อาเฟยวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ตำหนักใหญ่ในสภาพร้องไห้กระซิกๆ เลือดอาบ หน้าตาเลอะเทอะ จนบ่าวรับใช้ของตำหนักใหญ่เห็นแล้วตกใจ ไม่ยอมให้เข้า
“ข้าจะขอพบท่านอ๋อง…คุณชายแย่แล้ว…คุณชายแย่แล้วขอรับท่านอ๋อง” อาเฟยส่งเสียงตะโกนดังที่สุดเท่าที่จะดังได้
บ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้าฉุดลากอาเฟยจะให้ออกไปให้พ้นหน้าประตูตำหนักใหญ่ แต่อาเฟยแข็งขืนและร่ำร้องถ้อยคำเก่าซ้ำๆ
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเลยตวาดว่า ”ถ้าไม่หยุดส่งเสียงก่อกวน ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
“มีอะไรกัน?” เสียงหลิวกงกงดังแทรกขึ้น แล้วเจ้าของเสียงก็เดินอย่างรวดเร็วเข้ามาใกล้ “เอะอะโวยวายอยู่หน้าตำหนักใหญ่ ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรืออย่างไร?”
“กงกง…กงกง…คุณชายๆ” อาเฟยพูดไปหอบไป
“คุณชายตีเจ้าจนกลายเป็นสภาพนี้หรือ?”
“ไม่ใช่…” อาเฟยส่ายหน้า แต่ไม่ทันกล่าวต่อ
หลิวกงกงก็เอ่ยขัดขึ้น “หรือคุณชายไม่สบายอีก?”
“ไม่ใช่…” อาเฟยส่ายหน้าอีก
“ไอ้นั่นก็ไม่ใช่ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่…เจ้าจะเล่นตลกอะไร?”
อาเฟยตั้งสติตะเบ็งเสียงว่า “คุณชายถูกคนของพระชายาจับตัวไป!”
“หา!” หลิวกงกงอุทานหน้าตื่น “ขะ ข้าจะรีบไปรายงานท่านอ๋อง” แล้วเร่งรีบเดินเข้าไปข้างในตำหนัก
พอไปถึงห้องหนังสือ…หลิวกงกงก็ถูกหวังกงกงขวางเอาไว้พลางกระซิบ
“มีเรื่องสำคัญมากหรือไม่?”
“จะว่าสำคัญมากก็สำคัญมาก จะว่าสำคัญไม่มากก็ไม่มาก” หลิวกงกงตอบเสียงเบา
“ถ้ามิได้สำคัญมากจริงๆ อย่าเพิ่งรบกวนท่านอ๋องจะดีกว่า” หวังกงกงกล่าวเสียงไม่ดังไปกว่ากระซิบ
ทำให้หลิวกงกงลำบากใจ…พระชายามิใช่เพิ่งทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก ตลอดห้าปีที่ผ่านมา นางจะจงเกลียดจงชังทุกคนที่ไท่ชินอ๋องเรียกมาปรนนิบัติบนเตียง อี๋เหนียงคนใดที่ได้มารับใช้ไท่ชินอ๋อง ล้วนถูกนางเรียกตัวไปสั่งสอน แต่ท่านอ๋องก็มิได้ใส่ใจ
ครู่ใหญ่ต่อมา…ไท่ชินอ๋องก็เงยหน้าจากกองหนังสือราชการตรงหน้า
“หลิวยี่”
“ขอรับ” หลิวกงกงน้อมกายรับคำ
“คืนนี้ไปรับชิงชิงมา” ไท่ชินอ๋องสั่งพลางยกยิ้มมุมปาก “นอนกอดเด็กคนนี้ ข้าหลับสบายจริงๆ”
“เอ้อ…คือ…” หลิวกงกงตัดสินใจไม่ถูกว่าควรบอกดีหรือไม่บอกดี
“มีอะไรก็รีบพูดมา อย่ามัวอ้ำอึ้ง” ไท่ชินอ๋องสั่งเสียงเข้ม
“เวลานี้คุณชายถูกคนของพระชายาจับตัวไปขอรับ”
สีหน้าของไท่ชินอ๋องเย็นชาฉับพลัน
“ทำไมเจ้าไม่รีบบอกข้า”
แล้วผลุนผลันรีบตรงไปยังตำหนักพระชายาฟางหมิงซินอย่างรวดเร็ว โดยมีองครักษ์ซ้าย องครักษ์ขวา หวังกงกง และหลิวกงกงตามไปติดๆ
ที่ตำหนักพระชายาฟางหมิงซิน…
หลี่ชิงถูกชายฉกรรจ์ร่างใหญ่แข็งแรงสองคนจับแขนกดกับพื้น และชายฉกรรจ์อีกสองคนใช้ไม้พลองโบยตีจนสลบ
“เรียนพระชายา ผู้แซ่หลี่หมดสติไปแล้วขอรับ” ชายฉกรรจ์ที่ทำหน้าที่โบยตีรายงานพระชายาฟางหมิงซินที่นั่งบนเก้าอี้หรูดูการโบยอย่างสะใจอยู่
“เอาน้ำเย็นผสมเกลือสาดให้ฟื้น แล้วโบยต่อจนกว่าจะตาย”
“ขอรับ”
ซ่าาาา…น้ำเย็นจัดสาดลงบนศีรษะและบนเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผลของหลี่ชิง ทำให้เด็กหนุ่มค่อยๆ ฟื้นคืนสติ
“โบยต่อไป” เสียงพระชายาฟางหมิงซินที่ฟังคล้ายเสียงมัจจุราชในความรู้สึกของเด็กหนุ่มดังขึ้น
หลี่ชิงหลับตา…ความเจ็บปวดและแสบแผลสุดทานทนทำให้เขาอยากจะสิ้นใจตายไปเสียให้พ้นๆ
แต่แล้วในความสิ้นหวัง…เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น
“หยุด!”
พร้อมกับเสียงตวาด…ร่างกำยำแข็งแกร่งของไท่ชินอ๋องก็กระโจนเข้ามากระแทกชายฉกรรจ์ที่ทำร้ายหลี่ชิงทั้งสี่กระเด็นออกไป…แล้วยอบกายลงตรวจดูลมหายใจของร่างบอบบางบนพื้น พอรู้ว่าอีกฝ่ายยังเหลือลมหายใจอยู่ ก็มีสีหน้าดีขึ้นนิดหนึ่ง
พระชายาฟางหมิงซินรีบลุกจากเก้าอี้ เข้ามายอบกายด้วยกิริยาอ่อนช้อย ไม่ทันยืดกายขึ้น ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ตบผัวะ จนหน้าสะบัด ร่างอ้อนแอ้นถลาไปฟุบกับพื้นด้านข้าง
นางยังงุนงง ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง…ก็นางเคยจัดการกับอนุชายานางอื่นๆ แต่ไท่ชินอ๋องก็ไม่ได้สนใจ
แม้ครั้งนี้…นางจะทำรุนแรงกว่าทุกครั้ง แต่ใครใช้ให้มันได้ค้างคืนในตำหนักใหญ่เล่า ขนาดนางเอง…ไท่ชินอ๋องเคยมาหาแค่สองสามครั้งเมื่อแรกสมรส ก็ยังไม่เคยค้างคืนกับนางเลย ทำเหมือนรีบๆ ทำให้เสร็จๆ ไป
ที่ยิ่งแค้นคือ…รอยเม้มจูบที่ต้นคอของมัน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า จะมีรอยเช่นนี้อีกมากมายแค่ไหนในใต้ร่มผ้าของมัน
ในเมื่อมันมีความสุขนัก ก็ตีมันให้ตายเสียเลย!
“ฟางหมิงซิน” ไท่ชินอ๋องขบกราม “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเหี้ยมโหดถึงขนาดนี้!”
“ท่านอ๋อง” พระชายาฟางหมิงซินรีบพยุงตัวเองขึ้นนั่งคุกเข่าบนพื้นตรงหน้าไท่ชินอ๋อง แก้ตัวว่า “ในตอนแรก…ข้าน้อยแค่เชิญหลี่…ชิง มาพบปะสนทนาถามทุกข์สุขเท่านั้น แต่เขาพูดจาเหยียดหยามท่านอ๋องว่า ท่านอ๋องเหมือน…เอ้อ…”
“เหมือนอะไร?”
“ควายตัวหนึ่ง…เขาจะจูงไปซ้ายก็ซ้าย ไปขวาก็ขวา…ข้าน้อยทนไม่ได้ จึงให้ลงทัณฑ์เขาเจ้าค่ะ”
“เขาจะพูดเช่นนี้จริงหรือไม่ รอให้เขาหายจากบาดเจ็บ ข้าจะถามเขาเอง แต่ถ้าเขาตาย เจ้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
“ทะ ท่านอ๋อง” พระชายาส่งเสียงร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างตกใจอย่างมาก…เพราะนางรู้จักนิสัยใจคอของไท่ชินอ๋องดี...คำไหนคำนั้น!!!
หลิวกงกงนั้นพอเห็นสภาพบาดเจ็บของหลี่ชิง และความโกรธของไท่ชินอ๋อง ก็จะเข้าไปอุ้มร่างบอบบางขึ้นจากพื้น เพื่อพาไปรักษาตัวที่เรือนเล็ก แต่ไท่ชินอ๋องรีบห้ามว่า "อย่าแตะต้องเขา" หลิวกงกงชะงักมือ ถามว่า "จะให้สาวใช้มาประคองคุณชายหรือขอรับ?" "ยามนี้ห้ามผู้ใดแตะต้องเขาทั้งสิ้น นอกจากท่านหมอ" หลิวกงกงจึงรีบสั่งคนไปตามท่านหมอประจำจวนมาโดยด่วน เพียงไม่นาน…ท่านหมอก็มาถึง และตรวจดูอาการบาดเจ็บของหลี่ชิงโดยละเอียด แล้วสีหน้าของท่านหมอก็เคร่งเครียด “ท่านอ๋อง…คุณชายหลี่กระดูกสันหลังร้าวขอรับ ถ้าดูแลรักษาไม่ถูกวิธี คุณชายจะพิการไปตลอดชีวิต…ครั้งนี้นับว่าโชคยังดีที่ไม่มีผู้ใดแตะต้องหรือขยับเขยื้อนตัวของคุณชาย มิเช่นนั้นแล้วข้าน้อยก็จนปัญญาจะรักษาขอรับ” “อืม” ไท่ชินอ๋องรับคำในลำคอ...ในตอนแรกที่เขาเห็นสภาพเด็กหนุ่ม ก็คาดคะเนได้ลางๆ ว่าอาจจะถูกโบยจนบาดเจ็บถึงกระดูก จึงสั่งห้ามขยับเขยื้อนร่างบอบบาง แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้ ไท่ชินอ๋องปรายตามองพระชายาที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม แล้วออกคำสั่ง “ฟางหมิงซิน” “เจ้าคะ” พระชายาขานรับ คิดว่าคงจะได้รับการอภัย แต
หลังอาหารเย็น…หลิวกงกงก็พาอาเฟยมาพบหลี่ชิงตามที่หลี่ชิงต้องการอาเฟยได้รับการทำแผลที่หน้าผากมีผ้าพันปิดแผลเอาไว้เรียบร้อยแล้วและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน…พอเห็นคุณชายของตนนอนคว่ำอยู่บนเตียงก็จะถลาเข้าไปหาทันที “คุณชาย…” ทว่าถูกหลิวกงกงดึงตัวเอาไว้เสียก่อน “อาเฟย…แตะต้องตัวคุณชายสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ เพราะว่าคุณชายบาดเจ็บอยู่ เจ้าอาจจะทำให้คุณชายบาดเจ็บมากขึ้นกว่าเก่าได้” อาเฟยชะงัก แล้วจึงเห็นไท่ชินอ๋องที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ซึ่งตั้งอยู่ข้างเตียงนอน…ก็เลยรีบหมอบลงคำนับ “น้อมคารวะท่านอ๋องขอรับ” “อืม” ไท่ชินอ๋องรับคำ “ขอบใจเจ้ามาก…อาเฟย…ที่รีบมาส่งข่าวชิงชิงให้ข้ารู้ทันเวลา” แล้วหันไปสั่งหลิวกงกง “หลิวยี่…เบิกเงินจากพ่อบ้านเจาหนึ่งพันตำลึงทองมอบให้อาเฟยเป็นรางวัล” “พะ พันตำลึงทอง” อาเฟยตื่นเต้นจนตะกุกตะกัก “ช่างมากมาย…มากมายเหลือเกิน” แล้วบอกกับหลี่ชิงอย่างดีใจจนลืมตัวว่า “คุณชาย …บ่าวมีเงินให้คุณชายขอยืมแล้ว” “หือ?” ไท่ชินอ๋องเลิกหัวคิ้วเข้มขึ้น “ชิงชิงขอยืมเงินเจ้าไปเมื่อไหร่ เอาไปทำอะไร จงบอกข้ามาให้หมด” “เอ้อ…อ้า…” อาเฟยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เรื่องที่ตน
“ท่านย่า…” ฟูเหรินใหญ่เรียกแม่สามี (ธรรมเนียมจีน…ลูกสะใภ้จะเรียกแม่สามีว่าท่านย่า ตามอย่างที่ลูกๆ ของตนเองเรียก) แล้วชิงฟ้องว่า “ข้าถูกท่านพี่ตบตี ชีวิตข้าช่างระทมขมขื่นนัก” “อาไฉ…เจ้าตีอาเหลียนด้วยเรื่องอันใด? ทำไมมีอะไรไม่ค่อยพูดค่อยจากัน?” ฟูเหรินผู้เฒ่าเอ่ยเหมือนตำหนิบุตรชายของตนเองกลายๆ แต่น้ำเสียงไม่ได้จริงจังนัก “ท่านแม่…นั่งลงก่อน” อำมาตย์หลี่เข้าไปช่วยประคองมารดามานั่งที่เก้าอี้ข้างโต๊ะน้ำชา แล้วไล่สองสาวใช้ออกไปจากห้องโถงใหญ่แห่งนั้น “มีอะไรหรืออาไฉ? ทำไมเจ้าท่าทางเคร่งเครียดอย่างนี้?” คนเป็นมารดาถามอำมาตย์หลี่ หลี่ไฉถอนหายใจเฮือก “ท่านแม่…คราวนี้ครอบครัวของพวกเราจะอยู่หรือจะตายล้วนขึ้นอยู่กับซูไห่ถังเพียงผู้เดียว” “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?” ฟูเหรินผู้เฒ่าถาม“เช้านี้ในที่ประชุมขุนนาง…ไท่ชินอ๋องประกาศแต่งตั้งอาชิงขึ้นเป็นกุ้ยหวางเฟย” “หา…” ฟูเหรินผู้เฒ่าอุทาน “เมื่อวานมิใช่แต่งตั้งเป็นพระชายารองแล้วหรอกหรือ?” “ใช่ขอรับท่านแม่” อำมาตย์หลี่รับคำ “วันนี้กลับเลื่อนยศขึ้นเป็นกุ้ยหวางเฟย” สีหน้าฟูเหรินผู้เฒ่าก็เปลี่ยนเป็นไม่ดีนัก ก่อนจะถามว่า “ม
ในเวลาเช้า…หลังมื้ออาหารที่หลิวกงกงบรรจงป้อนให้แก่หลี่ชิง โดยมีอาเฟยเป็นลูกมือ…ท่านหมอก็มาเปลี่ยนยาให้ แต่คราวนี้ท่านหมอพาช่างตัดเสื้อผู้ชายมาด้วยคนหนึ่ง ช่างตัดเสื้อคนนี้แซ่ฉินนามซ่ง มีวัยกลางคน พอท่านหมอเปลี่ยนยาเรียบร้อย ช่างตัดเสื้อก็ทำการวัดตัวของหลี่ชิงอย่างละเอียด แล้วออกไปยืนด้านข้างอย่างสงบ ท่านหมอห่มผ้าแพรและผ้านวมให้หลี่ชิงแล้ว ก็ยืนรายงานว่า “บาดแผลที่หลังของกุ้ยหวางเฟยดีขึ้นมากแล้วขอรับ” “อีกกี่วันข้าถึงจะขยับเนื้อขยับตัวได้ท่านหมอ ข้าปวดเมื่อยไปหมดแล้ว” หลี่ชิงบอกท่านหมอเสียงละห้อย “ขอให้กุ้ยหวางเฟยได้โปรดอดทนอีกสักหน่อยขอรับ ข้าน้อยได้ให้ช่างตัดเสื้อวัดตัวกุ้ยหวางเฟยเพื่อตัดเย็บเสื้อเกราะอ่อนให้ท่าน อีกสามสี่วันท่านก็จะสามารถลุกขึ้นนั่งยืนเดินได้ แต่ต้องไม่ขยับเคลื่อนไหวรุนแรง และต้องสวมเสื้อเกราะอ่อนเอาไว้ตลอดเวลา” ท่านหมอกล่าว “เสื้อเกราะอ่อนคืออะไรหรือท่านหมอ?” หลี่ชิงถามอย่างสงสัย “เป็นเสื้อที่ข้าน้อยคิดค้นมาให้แก่กุ้ยหวางเฟยโดยเฉพาะขอรับ เลียนแบบเกราะหวายของทหาร แต่เสื้อเกราะของท่านจะใช้ผ้าแพรเนื้อดีนุ่มละมุน ตัดเย็บสองช
พระชายาฟางหมิงซินเข้าพระราชวังไปขอเข้าเฝ้าไทเฮา ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนาง เพราะมารดาของพระชายาเป็นอาหญิงของไทเฮาเจียงซู่จิ่นไทเฮาเจียงซู่จิ่นอนุญาตให้พระชายาฟางหมิงซินเข้าเฝ้าในห้องโถงรับรองในพระตำหนัก เมื่อไทเฮารับการถวายบังคมจากพระชายาแล้ว ก็ออกปากเชิญพระชายานั่งลงสนทนากัน “ไทเฮา…ท่านต้องช่วยข้านะเพคะ” พระชายาฟางหมิงซินเอ่ย พลางบีบน้ำตา “ข้าถูกรังแก” “ใครกันขวัญกล้า กล้ารังแกเจ้า?” ไทเฮายกถ้วยน้ำชาขึ้นดื่มคำหนึ่ง “เขาชื่อหลี่ชิง เป็นบุตรชายของอำมาตย์หลี่ไฉ…อยู่ๆ ท่านอ๋องก็รับเขามาเป็นชายบำเรอ…ข้านึกประหลาดใจ จึงเรียกเขามาพบ เขากลับทำยโสใส่ข้า อวดว่าตนเองเป็นที่โปรดปรานของท่านอ๋องยิ่งกว่าใครๆ ข้าจึงสั่งสอนเขา ทว่าท่านอ๋องกลับให้ท้ายเขา ทำโทษข้า ตบหน้าข้า ให้ข้าคุกเข่าตากแดดตากลม จนข้าเป็นลมล้มป่วย ท่านอ๋องยังไม่ยอมมาเยี่ยมเยียนข้าสักนิด ขลุกอยู่แต่ในห้องกับเขาตลอดเวลา” พระชายาเล่าบางส่วน ปิดบังบางส่วน พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น “หลี่ชิง…” ดวงตาสวย คม และดุ ของไทเฮาวัยยี่สิบสาม เป็นประกายวาววูบหนึ่ง “ผู้ที่ไท่ชินอ๋องประกาศแต่งตั้งเป็นกุ้ยหวางเฟย?” “ใช่แล้ว
“เพราะท่านพี่หน้ามืดตามัวหลงใหลความสวยงามของนาง พอนางบอกว่าท้องกับท่านพี่ ท่านพี่ก็รีบไถ่ตัวนางจากหอคณิกาเอาเข้าบ้านทันที ท่านพี่ทำให้ข้าช้ำใจยิ่งนัก” ฟูเหรินใหญ่ยังคงฟูมฟายพร่ำบ่นเรื่องราวความหลังครั้งเก่า อำมาตย์หลี่ไฉพ่นลมหายใจแรงๆ อย่างแสนรำคาญ “แล้วมิใช่เจ้าหรอกหรือ ที่เอาน้ำเดือดสาดใส่ใบหน้าของนาง จนนางเสียโฉม หน้าตาราวกับผี” “ถ้าข้าไม่ทำเช่นนั้น…ท่านพี่ก็คงยังหลงนางจนโงหัวไม่ขึ้น ดีไม่ดีอาจจะมีลูกชู้อีกหลายคน” ฟูเหรินใหญ่เอ่ยเสียงแดกดัน “พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?” อำมาตย์หลี่ไฉถาม “ท่านพี่รู้เอาไว้เสียด้วย…ยามที่ท่านพี่ไม่อยู่บ้าน มีผู้ชายมาหานางไม่เว้นแต่ละวัน แต่พอเห็นหน้าตาที่เหมือนผีของนาง ก็ไม่มาอีกเลย…นี่ถ้านางยังสวยยังงามเหมือนเดิม ท่านพี่ไม่พ้นถูกสวมหมวกเขียว(ถูกสวมหมวกเขียว=ภรรยามีชู้)ไปได้หรอก” ฟูเหรินใหญ่ใส่ร้ายอย่างเต็มปากเต็มคำ “เอาละๆ…” ฟูเหรินผู้เฒ่าเอ่ยแทรกขึ้น “เลิกทะเลาะเบาะแว้งด้วยเรื่องเก่ากันเสียที” ฟูเหรินใหญ่ส่งเสียงเบาๆ…เฮอะ อำมาตย์หลี่ไฉสะบัดแขนเสื้ออย่างไม่ค่อยพอใจ แต่ทั้งสองต่างสงบปากสงบคำ เพราะเกรงใจฟูเหริน
บ่ายวันนั้น… ไท่ชินอ๋องพาหลี่ชิงไปยังจวนของอำมาตย์หลี่ไฉ โดยนั่งเสลี่ยงสิบหกคนหาม ที่หรูหราโอ่อ่างดงามไป เพราะถ้าใช้รถม้า ท่านอ๋องเกรงจะกระเทือนถูกกระดูกสันหลังของหลี่ชิงขบวนเดินทางมาเยี่ยมบ้านของกุ้ยหวางเฟยมีทหารเกียรติยศบ่าวชายสาวใช้เดินนำหน้าและตามหลังเต็มยศ ขันทีประจำตัวของหลี่ชิงทั้งสองขี่ม้าศึกตัวใหญ่ประกบข้างเสลี่ยง โดยมีอาเฟยขี่ลามีบ่าวช่วยจูงตามหลังมาด้วยทีท่ายืดอกผึ่งผาย เพราะเขาเป็นบ่าวคนสนิทของกุ้ยหวางเฟย ที่จริงเขาเกือบจะได้ขี่ม้าศึกตัวโตแล้ว แต่ติดที่ว่าเขาบังคับม้าไม่เป็น เสี่ยวฉีจื่อจึงนำลาที่เชื่องที่สุดมาให้เขาขี่ เพื่อเป็นเกียรติเป็นศรีว่า เขามิใช่บ่าวธรรมดาสามัญที่ต้องเดินเท้า เมื่อขบวนเดินทางมาเยี่ยมบ้านของกุ้ยหวางเฟยมาถึงจวนของอำมาตย์หลี่ไฉ ซึ่งหลิวกงกงได้ล่วงหน้ามาสั่งการให้ทุกคนในบ้านออกมาคุกเข่าต้อนรับ ไม่เว้นแม้แต่ฟูเหรินผู้เฒ่า…พอเสลี่ยงถูกวางลงอย่างนุ่มนวล ไท่ชินอ๋องก็ประคองหลี่ชิงลงจากเสลี่ยง แล้วจึงมอบเขาให้ขันทีประจำตัวทั้งสองประคองเอาไว้ ส่วนไท่ชินอ๋องเดินผ่านอำมาตย์หลี่ไฉ ฟูเหรินผู้เฒ่า ฟูเหรินใหญ่ที่คุกเข่าเรียงกันอยู่ ไปประคองซูไห่ถังให้ลุ
วันรุ่งขึ้น… เกี้ยวเล็กสองคันจากจวนไท่ชินอ๋องก็ถูกส่งมายังจวนของอำมาตย์หลี่ไฉ หลิวกงกงผู้ขี่ม้ากำกับเกี้ยวมาด้วย ได้รับเชิญให้เข้าไปนั่งในห้องโถงใหญ่ ซึ่งฟูเหรินผู้เฒ่าและฟูเหรินใหญ่ออกมาให้การต้อนรับ เพราะอำมาตย์หลี่ไฉไปประชุมขุนนางที่ท้องพระโรงยังไม่ได้กลับจวนมา “ไท่ชินอ๋องสั่งให้ข้ามารับคุณหนูจินฮวาและคุณหนูอวี้ฮวาขอรับ” หลิวกงกงกล่าวน้ำเสียงสุภาพ ฟูเหรินผู้เฒ่ากับฟูเหรินใหญ่สบตากันด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “กงกงโปรดดื่มชารอสักครู่นะเจ้าคะ ข้าจะรีบไปพาพวกนางออกมา” ฟูเหรินใหญ่กล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “เชิญฟูเหรินใหญ่ตามสบาย” หลิวกงกงกล่าวเสียงนุ่มนวล ฟูเหรินใหญ่จึงรีบออกไปจากห้องโถงนั้น ตรงไปยังเรือนพักของบุตรสาวทั้งสองด้วยใจที่เต้นระทึกเพราะความสุขล้น “คราวนี้แหละ…จะเขี่ยเจ้าเด็กบัดซบนั่นให้ตกจากตำแหน่งกุ้ยหวางเฟย คอยดู!” ขณะเดียวกัน…ในห้องโถงใหญ่ ฟูเหรินผู้เฒ่าเอ่ยสนทนากับหลิวกงกงว่า “อาชิง…เอ้อ…ไม่ใช่สิ เดี๋ยวนี้ต้องเรียกว่า กุ้ยหวางเฟย…สบายดีหรือ?” หลิวกงกงยิ้มเล็กน้อย “ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ” “กงกงกล่าวเช่นนี้ ข้ามิเข้าใจ” ฟูเหรินผู้เ
"ดังนั้น...ข้ามีทางเลือกสามทาง คือ...หนึ่ง ปฏิเสธองค์ชายสาม สองรับองค์ชายสามเอาไว้ แล้วจะจัดการอย่างไรค่อยว่ากันอีกที อาจจะนำไปขังไว้ในคุก หรือกักบริเวณไว้ที่เรือนแห่งใดแห่งหนึ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ "แต่ข้าเลือกวิธีที่สาม ส่งเขากลับไปเป็นหอกทิ่มแทงองค์ชายใหญ่หลี่เผิง และใช้โอกาสนี้กวาดล้างตระกูลเฉาที่หนีเล็ดลอดไปภักดีต่อซีเป่ยด้วย" "ท่านอ๋องมั่นใจหรือว่าองค์ชายสามอ้ายหยางจะกลับซีเป่ยไปกำจัดเฉาฮั่น?" หลี่ชิงถาม "ยิ่งกว่ามั่นใจเสียอีก...เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว เฉาฮั่นสนับสนุนองค์ชายใหญ่ ช่วยวางแผนการกำจัดองค์ชายสาม เมื่อองค์ชายสามสามารถกลับไปยังซีเป่ย ก็ต้องจัดการกับเฉาฮั่นและครอบครัวเป็นอันดับแรก" หลี่ชิงพยักหน้าเห็นด้วย "แต่นั่น...องค์ชายสามจะต้องกลับให้ถึงเมืองหลวงของแคว้นซีเป่ยเสียก่อน" "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าองค์ชายสามอาจจะกลับไปไม่ถึงเมืองหลวงของแคว้นตนเองหรือ?" หลี่ชิงเอ่ยถาม ไท่ชินอ๋องไม่ได้ตอบในทันที แต่ดึงร่างบอบบางไปกอดเอาไว้ แล้วย้อนถามว่า "ถ้าเจ้าเป็นองค์ชายใหญ่ เจ้าจะทำอย่างไร หากคนของตนในคณะทูตส่งข่าวว่า องค์ชายสามกำลังจ
องค์ชายสามอ้ายหยางหน้าเปลี่ยนสี"พระบิดาและพี่ชายของเจ้ามั่นใจมากหรือว่าเจ้าจะครอบครองหนานหยางได้สำเร็จ?" ไท่ชินอ๋องกล่าวชัดถ้อยชัดคำ "ท่านอ๋อง...ท่านกล่าวอันใด ข้าน้อยมิรู้เรื่อง" องค์ชายสามอ้ายหยางยังพยายามจะปฏิเสธ "องค์ชาย..." ไท่ชินอ๋องเรียกเสียงหนักๆ "มีสารลับจากซีเป่ยถึงข้า บอกว่า...กวางตัวงามมาถึงปาก เคี้ยวเล่นสักเดือนสองเดือนแล้วฆ่าทิ้ง ก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตอะไร....เจ้าลองคิดดู ถ้าข้ารับเจ้าเป็นพระชายา เล่นสนุกสักเดือนสองเดือน แล้วประกาศว่าเจ้าป่วยตาย...พระบิดาและพี่ชายของเจ้าจะยกทัพมาแก้แค้นให้เจ้าหรือไม่?" องค์ชายสามอ้ายหยางขบริมฝีปากจนเลือดซิบ "การตายของเจ้า...พระบิดาของเจ้าอาจจะเสียใจอยู่บ้าง แต่รับรองว่าไม่มากพอที่จะยกทัพมาล้างแค้นให้กับเจ้า...ส่วนพี่ชายของเจ้านั้น เขาคงโล่งใจจนอยากจะหัวเราะเสียงดังๆ เสียด้วยซ้ำ" "ความหมายของท่านอ๋องคือ...?" องค์ชายสามอ้ายหยางเอ่ยถามเสียงเบา "อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า อย่าตะเกียกตะกายให้ลำบากเลย...ส่วนอะไรที่สมควรเป็นของเจ้า ไยจึงไม่ไขว่คว้า...เจ้าทิ้งซีเป่ยมาคว้าหนานหยางมิเป็นการทิ้งของในกำมือไปไขว่คว้าเงาหรอกหรื
เช้าวันรุ่งขึ้น...คณะทูตเข้าพบไท่ชินอ๋องที่ท้องพระโรงอีกครั้ง ท่านทูตน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีอันดีงามระหว่างแคว้นซีเป่ยกับแคว้นหนานหยาง...ทางซีเป่ยจึงขอมอบองค์ชายสามอ้ายหยางให้เป็นพระชายาของไท่ชินอ๋อง หวังว่าไท่ชินอ๋องและไท่หวางเฟยจะยินดีต้อนรับองค์ชายแห่งซีเป่ยขอรับ" หลี่ชิงนึกไม่ถึงว่า...อีกฝ่ายจะเล่นไม้นี้ พอชิงตำแหน่งไท่หวางเฟยไม่ได้ ก็ยอมเป็นน้อยเพื่อเข้ามาอยู่วงใน...เจตนาไม่ดีชัดๆ แต่เขาอยู่ในฐานะที่พูดอะไรก็มีแต่เสีย...เพราะทุกคนจะลงความเห็นเป็นว่า เขาใจแคบหึงหวง ไม่สมกับเป็นไท่หวางเฟย! ทว่าเขามั่นใจว่า...ไท่ชินอ๋องก็ต้องดูออกเช่นกัน ...จึงลอบชำเลืองมองผู้เป็นสามี ไท่ชินอ๋องมีสีหน้ายิ้มแย้ม ตอบว่า"เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด...เพียงแต่ข้าต้องการจะสนทนากับองค์ชายสามอ้ายหยางตามลำพังสักครู่หนึ่ง ขอให้ทุกท่านรออยู่ที่นี้" ว่าแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเดินมาจูงมือหลี่ชิงไปด้วย ทั้งสามเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัว "ไท่ชินอ๋องมิใช่ว่าจะสนทนากับข้าน้อยตามลำพังหรอกหรือ?" องค์ชายสามอ้ายหยางกล่าวถาม พลาง
หลังจากองค์ชายสามอ้ายหยางกับท่านทูตจากแคว้นซีเป่ยแยกไปแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็พาทุกคนกลับพระราชวังแล้วไท่ชินอ๋องได้พาหลี่ชิงไปยังห้องทำงานสำคัญที่แยกต่างหากจากห้องทำงานที่ใช้พิจารณาฎีกา ห้องนี้หลี่ชิงเพิ่งจะได้เข้ามาเป็นครั้งแรก อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ห้องตกแต่งเรียบหรูด้วยโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่หลังโต๊ะ ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่นั่งของไท่ชินอ๋องพอหลี่ชิงถูกจูงมือเข้ามาด้วย...ราชองครักษ์ก็จัดแจงยกเก้าอี้ที่มีพนักและเท้าแขนมาตั้งข้างๆ เก้าอี้ของไท่ชินอ๋องให้หลี่ชิงนั่ง และยกอีกตัวมาให้อ๋องสี่นั่ง เมื่อทั้งสามคนสำคัญนั่งลงเรียบร้อย...หวังกงกงก็ประสานมือน้อมคำนับ "คารวะไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟย และท่านอ๋องสี่" "ไม่ต้องมากพิธี" ไท่ชินอ๋องเอ่ย "หวังเสียงได้ความว่าอย่างไร เล่ามาซิ" "ขอรับ" หวังกงกงรับคำ แล้วรายงานว่า "เรื่องที่องค์ชายสามอ้ายหยางมาที่แคว้นหนานหยางมีเบื้องหลังเกิดจากคนขายชาติขอรับ คนผู้นั้นก็คือเฉาฮั่นน้องชายของเฉาฮั่ว และเป็นอาของเฉาฉุน...เฉาฮั่นพาครอบครัวตระกูลเฉาที่เหลือไปอยู่ที่ซีเป่ย เขามีสหายอยู่ที่นั่น สหายของเขาเป็นขุนนางยศสูงพอส
หลังจากกินอาหารเสร็จ...ไท่ชินอ๋องก็เอ่ยชวนหลี่ชิงว่า "ชิงชิง...เดี๋ยวพวกเราไปเดินเที่ยวเล่นชมตลาดกันดีกว่า" "ขอรับ" หลี่ชิงรับคำเบาๆ "เชิญองค์ชายสามและท่านทูตด้วย" ไท่ชินอ๋องออกปากชวนผู้เป็นแขกบ้านแขกเมือง องค์ชายสามอ้ายหยางเริ่มไม่ค่อยไว้วางใจในตัวไท่ชินอ๋องนัก ว่าจะเล่นงานอะไรเขาอีก จึงปฏิเสธว่า "ข้าน้อยมิชอบผู้คนเบียดเสียด ขอตัวกลับที่พักก่อนขอรับ" "เจ้ามิใช่บอกว่าชอบศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมของหนานหยางหรอกหรือ?" ไท่ชินอ๋องกล่าว "ข้าจึงใคร่จะทำหน้าที่เจ้าบ้านพาเจ้าและท่านทูตชมชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านชาวเมืองของหนานหยางที่แท้จริง มิใช่อ่านเพียงในตำหรับตำรา" ทำให้องค์ชายสามอ้ายหยางไม่อาจหลีกเลี่ยง "เช่นนั้น...ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง" "มิใช่คำสั่งแต่เป็นคำเชิญ" ไท่ชินอ๋องแก้ แล้วจูงมือหลี่ชิงเดินออกจากเหลาสุราไปยังจัตุรัสกลางเมือง ซึ่งคึกคักด้วยผู้คนและร้านรวงตลอดจนแผงค้าขาย โดยมีท่านทูต และองค์ชายสามจากซีเป่ย อ๋องสี่และพระชายาอาเฟย ติดตามมาด้วย ราชองครักษ์และทหารรักษาความปลอดภัยปะปนอยู่ในฝูงชน โดยไม่ได้ขับไล่หรือรบกวนกิจกรรมของชาวบ้านแต่อย่างไร เพร
องค์ชายสามอ้ายหยางรู้สึกขัดใจอย่างยิ่ง...ให้เขาแข่งม้ากับเด็กจูงม้านะหรือ? ชนะก็ไม่ได้เกียรติอันใด แต่ถ้าแพ้จะต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ ยิ่งกว่านั้น...เขาไม่มีวันแข่งขันกันคนชั้นต่ำแบบนั้นหรอก! จึงลงจากม้าแล้วเดินเข้าไปยังพลับพลา ค้อมศีรษะให้แก่ไท่ชินอ๋อง "น้อมเรียนไท่ชินอ๋อง หากไท่หวางเฟยหลี่ชิงไม่สะดวกที่จะร่วมสนุกกับข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่สนใจจะร่วมแข่งขันกับผู้อื่นขอรับ" "น่าเสียดาย มาถึงสนามม้าทั้งที ถ้ามิได้ดูการแข่งม้าก็เสียรสชาติยิ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าว และสั่งราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า "สั่งลงไป...ให้จัดเด็กฝึกหัดเลี้ยงม้า มาแข่งขันกันให้ชมดูหน่อย" "ขอรับ" ราชองครักษ์น้อมรับคำ แล้วไปปฏิบัติ ส่วนองค์ชายสามอ้ายหยางนั้นกลับไปนั่งที่ของตน ซึ่งอยู่ในพลับพลาเดียวกันไม่ห่างนักเพียงครู่เดียว...เด็กอายุสิบสองสิบสามจำนวนสิบห้าคนต่างขี่ม้าตัวใหญ่ให้เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มแสดงการขี่ม้าแบบต่างๆ อย่างโลดโผน "ชิงชิง...เจ้าดูเด็กพวกนี้สิ มีผู้ใดบ้างที่ขี่ม้าด้อยกว่าองค์ชายสาม?" ไท่ชินอ๋องกระซิบถามหลี่ชิงที่เขาโอบกอดไม่ปล่อย "หากเ
พอเสียงปรบมือซาลง...องค์ชายสามอ้ายหยางก็ค้อมคำนับให้แก่ไท่ชินอ๋อง แล้วกล่าว "ข้าน้อยด้อยฝีมือทางอักษรศาสตร์ ทำขายหน้าต่อหน้าไท่ชินอ๋องแล้ว" พระชายาอาเฟยได้ยินได้แต่ขบฟัน...เจ้าเสมอกับเกอเกอของข้า เจ้าบอกว่าขายหน้า อย่างนี้ก็หมายความว่า เกอเกอของข้าก็ต้องขายหน้าด้วยนะสิ...ข้าโมโหยิ่งนัก อยากเอาฝุ่นสกปรกริมทางเดินมาใส่ในน้ำชาให้เจ้ากินยิ่งนัก! "อาเฟย...สายตาประสงค์ร้ายของเจ้าโจ่งแจ้งมากเกินไป" อ๋องสี่กระซิบบอกพระชายาของตน "เก็บอาการหน่อย" "ช่างข้า" พระชายาอาเฟยเสียงสะบัด "ไม่สนับสนุนข้าก็เฉยไปเลย ไม่ต้องมาซ้ำเติมข้า... จะอย่างไร องค์ชายเทียนเป่าก็เข้าใจข้ามากที่สุด" ก็เจ้าทั้งสองคนมันเด็กเมื่อวานซืนเหมือนกันนี่...อ๋องสี่คิดในใจ องค์ชายสามอ้ายหยางคลี่ยิ้มเย้ายวนใจแล้วกล่าวต่อ "แต่ข้าน้อยยังใคร่ขอโอกาสขอการชี้แนะทางดนตรีจากไท่หวางเฟยหลี่ชิงสักครั้ง" แล้วหันไปทางไท่หวางเฟยหลี่ชิงพลางค้อมศีรษะให้ "หวังว่าไท่หวางเฟยจะไม่ปฏิเสธเรื่องเล็กน้อยนี้นะขอรับ" "ชิงชิง...ถ้าไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ" ไท่ชินอ๋องเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ทว่าหนักแน่นหลี่ชิงมอง
องค์ชายสามอ้ายหยางเม้มปากนิดหนึ่ง แล้วหันมายิ้มให้แก่ไท่หวางเฟยหลี่ชิงอย่างอ่อนหวาน ก่อนจะน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "ข้าได้ยินกิตติศัพท์อันโด่งดังของไท่หวางเฟยหลี่ชิงว่า...มีความสามารถจนได้รับการยกเว้นจากกฎมนเทียรบาลที่ห้ามมิให้ฝ่ายในเกี่ยวข้องกับราชกิจ ไท่หวางเฟยจึงสามารถช่วยไท่ชินอ๋องอ่านฎีกาได้ ความรู้ความสามารถของไท่หวางเฟยย่อมต้องมีมากล้น ข้าขอบังอาจขอศึกษาจากท่านสักเล็กน้อย เพราะข้านั้นมีความรักในภาษาและวัฒนธรรมของหนานหยางยิ่งนัก หากได้รับการชี้แนะจากไท่หวางเฟยบ้าง นับว่าเป็นวาสนาของข้ายิ่งนัก""องค์ชายกล่าวยกย่องเกินไป" หลี่ชิงได้แต่ตอบตามแบบแผน เพราะอีกฝ่ายไล่ต้อนด้วยคำพูดที่ฟังดูอ่อนหวาน ทว่าเคลือบอาบด้วยยาพิษ "ความรู้ของข้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น""ข้าเองก็มีความรู้เพียงหางอึ่ง...แต่ใคร่ขอแลกเปลี่ยนความรู้กับท่าน หวังว่าท่านจะให้เกียรติ" องค์ชายสามอ้ายหยางยังคงยืนกราน"เช่นนั้น...นับถือมิสู้ทำตาม" หลี่ชิงจำต้องรับปากในที่สุดเจ้ากรมพิธีการเห็นไท่ชินอ๋องมิได้คัดค้านอันใด ก็สั่งให้ยกโต๊ะเก้าอี้และกระดาษพร้อมเครื่องเขียนมาให้ไท่หวางเฟยหลี่ชิงกับองค์ชายสามอ้ายหยางคนละชุดอาเฟยเอียงต
ที่ท้องพระโรง...ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟยหลี่ชิง มหาเสนาบดีอ๋องสี่ และพระชายาอาเฟย ล้วนนั่งประจำตำแหน่งเพื่อต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย เพียงแต่ฮ่องเต้น้อยมิได้เสด็จเนื่องเพราะเมื่อวานอากาศร้อน ฮ่องเต้น้อยจึงทรงเล่นน้ำนานไปหน่อย เมื่อเช้าก็เลยพระวรกายร้อน มีไข้เล็กน้อยไท่ชินอ๋องสั่งให้หมอหลวงมาดูพระอาการ แล้วให้หลานกงกงดูแลฮ่องเต้น้อยพักผ่อน และสั่งเด็ดขาด...ห้ามซนเล่นน้ำอย่างเมื่อวานอีก!ดังนั้น...ฮ่องเต้น้อยจึงมิได้ออกนั่งบัลลังก์ว่าราชการคณะทูตแคว้นซีเป่ยนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายแด่แคว้นหนานหยางตามธรรมเนียม เพราะเมื่อเจ็ดปีก่อนไท่ชินอ๋องได้กรีฑาทัพไปปราบแคว้นซีเป่ย และปราบสำเร็จเมื่อสี่ปีที่แล้ว นับจากนั้นแคว้นซีเป่ยก็ส่งบรรณาการมาให้แก่แคว้นหนานหยางเป็นประจำทุกปีแต่ปีนี้พิเศษ...เพราะคณะทูตที่คุมเครื่องบรรณาการมาด้วยเป็นคณะใหญ่เต็มยศ"ข้าในนามของแคว้นหนานหยางยินดีต้อนรับคณะทูตจากแคว้นซีเป่ย" ไท่ชินอ๋องกล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการ"พวกข้าน้อยในนามของคณะทูตจากแคว้นซีเป่ยรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง" หัวหน้าคณะทูตน้อมคำนับพลางกล่าว "ปีนี้นอกจากของบรรณาการตามธรรมเนี