หลิวกงกงนั้นพอเห็นสภาพบาดเจ็บของหลี่ชิง และความโกรธของไท่ชินอ๋อง ก็จะเข้าไปอุ้มร่างบอบบางขึ้นจากพื้น เพื่อพาไปรักษาตัวที่เรือนเล็ก
แต่ไท่ชินอ๋องรีบห้ามว่า "อย่าแตะต้องเขา"
หลิวกงกงชะงักมือ ถามว่า "จะให้สาวใช้มาประคองคุณชายหรือขอรับ?"
"ยามนี้ห้ามผู้ใดแตะต้องเขาทั้งสิ้น นอกจากท่านหมอ"
หลิวกงกงจึงรีบสั่งคนไปตามท่านหมอประจำจวนมาโดยด่วน
เพียงไม่นาน…ท่านหมอก็มาถึง และตรวจดูอาการบาดเจ็บของหลี่ชิงโดยละเอียด แล้วสีหน้าของท่านหมอก็เคร่งเครียด
“ท่านอ๋อง…คุณชายหลี่กระดูกสันหลังร้าวขอรับ ถ้าดูแลรักษาไม่ถูกวิธี คุณชายจะพิการไปตลอดชีวิต…ครั้งนี้นับว่าโชคยังดีที่ไม่มีผู้ใดแตะต้องหรือขยับเขยื้อนตัวของคุณชาย มิเช่นนั้นแล้วข้าน้อยก็จนปัญญาจะรักษาขอรับ”
“อืม” ไท่ชินอ๋องรับคำในลำคอ...ในตอนแรกที่เขาเห็นสภาพเด็กหนุ่ม ก็คาดคะเนได้ลางๆ ว่าอาจจะถูกโบยจนบาดเจ็บถึงกระดูก จึงสั่งห้ามขยับเขยื้อนร่างบอบบาง แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดเอาไว้
ไท่ชินอ๋องปรายตามองพระชายาที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม แล้วออกคำสั่ง “ฟางหมิงซิน”
“เจ้าคะ” พระชายาขานรับ คิดว่าคงจะได้รับการอภัย
แต่ผิดคาด…
“เจ้าจงออกไปคุกเข่ากลางแจ้งหน้าตำหนักนี้ ห้ามผู้ใดช่วยเหลือ”
“ท่านอ๋อง…ข้างนอกนั้นแดดร้อน” นางหน้าซีดตกใจ
“จะแดดร้อนหรือฝนตก ล้วนเป็นสวรรค์ลงโทษเจ้า ใครกล้าช่วยเหลือเจ้า โดยที่ข้ายังไม่ได้อนุญาต ข้าจะตัดหัวมันให้หมด”
“ท่านอ๋อง…เมตตาด้วยเจ้าค่ะ” พระชายาฟางหมิงซินร้องขอความเมตตา
“นี่ข้าเมตตาเจ้ามากแล้ว ออกไปเดี๋ยวนี้ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ” น้ำเสียงไท่ชินอ๋องแข็งกระด้าง
พระชายาฟางหมิงซินน้ำตาร่วง…ลุกขึ้นเดินออกไปคุกเข่าหน้าตำหนักที่ตนเองพักอาศัย โดยไม่กล้ากล่าวอะไรอีก
บรรดาสาวใช้ก็ไม่มีผู้ใดกล้าไปกางร่มบังแดดให้
ส่วนไท่ชินอ๋องออกคำสั่งต่อ “หวังเสียง…จัดการจับผู้ที่ทำร้ายชิงชิง โบยจนตายให้หมด”
“ขอรับ” หวังกงกงรับคำสั่ง แล้วให้ทหารจับตัวบ่าวรับใช้ชายทั้งสี่ที่ช่วยกันจับและโบยหลี่ชิงออกไป โดยไม่สนใจเสียงร้องไห้ขอความเมตตา
หลิวกงกงนั้นจัดหาแผ่นไม้กระดานมาแผ่นหนึ่งที่มีขนาดพอเหมาะกับร่างบอบบางของหลี่ชิง ตามที่ท่านหมอสั่ง แล้วช่วยท่านหมอค่อยๆ ดึงเสื้อของเด็กหนุ่มให้ร่างบอบบางขยับเคลื่อนขึ้นไปอยู่บนแผ่นไม้กระดานในท่านอนคว่ำเหมือนเดิมอย่างนิ่มนวลแผ่วเบาที่สุด
ตลอดเวลา…ไท่ชินอ๋องกุมมือหลี่ชิงเอาไว้ พลางให้กำลังใจ “ชิงชิงคนเก่ง อดทนเอาไว้ เดี๋ยวก็รักษาหายแล้ว”
หลี่ชิงนั้นพยายามไม่ส่งเสียงร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวด
แต่ไท่ชินอ๋องที่เคยเห็นทหารบาดเจ็บมานักต่อนักนั้นทราบดีว่า การส่งเสียงร้องครวญครางสามารถช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้บ้าง จึงยกมือลูบศีรษะร่างเล็ก “ถ้าเจ็บก็ร้องออกมาเถอะเด็กดี”
หลี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่วล้าว่า “แต่ก่อนยามข้าน้อยถูกตี มีแต่คนสั่งข้าน้อยว่าห้ามร้อง มิฉะนั้นแล้วจะตีให้หนักกว่าเดิม”
ไท่ชินอ๋องได้ฟังแล้วอยากดึงร่างเล็กมากอดปลอบขวัญ แต่ติดที่ว่าอีกฝ่ายบาดเจ็บหนักไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
พอเอาตัวหลี่ชิงขึ้นไปอยู่บนแผ่นไม้กระดานได้อย่างปลอดภัยแล้ว ท่านหมอก็สั่งให้บ่าวรับใช้ชายที่แข็งแรงสี่คนช่วยกันยกแผ่นไม้กระดานขึ้นไปอยู่บนแคร่ แล้วสั่งให้ยกแคร่
“ไปที่เรือนเล็กของคุณชายหลี่” หลิวกงกงออกคำสั่ง
ทว่าไท่ชินอ๋องแย้งขึ้นทันที
“ไปห้องนอนของข้าที่ตำหนักใหญ่”
“ท่านอ๋อง…” ท่านหมอกล่าวขึ้น “คนบาดเจ็บกับการรักษา บางครั้งต้องทำเลอะเทอะเปรอะเปื้อน เกรงว่าจะทำให้ท่านอ๋องอยู่ไม่สะดวกสบายเท่าที่ควร”
“ไม่เป็นไร…ข้าอยากดูแลชิงชิง ข้าไม่ต้องการให้เขาคลาดสายตาข้าอีก” ไท่ชินอ๋องเอ่ยเสียงจริงจัง
“ท่านอ๋อง…ให้ข้าน้อยกลับเรือนเล็กเถิดขอรับ” หลี่ชิงเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าน้อยไม่อยากทำให้ห้องนอนสวยงามหอมกรุ่นของท่านอ๋องเลอะเทอะและเหม็นกลิ่นขับถ่ายของเสีย”
“ชิงชิง…เจ้ากลัวข้ารังเกียจใช่หรือไม่?”
หลี่ชิงนิ่งเงียบเป็นการยอมรับ
ไท่ชินอ๋องกุมมือร่างเล็กเดินผ่านพระชายาฟางหมิงซินที่คุกเข่าอยู่ พลางเอ่ยปลอบว่า “ชิงชิง เจ้าจงเชื่อใจข้า ข้าไม่มีวันรังเกียจเจ้าแน่นอน”
พระชายาได้ยินชัดสองรูหู…ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคือง
ที่ตำหนักใหญ่ ในห้องนอนของไท่ชินอ๋อง…ร่างบอบบางถูกย้ายจากแคร่ไปอยู่บนเตียงกว้างใหญ่อย่างนิ่มนวล แต่ชิดด้านนอก เพื่อสะดวกต่อการทำการรักษา
ท่านหมอจัดยาให้ห้องครัวต้ม แล้วใช้กรรไกรตัดเสื้อผ้าของหลี่ชิงออกจนหมด เพื่อรักษาบาดแผลใส่ยา พอใส่ยาเสร็จก็ห่มผ้าแพรขาวสะอาดชั้นหนึ่งก่อนจึงค่อยห่มผ้านวม แล้วกำชับว่า “คุณชาย ท่านต้องอดทนนอนนิ่งๆ ในท่านี้สักเจ็ดวันก่อน อย่าได้ขยับเขยื้อนเด็ดขาด”
“ขยับไม่ได้เลยหรือท่านหมอ?” หลี่ชิงถาม
“ไม่ได้ขอรับ…ให้ใครช่วยพยุงก็ไม่ได้” ท่านหมอตอบน้ำเสียงจริงจัง
“แล้ว…ถ้าข้าปวดหนักปวดเบาจะทำเช่นไร?”
“อย่าได้กังวลขอรับคุณชาย” หลิวกงกงเอ่ยแทรกขึ้น “คุณชายแค่บอกข้าน้อย ข้าน้อยจะดูแลให้คุณชายถ่ายหนักถ่ายเบาบนเตียงได้โดยไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนแม้แต่น้อย”
“หรือถ้าเจ้าอายหลิวยี่ จะเรียกข้าก็ได้เช่นกัน” ไท่ชินอ๋องเอ่ยขึ้น ก็เลยได้เห็นแก้มใสใสแดงซ่าน…ทำให้ท่านอ๋องผู้ยิ่งใหญ่อดยกมือลูบอย่างเอ็นดูไม่ได้
พอดียาต้มเสร็จถูกสาวใช้ยกมาให้…ไท่ชินอ๋องจึงรับมาป้อนคนเจ็บเอง
พอกินยาหมด…หลี่ชิงก็ถอนหายใจยาว
“เจ้าคงกลัวยาขม…แต่ยาดีย่อมต้องขม อดทนหน่อยนะชิงชิง” ไท่ชินอ๋องเอ่ยพลางยื่นชามเปล่าให้สาวใช้รับไป
“ข้าน้อยมิได้กลัวยาขม ข้าน้อยเพียงคิดว่าข้าน้อยโชคดี บาดเจ็บยังได้ท่านอ๋องรักษา แต่มารดาของข้าน้อยสิมิมีผู้ใดเหลียวแล นางถูกตีขาหักเพราะต้องการช่วยชีวิตของข้าน้อย ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?”
“อำมาตย์หลี่คงรีบตามหมอมารักษานางแล้ว” ไท่ชินอ๋องตอบ
“คงเป็นท่านอ๋องสั่งการ” หลี่ชิงคาดเดา
“ข้าไม่ได้สั่งตรงๆ หรอก แต่ประกาศแต่งตั้งเจ้าเป็นพระชายารองในที่ประชุมขุนนางกลางท้องพระโรงเมื่อเช้านี้”
หลี่ชิงคิดตามที่ไท่ชินอ๋องบอก…พออำมาตย์หลี่รู้ว่าบุตรชายของซูอี๋เหนียงได้เป็นพระชายารองของไท่ชินอ๋อง ย่อมต้องกลับจวนไปรีบทำดีต่อซูอี๋เหนียงทันที
“ขอบคุณท่านอ๋อง…ขอบคุณยิ่งนัก” ดวงตาคู่สวยแดงเรื่อมีหยาดน้ำคลอเพราะความซาบซึ้งใจ
“ยังมิต้องรีบขอบคุณข้า” ไท่ชินอ๋องกล่าว “วันนี้ข้าเห็นเจ้าถูกข่มเหงรังแกแสนสาหัส ดังนั้นพรุ่งนี้ข้าจะเลื่อนตำแหน่งเจ้าขึ้นเป็น กุ้ยหวางเฟย”
ตำแหน่ง…กุ้ยหวางเฟย(พระชายาผู้สูงศักดิ์งดงาม)เป็นตำแหน่งที่สูงกว่าหวางเฟย(พระชายาเอก)อีกชั้นหนึ่ง!
"ดังนั้น...ข้ามีทางเลือกสามทาง คือ...หนึ่ง ปฏิเสธองค์ชายสาม สองรับองค์ชายสามเอาไว้ แล้วจะจัดการอย่างไรค่อยว่ากันอีกที อาจจะนำไปขังไว้ในคุก หรือกักบริเวณไว้ที่เรือนแห่งใดแห่งหนึ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าวเสียงเรียบๆ "แต่ข้าเลือกวิธีที่สาม ส่งเขากลับไปเป็นหอกทิ่มแทงองค์ชายใหญ่หลี่เผิง และใช้โอกาสนี้กวาดล้างตระกูลเฉาที่หนีเล็ดลอดไปภักดีต่อซีเป่ยด้วย" "ท่านอ๋องมั่นใจหรือว่าองค์ชายสามอ้ายหยางจะกลับซีเป่ยไปกำจัดเฉาฮั่น?" หลี่ชิงถาม "ยิ่งกว่ามั่นใจเสียอีก...เพราะดูจากรูปการณ์แล้ว เฉาฮั่นสนับสนุนองค์ชายใหญ่ ช่วยวางแผนการกำจัดองค์ชายสาม เมื่อองค์ชายสามสามารถกลับไปยังซีเป่ย ก็ต้องจัดการกับเฉาฮั่นและครอบครัวเป็นอันดับแรก" หลี่ชิงพยักหน้าเห็นด้วย "แต่นั่น...องค์ชายสามจะต้องกลับให้ถึงเมืองหลวงของแคว้นซีเป่ยเสียก่อน" "ท่านอ๋องกล่าวเช่นนี้ หมายความว่าองค์ชายสามอาจจะกลับไปไม่ถึงเมืองหลวงของแคว้นตนเองหรือ?" หลี่ชิงเอ่ยถาม ไท่ชินอ๋องไม่ได้ตอบในทันที แต่ดึงร่างบอบบางไปกอดเอาไว้ แล้วย้อนถามว่า "ถ้าเจ้าเป็นองค์ชายใหญ่ เจ้าจะทำอย่างไร หากคนของตนในคณะทูตส่งข่าวว่า องค์ชายสามกำลังจ
องค์ชายสามอ้ายหยางหน้าเปลี่ยนสี"พระบิดาและพี่ชายของเจ้ามั่นใจมากหรือว่าเจ้าจะครอบครองหนานหยางได้สำเร็จ?" ไท่ชินอ๋องกล่าวชัดถ้อยชัดคำ "ท่านอ๋อง...ท่านกล่าวอันใด ข้าน้อยมิรู้เรื่อง" องค์ชายสามอ้ายหยางยังพยายามจะปฏิเสธ "องค์ชาย..." ไท่ชินอ๋องเรียกเสียงหนักๆ "มีสารลับจากซีเป่ยถึงข้า บอกว่า...กวางตัวงามมาถึงปาก เคี้ยวเล่นสักเดือนสองเดือนแล้วฆ่าทิ้ง ก็ไม่เป็นที่ผิดสังเกตอะไร....เจ้าลองคิดดู ถ้าข้ารับเจ้าเป็นพระชายา เล่นสนุกสักเดือนสองเดือน แล้วประกาศว่าเจ้าป่วยตาย...พระบิดาและพี่ชายของเจ้าจะยกทัพมาแก้แค้นให้เจ้าหรือไม่?" องค์ชายสามอ้ายหยางขบริมฝีปากจนเลือดซิบ "การตายของเจ้า...พระบิดาของเจ้าอาจจะเสียใจอยู่บ้าง แต่รับรองว่าไม่มากพอที่จะยกทัพมาล้างแค้นให้กับเจ้า...ส่วนพี่ชายของเจ้านั้น เขาคงโล่งใจจนอยากจะหัวเราะเสียงดังๆ เสียด้วยซ้ำ" "ความหมายของท่านอ๋องคือ...?" องค์ชายสามอ้ายหยางเอ่ยถามเสียงเบา "อะไรที่ไม่ใช่ของเจ้า อย่าตะเกียกตะกายให้ลำบากเลย...ส่วนอะไรที่สมควรเป็นของเจ้า ไยจึงไม่ไขว่คว้า...เจ้าทิ้งซีเป่ยมาคว้าหนานหยางมิเป็นการทิ้งของในกำมือไปไขว่คว้าเงาหรอกหรื
เช้าวันรุ่งขึ้น...คณะทูตเข้าพบไท่ชินอ๋องที่ท้องพระโรงอีกครั้ง ท่านทูตน้อมคำนับแล้วกล่าวว่า "เพื่อเป็นการกระชับสัมพันธไมตรีอันดีงามระหว่างแคว้นซีเป่ยกับแคว้นหนานหยาง...ทางซีเป่ยจึงขอมอบองค์ชายสามอ้ายหยางให้เป็นพระชายาของไท่ชินอ๋อง หวังว่าไท่ชินอ๋องและไท่หวางเฟยจะยินดีต้อนรับองค์ชายแห่งซีเป่ยขอรับ" หลี่ชิงนึกไม่ถึงว่า...อีกฝ่ายจะเล่นไม้นี้ พอชิงตำแหน่งไท่หวางเฟยไม่ได้ ก็ยอมเป็นน้อยเพื่อเข้ามาอยู่วงใน...เจตนาไม่ดีชัดๆ แต่เขาอยู่ในฐานะที่พูดอะไรก็มีแต่เสีย...เพราะทุกคนจะลงความเห็นเป็นว่า เขาใจแคบหึงหวง ไม่สมกับเป็นไท่หวางเฟย! ทว่าเขามั่นใจว่า...ไท่ชินอ๋องก็ต้องดูออกเช่นกัน ...จึงลอบชำเลืองมองผู้เป็นสามี ไท่ชินอ๋องมีสีหน้ายิ้มแย้ม ตอบว่า"เรื่องนี้มิใช่เรื่องใหญ่อันใด...เพียงแต่ข้าต้องการจะสนทนากับองค์ชายสามอ้ายหยางตามลำพังสักครู่หนึ่ง ขอให้ทุกท่านรออยู่ที่นี้" ว่าแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็ลุกจากเก้าอี้ที่นั่งเดินมาจูงมือหลี่ชิงไปด้วย ทั้งสามเข้าไปในห้องรับรองส่วนตัว "ไท่ชินอ๋องมิใช่ว่าจะสนทนากับข้าน้อยตามลำพังหรอกหรือ?" องค์ชายสามอ้ายหยางกล่าวถาม พลาง
หลังจากองค์ชายสามอ้ายหยางกับท่านทูตจากแคว้นซีเป่ยแยกไปแล้ว...ไท่ชินอ๋องก็พาทุกคนกลับพระราชวังแล้วไท่ชินอ๋องได้พาหลี่ชิงไปยังห้องทำงานสำคัญที่แยกต่างหากจากห้องทำงานที่ใช้พิจารณาฎีกา ห้องนี้หลี่ชิงเพิ่งจะได้เข้ามาเป็นครั้งแรก อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ห้องตกแต่งเรียบหรูด้วยโต๊ะทำงานตัวใหญ่ มีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งอยู่หลังโต๊ะ ซึ่งเป็นเก้าอี้ที่นั่งของไท่ชินอ๋องพอหลี่ชิงถูกจูงมือเข้ามาด้วย...ราชองครักษ์ก็จัดแจงยกเก้าอี้ที่มีพนักและเท้าแขนมาตั้งข้างๆ เก้าอี้ของไท่ชินอ๋องให้หลี่ชิงนั่ง และยกอีกตัวมาให้อ๋องสี่นั่ง เมื่อทั้งสามคนสำคัญนั่งลงเรียบร้อย...หวังกงกงก็ประสานมือน้อมคำนับ "คารวะไท่ชินอ๋อง ไท่หวางเฟย และท่านอ๋องสี่" "ไม่ต้องมากพิธี" ไท่ชินอ๋องเอ่ย "หวังเสียงได้ความว่าอย่างไร เล่ามาซิ" "ขอรับ" หวังกงกงรับคำ แล้วรายงานว่า "เรื่องที่องค์ชายสามอ้ายหยางมาที่แคว้นหนานหยางมีเบื้องหลังเกิดจากคนขายชาติขอรับ คนผู้นั้นก็คือเฉาฮั่นน้องชายของเฉาฮั่ว และเป็นอาของเฉาฉุน...เฉาฮั่นพาครอบครัวตระกูลเฉาที่เหลือไปอยู่ที่ซีเป่ย เขามีสหายอยู่ที่นั่น สหายของเขาเป็นขุนนางยศสูงพอส
หลังจากกินอาหารเสร็จ...ไท่ชินอ๋องก็เอ่ยชวนหลี่ชิงว่า "ชิงชิง...เดี๋ยวพวกเราไปเดินเที่ยวเล่นชมตลาดกันดีกว่า" "ขอรับ" หลี่ชิงรับคำเบาๆ "เชิญองค์ชายสามและท่านทูตด้วย" ไท่ชินอ๋องออกปากชวนผู้เป็นแขกบ้านแขกเมือง องค์ชายสามอ้ายหยางเริ่มไม่ค่อยไว้วางใจในตัวไท่ชินอ๋องนัก ว่าจะเล่นงานอะไรเขาอีก จึงปฏิเสธว่า "ข้าน้อยมิชอบผู้คนเบียดเสียด ขอตัวกลับที่พักก่อนขอรับ" "เจ้ามิใช่บอกว่าชอบศึกษาศิลปะและวัฒนธรรมของหนานหยางหรอกหรือ?" ไท่ชินอ๋องกล่าว "ข้าจึงใคร่จะทำหน้าที่เจ้าบ้านพาเจ้าและท่านทูตชมชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านชาวเมืองของหนานหยางที่แท้จริง มิใช่อ่านเพียงในตำหรับตำรา" ทำให้องค์ชายสามอ้ายหยางไม่อาจหลีกเลี่ยง "เช่นนั้น...ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง" "มิใช่คำสั่งแต่เป็นคำเชิญ" ไท่ชินอ๋องแก้ แล้วจูงมือหลี่ชิงเดินออกจากเหลาสุราไปยังจัตุรัสกลางเมือง ซึ่งคึกคักด้วยผู้คนและร้านรวงตลอดจนแผงค้าขาย โดยมีท่านทูต และองค์ชายสามจากซีเป่ย อ๋องสี่และพระชายาอาเฟย ติดตามมาด้วย ราชองครักษ์และทหารรักษาความปลอดภัยปะปนอยู่ในฝูงชน โดยไม่ได้ขับไล่หรือรบกวนกิจกรรมของชาวบ้านแต่อย่างไร เพร
องค์ชายสามอ้ายหยางรู้สึกขัดใจอย่างยิ่ง...ให้เขาแข่งม้ากับเด็กจูงม้านะหรือ? ชนะก็ไม่ได้เกียรติอันใด แต่ถ้าแพ้จะต้องอับอายขายหน้าแน่ๆ ยิ่งกว่านั้น...เขาไม่มีวันแข่งขันกันคนชั้นต่ำแบบนั้นหรอก! จึงลงจากม้าแล้วเดินเข้าไปยังพลับพลา ค้อมศีรษะให้แก่ไท่ชินอ๋อง "น้อมเรียนไท่ชินอ๋อง หากไท่หวางเฟยหลี่ชิงไม่สะดวกที่จะร่วมสนุกกับข้าน้อย ข้าน้อยก็ไม่สนใจจะร่วมแข่งขันกับผู้อื่นขอรับ" "น่าเสียดาย มาถึงสนามม้าทั้งที ถ้ามิได้ดูการแข่งม้าก็เสียรสชาติยิ่ง" ไท่ชินอ๋องกล่าว และสั่งราชองครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างว่า "สั่งลงไป...ให้จัดเด็กฝึกหัดเลี้ยงม้า มาแข่งขันกันให้ชมดูหน่อย" "ขอรับ" ราชองครักษ์น้อมรับคำ แล้วไปปฏิบัติ ส่วนองค์ชายสามอ้ายหยางนั้นกลับไปนั่งที่ของตน ซึ่งอยู่ในพลับพลาเดียวกันไม่ห่างนักเพียงครู่เดียว...เด็กอายุสิบสองสิบสามจำนวนสิบห้าคนต่างขี่ม้าตัวใหญ่ให้เดินเรียงแถวเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มแสดงการขี่ม้าแบบต่างๆ อย่างโลดโผน "ชิงชิง...เจ้าดูเด็กพวกนี้สิ มีผู้ใดบ้างที่ขี่ม้าด้อยกว่าองค์ชายสาม?" ไท่ชินอ๋องกระซิบถามหลี่ชิงที่เขาโอบกอดไม่ปล่อย "หากเ