ตอนที่ 6
ที่มาของเหตุอลวน
ใจกลางตลาดใหญ่ในเมืองหลวงร้านผ้าเข็มทองคำของสกุลฉู่ถือว่าใหญ่โตหรูหราเป็นที่สุด เพราะมีถึงสี่ชั้นด้วยกันและทุกชั้นทั้งภายนอกและภายในร้านผ้าแห่งนี้ล้วนแล้วแต่ตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราสวยงาม โดยที่ชั้นแรกจะเป็นชั้นแรกที่จะมีผู้คอยแนะนำสินค้าและแน่นอนว่าคอยดูว่าควรจะส่งลูกค้าไปที่ชั้นไหนให้เหมาะสมที่สุดอีกด้วย
ในร้านผ้าแห่งนี้จะแบ่งให้ชั้นสองเป็นชั้นที่ผู้ที่มีฐานะปานกลางเอาไว้เลือกซื้อเสื้อผ้า และชั้นที่สามจะเป็นชั้นที่เอาไว้บริการลูกค้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งจ่ายง่ายและจ่ายไม่อัน
แน่นอนว่าการแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้ทำให้ลูกค้ารวมไปถึงคนของร้านผ้าเข็มทองคำทำงานได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น
ร้านผ้าเข็มทองคำแน่นอนว่าเป็นร้านขึ้นชื่อในเมืองหลวงรวมไปถึงในอำเภออื่นๆด้วย แน่นอนว่าแม้แต่เหล่าพระสนมในวังยังชื่นชอบเสื้อผ้าอาภรณ์ของร้านผ้าเข็มทองคำยิ่งนัก เพราะไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าที่ดีกว่าร้านอื่นและก็ฝีมือการตัดเย็บจากช่างที่ฝีมือดี ทำให้ไม่ยากเลยที่ร้านเข็มทองคำจะขึ้นเป็นร้านผ้าอันดับหนึ่งในเมืองหลวง
ยามนี้เจ้าของกิจการร้านผ้าเข็มทองคำซึ่งก็คงจะเป็นผู้อื่นผู้ใดไปได้หากไม่ใช่บุรุษชายคนเดียวของสกุลฉู่อย่างฉู่ฉางซานซึ่งใช้ชั้นสี่ของร้านผ้าแห่งนี้เป็นสถานที่ทำงานของตนเองทั้งชั้น
เพราะร้านผ้าเข็มทองคำหาได้ง่ายจึงทำให้ง่ายต่อการเดินทางมาและการเข้ามาติดต่อค้าขายในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจการด้านอื่นๆที่เป็นของสกุลฉู่ด้วยเรียกได้ว่าร้านผ้าเข็มทองคำเป็นจุดศูนย์กลางของกิจการของสกุลฉู่เลยก็ว่าได้
“คุณชายขอรับเมื่อครู่ฮูหยินใหญ่ให้คนมาแจ้งว่าฮูหยินน้อยยังกลับไม่ถึงจวนเลยขอรับ”
“คนของเราที่ให้คอยตามดูนางเล่า ส่งข่าวมาว่าอย่างไรบ้าง” ฉางซานเอ่ยถามลูกน้อยคนสนิทของตนเองทั้งที่ยังไม่ล่ะสายตาออกจากสมุดรายการสินค้าที่อยู่ในมือของตนเองเลย
เขาไม่ได้ต้องรู้สึกร้อนหนาวอันใดกับการที่นางหายตัวไปเลยแม้แต่นิดเดียว ยามที่ท่านแม่ของเขาให้คนมาแจ้งว่านางออกมาเดินเล่นนอกจวนโดยที่ไม่ยอมให้คนในจวนติดตามไปนอกจากสาวใช้คนสนิทของนางเพียงคนเดียว
เขาก็ได้ส่งคนของเขาไปคอยตามดูนางห่างๆไม่ให้รู้ตัว ซึ่งแน่นอนว่าคนที่เขาส่งไปนับว่าเป็นยอดฝีมือแน่นอนว่ายามนี้ถึงแม้สตรีผู้นั้นจะยังไม่กลับถึงบ้านแต่ก็ไม่มีอันตรายใดๆเกิดขึ้นกับนางได้อย่างแน่นอน
“เค่ออี้ส่งข่าวมาว่า ยามนี้ฮูหยินน้อยยังอยู่ที่หอเลิศรสอยู่ขอรับ ฮูหยินน้อยกินอาหารในหอเลิศรสแล้วไม่มีเงินจ่ายขอรับ เถ้าแก่ตงเลยให้ทำงานเป็นประกันเอาไว้ก่อนขอรับ”
ฟ่งสือรีบเอ่ยรายงานคุณชายของตนเองตามความจริงทันที
“ไม่มีเงินจ่ายงั้นรึ” ฉู่ฉางซานเอ่ยออกมาเสียงเย็น
สตรีนางนั้นไม่ใช่ว่ากำลังคิดยั่วยุเขาอยู่หรอกกระมัง นางเป็นผู้ใดกันถึงได้ไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารแค่ไม่เท่าไหร่นั้น ถึงแม้เขาจะทำเป็นไม่สนใจใยดีต่อนาง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ให้เงินทองนางเอาไว้ใช้
กลับกันเขาให้พ่อบ้านคอยนำเงินไปไว้ให้นางไม่เคยปล่อยให้ขาดมือเสียด้วยซ้ำ แล้วเช่นนี้นางยังจะไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารจนกระทั่งโดนให้ทำงานประกันได้เช่นใดกัน
คนของสกุลฉู่อันมั่งคั่งยามนี้ไม่มีแม้แต่เงินที่จะจ่ายค่าอาหาร รู้ไปถึงไหนเขาคงต้องถูกหัวเราะไม่มีชิ้นดีเป็นแน่
เห็นทีเขาคงต้องไปดูด้วยตนเองเสียแล้วสตรีนางนั้นต้องการสิ่งใดกันแน่ถึงได้กล้าที่จะกระทำเรื่องที่จะทำให้สกุลลู่ของเขาต้องอับอาย
“ไปหอเลิศรส”
คิดได้ดังนั้นฉางซานก็เอ่ยขึ้นกับลูกน้องคนสนิทของตนเองทันที พร้อมกับลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเตรียมที่จะออกจากเดินออกไปจากห้องทำงานของตนเอง โดยที่จุดมุ่งหมายคือหอเลิศรสที่อยู่ไม่ไกลจากร้านผ้าเข็มทองคำของเขาเสียเท่าใดนัก เพียงแค่อยู่ถัดไปเพียงไม่กี่ร้านก็เท่านั้น
หากแต่ก่อนที่เขาจะได้เดินพ้นจากโต๊ะทำงานของตนเองไปนั้น ฟ่งอี้ลูกน้องคนสนิทของเขาซึ่งยามนี้น่าจะตรวจดูความเรียบร้อยอยู่ที่ชั้นล่างของร้านกับวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรนจนเขาอดที่จะเอ่ยถามออกไปอย่าหัวเสียไม่ได้
“เกิดอันใดขึ้น เหตุใดเจ้าจึงได้ร้อนรนเช่นนี้”
“เกิดเรื่อง เกิดเรื่องที่หอเลิศรสขอรับ” ฟ่งอี้เอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยหอบเพราะ คงเป็นเพราะว่าเขารีบวิ่งขึ้นบันไดหลายร้อยขั้นเพื่อมาแจ้งข่าวต่อคุณชายของตน
“ฟ่งอี้เจ้ารีบไปแจ้งสำนักมือปราบหลวง ฟ่งสือเจ้าไปกับข้า” ฉู่ฉางซานเอ่ยสั่งการก่อนที่จะเดินกลับไปที่หลังโต๊ะทำงานและเลิกที่จะทะยานออกจากหน้าตาที่ตนเองเปิดเอาไว้ไปอย่างรวดเร็ว โดยที่มีฟ่งสือทะยานตามออกไปติดๆ
ยามนี้ทำให้ชั้นบนสุดของร้านผ้าเข็มทองคำไร้ซึ่งเงาของทั้งสองคนที่เคยอยู่ในห้องทำงานแห่งนี้ ผู้เดียวที่ยังคงยืนหอบอยู่ก็คือฟ่งอี้ผู้ที่มาแจ้งข่าวเมื่อครู่ และเป็นผู้เดียวที่คงจะเหนื่อยไม่น้อยเพราะต้องวิ่งขึ้นวิ่งลงหลายชั้น และยามนี้เขาก็ต้องรีบไปแจ้งที่สำนักมือปราบหลวงอีก
“หากรู้เช่นนี้ข้าฝึกวรยุทธ์เอาไว้บ้างคงจะดีไม่น้อย” เขาเอ่ยออกมา ก่อนจะรีบวิ่งลงไปชั้นล่างเพื่อทำตามคำสั่งของคุณชายของตน นั้นคือรีบไปที่สำนักมือปราบ
ย้อนกลับไปเมื่อเวลาหนึ่งก้านธูป(*15 นาที)ก่อน ในขณะที่นางและสาวใช้คนสนิทอย่างหานอี้กำลังเอ่ยลากับเถ้าแก่ตงและบรรดาเสี่ยวเอ้อร์ทั้งสามคนของหอเลิศรสแห่งนี้
“เถ้าแก่ตงพรุ่งนี้ข้าจะรีบให้คนนำเงินมาจ่ายให้ท่านแน่นอน” นางเอ่ยขึ้น
“เหตุใดคุณชายน้อยท่านถึงไม่นำเงินมาจ่ายด้วยตนเองเล่า หรือเพราะไม่คิดที่จะเหยียบเข้ามาในหอเลิศรสนี้อีกแล้ว”
“มิใช่ว่าข้าไม่อยากมาด้วยตนเองเสียหน่อย แต่ข้าออกมานานจนเกินไป คงยากที่พรุ่งนี้จะออกมาอีกได้” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดจะเสียดายเล็กน้อย ป่านนี้คนในจวนคนนั่งไม่ติดกันไปหมดแล้วเป็นแน่
บ้างทียามนี้ท่านแม่สามีของนางอาจจะกำลังรอนางกลับไปอย่างร้อนใจอยู่ก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงคงจะยากยิ่งที่นางจะได้ออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้อีก
“คุณชายน้องบ้านท่านคงเข้มงวดมิน้อยเลยใช่หรือไม่ขอรับ ท่านเป็นบุรุษยังต้องกังวลเรื่องเวลากลับบ้าน หากท่านเป็นสตรีมิถูกขังเอาไว้ในบ้านเลยหรืออย่างไรกัน” เถ้าแก่ตงพูดออกมาอย่างทีเล่นทีจริง แต่เขากลับเห็นสีหน้าของคุณชายน้อยตรงหน้าของตนเองกับซีดลงเสียอย่างนั้น
“เอาเถิดคุณชายน้อยเอาเป็นว่าข้าเถ้าแก่ตงและทุกคนในหอเลิศรสแห่งนี้พร้อมต้อนรับท่านเสมอ หากท่านออกมาได้อย่างสะดวกเมื่อใดก็อย่าลืมหอเลิศรสเสียเล่า” ตงลี่เอ่ยออกมาอีกครั้งพร้อมกับส่งยิ้มเป็นมิตรให้แก่คุณชายน้อยตรงหน้าของตน
“แน่นอนเถ้าแก่ตง หากมีโอกาสข้าย่อมต้องมาที่หอเลิศรสอีกครั้งให้ได้ และหากท่านรับสาวงามเข้ามาในร้านบางข้าก็จะยิ่งมาให้ได้อย่างแน่นอนทีเดียว”
นางเอ่ยออกมาอย่างติดตลกไม่แพ้กลับบุรุษกลางคนตรงหน้าที่นางเรียกว่าเถ้าแก่ตงเสียเท่าไหร่นัก และไม่ลืมที่จะแกล้งทำตัวเป็นบุรุษเจ้าสำราญใส่อีกฝ่ายอีกด้วย
หลิวซู่ซู่ที่ยามนี้จิตวิญญาณคือหลันซู่ถงนางและสาวใช้คนสนิทยามนี้กำลังเดินออกมาจากไกลจากหอเลิศรสเพียงเล็กน้อยเพียงเท่านั้นและคงจะไปได้ไกลยิ่งขึ้น หากไม่ใช่เพราะก่อนที่นางจะเดินพ้นหัวมุมของโรงเตี้ยมแห่งหนึ่งซึ่งถ้าเดินต่อไปอีกเล็กน้อยก็จะบังหอเลิศรสจนมิดและทำให้มองไม่เห็นหอเลิศรสอีก นางก็หยุดฝีเท้าของตนเองเอาไว้เสียก่อน
“หยุดเดินทำไมรึเข้าคะฮูหยินน้อย” หานอี้ที่เดินตามหลังของฮูหยินน้อยของนางอยู่ เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอยู่ๆฮูหยินน้อยของนางก็หยุดเดินต่อไปเสียอย่างนั้น
“ข้าลืมของเอาไว้ที่หอเลิศรส” หลิวซู่ซู่เอ่ยบอกสาวใช้ของตน
“ฮูหยินน้อยท่านลืมสิ่งใดหรือเจ้าคะ”
“เหมือนว่าข้าจะลืมพัดเล่มที่ท่านแม่สามีให้มาวันนี้ไว้ที่หอเลิศรสเสียแล้ว”
“เช่นนั้นพวกเรารีบกลับไปเอามันเถิดเจ้าค่ะ”
หานอี้เอ่ยขึ้นอย่างออกความเห็น หากฮูหยินน้อยของนางลืมสิ่งอื่นไว้วันพรุ่งนี้ยังพอจะให้คนไปนำมาได้ หากแต่ลืมพัดที่ฮูหยินใหญ่พึ่งให้มา กลับไปที่จวนพวกนางยังมิรู้จะต้องเจอกับสิ่งใดบ้าง หากมีคดีทำของที่ฮูหยินใหญ่พึ่งให้มาหายอีก มิแน่ว่าฮูหยินน้อยรวมมาถึงนางอาจจะโดนโทษหนักมิน้อยเลยก็เป็นได้
ตอนพิเศษว่าด้วยเรื่องสถานะใหม่ หลังจากที่เธอต้องใส่เผือกและถูกควบคุมอย่างเข้มงวดจากแฟนหนุ่มอยู่เกือบสามเดือนในที่สุดเธอก็ได้ถอดเผือกและ กลับมาใช้ข้อมือได้อย่างอิสระอีกครั้งแน่นอนว่าเธอรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะสามารถกลับมาจัดดอกไม้ที่เธอรักได้อย่างถนัดอีกครั้ง อีกอย่างคือไม่ต้องถูกฉางเหอตามคุมเข้มอีกต่อไปแล้ว แม้เธอจะรู้ดีว่าเขาเป็นกังวลมากเกินไปเพราะกลัวเธอทำตัวซุ่มซ่ามจนเจ็บตัวกว่าเดิมก็ตามแต่การที่ถูกแฟนซึ่งพ่วงด้วยตำแหน่งคุณหมอและซีอีโอรูปหล่อคอยตามดูแลอยู่ไม่ได้ห่างช่างเป็นอะไรที่หลบการตกเป็นเป้าสายตาต่อผู้คนไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ดีใจที่เขามาค่อยดูแล แต่ความดีใจกับมาพร้อมกับการที่มักจะทำตัวไม่ถูกของเธอ หลายครั้งที่เธอนึกอิจฉาความเฉยชาต่อสายตาเหล่านั้นของแฟนหนุ่มไม่ได้มีครั้งหนึ่งเธอเคยถามเขาว่า เขาไม่รู้สึกรำคาญหรืออะไรบ้างหรือเวลาที่ต้องตกเป็นเป้าสนใจเช่นนี้ เขาตอบกลับมาแค่ว่า “ผมไม่จำเป็นต้องแค่ใครนอกจากคุณ” เพียงแค่ประโยคเดียวจากเขาฉันกลับเขาใจทุกอย่างได้เป็นอย่างดีตั้งแต่เธอใส่เผือกก็ถูกมัดมือชกแกล้มบังคับให้ย้ายเข้าไปอยู่บ้านเขา ไม่ใช่สิต้องเรียกว่าคฤหาสน์ถึงจะถูก ที
“มาครับผมช่วยคุณเปลี่ยนเสื้อเอง” เขาเอ่ยขึ้นกับเธอด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ ตอนนี้เขาค่อนข้างจะปรับอารมณ์ของตัวเองให้กลับมาเป็นปกติบ้างได้แล้วนิดหน่อยเมื่อเขาพูดขึ้นด้วยท่าทีผ่อนคลายขึ้นหลันซู่ถงจึงยิ้มออกมาให้เขาอย่างเอาใจ ก่อนจะปล่อยให้ร่างสูงช่วยนางเปลี่ยนชุดไปเป็นชุดคนไข้ชุดคนไข้ที่พยาบาลส่งให้เขาเมื่อครู่ยามนี้เขานำมาวางเอาไว้บนตักของเธอตัวเธอนั้นถูกเขาประคองให้ขึ้นมานั่งอยู่ที่ริมเตียงคนไข้ เนื่องจากเธอสูงไม่มากจึงขาลอยเมื่อนั่งหย่อนขาที่ริมเตียงคนไข้เช่นนี้ ในหัวอดคิดไปถึงคนไข้คนอื่นๆไม่ได้ว่าพวกเขาก็ขาไม่ถึงพื้นเช่นเธอเหมือนกันหรือไม่เวลาที่นั่งอยู่ริมเตียงคนไข้แบบนี้ตอนที่รอให้คุณหมอตามมาตรวจ “ข้อมือขวาคุณน่าจะหักผมว่าคุณอย่าขยับมันจะดีกว่าครับ” เสียงเข้มเอ่ยดุเธอทันที เมื่อเธอเผลอเกือบจะยกมือขึ้นมาหลังจากที่เขาเอื้อมมือมาหมายจะช่วยเธอปลดกระดุมชุดเดรสยีนส์ที่มีกระดุมเป็นแทบตั้งแต่ช่วงอกจนกระทั่งถึงช่วงเข่าของเธอ “เอ่อ ฉางเหอคะ ฉันว่าคุณให้พยาบาลเขามาช่วยฉันเปลี่ยนชุดน่าจะสะดวกกว่านะคะ” เธอเอ่ยขึ้นเสียงเบา แน่นนอนว่าเมื่อกล่าวออกไปร่างสูงเบื้องหน้าเธอก็ขมวดค
ตอนพิเศษเธอเปรียบเสมือนความสุขทั้งหมดของผม หน้าฝนเช่นนี้แน่นอนว่าคงจะไม่แปลกเท่าไหร่นักหากคนส่วนให้ในเมืองจะเป็นหวัดกันไปหมด บางคนก็เป็นหวัดเพราะร่างกายปรับตัวกับสภาพอากาศที่สุดแสนจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอย่างวันนี้ร้อนพรุ่งนี้พายุฝนตกกระหน่ำ อีกวันหนึ่งกับมีลมหนาว บางคนเดินๆอยู่ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวทำเอาหาที่หลบไม่ทัน กว่าจะวิ่งหาที่หลบฝนได้ก็เปียกไปกว่าครึ่งแล้วหลันซู่ถงเองเธอก็เป็นหนึ่งในผู้ป่วยจำนวนมากนี้ด้วย ทั้งที่เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านก็ยังดีๆอยู่แท้ๆแต่พอไปถึงบริษัทเหม่ยหลง ซึ่งเป็นบริษัทเล็กๆที่เธอและเพื่อนอีกคนหนึ่งพึ่งจะร่วมทุนกันตั้งเป็นบริษัทสำหรับการรับตกแต่งสถานที่โดยมีดอกไม้เป็นตัวหลักวันนี้หลังจากที่ประชุมเรื่องเกี่ยวกับงานตกแต่งฉากโฆษณาเสร็จ เธอจึงได้คิดที่จะแวะเข้าไปให้หมอตรวจอาการของเธอก่อนจะตรงเข้าไปหาแฟนหนุ่มซึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้นเช่นเดียวกัน “ขอบคุณที่มาส่งนะหนิงจู” เธอเอ่ยขอบคุณหุ้นส่วนที่ควบตำแหน่งเพื่อนสนิทของเธออีกคนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ไม่เป็นไรหรอก แกรีบเข้าไปให้หมอตรวจอาการเถอะ แน่ใจนะว่าไม่ต้องให้ฉันเข้าไปเป็นเพื่อน” หนิง
ตอนพิเศษ เจ้าแม่แรร์ไอเทมจะว่าไปแล้วเธอก็งงอยู่เหมือนกันว่า ฉายาเจ้าแม่แรร์ไอเทมที่เธอได้มา ได้มายังไงจนเดือดร้อนถึงแม่เพื่อนสนิทของเธออย่างเฟ่งเสี่ยวซ่งต้องมาอธิบายไขข้อข้องใจ ให้เธอเสียยกให้“แม่เจ้านี่แกไม่รู้จริงๆ หรือตั้งใจจะถามให้ฉันอิจฉาตาร้อนเล่นห๊ะ”“ถ้ารู้ฉันก็ไม่ถามแกหรอกจริงไหม เลิกกัดฉันด้วยคำพูดแล้วก็รีบบอกมาเร็วเข้า” เธอเอ่ยขึ้นอย่างขำๆ เมื่อเห็นท่าทางไม่ค่อยพอใจของแม่เพื่อนตัวดีของเธอ“แฟนแกเป็นสุดยอดแรร์ไอเทมไง คนที่ได้เป็นแฟนกับเขาได้นั้นแปลว่าต้องเป็นนักชกมือฉกาจ และในเมื่อแกเก่งกล้าถึงขนาดนั้น เหล่าแฟนคลับเขาเลยเรียกแกว่า เจ้าแม่แรร์ไอเทม ไงเก็ทเนอะ”“เก็ทก็ได้ค่ะคุณเพื่อน”“ว่าแต่แกเถอะจะย้ายร้านเมื่อไหร่”“ก็คงจะสิ้นเดือนนี้พอดีนั้นแหละ ร้านใหม่ในพื้นที่ของโรงพยาบาลของฉางเหอน่าจะตกแต่งเสร็จพอดี”“ฉันขออนุญาตหมั่นไส้แกแรงๆหน่อยได้ไหม”“แกมาหมั่นไส้ฉันทำไมเนี่ย”เธออดจะขำออกมาเสียงดังไม่ได้ กับท่าทีที่ดูตลกของเฟ่งเสี่ยวซ่ง ที่เดียวๆทำคิ้วขมวด เดียวก็ทำหน้าบิดเบี้ยว“แกรู้ตัวไหมว่าตัวเองเปลี่ยนไปจากเดิมมากแค่ไหน” เฟ่งเสี่ยวซ่งเดินเข้ามาใกล้เพื่อนสนิทก่อนจะจับที่แข
ตอนที่ 20 ความปรารถนาที่แท้จริง(ตอนจบ)นี่ก็ผ่านมาเกือบจะหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เธอตื่นขึ้นมาที่ห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล ด้วยสาเหตุที่ว่าเธอสลบไปเพราะตกใจเสียงฟ้าผ่า ไม่ใช่เพราะถูกฟ้าผ่าใส่แต่อยากใดทุกครั้งที่เธอหลับตา เธอยังคงนึกไปถึงเรื่องในอีกมิติหนึ่งที่เกิดขึ้น เธอกำลังสับสนไม่แน่ใจแล้วว่าเรื่องที่เธอพลัดไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งนั้นเป็นความจริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่เธอฝันไปเองเท่านั้นยามที่เธอตื่นขึ้นมาครั้งแรก ก็เจอเข้ากับเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทของเธอเท่านั้นที่มาเฝ้าเธออยู่พอดี เฟ่งเสี่ยวซ่งบอกกับเธอเพียงว่าร่างกายของเธอปกติทุกอย่างแต่กับนอนไม่ได้สติมาถึงสองอาทิตย์เต็ม ซึ่งถ้าเทียบกับเวลาในอีกมิติหนึ่งนั้นค่อนข้างที่จะแตกต่างกันอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เพราะเธออยู่ในมิตินั้นราวๆสามเดือนเห็นจะได้วันนี้เป็นวันที่เธอออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ผู้ที่มารับเธอออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฟ่งเสี่ยวซ่งเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของเธอนั้นแหละ“ซู่ถงแกเดินไหวแน่นะ ไม่ใช่ว่าเดินๆไปแล้วแกล้มขึ้นมาฉันจับไม่ทันแกจะเจ็บตัวเอานะ”เฟ่งเสี่ยวซ่งเอ่ยถามเพื่อนสาวที่ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาก็เงียบผิดปกติ อีกท
ตอนที่ 19 จากไปในที่ๆจากมาหานอี้มองภาพของฮูหยินน้อยของนางที่กำลังพิงอยู่ที่ตัวของท่านเขยอย่างสงสารจับใจ นางพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมาให้ท่านเขยเห็นเพราะกลัวจะยิ่งทำให้ท่านเขยใจไม่ดีฮูหยินน้อยเริ่มมีอาการไม่ค่อยดีมาตั้งแต่ช่วงค่ำ หากนางเชิญท่านหมอมาดูฮูหยินน้อยตั้งแต่ตอนนั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นไม่นานนักฟ่งสือก็เดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับท่านหมอตงและผู้ช่วยคนหนึ่ง “เรียนนายท่านฉู่ข้าน้อยได้ตรวจอาการของฮูหยินน้อยดูแล้ว มิมีสิ่งใดผิดปกติเลย มิได้มีโรคอันใดแทรกซ้อน มีเพียงแค่ชีพจรเท่านั้นที่เต้นอ่อนยิ่งนักขอรับ” หมอตงเอ่ยออกมาอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมาก “เช่นนั้นแล้วนางเป็นอันใดถึงได้กระอักเลือดออกมาเช่นนี้!!!” เขาลูบใบหน้าเล็กที่ยามนี้ซีดเซียวไร้สีเลือด ของคนในอ้อมแขนก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยก็พึ่งเคยพบอาการเช่นฮูหยินน้อยเป็นเป็นครั้งแรกขอรับ”หมอตงเอ่ยขึ้น เขาเป็นหมอมาหลายสิบปีกับไม่เคยเห็นอาการเช่นนี้ ทุกอย่างรวมไปถึงชีพจรแม้จะเต้นอ่อนยิ่งนักแต่ก็เป็นปกติอยู่ แต่กับมีอาการกระอักเลือดออกมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ“ฟ่งสือ เจ้าไป