“แบบนี้นะหรือคะ?...แบบดีพ วอเตอร์โซโล ปีนขึ้นไปแล้วทิ้งตัวลงน้ำ เป็นกีฬาบ้าบิ่นมากที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินมา”
“มันก็แค่การปลดปล่อย ผมคิดว่ามันท้าทาย”
“และบ้าระห่ำมาก ๆ “
“แต่ก็คงเป็นเรื่องที่มีเหตุผลมากกว่าการกระโดดจากเรือลงทะเลกระมัง”
“แดน...อือ” อลินทิราไม่ได้เถียงต่อเมื่อชายหนุ่มเคลียปลายจมูกโด่งลงบนแก้มเนียน หญิงสาวเกิดความเอียงอายขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ร่างแน่งน้อยเปลี่ยนท่าทีเป็นหันหลังให้ทว่าก็ถูกชายหนุ่มสวมกอดจากด้านหลัง
“ซอนญ่า...คุณอยากจะหนีผมไปไหนอีก”
แดเนียลกระซิบพลางไล้ริมฝีปากลงบนไหล่บางและหลังใบหู สายลับสาวรู้สึกถึงลมหายใจร้อนผ่าว อกเคร่งเครียดทว่าอบอุ่นแนบอยู่กับแผ่นหลังและความตื่นตัวตอดตุบ ๆ อยู่กับบั้นท้ายงอนงาม เขาทำให้เธอตื่นเต้นด้วยมือทั้งสองที่กอบกุมเนินทรวงอวบใหญ่เบื้องหน้าขณะคลึงเม็ดอัญมณีที่ปลายถันด้วยปลายนิ้วชำนาญเบามือ
“แดน...ฉันไม่ได้หนีนะคะ แต่ฉันชอบอยู่แบบนี้ มัน...เอ่อ...อบอุ่น”
หญิงสาวสารภาพด้วยใบหน้าแดงก่ำขณะชายหนุ่มประคองเธอไว้จากด้านหลังโดยไม่ยี่หระบรรยากาศกลางแจ้ง ดวงจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือเงื้อมผาซึ่งถูกแรงลมและน้ำเค็มกัดเซาะ อลินทิราเริ่มคลายความวิตกกังวลด้วยกลิ่นไอธรรมชาติที่โอบล้อมราวปลอบประโลม
“ซอนญ่า...คุณเคยตกหลุมรักใครบ้างไหม ตอนทำงานให้ไซออนเนต”
แดเนียลยังคงตั้งคำถามขณะคลอเคลียปลายจมูกโด่งกับลำคอระหง เขาเห็นเพียงเสี้ยวหน้างามของร่างเล็กกว่าที่บิดไปมาอยู่ในอ้อมแขน อลินทิราเงียบไปชั่วอึดใจราวกำลังตริตรองในสิ่งที่เขาอยากรู้
“ค่ะ...ฉันเคย...แต่มันก็นานมาแล้ว”
“เขาเป็นใคร?” น้ำเสียงนั้นบอกความใคร่รู้
“เป็นเพื่อนร่วมงาน...แค่ความรู้สึกประทับใจเล็ก ๆ เท่านั้นล่ะค่ะ แดน”
“แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
“เขาตายแล้วค่ะ...เพื่อนของฉันถูกส่งตัวเข้าไปโจรกรรมข้อมูลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในรัสเซีย แล้วหลังจากนั้นเขาก็หายสาบสูญไป ไซออนเนตไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับเรื่องนี้จนต่อมามีคนพบศพของเขาฝังอยู่ใต้น้ำแข็งในไซบีเรีย ฉันรู้ว่าเขาถูกฆ่า แต่กลับมีคนให้ข่าวว่าเขาไปเที่ยวแล้วเกิดอุบัติเหตุ”
“คุณยังคิดถึงเขาไหม?”
คำถามสุดท้ายเสมือนจุดประกายความอ่อนไหวในส่วนลึก เขาควรรู้คำตอบอยู่แก่ใจหากหญิงสาวก็ตอบกลับไปตามความรู้สึก
“ฉันคิดถึงเขาค่ะ...ในฐานะของเพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง”
อลินทิราได้ยินเสียงเขาถอนหายใจ มันดังกว่าคลื่นลมที่พัดโหมเข้ามาใต้เวิ้งผาชัน แม้แต่แดเนียลก็ยังรู้สึกถึงบางอย่างเข้ามาทดแทนความเปล่าว่างข้างใน นี่เขาเป็นอะไรไป ทำไมต้อยินดีกับคำตอบของหญิงสาว ร่างบอบบางบิดไปมาน้อย ๆ เมื่อมือสากหนาข้างหนึ่งละจากการกอบกุมทรวงสวยก่อนเลื่อนไล้ลงไปตามส่วนลาดโค้งจรดสะโพกผายผ่านสะดือบุ๋มบนหน้าท้องแบนราบและหยุดลงบนปุยไหมอ่อนนุ่มที่ปกคลุมบนพื้นที่สามเหลี่ยมกลางเรือนร่างเย้ายวน
“แดน...อา...อืม” หญิงสาวยักย้ายบั้นท้ายเข้าหาความเครียดตึงซึ่งดันตัวอยู่กับแก้มก้นหนั่นแน่น ชายหนุ่มไม่เพียงสัมผัสภายนอกแต่ยังแทรกนิ้วผ่านไยไหมลงไปจนถึงรอยแยกอันชุ่มฉ่ำ อลินทิราแอ่นร่างอย่างลืมตัวและจับข้อมือแกร่งข้างนั้นที่สำรวจเธอด้วยความตื่นเต้น
“แดน...แล้วคุณล่ะคะ ทำไมไม่ลงเอยกับใคร ๆ ที่คุณเคยควงด้วย”
“ผู้หญิงที่ไหนจะทนอยู่กับคนบ้าอย่างผมได้ อืม...พวกเธอคงคิดว่าผมเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่มีฉากหน้าเป็นนักธุรกิจ”
“แต่พวกเธอเป็นดารานางแบบนี่ไม่ใช่หรือคะ ผู้หญิงพวกนั้นน่าดึงดูดใจมากกว่า...”
ฉัน...อลินทิราเก็บคำนั้นไว้ไม่ปรารถนาให้เขาเย้ยเยาะความในใจซึ่งหญิงสาวเพียรแอบซ่อนไว้ในส่วนลึก เธออาจเคยมีความทรงจำกับผู้ชายคนหนึ่งทว่ามันก็เลือนรางไปแล้วตามกาล ปัจจุบันขณะต่างหากที่มีค่ามากกว่าภาพที่ถูกกระแสแห่งเวลาพัดพาหายไป
“ไม่แน่เสมอไปหรอก” เสียงห้าวนั้นสั่นเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวเบียดแผ่นหลังกับอกกว้างเต็มไปด้วยมัดกล้าม ชายหนุ่มหยั่งนิ้วลึกลงไปใต้หลืบไยไหมจนสัมผัสติ่งเนื้อเล็ก ๆ อ่อนไหวที่ทำให้ร่างสาวสั่นสะท้าน
“ถ้าเป็นคุณจะเลือกอย่างไหน ความดึงดูดใจหรือความผูกพัน...ออโซลย่า”
หญิงสาวเผลอบีบข้อมือแกร่งแน่นขึ้นเมื่อชายหนุ่มกระซิบถามเสียงแหบพร่า ผิวกายที่เสียดสีก่อเกิดความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วจนแผ่นหังบางและอกแกร่งเริ่มมีเหงื่อซึม เธออยากหันไปกอดเขาทว่าก็สุขอย่างล้นเหลือที่แดเนียลตระกองกอดไว้จากด้านหลัง จารชนสาวคิดได้อีกอย่างหนึ่งว่าตอนชายหนุ่มพาเธอกระโดจากหน้าผา เขาปกป้องเธอมากกว่าจะคิดทำร้าย
“แดน...ได้โปรด...โอว...พระเจ้า”
ร่างบางครางเสียงระส่ำเมื่อปลายนิ้วแกร่งหยั่งลึกลงสู่ใจกลางกลีบงามที่เบ่งบานสะพรั่ง อลินทิราอยู่ในท่าคุกเข่าแทบทรงตัวไม่อยู่เมื่อถูกเขารุกเร้าจากด้านหลัง ดูเหมือนชายหนุ่มจะรู้ว่าเลือดในกายสาวกำลังร้อนเต็มที่ขณะใบหน้าคร้ามเข้มเคล้าเคลียคางสากระคายไปตามใบหูและซอกคอซึ่งกรุ่นกระไอจากน้ำเค็มบนเรือนผมยุ่งสยายและผิวกายอุ่นลื่นละมุนละไมทุกตารางนิ้ว
“แดเนียล...ฉันรักคุณค่ะ ฉันกลัวเหลือเกินว่าคุณจะไม่กลับมาหาฉันอีก”“ผมต้องกลับมาที่รัก” เขาก้มลงจูบบนเปลือดกตาของหญิงสาวที่ตัวเธอสั่นสะทานขึ้นมาราวกับยังหวาดหวั่น “ยอดดวงใจของผม คุณไม่รู้หรอกว่าผมกลัวมากแค่ไหนถ้ามาถึงที่นี่แล้วไม่พบคุณ”“บ้าน...เป็นที่สุดท้ายสำหรับฉันค่ะ จารชนที่แต่นี้ไปจะเป็นแค่คนธรรมดา แดนคะ...มาเต้นรำกันเถอะค่ะ ฟังซีคะ ต้นหญ้าและขุนเขากำลังร้องเพลง”ร่างอรชรผละห่างจากชายหนุ่มและเริ่มร่ายรำด้วยท่าทางอย่างบัลเล่ต์รีน่าท่ามกลางทุ่งหญ้าส่ายไหวอาบแสงสีเงิน แดเนียลยืนล้วงกระเป๋าและอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ ม้าพันธุ์เทอโรเบรดด้วยความรู้สึกสุขใจ ดวงตาสีน้ำเงินอมม่วงลึกล้ำจับจ้องอยู่ที่ร่างแน่งน้อยที่กำลังเริงระบำกลางที่ราบทุ่งหญ้าพลิ้วไหว เขารักอลินทิรามากเกินกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้ตามลำพังและมองเห็นความวาดหวังถึงชีวิตครอบครัวอันอบอุ่นในกาลเบื้องหน้า นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาตามหามาตลอดชีวิตก็เป็นได้ศาลาที่ว่าการกรุงออสโลว์ ประเทศนอรเวย์เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ร่างบอบบางในชุดราตรีสีฟ้าครามซึ่งนั่งอย่างสงบบนเบาะหลังรถเอสยูวีคันใหญ่รีบหยิบขึ้นมากดรับสาย“สวัสดีจ้ะ ซอนญ่า”“ค่ะ...แม่”
“แดน...ที่ผ่านมาคุณไม่คิดบ้างหรือคะว่าฉันเคยทำอะไรแย่ ๆ กับคุณบ้าง อย่างเช่นวางยาคุณ หรือตั้งใจจะเอาคืนให้คุณเจ็บแสบ”“อะไร ๆ อาจแย่กว่านี้ถ้าผมไม่ได้รู้จักคุณ...ออโซลย่า”หญิงสาวเอียงคอเพื่อมองใบหน้าคร้ามคมที่ลดจมูกลงมาเคลียบนแก้มนุ่ม“คุณคงยังไม่ลืมเธอซีนะคะ”“ผมไม่เคยลืมสายลับสาวแสนสวยที่เก่งกาจถึงขนาดถอดรหัสผ่านประตูนิรภัยของผมได้ และยิ่งกว่านั้นเสน่ห์ของเธอก็มัดใจผมไว้จนดิ้นไม่หลุด”“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะแดน...ฉันน่ะไม่เห็นว่าคุณจะพูดดีกับฉันสักหน” อลินทิราอดที่จะตั้งคำถามกับคนที่เธอรักไม่ได้แม้เวลานั้นจะล่วงเลยมาแล้วก็ตาม“อืม...คงตั้งแต่พบกันครั้งแรกในแคนยอน แลนด์ ผู้หญิงอะไรเจ้าเล่ห์ชะมัดทั้งที่รู้ว่าสู้ผมไม่ได้”“ฉันอยากจะฆ่าคุณ” เธอย่นจมูก “ทึ้งคุณให้หลุดเป็นชิ้น ไม่เคยมีใครตามติดและต้อนฉันจนมุมได้เหมือนคุณ”“ตอนแรกคุณจินตนาการว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน ซอนญ่า” ชายหนุ่มจุดความอบอุ่นในกายหญิงสาวด้วยการขบเม้มเบา ๆ ที่ใบหูเล็กบาง“ตอนที่ฉันจะรับงานนี้ ฉันแทบไม่สนใจข้อมูลเจ้าของชิปนั่นเลยสักนิดเดียว ฉันคิดเอาเองว่า แดเนียล ไพรซ์ คงเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อ เขาคงเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
“แม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขค่ะ ท่านยังปลูกผักและเดินเป็นระยะไกล ๆ ได้ ถึงท่านจะอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่เหงา เพราะว่าเจ้าอิงลิชกับเจ้ามูนวอล์คเกอร์นี่ล่ะค่ะ”หญิงสาวหันกลับไปยังม้าสองตัวที่ยื่นหน้าเข้ามาให้เธอลูบไล้แผงคอของพวกมันเล่น พวกมันดูคุ้นเคยและทำราวกับคิดถึงนายของมัน“ตัวนี้เป็นม้าอิงลิช เทอโรเบรดค่ะ มันเป็นม้าฝีเท้าดี ฉันตั้งชื่อมันว่าอิงลิช” อลินทิราบอกพลางลูบไล้ไปบนหัวของม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้มซึ่งเรือนขนบนหลังและหางมีสีดำเป็นมันวาว มันดูบึกบึนแข็งแรงทว่าก็เชื่องอย่างไม่น่าเชื่อ“ผมเคยอ่านประวัติของม้าพันธุ์ผสมพวกนี้ ตอนศตวรรษที่สิบเจ็ดนักล่าอาณานิคมพยายามพัฒนาสายพันธุ์ม้าอเมริกันใหม่ ๆ ก็เลยผสมพันธุ์ม้าพื้นเมืองกับม้าแคนาดา มันขึ้นชื่อเรื่องของความแข็งแรง พอหลังจากนั้นก็ผสมกับม้าพันธุ์อิงลิชเทอโรเบรดอย่างเจ้าอิงลิชของคุณนี่ไง”แดเนียลเสริมแต่ยังไม่สัมผัสตัวของมันเหมือนหญิงสาว“และนี่...เจ้ามูนวอล์คเกอร์ค่ะ มันเป็นม้าป่าพันธุ์สเปน เรียกได้อีกอย่างว่าซัลเฟอร์ เป็นม้าของรัฐยูทาห์ค่ะ แม่เป็นคนตั้งชื่อให้เพราะตอนพามาเลี้ยงใหม่ ๆ มันหายไปตอนคืนจันทร์เต็มดวง เราคิดว่ามันคงถูกขโมยหรือไม่ก
“ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะขอคุณแต่งงาน แต่ผมยังไม่ได้พบแม่บุญธรรมของคุณ ไม่รู้ท่านจะว่ายังไงบ้าง”“ฉันจะว่ายังไงได้ล่ะคะ”เสียงของหญิงสูงวัยที่แทรกขึ้นมาทำให้สองหนุ่มสาวหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน“แม่!” อลินทิราอุทานออกมา เธอลืมตัวจะผละห่างจากชายหนุ่มทว่าแดเนียลยังกอบกุมมือเรียวบางไว้แน่น ดาเลียซึ่งยืนอยู่ที่ประตูยิ้มกับผู้มาใหม่ นางมองเขาด้วยสายตาบอกความประหลาดใจหากก็เต็มไปด้วยความตื้นตัน“สวัสดีค่ะ...ฉันคือดาเลีย เฮอเกรล ฉันเป็นแม่บุญธรรมของอัลลี่เองค่ะ”ดาเลียแนะนำตัวในขณะที่ชายหนุ่มคลายมือจากหญิงสาว“สวัสดีครับคุณแม่ ผม แดเนียล ไพรซ์”“แม่กลับมาตอนไหนคะ ทำไมหนูไม่ได้ยินเสียงเลย”ร่างบางถามแก้เก้อ เธอดูเงอะงะไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือจะแสดงท่าทางอย่างไรต่อหน้าแม่บุญธรรมในสถานการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้“แม่ลืมของที่จะเอาไปฝากลุงเคิร์คน่ะจ้ะ เลยกลับมาและก็ทันได้ยินว่า คุณแดเนียลจะขอหนูแต่งงาน นี่เป็นความจริงหรือจ๊ะ?”“เป็นความจริงครับคุณแม่”ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสูงวัย นางจ้องมองเขาไม่วาง แดเนียล ไพรซ์ เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาและมีเสน่ห์ดึงดูด เขาทำให้ดาเลียพรึงเพริศราวถูกสะกดด้วยนัย
แดเนียลอธิบายในขณะที่อาการตื่นกลัวของอีกฝ่ายเริ่มคลายลง อลินทิราเห็นแววตาคู่นั้นหม่นแสงเมื่อเขาพูดต่อไป“เธอแอบจัดตั้งมูลนิธิในนาม ไพรซ์ คอร์ป เพื่อซออนเนต และถ่ายโอนเงินเป็นท่อน้ำเลี้ยงเพื่อองค์กรของตัวเอง พอเออร์วิ่งรายงานเรื่องนี้พร้อมทั้งยืนยันด้วยเอกสาร ผมก็เริ่มส่งคคนตามประกบจนเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ข้อมูลว่าโมนิกานัดพบกับ อลัน ทีทอน เจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามของยุโรป...ผมตามเธอไปพร้อมกับตำรวจและหน่วยสวาทติดอาวุธครบมือ”“ตำรวจคงจับเธอได้แล้วใช่ไหมคะ แดเนียล?”หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น ความตื่นเต้นประดังอยู่ในอกแทบระเบิดด้วยอยากรู้วาระสุดท้ายของนายใหญ่แห่งไซออนเนต ทว่าแดเนียลกลับยิ้มขื่นและตอบว่า“โมนิกาเป็นคนเก่ง เธอเป็นอัจฉริยะ แต่...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยถาม“เธอหนีไปได้ใช่ไหมคะ?”ร่างสูงส่ายหน้าและสูดลมหายใจลึก “โมนิกา...ถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจ...วิสามัญ”“พระเจ้า!”“เราจัดพิธีศพให้เธอและฝังเธอไว้ในสุสานของตระกูล เมื่อไม่มีนายใหญ่ ไซออนเนตก็ถึงจุดจบ”“บางที...อาจจะไม่” อลินทิราขืนตัวออกจากแขนแกร่ง ดวงตาคู่สวยรื้นน้ำและแดงก่ำ“อาจเป็นจุดจบของไซออนเนต แต่คุณ
“ตอนผมไปโรงพยาบาลและพบหมอที่รักษาคุณ เขาบอกว่าภรรยาของผมอาการดีขึ้นมากและได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ หมอกำชับผมให้ดูแลคุณเป็นพิเศษ ผมคิดว่าจะไม่ถามอะไรต่อจนคุณหมอเข้ามาแสดงความยินดีที่ผมจะได้เป็นพ่อคน เพราะภรรยาของผมตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว”หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก เธอรับฟังทุกอย่างแต่เหมือนยังมีสิ่งค้างคาใจ“แดนคะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหนีหรือปกปิดเรื่องนี้ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณกลับไปแคลิฟอเนียเป็นเพราะคุณต้องรีบกลับไปหาโมนิกาหรือเปล่า”“ใช่...โมนิกาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมต้องรีบกลับไปที่นั่น”ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเลและทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายหมองลงอย่างเหนได้ชัด กระทั่งเขาพูดต่อทั้งที่กอดเธอไว้แน่น“ตอนที่คุณยังไม่ฟื้นหลังจากหมอผ่าตัดเอากระสุนฝังในออก ผมได้รับโทรศัพท์จากเออร์วิ่ง เขาเป็นนักสืบเอกชนฝีมือดีที่ผมจ้างมาสืบเรื่องนี้ เออร์วิ่งให้ผมรีบกลับไปที่ซานตาโมนิกาด่วนเพราะเขามีข้อมูลบางอย่างให้ผมดู มันเป็นข้อมูลความผิดปกติทางด้านการเงินของบริษัท ตอนแรกที่เขาเข้ามาสืบเรื่องชิปที่หายไป เขารู้แค่ว่ามันเชื่อมโยงกับองค์กรลับไซออนเนต แต่การล้วงข้อมูลลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทำให้เออร์วิ่งพบกับสิ่งที่น่าต