
โดนจับมัดเอาไว้ไกลจากประตูทางเข้ามากพอสมควรเลยทีเดียว
เขาได้เพียงแต่หวังว่าคุณชายน้อยผู้นั้นกับสาวใช้จะนึกเอะใจอันใดบางอย่างได้เสียเล็กน้อยหรือหวังว่าเจ้านายของเขาผู้ซึ่งเป็นเจ้าของร้านเลิศรสจริงๆอย่างนายท่านฉู่จะแวะเข้ามาดูบัญชีที่ร้านเลิศรส
“ดูเหมือนคนที่มาเคาะเรียกจะไปกันหมดแล้ว” ชายชุดดำที่ยืนอยู่ใกล้ประตูมากที่สุดเอ่ยขึ้นเพื่อบอกกับพวกพ้องของตนอีกสองคนที่อีกคนยืนอยู่กลางห้อง และอีกคนยืนอยู่ข้างๆเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ที่พวกเขามัดเอาไว้
“เช่นนั้นพวกเราคงต้องรีบลงมือ” เจ้าของเสียงคือชายชุดดำที่ยินอยู่กลางห้องซึ่งดูแล้วจะเป็นผู้นำในครั้งนี้
เถ้าแก่ตงซึ่งเป็นผู้เดียวที่ยังมีสติดีที่สุดในบรรดาผู้ที่ถูกจับเอาไว้ เขาเริ่มที่จะสังเกตพวกโจรปิดหน้าทั้งสามคนนี้
ลักษณะการแต่งตัวของคนเหล่านี้เป็นเพียงการแต่งตัวด้วยชุดสกปรกธรรมดาเพียงเท่านั้นอาวุธในมือก็เป็นเพียงไม้ด้ามใหญ่ในมือเท่านั้น มิได้คล้ายกับนักฆ่าหรือว่าโจรมืออาชีพเลยแม้แต่น้อย กับคลับคล้ายคลับคลาเมื่อกับชาวไร่ชาวนาเสียมากกว่า
โจรทั้งสามคนเดินเข้ามารุมล้อมเถ้าแก่ตงเอาไว้ก่อนจะเอ่ยขึ้นบอกถึงความต้องการของพวกมัน
“พวกข้าต้องการเงิน เจ้าให้เงินพวกข้าแล้วพวกข้าจะจากไปแต่โดยดี” โจรที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปดึงผ้าปิดปากของเถ้าแก่ตงลงเพื่อที่จะได้เจรจากันรู้เรื่อง
“เงินอยู่ในห้องบัญชีด้านหลังในห้องลับพวกเจ้าอยากได้เท่าไหร่ก็เอาไปเถิดทั้งหมดที่มีอยู่ในนั้นทั้งหมด”
เถ้าแก่ตงมิรอช้าที่จะบอกที่ซ่อนเงินทั้งหมด เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าโจรเหล่านี้มิได้คิดจะเอาชีวิตพวกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
หากชอบให้เงินไปตัวเขาและเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายย่อมพ้นจากความตายจริงอย่างที่พวกมันบอกเอาไว้ แม้ว่าเขาจะเสียดายเงินทองอยู่บ้างแต่ก็มิได้รักเงินมากกว่าชีวิตเสียหน่อย
อีกอย่างเขาเชื่อว่านายท่านฉู่ย่อมเข้าใจ และสามารถจัดการกับโจรเหล่านี้ได้อย่างแน่แท้ มิช้ามินานเงินก็จะต้องกลับคืนมาสู่นายท่านฉู่
โจรพวกนี้คงไม่แคล้วว่าเป็นผู้ตกยากหรือโจรพลัดถิ่นมาเป็นแน่จึงได้กล้าที่จะเข้ามาปล้นร้านของสกุลฉู่เช่นนี้
“ข้าจะอยู่เฝ้าพวกมันที่นี่เอง” โจรคนที่ทำหน้าที่เฝ้าพวกตัวประกันตั้งแต่แรกเอ่ยขึ้น
“มิต้องเฝ้าแล้ว พวกเราทั้งหมดเข้าไปช่วยกันนำเงินมาแล้วหนีออกทางหน้าต่างในห้องนั้นเลยจะดีกว่า”
“แล้วเจ้าพวกนี้ล่ะ”
“พวกมันส่วนใหญ่ก็เจ็บกันขนาดนั้นแล้ว แถมยังถูกมัดเอาไว้เช่นนี้ยังไงก็มิมีทางแก้มัดได้แน่ อีกอย่างพวกมันก็คงมิคิดที่จะหาเรื่องตายหรอก”
“เช่นนั้นก็เอาอย่างเจ้าว่าก็แล้วกัน”
“พวกเราไป”
เมื่อพวกมันตกลงกันเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าไปยังห้องบัญชีที่อยู่ไม่ไกลตามที่เถ้าแก่ตงบอกทันทีด้วยมิคิดที่จะหันมามองยังเหล่าตัวประกันที่พวกมันจับมัดเอาไว้อีก
“เฮ้อ” เถ้าแก่ตงถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า อย่างน้อยๆยามนี้เขาก็โล่งใจไปได้เปราะหนึ่งแล้ว ตามที่ได้ยินพวกมันคุยกันเมื่อได้เงินแล้วก็จะจากไปทันที มิคิดที่จะทำอันใดต่อพวกเขาอีก
หากพวกนั้นไปแล้วพวกเขาเพียงแค่ต้องอดทนถูกมัดเอาไว้แบบนี้อีกหนึ่งคืน พรุ่งนี้เช้าเมื่อมีคนจากจวนคุณชายน้อยผู้นั้นนำเงินมาใช้หนี้ หรือว่านายท่านฉู่และเข้ามาที่หอเลิศรสนั้นแหละพวกเขาถึงจะเป็นอิสระ
“โอ้”
เสียงร้องที่ดังขึ้นหลายครั้งทำให้เถ้าแก่ตงซึ่งกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองอยู่นั้นได้สติขึ้นมา
เขาหันไปตามเสียงร้องนั้นทันที และภาพที่เขาเห็นยามนี้คือคุณชายน้อยที่ติดหนี้เขาเอาไว้และสาวใช้คนสนิทนั้นกำลังใช้ไม้อันใหญ่ฟาดไปที่โจรทั้งสามคนอยู่ข้างหน้าห้องบัญชีอย่างมิมีกลัวเกรงแต่อย่างใด
จริงด้วยในห้องบัญชีไม่มีหน้าต่างเขาลืมไปได้อย่างไรกัน
เพราะเหตุนี้พวกโจรเลยมิสามารถหนีออกทางหน้าต่างได้ซินะถึงได้ต้องออกมากจากห้องบัญชีเพื่อที่จะหลบหนีออกทางอื่น
“คุณชายน้อยท่านระวังข้างหลัง!!!” เถ้าแก่ตะโกนเสียงดังขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าโจรคนหนึ่งซึ่งถูกตีจนล้มลงไปอยู่ด้านหลังของคุณชายน้อยกำลังยกไม้ขึ้นมาเตรียมที่จะฟาดไปที่คุณชายน้อยไม่รู้ตัวเพราะกำลังจัดการกับโจรอีกคนหนึ่งอยู่
และแน่นอนว่าเกือบไปแล้วที่คุณชายน้อยผู้นั้นจะถูกไม้ฟาดเข้าที่หัวถ้ามิใช่ว่าโจรที่กำลังจะฟาดไม้ใส่ตัวคุณชายน้อยคนนั้นถูกนายท่านฉู่ถีบจนกระเด็นไปชนโต๊ะไม้ที่อยู่ไม่ไกลเอาเสียก่อน
เหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะชุลมุนวุ่นวายเมื่อครู่ดูเหมือนจะถูกคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่นายท่านฉู่ปรากฏตัวขึ้นโจรพวกนั้นก็ถูกพวกมือปราบเข้ามาควบคุมตัวและพาออกไปจากหอเลิศรสทันที
เถ้าแก่ตงและเหล่าเสี่ยวเอ้อร์ยามนี้ได้ฟ่งอี้และ ฟ่งสือช่วยกันแก้มัดอยู่
ยามนี้ทุกอย่างในหอเลิศรสตกอยู่ในความเงียบ ไร้ซึ่งเสียงพูดคุยใดๆ เถ้าแก่ตงที่ถูกแก้มัดเรียบร้อยเป็นคนแรกรีบก้าวเข้าไปหานายท่านฉู่ที่ยังยืนอยู่ที่เดิมเช่นเดียวกับครั้งแรกที่มาถึง และกำลังจับจ้องคุณชายน้อยผู้ที่ติดหนี้หอเลิศรสเอาไว้อย่างมิคาดสายตา
เขาคงต้องแนะนำคุณชายน้อยผู้นี้เสียหน่อยแล้ว มิเช่นนั้นนายท่านฉู่คงยืนจ้องคุณชายน้อยผู้นี้มิเลิกแน่
“นายท่านฉู่ขอรับ คุณชายน้…”
ยังมิท่านที่ตงลี่จะได้เอ่ยแนะนำคุณชายน้อยผู้นี้ นายท่านฉู่ของเขาก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“เจ้าเล่นสนุกพอรึยัง” ฉู่ฉางซานเอ่ยออกมาเสียงเรียบใบหน้ายามนี้เคร่งขรึมกว่ายามปกติอย่างเห็นได้ชัด จนบุคคลซึ่งอยู่รอบข้างต่างพากันมิกล้าส่งเสียง
หานอี้ที่ยืนก้มหน้าอยู่หลังฮูหยินน้อยของตนเองตั้งแต่แรกถึงขั้นเข่าอ่อนลนลานคุกเข่าลงกับพื้นอย่างรวดเร็วด้วยท่าทีตื่นกลัว
“ข้ามิได้กำลังเล่นสนุก” นางเอ่ยตอกกลับด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งเช่นเดียวกัน
“มิได้กำลังเล่นสนุกเช่นนั้นรึ เจ้าพูดได้ดี แต่คิดบ้างหรือไม่ว่าหากข้ามาช้าอีกเพียงแค่นิดเดียวจะเกิดอันใดขึ้นบ้าง!!!”
เมื่อเห็นท่าทีของสตรีตรงหน้าที่ทำราวกับมิรู้สึกรู้สาสิ่งใดกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลยสักนิดเดียว ทำให้ฉางซานอดที่จะรู้สึกโมโหขึ้นมาไม่ได้
“ท่านก็มาทันแล้วนี่ แล้วเหตุใดยังต้องเอ่ยไปถึงเรื่องที่ยังมิได้เกิดขึ้นด้วย!!!”
เมื่อถูกบุรุษต้องหน้าเอ่ยเสียงดังใส่ ก็ทำให้ความตั้งใจเดิมของนางเปลี่ยนไปจากที่ตั้งใจจะทำเฉยๆกับทุกสิ่งอย่างก็ทำให้นางทนมิได้ จำต้องตอกกับไปด้วยเสียงที่ดังมิแพ้กัน
โดยหลงลืมไปแล้วว่าตนเองนั้นยังมีชะงักติดหลังอยู่หลายอย่าง
“เจ้ากล้าเอ่ยเช่นนี้กับข้าเชี่ยวรึ สตรีอื่นใดมิเคยมีผู้ใดเป็นเช่นเจ้า กล้าเอ่ยวาจาออกมาเช่นนี้”
“ข้าก็คือข้า หาใช่ผู้อื่นไม่ ท่านมิจำเป็นต้องนำข้าไปเปรียบเทียบกับผู้ใดทั้งสิ้น” นางยังคงเอ่ยออกมาอย่างมิได้มีท่าทีกลัวเกรงบุรุษตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีของนางในมิตินี้เลยแม้แต่น้อย
“ฟ่งสือพานางกลับจวนสกุลฉู่ นับแต่นี้ห้ามนางก้าวขาออกจากจวนสกุลฉู่แม้แต่ครึ่งก้าว!!!”
ฉางซานเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ยามนี้เขามองสบตากับสตรีตรงหน้าที่ได้ชื่อว่าเป็นฮูหยินของตนอย่างไม่ละสายตา
เขาอยากจะเห็นความตื่นกลัวหรือสั่นไหวในแววตาของสตรีตรงหน้าของตนเองเสียบ้าง แต่ก็ไม่มีวี่แววเลยแม้แต่เพียงน้อยนิด ดวงตาคู่งามที่เข้าจับจ้องอยู่นั้นแน่วแน่ไม่มีความสั่นไหวให้เห็นเลยแม้สักนิด
ฟ่งสือที่ได้รับคำสั่งจากคุณชายของตน รีบเดินเข้ามาทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ฮูหยินน้อยเชิญขอรับ”
“ท่านมิมีสิทธิขังข้า!!!” นางเอ่ยขึ้นโดยไม่ยอมตามฟ่งสือที่มายืนรอนางอยู่ใกล้ๆออกไป
“เจ้าแต่.เข้าสกุลฉู่ ยามนี้เจ้าเป็นคนขอข้า ข้าย่อมมีสิทธิในตัวเจ้าทุกอย่าง”
นางมองบุรุษต้องหน้านิ่ง ด้วยความมิพอใจอย่างที่สุด ในมิตินี้บุรุษเป็นใหญ่เหนือสตรี ยิ่งกับสามีภรรยาแล้ว สามีมีสิทธิสั่งภรรยามีเพียงต้องทำตามเท่านั้น
หานอี้ที่คุกเข่าตัวสั่นด้วยความกลัวอยู่นาน นางคลานเข่าเข้ามาใกล้ฮูหยินน้อยของนางก่อนจะกระตุกชายแขนเสื้อของฮูหยินน้อยเบาๆและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงระมัดระวังเป็นอย่างมาก
“ฮูหยินน้อยเจ้าคะ กลับจวนกันก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“ก็มาดูกัน ว่าท่านจะขังข้าได้ หานอี้พวกเราไป” นางเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย แต่ก็ยอมที่จะตามฟ่งสือกลับจวนสกุลฉู่แต่โดยดี
ครั้งนี้ถือว่าข้าแพ้ต่อเจ้าไปก่อนฉู่ฉางซาน อย่าคิดว่าจะขังข้าเอาไว้แต่ในจวนได้
ข้าหลันซู่ถงมิได้เป็นเพียงหมูในอวยของเจ้า
ข้าจะทำให้เจ้าได้รู้ว่าคิดจะขังข้ามันมิได้ง่ายเช่นนั้นหรอก
ตอนพิเศษว่าด้วยเรื่องสถานะใหม่ หลังจากที่เธอต้องใส่เผือกและถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากแฟนหนุ่มอยู่เกือบสามเดือนในที่สุดเธอก็ได้ถอดเผือกและ กลับมาใช้ข้อมือได้อย่างอิสระอีกครั้งแน่นอนว่าเธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะสามารถกลับมาจัดดอกไม้ที่เธอรักได้อย่างถนัดอีกครั้ง อีกอย่างคือไม่ต้องถูกฉางเหอตามคุมเข้มอีกต่อไปแล้ว แม้เธอจะรู้ดีว่าเขาเป็นกังวลมากเกินไปเพราะกลัวเธอทำตัวซุ่มซ่ามจนเจ็บตัวกว่าเดิมก็ตามแต่การที่ถูกแฟนซึ่งพ่วงด้วยตำแหน่งคุณหมอและซีอีโอรูปหล่อคอยตามดูแลอยู่ไม่ได้ห่างช่างเป็นอะไรที่หลบการตกเป็นเป้าสายตาต่อผู้คนไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ดีใจที่เขามาค่อยดูแล แต่ความดีใจกับมาพร้อมกับการที่มักจะทำตัวไม่ถูกของเธอ หลายครั้งที่เธอนึกอิจฉาความเฉยชาต่อสายตาเหล่านั้นของแฟนหนุ่มไม่ได้มีครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขาว่า เขาไม่รู้สึกรำคาญหรืออะไรบ้างหรือเวลาที่ต้องตกเป็นเป้าสนใจเช่นนี้ เขาตอบกลับมาแค่ว่า “ผมไม่จำเป็นต้องแค่ใครนอกจากคุณ” เพียงแค่ประโยคเดียวจากเขาฉันกลับเขาใจทุกอย่างได้เป็นอย่างดีตั้งแต่เธอใส่เผือกก็ถูกมัดมือชกแกล้มบังคับให้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านเขา ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าคฤหาสน์ถึงจะถูก ที
“มาครับผมช่วยคุณเปลี่ยนเสื้อเอง” เขาเอ่ยขึ้นกับเธอด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ ตอนนี้เขาค่อนข้างจะปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติบ้างได้แล้วนิดหน่อยเมื่อเขาพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้นหลันซู่ถงจึงยิ้มออกมาให้เขาอย่างเอาใจ ก่อนจะปล่อยให้ร่างสูงช่วยนางเปลี่ยนชุดไปเป็นชุดคนไข้ชุดคนไข้ที่พยาบาลส่งให้เขาเมื่อครู่ยามนี้เขานำมาวางเอาไว้บนตักของเธอตัวเธอนั้นถูกเขาประคองให้ขึ้นมานั่งอยู่ที่ริมเตียงคนไข้ เนื่องจากเธอสูงไม่มากจึงขาลอยเมื่อนั่งหย่อนขาที่ริมเตียงคนไข้เช่นนี้ ในหัวอดคิดไปถึงคนไข้คนอื่นๆไม่ได้ว่าพวกเขาก็ขาไม่ถึงพื้นเช่นเธอเหมือนกันหรือไม่เวลาที่นั่งอยู่ริมเตียงคนไข้แบบนี้ตอนที่รอให้คุณหมอตามมาตรวจ “ข้อมือขวาคุณน่าจะหักผมว่าคุณอย่าขยับมันจะดีกว่าครับ” เสียงเข้มเอ่ยดุเธอทันที เมื่อเธอเผลอเกือบจะยกมือขึ้นมาหลังจากที่เขาเอื้อมมือมาหมายจะช่วยเธอปลดกระดุมชุดเดรสยีนส์ที่มีกระดุมเป็นแทบตั้งแต่ช่วงอกจนกระทั่งถึงช่วงเข่าของเธอ “เอ่อ ฉางเหอคะ ฉันว่าคุณให้พยาบาลเขามาช่วยฉันเปลี่ยนชุดน่าจะสะดวกกว่านะคะ” เธอเอ่ยขึ้นเสียงเบา แน่นนอนว่าเมื่อกล่าวออกไปร่างสูงเบื้องหน้าเธอก็ขมวดค
ตอนพิเศษเธอเปรียบเสมือนความสุขทั้งหมดของผม หน้าฝนเช่นนี้แน่นอนว่าคงจะไม่แปลกเท่าไหร่นักหากคนส่วนให้ในเมืองจะเป็นหวัดกันไปหมด บางคนก็เป็นหวัดเพราะร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศที่สุดแสนจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างวันนี้ร้อนพรุ่งนี้พายุฝนตกกระหน่ำ อีกวันหนึ่งกับมีลมหนาว บางคนเดินๆอยู่ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำเอาหาที่หลบไม่ทัน กว่าจะวิ่งหาที่หลบฝนได้ก็เปียกไปกว่าครึ่งแล้วหลันซู่ถงเองเธอก็เป็นหนึ่งในผู้ป่วยจำนวนมากนี้ด้วย ทั้งที่เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านก็ยังดีๆอยู่แท้ๆแต่พอไปถึงบริษัทเหม่ยหลง ซึ่งเป็นบริษัทเล็กๆที่เธอและเพื่อนอีกคนหนึ่งพึ่งจะร่วมทุนกันตั้งเป็นบริษัทสำหรับการรับตกแต่งสถานที่โดยมีดอกไม้เป็นตัวหลักวันนี้หลังจากที่ประชุมเรื่องเกี่ยวกับงานตกแต่งฉากโฆษณาเสร็จ เธอจึงได้คิดที่จะแวะเข้าไปให้หมอตรวจอาการของเธอก่อนจะตรงเข้าไปหาแฟนหนุ่มซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้นเช่นเดียวกัน “ขอบคุณที่มาส่งนะหนิงจู” เธอเอ่ยขอบคุณหุ้นส่วนที่ควบตำแหน่งเพื่อนสนิทของเธออีกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ไม่เป็นไรหรอก แกรีบเข้าไปให้หมอตรวจอาการเถอะ แน่ใจนะว่าไม่ต้องให้ฉันเข้าไปเป็นเพื่อน” หนิง
ตอนพิเศษ เจ้าแม่แรร์ไอเทมจะว่าไปแล้วเธอก็งงอยู่เหมือนกันว่า ฉายาเจ้าแม่แรร์ไอเทมที่เธอได้มา ได้มายังไงจนเดือดร้อนถึงแม่เพื่อนสนิทของเธออย่างเฟ่งเสี่ยวซ่งต้องมาอธิบายไขข้อข้องใจ ให้เธอเสียยกให้“แม่เจ้านี่แกไม่รู้จริงๆ หรือตั้งใจจะถามให้ฉันอิจฉาตาร้อนเล่นห๊ะ”“ถ้ารู้ฉันก็ไม่ถามแกหรอกจริงไหม เลิกกัดฉันด้วยคำพูดแล้วก็รีบบอกมาเร็วเข้า” เธอเอ่ยขึ้นอย่างขำๆ เมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยพอใจของแม่เพื่อนตัวดีของเธอ“แฟนแกเป็นสุดยอดแรร์ไอเทมไง คนที่ได้เป็นแฟนกับเขาได้นั้นแปลว่าต้องเป็นนักชกมือฉกาจ และในเมื่อแกเก่งกล้าถึงขนาดนั้น เหล่าแฟนคลับเขาเลยเรียกแกว่า เจ้าแม่แรร์ไอเทม ไงเก็ทเนอะ”“เก็ทก็ได้ค่ะคุณเพื่อน”“ว่าแต่แกเถอะจะย้ายร้านเมื่อไหร่”“ก็คงจะสิ้นเดือนนี้พอดีนั้นแหละ ร้านใหม่ในพื้นที่ของโรงพยาบาลของฉางเหอน่าจะตกแต่งเสร็จพอดี”“ฉันขออนุญาตหมั่นไส้แกแรงๆหน่อยได้ไหม”“แกมาหมั่นไส้ฉันทำไมเนี่ย”เธออดจะขำออกมาเสียงดังไม่ได้ กับท่าทีที่ดูตลกของเฟ่งเสี่ยวซ่ง ที่เดียวๆทำคิ้วขมวด เดียวก็ทำหน้าบิดเบี้ยว“แกรู้ตัวไหมว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากเดิมมากแค่ไหน” เฟ่งเสี่ยวซ่งเดินเข้ามาใกล้เพื่อนสนิทก่อนจะจับที่แข
ตอนที่ 20 ความปรารถนาที่แท้จริง(ตอนจบ)นี่ก็ผ่านมาเกือบจะหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เธอตื่นขึ้นมาที่ห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ด้วยสาเหตุที่ว่าเธอสลบไปเพราะตกใจเสียงฟ้าผ่า ไม่ใช่เพราะถูกฟ้าผ่าใส่แต่อยากใดทุกครั้งที่เธอหลับตา เธอยังคงนึกไปถึงเรื่องในอีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้น เธอกำลังสับสนไม่แน่ใจแล้วว่าเรื่องที่เธอพลัดไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งนั้นเป็นความจริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่เธอฝันไปเองเท่านั้นยามที่เธอตื่นขึ้นมาครั้งแรก ก็เจอเข้ากับเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอเท่านั้นที่มาเฝ้าเธออยู่พอดี เฟ่งเสี่ยวซ่งบอกกับเธอเพียงว่าร่างกายของเธอปกติทุกอย่างแต่กับนอนไม่ได้สติมาถึงสองอาทิตย์เต็ม ซึ่งถ้าเทียบกับเวลาในอีกมิติหนึ่งนั้นค่อนข้างที่จะแตกต่างกันอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เพราะเธออยู่ในมิตินั้นราวๆสามเดือนเห็นจะได้วันนี้เป็นวันที่เธอออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ผู้ที่มารับเธอออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอนั้นแหละ“ซู่ถงแกเดินไหวแน่นะ ไม่ใช่ว่าเดินๆไปแล้วแกล้มขึ้นมาฉันจับไม่ทันแกจะเจ็บตัวเอานะ”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เงียบผิดปกติ อีกท
ตอนที่ 19 จากไปในที่ๆจากมาหานอี้มองภาพของฮูหยินน้อยของนางที่กำลังพิงอยู่ที่ตัวของท่านเขยอย่างสงสารจับใจ นางพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมาให้ท่านเขยเห็นเพราะกลัวจะยิ่งทำให้ท่านเขยใจไม่ดีฮูหยินน้อยเริ่มมีอาการไม่ค่อยดีมาตั้งแต่ช่วงค่ำ หากนางเชิญท่านหมอมาดูฮูหยินน้อยตั้งแต่ตอนนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นไม่นานนักฟ่งสือก็เดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับท่านหมอตงและผู้ช่วยคนหนึ่ง “เรียนนายท่านฉู่ข้าน้อยได้ตรวจอาการของฮูหยินน้อยดูแล้ว มิมีสิ่งใดผิดปกติเลย มิได้มีโรคอันใดแทรกซ้อน มีเพียงแค่ชีพจรเท่านั้นที่เต้นอ่อนยิ่งนักขอรับ” หมอตงเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก “เช่นนั้นแล้วนางเป็นอันใดถึงได้กระอักเลือดออกมาเช่นนี้!!!” เขาลูบใบหน้าเล็กที่ยามนี้ซีดเซียวไร้สีเลือด ของคนในอ้อมแขนก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยก็พึ่งเคยพบอาการเช่นฮูหยินน้อยเป็นเป็นครั้งแรกขอรับ”หมอตงเอ่ยขึ้น เขาเป็นหมอมาหลายสิบปีกับไม่เคยเห็นอาการเช่นนี้ ทุกอย่างรวมไปถึงชีพจรแม้จะเต้นอ่อนยิ่งนักแต่ก็เป็นปกติอยู่ แต่กับมีอาการกระอักเลือดออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ“ฟ่งสือ เจ้าไป