อาเฟยวิ่งกระหืดกระหอบมาที่ตำหนักใหญ่ในสภาพร้องไห้กระซิกๆ เลือดอาบ หน้าตาเลอะเทอะ จนบ่าวรับใช้ของตำหนักใหญ่เห็นแล้วตกใจ ไม่ยอมให้เข้า
“ข้าจะขอพบท่านอ๋อง…คุณชายแย่แล้ว…คุณชายแย่แล้วขอรับท่านอ๋อง” อาเฟยส่งเสียงตะโกนดังที่สุดเท่าที่จะดังได้
บ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้าฉุดลากอาเฟยจะให้ออกไปให้พ้นหน้าประตูตำหนักใหญ่ แต่อาเฟยแข็งขืนและร่ำร้องถ้อยคำเก่าซ้ำๆ
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเลยตวาดว่า ”ถ้าไม่หยุดส่งเสียงก่อกวน ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
“มีอะไรกัน?” เสียงหลิวกงกงดังแทรกขึ้น แล้วเจ้าของเสียงก็เดินอย่างรวดเร็วเข้ามาใกล้ “เอะอะโวยวายอยู่หน้าตำหนักใหญ่ ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรืออย่างไร?”
“กงกง…กงกง…คุณชายๆ” อาเฟยพูดไปหอบไป
“คุณชายตีเจ้าจนกลายเป็นสภาพนี้หรือ?”
“ไม่ใช่…” อาเฟยส่ายหน้า แต่ไม่ทันกล่าวต่อ
หลิวกงกงก็เอ่ยขัดขึ้น “หรือคุณชายไม่สบายอีก?”
“ไม่ใช่…” อาเฟยส่ายหน้าอีก
“ไอ้นั่นก็ไม่ใช่ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่…เจ้าจะเล่นตลกอะไร?”
อาเฟยตั้งสติตะเบ็งเสียงว่า “คุณชายถูกคนของพระชายาจับตัวไป!”
“หา!” หลิวกงกงอุทานหน้าตื่น “ขะ ข้าจะรีบไปรายงานท่านอ๋อง” แล้วเร่งรีบเดินเข้าไปข้างในตำหนัก
พอไปถึงห้องหนังสือ…หลิวกงกงก็ถูกหวังกงกงขวางเอาไว้พลางกระซิบ
“มีเรื่องสำคัญมากหรือไม่?”
“จะว่าสำคัญมากก็สำคัญมาก จะว่าสำคัญไม่มากก็ไม่มาก” หลิวกงกงตอบเสียงเบา
“ถ้ามิได้สำคัญมากจริงๆ อย่าเพิ่งรบกวนท่านอ๋องจะดีกว่า” หวังกงกงกล่าวเสียงไม่ดังไปกว่ากระซิบ
ทำให้หลิวกงกงลำบากใจ…พระชายามิใช่เพิ่งทำเช่นนี้เป็นครั้งแรก ตลอดห้าปีที่ผ่านมา นางจะจงเกลียดจงชังทุกคนที่ไท่ชินอ๋องเรียกมาปรนนิบัติบนเตียง อี๋เหนียงคนใดที่ได้มารับใช้ไท่ชินอ๋อง ล้วนถูกนางเรียกตัวไปสั่งสอน แต่ท่านอ๋องก็มิได้ใส่ใจ
ครู่ใหญ่ต่อมา…ไท่ชินอ๋องก็เงยหน้าจากกองหนังสือราชการตรงหน้า
“หลิวยี่”
“ขอรับ” หลิวกงกงน้อมกายรับคำ
“คืนนี้ไปรับชิงชิงมา” ไท่ชินอ๋องสั่งพลางยกยิ้มมุมปาก “นอนกอดเด็กคนนี้ ข้าหลับสบายจริงๆ”
“เอ้อ…คือ…” หลิวกงกงตัดสินใจไม่ถูกว่าควรบอกดีหรือไม่บอกดี
“มีอะไรก็รีบพูดมา อย่ามัวอ้ำอึ้ง” ไท่ชินอ๋องสั่งเสียงเข้ม
“เวลานี้คุณชายถูกคนของพระชายาจับตัวไปขอรับ”
สีหน้าของไท่ชินอ๋องเย็นชาฉับพลัน
“ทำไมเจ้าไม่รีบบอกข้า”
แล้วผลุนผลันรีบตรงไปยังตำหนักพระชายาฟางหมิงซินอย่างรวดเร็ว โดยมีองครักษ์ซ้าย องครักษ์ขวา หวังกงกง และหลิวกงกงตามไปติดๆ
ที่ตำหนักพระชายาฟางหมิงซิน…
หลี่ชิงถูกชายฉกรรจ์ร่างใหญ่แข็งแรงสองคนจับแขนกดกับพื้น และชายฉกรรจ์อีกสองคนใช้ไม้พลองโบยตีจนสลบ
“เรียนพระชายา ผู้แซ่หลี่หมดสติไปแล้วขอรับ” ชายฉกรรจ์ที่ทำหน้าที่โบยตีรายงานพระชายาฟางหมิงซินที่นั่งบนเก้าอี้หรูดูการโบยอย่างสะใจอยู่
“เอาน้ำเย็นผสมเกลือสาดให้ฟื้น แล้วโบยต่อจนกว่าจะตาย”
“ขอรับ”
ซ่าาาา…น้ำเย็นจัดสาดลงบนศีรษะและบนเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผลของหลี่ชิง ทำให้เด็กหนุ่มค่อยๆ ฟื้นคืนสติ
“โบยต่อไป” เสียงพระชายาฟางหมิงซินที่ฟังคล้ายเสียงมัจจุราชในความรู้สึกของเด็กหนุ่มดังขึ้น
หลี่ชิงหลับตา…ความเจ็บปวดและแสบแผลสุดทานทนทำให้เขาอยากจะสิ้นใจตายไปเสียให้พ้นๆ
แต่แล้วในความสิ้นหวัง…เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น
“หยุด!”
พร้อมกับเสียงตวาด…ร่างกำยำแข็งแกร่งของไท่ชินอ๋องก็กระโจนเข้ามากระแทกชายฉกรรจ์ที่ทำร้ายหลี่ชิงทั้งสี่กระเด็นออกไป…แล้วยอบกายลงตรวจดูลมหายใจของร่างบอบบางบนพื้น พอรู้ว่าอีกฝ่ายยังเหลือลมหายใจอยู่ ก็มีสีหน้าดีขึ้นนิดหนึ่ง
พระชายาฟางหมิงซินรีบลุกจากเก้าอี้ เข้ามายอบกายด้วยกิริยาอ่อนช้อย ไม่ทันยืดกายขึ้น ก็ถูกฝ่ามือใหญ่ตบผัวะ จนหน้าสะบัด ร่างอ้อนแอ้นถลาไปฟุบกับพื้นด้านข้าง
นางยังงุนงง ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง…ก็นางเคยจัดการกับอนุชายานางอื่นๆ แต่ไท่ชินอ๋องก็ไม่ได้สนใจ
แม้ครั้งนี้…นางจะทำรุนแรงกว่าทุกครั้ง แต่ใครใช้ให้มันได้ค้างคืนในตำหนักใหญ่เล่า ขนาดนางเอง…ไท่ชินอ๋องเคยมาหาแค่สองสามครั้งเมื่อแรกสมรส ก็ยังไม่เคยค้างคืนกับนางเลย ทำเหมือนรีบๆ ทำให้เสร็จๆ ไป
ที่ยิ่งแค้นคือ…รอยเม้มจูบที่ต้นคอของมัน ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า จะมีรอยเช่นนี้อีกมากมายแค่ไหนในใต้ร่มผ้าของมัน
ในเมื่อมันมีความสุขนัก ก็ตีมันให้ตายเสียเลย!
“ฟางหมิงซิน” ไท่ชินอ๋องขบกราม “ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเหี้ยมโหดถึงขนาดนี้!”
“ท่านอ๋อง” พระชายาฟางหมิงซินรีบพยุงตัวเองขึ้นนั่งคุกเข่าบนพื้นตรงหน้าไท่ชินอ๋อง แก้ตัวว่า “ในตอนแรก…ข้าน้อยแค่เชิญหลี่…ชิง มาพบปะสนทนาถามทุกข์สุขเท่านั้น แต่เขาพูดจาเหยียดหยามท่านอ๋องว่า ท่านอ๋องเหมือน…เอ้อ…”
“เหมือนอะไร?”
“ควายตัวหนึ่ง…เขาจะจูงไปซ้ายก็ซ้าย ไปขวาก็ขวา…ข้าน้อยทนไม่ได้ จึงให้ลงทัณฑ์เขาเจ้าค่ะ”
“เขาจะพูดเช่นนี้จริงหรือไม่ รอให้เขาหายจากบาดเจ็บ ข้าจะถามเขาเอง แต่ถ้าเขาตาย เจ้าก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
“ทะ ท่านอ๋อง” พระชายาส่งเสียงร้องเรียกอีกฝ่ายอย่างตกใจอย่างมาก…เพราะนางรู้จักนิสัยใจคอของไท่ชินอ๋องดี...คำไหนคำนั้น!!!
"ดังนั้น...ข้ามีทางเลือกสามทาง คือ...หนึ่ง ปฏิเสธองค์ชายสาม สองรับองค์ชายสามเอาไว้ แล้วจะจัดการอย่างไรค่อยว่ากันอีกที อาจจะนำไปขังไว้ในคุก หรือกักบริเวณไว้ที่เรือนแห่งใดแห่งหนึ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ "แต่ข้าเลือกวิธีที่สาม ส่งเขากลับไปเป็นหอกทิ่มแทงองค์ชายใหญ่หลี่เผิง และใช้โอกาสนี้กวาดล้างตระกูลเฉาที่หนีเล็ดลอดไปภักดีต่อซีเป่ยด้วย" "ท่านอ๋องมั่นใจหรือว่าองค์ชายสามอ้ายหยางจะกลับซีเป่ยไปกำจัดเฉาฮั่น?" หลี่ชิงถาม "ยิ่งกว่ามั่นใจเสียอีก...เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว เฉาฮั่นสนับสนุนองค์ชายใหญ่ ช่วยวางแผนการกำจัดองค์ชายสาม เมื่อองค์ชายสามสามารถกลับไปยังซีเป่ย ก็ต้องจัดการกับเฉาฮั่นและครอบครัวเป็นอันดับแรก" หลี่ชิงพยักหน้าเห็นด้วย "แต่นั่น...องค์ชายสามจะต้องกลับให้ถึงเมืองหลวงของแคว้นซีเป่ยเสียก่อน" "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าองค์ชายสามอาจจะกลับไปไม่ถึงเมืองหลวงของแคว้นตนเองหรือ?" หลี่ชิงเอ่ยถาม ไท่ชินอ๋องไม่ได้ตอบในทันที แต่ดึงร่างบอบบางไปกอดเอาไว้ แล้วย้อนถามว่า "ถ้าเจ้าเป็นองค์ชายใหญ่ เจ้าจะทำอย่างไร หากคนของตนในคณะทูตส่งข่าวว่า องค์ชายสามกำลังจ
องค์ชายสามอ้ายหยางหน้าเปลี่ยนสี"พระบิดาและพี่ชายของเจ้ามั่นใจมากหรือว่าเจ้าจะครอบครองหนานหยางได้สำเร็จ?" ไท่ชินอ๋องกล่าวชัดถ้อยชัดคำ "ท่านอ๋อง...ท่านกล่าวอันใด ข้าน้อยมิรู้เรื่อง" องค์ชายสามอ้ายหยางยังพยายามจะปฏิเสธ "องค์ชาย..." ไท่ชินอ๋องเรียกเสียงหนักๆ "มีสารลับจากซีเป่ยถึงข้า บอกว่า...กวางตัวงามมาถึงปาก เคี้ยวเล่นสักเดือนสองเดือนแล้วฆ่าทิ้ง ก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตอะไร....เจ้าลองคิดดู ถ้าข้ารับเจ้าเป็นพระชายา เล่นสนุกสักเดือนสองเดือน แล้วประกาศว่าเจ้าป่วยตาย...พระบิดาและพี่ชายของเจ้าจะยกทัพมาแก้แค้นให้เจ้าหรือไม่?" องค์ชายสามอ้ายหยางขบริมฝีปากจนเลือดซิบ "การตายของเจ้า...พระบิดาของเจ้าอาจจะเสียใจอยู่บ้าง แต่รับรองว่าไม่มากพอที่จะยกทัพมาล้างแค้นให้กับเจ้า...ส่วนพี่ชายของเจ้านั้น เขาคงโล่งใจจนอยากจะหัวเราะเสียงดังๆ เสียด้วยซ้ำ" "ความหมายของท่านอ๋องคือ...?" องค์ชายสามอ้ายหยางเอ่ยถามเสียงเบา "อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า อย่าตะเกียกตะกายให้ลำบากเลย...ส่วนอะไรที่สมควรเป็นของเจ้า ไยจึงไม่ไขว่คว้า...เจ้าทิ้งซีเป่ยมาคว้าหนานหยางมิเป็นการทิ้งของในกำมือไปไขว่คว้าเงาหรอกหรื
เช้าวันรุ่งขึ้น...คณะทูตเข้าพบไท่ชินอ๋องที่ท้องพระโรงอีกครั้ง ท่านทูตน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีอันดีงามระหว่างแคว้นซีเป่ยกับแคว้นหนานหยาง...ทางซีเป่ยจึงขอมอบองค์ชายสามอ้ายหยางให้เป็นพระชายาของไท่ชินอ๋อง หวังว่าไท่ชินอ๋องและไท่หวางเฟยจะยินดีต้อนรับองค์ชายแห่งซีเป่ยขอรับ" หลี่ชิงนึกไม่ถึงว่า...อีกฝ่ายจะเล่นไม้นี้ พอชิงตำแหน่งไท่หวางเฟยไม่ได้ ก็ยอมเป็นน้อยเพื่อเข้ามาอยู่วงใน...เจตนาไม่ดีชัดๆ แต่เขาอยู่ในฐานะที่พูดอะไรก็มีแต่เสีย...เพราะทุกคนจะลงความเห็นเป็นว่า เขาใจแคบหึงหวง ไม่สมกับเป็นไท่หวางเฟย! ทว่าเขามั่นใจว่า...ไท่ชินอ๋องก็ต้องดูออกเช่นกัน ...จึงลอบชำเลืองมองผู้เป็นสามี ไท่ชินอ๋องมีสีหน้ายิ้มแย้ม ตอบว่า"เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด...เพียงแต่ข้าต้องการจะสนทนากับองค์ชายสามอ้ายหยางตามลำพังสักครู่หนึ่ง ขอให้ทุกท่านรออยู่ที่นี้" ว่าแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเดินมาจูงมือหลี่ชิงไปด้วย ทั้งสามเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัว "ไท่ชินอ๋องมิใช่ว่าจะสนทนากับข้าน้อยตามลำพังหรอกหรือ?" องค์ชายสามอ้ายหยางกล่าวถาม พลาง
หลังจากองค์ชายสามอ้ายหยางกับท่านทูตจากแคว้นซีเป่ยแยกไปแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็พาทุกคนกลับพระราชวังแล้วไท่ชินอ๋องได้พาหลี่ชิงไปยังห้องทำงานสำคัญที่แยกต่างหากจากห้องทำงานที่ใช้พิจารณาฎีกา ห้องนี้หลี่ชิงเพิ่งจะได้เข้ามาเป็นครั้งแรก อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ห้องตกแต่งเรียบหรูด้วยโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่หลังโต๊ะ ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่นั่งของไท่ชินอ๋องพอหลี่ชิงถูกจูงมือเข้ามาด้วย...ราชองครักษ์ก็จัดแจงยกเก้าอี้ที่มีพนักและเท้าแขนมาตั้งข้างๆ เก้าอี้ของไท่ชินอ๋องให้หลี่ชิงนั่ง และยกอีกตัวมาให้อ๋องสี่นั่ง เมื่อทั้งสามคนสำคัญนั่งลงเรียบร้อย...หวังกงกงก็ประสานมือน้อมคำนับ "คารวะไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟย และท่านอ๋องสี่" "ไม่ต้องมากพิธี" ไท่ชินอ๋องเอ่ย "หวังเสียงได้ความว่าอย่างไร เล่ามาซิ" "ขอรับ" หวังกงกงรับคำ แล้วรายงานว่า "เรื่องที่องค์ชายสามอ้ายหยางมาที่แคว้นหนานหยางมีเบื้องหลังเกิดจากคนขายชาติขอรับ คนผู้นั้นก็คือเฉาฮั่นน้องชายของเฉาฮั่ว และเป็นอาของเฉาฉุน...เฉาฮั่นพาครอบครัวตระกูลเฉาที่เหลือไปอยู่ที่ซีเป่ย เขามีสหายอยู่ที่นั่น สหายของเขาเป็นขุนนางยศสูงพอส
หลังจากกินอาหารเสร็จ...ไท่ชินอ๋องก็เอ่ยชวนหลี่ชิงว่า "ชิงชิง...เดี๋ยวพวกเราไปเดินเที่ยวเล่นชมตลาดกันดีกว่า" "ขอรับ" หลี่ชิงรับคำเบาๆ "เชิญองค์ชายสามและท่านทูตด้วย" ไท่ชินอ๋องออกปากชวนผู้เป็นแขกบ้านแขกเมือง องค์ชายสามอ้ายหยางเริ่มไม่ค่อยไว้วางใจในตัวไท่ชินอ๋องนัก ว่าจะเล่นงานอะไรเขาอีก จึงปฏิเสธว่า "ข้าน้อยมิชอบผู้คนเบียดเสียด ขอตัวกลับที่พักก่อนขอรับ" "เจ้ามิใช่บอกว่าชอบศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมของหนานหยางหรอกหรือ?" ไท่ชินอ๋องกล่าว "ข้าจึงใคร่จะทำหน้าที่เจ้าบ้านพาเจ้าและท่านทูตชมชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านชาวเมืองของหนานหยางที่แท้จริง มิใช่อ่านเพียงในตำหรับตำรา" ทำให้องค์ชายสามอ้ายหยางไม่อาจหลีกเลี่ยง "เช่นนั้น...ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง" "มิใช่คำสั่งแต่เป็นคำเชิญ" ไท่ชินอ๋องแก้ แล้วจูงมือหลี่ชิงเดินออกจากเหลาสุราไปยังจัตุรัสกลางเมือง ซึ่งคึกคักด้วยผู้คนและร้านรวงตลอดจนแผงค้าขาย โดยมีท่านทูต และองค์ชายสามจากซีเป่ย อ๋องสี่และพระชายาอาเฟย ติดตามมาด้วย ราชองครักษ์และทหารรักษาความปลอดภัยปะปนอยู่ในฝูงชน โดยไม่ได้ขับไล่หรือรบกวนกิจกรรมของชาวบ้านแต่อย่างไร เพร
องค์ชายสามอ้ายหยางรู้สึกขัดใจอย่างยิ่ง...ให้เขาแข่งม้ากับเด็กจูงม้านะหรือ? ชนะก็ไม่ได้เกียรติอันใด แต่ถ้าแพ้จะต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ ยิ่งกว่านั้น...เขาไม่มีวันแข่งขันกันคนชั้นต่ำแบบนั้นหรอก! จึงลงจากม้าแล้วเดินเข้าไปยังพลับพลา ค้อมศีรษะให้แก่ไท่ชินอ๋อง "น้อมเรียนไท่ชินอ๋อง หากไท่หวางเฟยหลี่ชิงไม่สะดวกที่จะร่วมสนุกกับข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่สนใจจะร่วมแข่งขันกับผู้อื่นขอรับ" "น่าเสียดาย มาถึงสนามม้าทั้งที ถ้ามิได้ดูการแข่งม้าก็เสียรสชาติยิ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าว และสั่งราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า "สั่งลงไป...ให้จัดเด็กฝึกหัดเลี้ยงม้า มาแข่งขันกันให้ชมดูหน่อย" "ขอรับ" ราชองครักษ์น้อมรับคำ แล้วไปปฏิบัติ ส่วนองค์ชายสามอ้ายหยางนั้นกลับไปนั่งที่ของตน ซึ่งอยู่ในพลับพลาเดียวกันไม่ห่างนักเพียงครู่เดียว...เด็กอายุสิบสองสิบสามจำนวนสิบห้าคนต่างขี่ม้าตัวใหญ่ให้เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มแสดงการขี่ม้าแบบต่างๆ อย่างโลดโผน "ชิงชิง...เจ้าดูเด็กพวกนี้สิ มีผู้ใดบ้างที่ขี่ม้าด้อยกว่าองค์ชายสาม?" ไท่ชินอ๋องกระซิบถามหลี่ชิงที่เขาโอบกอดไม่ปล่อย "หากเ