เปลวไฟจากโคมดวงจิตวูบไหวไปมา เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่นางนึกขึ้นได้คือพยายามต้านกระแสลม หยางซือซือกั้นลมด้วยม่านเขตแดนจากพลังน้อยนิดของนางและดูเหมือนว่าจะทำได้สำเร็จ เปลวไฟจากโคมดวงจิตสงบขึ้น
ทว่าความโชคร้ายของวันไม่ได้มีเท่านี้ วิหคเพลิงเห็นเซียวอวี้เทียนยืนดักอยู่อีกทางและกำลังร่ายเวทขั้นสูงครั้งที่สอง มันจึงรีบกลับตัว สยายปีกแล้วถลาไปทางหยางซือซืออีกครั้ง แต่กระนั้นก็ไม่อาจหลบได้ทัน เวทขั้นสูงของเซียวอวี้เทียนเฉี่ยวไปที่ลำตัวเพรียวระหงจนทำให้ทรงตัวไม่อยู่ พร้อมที่จะพุ่งดิ่งตกไปกลางลานด้วยความเร็ว หยางซือซือที่ยังคงตรึงเวทของนางเอาไว้ได้แต่มองตาม พลังของวิหคเพลิงนั้นแข็งแกร่งมากกว่านางอีกหรือ
หลังจากนั้นโคมดวงจิตที่อยู่รอบนอกเริ่มดับต่อกันเป็นทอด ๆ กว่าครึ่งหนึ่ง ในใจของนางพลันคิดว่าครั้งนี้จบสิ้นจริง ๆ แล้ว ภาระหน้าที่แสนง่ายแต่สลักสำคัญของนาง
ด้านเซียวอวี้เทียนเองเพิ่งจะจับวิหคเพลิงตัวนี้ได้หันมาถามนางด้วยความเป็นห่วง “หยางซือซือ เจ้าเป็นอันใดหรือไม่” ครั้นพอเห็นสายตาที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า เขาก็เข้าใจแล้วว่า หายนะครั้งใหญ่กำลังมาเยือนอย่างแน่นอน ไม่ทันที่เขาจะได้หาหนทางแก้ไขเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก็มีแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น เซียนผู้ดูแลสวรรค์เดินมาหานางด้วยท่าทีขึงขังพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่ง
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น” เสียงตวาดแข็งกร้าวถามหยางซือซือที่กำลังตกใจไม่ได้สติ
“หยางซือซือ!” เซียวอวี้เทียนเรียกนางแล้วหันไปพูดกับคนที่เหลือว่า “พวกท่านฟังข้าอธิบายก่อน” แต่เซียนผู้ดูแลยกมือขึ้นมาห้ามไม่ให้เขาพูดแทนนาง
“เทพสงครามเซียวอวี้เทียน ท่านไม่ใช่ผู้ดูแลตำหนักแห่งนี้ ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องอธิบาย เวลานี้ทางตำหนักใหญ่ของสวรรค์กำลังวุ่นวาย เทพเซียนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้เรียกร้องให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง” เขาหันไปหาหยางซือซือที่ทำหน้าเศร้าสร้อย “ส่วนเจ้า ตามข้ามา” แล้วทุกคนก็หายตัวกลับไปที่ตำหนักใหญ่พร้อมกัน
ห้องโถงโอ่อ่าเต็มไปด้วยเทพเซียนที่มารออยู่ก่อนแล้ว ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่ต้องลงไปเผชิญด่านเคราะห์บนโลกมนุษย์แต่กลับต้องขึ้นสวรรค์ก่อนเวลาอันควรเพราะเปลวไฟจากโคมดวงจิตดับมอดกระทันหัน
โคมดวงจิตนั้นเป็นที่ฝากฝังจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของพวกเขาก่อนที่จะลงไปโลกมนุษย์ เดิมทีควรจะกลับมาหลอมรวมกันเมื่อวิญญาณส่วนที่เหลือได้กลับมาในที่ทางของตนเอง
เสียงอื้ออึงและสายตาที่มองมาที่หยางซือซือมีทั้งสับสน ไม่เข้าใจ กล่าวโทษนาง อาจจะเพราะกำลังจะผ่านด่านเคราะห์แล้วแต่โดนขัดจังหวะไปเสียก่อน นางได้แต่ก้มหน้าลงสำนึกผิด ไม่ได้คิดจะโทษวิหคเพลิงแต่อย่างใด
สามพันปีที่นางดูแลตำหนักแห่งนี้ แม้จะมีเตร็ดเตร่ออกไปเที่ยวนอกตำหนักบ้างแต่ก็ร่ายเวทเพื่อป้องกันตำหนักเพิ่มทุกครั้ง นี่คงจะเป็นเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ใครกันเล่าจะคิดว่าวิหคเพลิงจะมาบินวนเวียนอยู่แถวนี้
เซียวอวี้เทียนเดินตามเข้ามามองไปรอบ ๆ เขาเห็นรอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏบนใบหน้างดงามของสตรีนางหนึ่ง พลันรู้ทันทีว่านางจะต้องมีส่วนรู้เห็นไม่มากก็น้อย หากแต่ไม่เข้าใจว่านางจะทำไปเพราะเหตุใด
“พวกท่านทั้งหลาย เงียบก่อน ๆ” เทียนจวินตรัสให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ก่อนจะเริ่มสอบถามความเป็นไปกับหยางซือซือที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้นหน้าพระแท่น
“ถวายพระพร เทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพเขา นางเพิ่งจะเคยพบหน้าเขาเป็นครั้งแรก ใบหน้าที่เงียบขรึมของเขาทำให้นางอ่านสีหน้าไม่ถูก
“เซียนน้อย เจ้าเป็นผู้ดูแลตำหนักใช่หรือไม่ เกิดเรื่องอันใดขึ้น” น้ำเสียงนุ่มนวลของเขาทำให้นางพอจะใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“คือว่า วิหคเพลิงตัวหนึ่งบินทะลุเข้ามาในม่านเขตแดนของตำหนัก ข้าพยายามหยุดมันแล้ว แต่ข้าสู้พละกำลังของมันไม่ได้ ดังนั้นเปลวไฟของโคมดวงจิตจึงดับมอดลงเพคะ” หยางซือซืออธิบายแก่ทุกคนตามสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ
หลังจากที่หยางซือซือพูดถึงวิหคเพลิง เทพเซียนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ก็ซุบซิบความน่าจะเป็นราวกับเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าสถานที่ไกลผู้คนและมีเสี้ยวดวงจิตของเทพเซียนพำนักอยู่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งวุ่นวายอย่างแน่นอน ยิ่งเป็นสัตว์พาหนะแล้วด้วย ไม่มีทางเข้าเขตแดนรอบนอกก่อนถึงตำหนักได้แน่
“เป็นเช่นนั้นจริงหรือ สัตว์พาหนะไม่มีทางเข้าไปที่เขตแดนบริเวณรอบ ๆ ได้อยู่แล้ว เจ้ากำลังแก้ตัวหนีความผิดใช่หรือไม่ เซียนน้อย” เซียนอาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้น เขาหันไปมองหน้าเทียนจวิน แล้วพูดต่อว่า “ขอเทียนจวินสืบเรื่องราวให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“นางพูดความจริง พ่ะย่ะค่ะ วิหคเพลิงตัวนั้นข้าจับมัดไว้ที่ด้านนอกตำหนัก หากพระองค์ต้องการหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของนาง” เซียวอวี้เทียนโพล่งขึ้นท่ามกลางที่ชุมนุม คำพูดของเทพสงครามเป็นที่น่าเชื่อถือแต่ก็น่ากังขาว่าทำไมเขาถึงได้อยู่ในที่แห่งนั้น แม้กระทั่งเทียน จวินเองยังสงสัย เพื่อไม่ให้ทุกคนหลุดประเด็นไปมากกว่านี้ เทพเซียนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์จึงก้าวเข้ามาที่กลางห้องโถงใหญ่อย่างพร้อมเพรียงกัน
“องค์เทียนจวิน เหตุการณ์ครั้งนี้ต้องมีผู้ที่ถูกลงโทษ” ทุกคนในที่นี้รู้ดีว่าการผ่านด่านเคราะห์เป็นภารกิจสำคัญของเทพเซียนในการเลื่อนขั้นบนสวรรค์ มีผลต่อการบำเพ็ญตบะของตนเอง การทำหน้าที่ไม่สำเร็จนั้นนอกจากจะทำให้พวกเขาต้องเริ่มต้นใหม่แล้วยังต้องลำบากลบความทรงจำของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับชะตาลิขิตด้วย
“เทียนจวิน ข้ายอมรับโทษครั้งนี้ เป็นข้าเองที่ประมาทจนทำให้เกิดเรื่องร้ายแรง” หยางซือซือยอมรับผิด นางทำให้ทุกคนต้องลำบากเพราะนางไม่ได้ ไม่ว่าบทลงโทษเป็นอะไร นางก็จะก้มหน้าทำตามแต่โดยดี
“ในเมื่อเจ้ายอมรับผิด ขอเทียนจวินได้โปรดให้นางได้ลงไปผ่านด่านเคราะห์ที่โลกมนุษย์ด้วยเถิด เผื่อนางจะได้เข้าใจมากขึ้นว่าหน้าที่ของนางสำคัญเพียงใด” เทพอาวุโสองค์หนึ่งกล่าวขึ้น
“แต่จะให้ดีกว่านี้ หากนางเกิดเป็นมนุษย์แล้วได้ฝึกบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้น” เสียงแหลมเล็กดังมาจากข้าง ๆ เทียนจวิน นางคือซ่งอี้ อัคคีเทพ ผู้เป็นธิดาเพียงองค์เดียวของเขา รอยยิ้มที่เซียวอวี้เทียนเห็นเมื่อตอนที่เขาเดินเข้าห้องโถงมาได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งราวกับรอจังหวะเหมาะสม
“ตบะเซียนเก้าขั้น นั่นจะไม่มากไปหรือ” เซียนอาวุโสที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เซียวอวี้เทียนคัดค้าน เขารู้สึกว่าบทลงโทษนี้มากเกินความผิดที่นางก่อไว้เสียอีก ราวกับจะไม่ยุติธรรมต่อนางเลยจริง ๆ
“หากให้ซือมิ่งช่วยวาดโชคชะตาเล่า จะเป็นอย่างไร ลงไปอยู่ในยุทธภพ สำนักเซียนสักแห่ง ตลอดชีวิตของนางก็น่าจะบำเพ็ญตบะเซียนได้ครบเก้าขั้นพอดี ไม่ใช่เรื่องที่ท่านต้องกังวลแม้แต่น้อย” ซ่งอี้พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนพูดต่อว่า “หากนางมีพลังเซียนเพิ่มขึ้น ก็น่าจะดีกับพวกท่านไม่ใช่หรือ นางจะได้ปกป้องโคมดวงจิต ไม่มีเรื่องให้พวกท่านวุ่นวายใจยามที่ต้องเผชิญด่านเคราะห์อย่างไรเล่า”
ณ ตำหนักโคมดวงจิตเจียลี่นั่งรำลึกความหลังตอนที่นางเป็นเซียนน้อยดูแลตำหนัก แล้วชี้ให้หลินเซินดูว่าโคมดวงจิตของเขาเคยตั้งอยู่ตรงนี้“ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า” เจียลี่หันมามองหลินเซิน “ผู้เฒ่าหยางคงจะหมดห่วงแล้วล่ะ”“ข้าติดหนี้เจ้าแล้ว มากมายจนนับไม่ถ้วน หากไม่มีเจ้า จิตวิญญาณของข้าคงแตกสลายไป” น้ำเสียงของหลินเซินแผ่วเบา“ไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นหรอก” เจียลี่ส่ายหน้า นางกุมมือเขาเอาไว้ ทำสีหน้าจริงจัง “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าใครหน้าไหนกล้าทำร้ายเจ้าอีก ข้าไม่ปล่อยไว้แน่”หลินเซินเลิกคิ้วแล้วยิ้มให้นาง “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นถึงอดีตเทพสงคราม จะมีใครกล้าทำอะไรข้า”“นั่นสิเนอะ” เจียลี่หัวเราะกับคำตอบของเขา “หลินเซิน ไปดูก้อนเมฆสีรุ้งกันเถอะ ข้าไม่ได้เห็นนานแล้ว” นางเอ่ยปากชวนเขาไปที่ผาน้ำตกทั้งสองนั่งเล่นชมทิวทัศน์อยู่นานจนถึงเวลาพลบค่ำที่ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า จู่ ๆ เจียลี่ก็นึกได้ว่าเวลาบนดินแดนสวรรค์กับดินแดนมนุษย์ไม่เหมือนกัน“ข้าว่ารีบกลับลงไปที่บ้านเถอะ ไม่รู้ป่านนี้เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจะเป็น
ช่วงสายของวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส หลินเซินนั่งกินถังหูลู่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมบ่อน้ำ เขาหันมามองเจียลี่ที่กำลังหัดร่ายเวทด้วยความจริงจังนึกขำในใจ“เจียลี่ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปเถิด เจ้าทำหน้าเครียดเกินไปแล้ว” นับตั้งแต่ที่เขาคืนพลังเซียนเพื่อฟื้นชีวิตนาง หลินเซินก็กลายเป็นชนเผ่าหมาป่าธรรมดาที่มีพลังเวทนิดหน่อย กระนั้นยังคงเป็นหมาป่ากินพืชเช่นเดิม“ข้าอยากเป็นเร็ว ๆ นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะได้ช่วยพวกเจ้าได้” เจียลี่ยังคงพยายามจ้องไปที่มือข้างหนึ่งของนางที่มีพลังเซียนส่องแสงวิบวับ“เจ้าต้องผ่อนคลายให้มากกว่านี้แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าต้องทำเช่นไร” หลินเซินให้กำลังใจ เขารินน้ำชาดอกท้อให้นาง “ดื่มก่อน”“อื้ม” เจียลี่พยักหน้า แล้วนึกถึงเรื่องที่นางมีความสุข พลันกลีบดอกท้อปรากฏขึ้นอยู่รอบตัวทั้งคู่ นางโบกมือไปทางซ้ายขวาบังคับสายลมพัดกลีบดอกท้อปลิวไสวไปทั่วทั้งป่า “ข้าเข้าใจแล้วหลินเซิน” นางยิ้มดีใจทั้งคู่พูดคุยกันกระหนุงกระหนิงทั้งวันจนตะวันลับฟ้าจึงพากันเดินกลับบ
เจียลี่ลุกขึ้นมานั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าทันทีที่ฟื้นขึ้นมา นางไม่อยากให้หลินเซินต้องทำเช่นนี้ จนหมิงเฟยต้องเข้ามาปลอบใจ“ท่านพี่ ทำใจดี ๆ ไว้เถิด ถ้าเขาเห็นว่าท่านเป็นเช่นนี้ วิญญาณคงจะไม่สงบสุข” หมิงเฟยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางซับน้ำตา“ข้าขออยู่คนเดียวได้หรือไม่” นางคงยังไม่อยากพูดกับใคร ในใจเศร้าสร้อยเกินจะคิดอะไร“ขอรับ” หมิงเฟยพยักหน้าแล้วเดินออกมานอกห้องในป่าลึกท้ายหมู่บ้าน เยี่ยนฟางกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ น้ำตานองหน้าเพราะนึกถึงสิ่งที่นางทำ ทั้งยังไม่กล้าสู้หน้าหมิงเฟยจึงหลบออกมานั่งคนเดียวครั้นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นางจึงเงยหน้ามองผู้มาเยือน“หลินเซินนนน” เยี่ยนฟางกลั้นใจไม่ไหว ร้องไห้โฮจนตัวโยนหลินเซินจึงนั่งลงข้าง ๆ ลูบหัวของนางเหมือนอย่างเคย “จำได้หรือไม่ วันแรกที่ข้าเจอเจ้า”“อื้ม”“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ อย่าโทษตัวเองนักเลย” หลินเซินยื่นขนมหวานให้นาง “หมิงเฟยตามหาเจ้าอยู่ ไม่อยากเ
เวลานี้ หลินเซินจำเรื่องราวในอดีตได้หมดทุกอย่างแล้ว พลังตบะเซียนและร่างกายของเขากลับมาเป็นเช่นเดิม เขาร่ายเวทก้าวเข้าสู่หุบเขากองกระดูกในทันทีการปรากฏตัวของเขาทำให้หมิงเฟยและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจ ยามนี้เขาแทบจะทนแรงฟาดฟันของเยี่ยนฟางไม่ไหวแล้ว หลินเซินมองเห็นความโกลาหลที่พื้นเบื้องล่าง เขามองหาเยี่ยนฟางและหมิงเฟยเป็นลำดับแรก จากนั้นก็เคลื่อนที่มาหยุดตรงหน้านางในพริบตา“จงหลับ!” นิ้วชี้ของเขาจิ้มไปหว่างกลางหน้าผากของเยี่ยนฟาง เขาเอื้อมมือคว้าตัวนางเอาไว้ แล้วส่งให้หมิงเฟย จากนั้นตรงดิ่งไปที่ร่างของเจียลี่พูดกับหมิงเฟยว่า “พาคนออกไปจากที่นี่แล้วร่ายเวทหล่อเลี้ยงร่างของนางเอาไว้”หมิงเฟยพยักหน้ารับคำ ครั้นหลินเซินร่ายม่านเขตแดนของตนขึ้นมา หุบเขากองกระดูกที่แสนอึมครึมจึงมีโพรงแห่งแสงสว่างเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น“เฉิงซาน ทางนี้” หมิงเฟยตะโกนบอกพรรคพวกเมื่อทุกคนในที่แห่งนี้มองเห็นทางออกต่างพยายามสลัดให้หลุดจากคู่ต่อสู้ของตนเองหลินเซินมองเห็นเทพมารลอยอยู่เหนือเทพอาวุโส กำลังจะร่ายเวทใส่ร่างของเขา เพียงแต่ได้ยินเสียงร้อ
“เทียนจวิน วันนี้มีเรื่องอะไรหรือถึงได้อารมณ์ดี” ซ่งเสวี่ยหยางถามเขา“แค่วันธรรมดาหนึ่งวันบนดินแดนสวรรค์ เห็นเจ้าเพิ่งกลับมาเลยอยากทวงของฝาก” ซ่งเทียนเย่ยิ้มแป้นให้เขา“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ปราบปีศาจที่มีพลังมารก็ทำให้ข้าเหนื่อยไม่น้อย” เขาส่ายหน้าพลางเดินไปที่มุมหนึ่งของตำหนัก “แต่ก็เอาเถอะ ข้าได้ยินมนุษย์พูดกันว่าสุราแคว้นเป่ยรสชาติดีจึงได้ถือติดมือมาด้วย” เขายื่นสิ่งที่พอจะเรียกว่าของฝากให้ซ่งเทียนเย่“เจ้าช่างรู้ใจ ดื่มเป็นเพื่อนกันสักหน่อยดีหรือไม่”หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ออกไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเกาะลอยฟ้าของตำหนักเทพสงคราม ดื่มสุรากันคนละจอกสองจอกพลางพูดคุยเรื่องที่ได้พบเจอในแต่ละวัน“ท่านอา” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยสองคนเรียกซ่งเสวี่ยหยาง เขาหันไปมองต้นเสียงแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคน ช้า ๆ หน่อย” แต่เด็กทั้งสองกลับวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมเพราะคิดถึงเขา“เฮ้อ ดูสิ บิดาของเขานั่งอยู่ตรงนี้แท้ ๆ” ซ่งเทียนเย่พูดหยอกผู้เป็นน้องชาย“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่อยู่ตำหนักตั้งนาน เอ้า! นี่ของฝากพวกเจ้า” เขาร่ายเวทเรียกไข่ของวิหคเพลิงออก
TW: ความรุนแรง อดีตของหลินเซินและเจียลี่ราวกับเรื่องราวของเยว่เล่อกับนางยังไม่หนักหนาพอ ใต้เท้าหนุ่มเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพที่นางกำลังนั่งกอดเขาอยู่บนเตียงจึงเกิดความเดือดดาล ปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของเยว่เล่อแล้วออกหมัดใส่หน้าเขาไปหนึ่งทีนางรีบวิ่งเข้ามาประคองเขาพยายามห้ามไม่ให้เยว่เล่อโต้ตอบแต่กลับกลายเป็นว่าใต้เท้าหนุ่มยิ่งไม่พอใจที่ผู้หญิงของเขาทำเช่นนั้น“มันเป็นชู้รักของเจ้างั้นรึ” เขาตวาดเสียงดังก้องแล้วเข้าไปกระชากตัวนางจากเยว่เล่อ บีบข้อมือของนางแรงจนช้ำแดงเถือกเยว่เล่อไม่อาจทนเห็นใครทำร้ายนางได้อีก เขาขัดคำสัญญาของนางแล้วพุ่งตรงมาบีบคอของใต้เท้าหนุ่มในทันที เยว่เล่อกัดคอของเขาแล้วสูบเลือดที่มีจนหมดตัว ทิ้งร่างเหี่ยว ๆ กองไว้บนพื้นนางไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อนจึงตกตะลึงไปชั่วขณะแต่แล้วก็เดินมากอดเขาเอาไว้“ไปจากที่นี่กันเถิดนะเยว่เล่อ” นางมองหน้าเขาสายตาอ้อนวอนทั้ง ๆ ที่บริเวณบ้านเงียบงันแต่กลับมีเสียงหนึ่งคล้ายเสียงของใต้เท้าหนุ่มตะโกนโวยวายไม่เป็นเรื่อง คนใช้ในจวนจึงรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง ครั้นได้เห็นภาพเ