สิ้นคำพูดของซ่งอี้ เทพเซียนที่เกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์ครั้งนี้เริ่มเห็นด้วยกับความคิดของนาง
“ขอเทียนจวินตัดสินด้วยเถิด” ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
เทียนจวินมองไปที่หยางซือซือ เวลานี้ใบหน้าของนางราวกับครุ่นคิดเรื่องบางอย่างอยู่ แต่ไม่มีสีหน้าแสดงความกังวลใจต่อบทลงโทษ
“เซียนน้อยหยางซือซือ ข้ารู้ว่าเจ้าตั้งใจทำหน้าที่ต่อจากผู้เฒ่าหยางมาด้วยดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากแต่ครั้งนี้เกิดเรื่องขึ้น ข้าไม่อาจเพิกเฉยต่อความเดือนร้อนได้ จงลงไปเกิดเป็นมนุษย์ ผ่านด่านเคราะห์และบำเพ็ญตบะให้แกร่งกล้า เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าเชื่อว่าเจ้าจะไม่ถูกลงโทษเป็นครั้งที่สอง” เทียนจวินตรัสกับนาง
“หม่อมฉันน้อมคำตัดสินเพคะ ขอบพระทัยเทียนจวิน” หยางซือซือทำความเคารพ ก่อนที่ทุกคนในห้องโถงใหญ่แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนต่อ มีเพียงเซียวอวี้เทียนเดินหน้าเศร้ามาหานางเพราะรู้ว่าไม่ใช่ความผิดของนาง วิหคเพลิงมีเงื่อนงำบางอย่างถึงได้ปรากฏตัวขึ้น
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้านักหรอกน่า เซียวอวี้เทียน ช่วงชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น เดี๋ยวข้าก็กลับขึ้นมาบนสวรรค์ได้เช่นเดิมแล้ว” หยางซือซือปลอบใจเขาเหมือนอย่างเคย นางมักจะลืมเรื่องของตนเองแล้วใส่ใจความรู้สึกของเขาเสมอ
“อื้ม ข้าจะรอเจ้า เอาไว้กลับมาแล้ว ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้านะ หยางซือซือ” เซียวอวี้เทียนยิ้มให้นาง ก่อนที่จะมีองครักษ์บอกเขาว่าเทียน จวินต้องการพบเขาด้วยเรื่องสำคัญ
“ไปเถอะ” หยางซือซือตบไหล่เขาเบา ๆ เป็นการบอกลาครั้งสุดท้าย นางกลับไปที่ตำหนักของตนเองพร้อมกับเซียนน้อยจำนวนหนึ่ง
หลังจากที่เก็บของในตำหนักและส่งมอบหน้าที่ให้เซียนน้อยที่มาด้วยกันแล้ว นางเดินไปที่ใจกลางตำหนักมองดูเปลวไฟโคมดวงจิตที่เหลืออยู่ส่องแสงสว่างอย่างที่เคยเป็น ก่อนจะเดินมาหยุดตรงหน้าโคมน้อยดวงเดิม
“เจ้าโคมน้อย หวังว่าเจ้าจะผ่านด่านเคราะห์ไปได้ด้วยดีนะ ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะได้กลับสวรรค์ก่อนข้าเสียอีก ดูแลตัวเองด้วยนะตอนที่ข้าไม่อยู่” หยางซือซือจิ้มนิ้วชี้ไปแตะโคมน้อยเบา ๆ นางยืนขึ้นแล้วหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว สายตามองไปที่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบ ๆ รอบตำหนัก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าต้องจากบ้านไปนานถึงเพียงนี้
เซียนน้อยพานางมาที่ลานจุติ หยางซือซือพยายามมองหาเซียวอวี้เทียน สหายเซียนของนางแต่ไม่พบวี่แวว เมื่อถึงเวลาที่นางจะต้องลงไปเกิดใหม่ จึงได้ถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้ายแล้วหลับตากระโดดลงไป
ณ ดินแดนมนุษย์
เซียนน้อยหยางซือซือลงมาเกิดใหม่บนที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก จิตวิญญาณเซียนของนางได้ตื่นขึ้นยามที่นางรับรู้ถึงสายลมพัดเอื่อยเบา ๆ กลิ่นของต้นไม้ใบหญ้าปะทะเข้าจมูกของนางไม่ขาดสาย ก้อนอะไรบางอย่างเย็น ๆ อยู่ใต้เท้าของนาง พลันได้สติว่าตนเองกำลังถูกลงโทษให้มาเกิดเป็นมนุษย์ ทั้งยังต้องบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้นก่อนจะหมดอายุขัยเพื่อกลับสวรรค์ นางจะรอช้าไม่ได้ คิดเช่นนั้นก็รีบลืมตาขึ้น
“เอ๊ะ! ความรู้สึกของมนุษย์เป็นเช่นนี้เองหรอกหรือ รอบตัวข้าควรจะรายล้อมไปด้วยคนที่ข้าเรียกว่าท่านพ่อ ท่านแม่ หรือไม่อย่างน้อยก็มนุษย์ที่ดูอายุมากกว่าข้าสักคน ทำไมข้ามองเห็นแต่ต้นหญ้า เหมือนที่อยู่บนตำหนักสวรรค์อย่างไรอย่างนั้น” หยางซือซือไม่เข้าใจ คิดว่าจะต้องมีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นกับการเกิดใหม่
ทว่าเรื่องจริงก็เป็นอย่างที่นางคิดไว้ หยางซือซือกระพริบตาเพื่อมองไปรอบ ๆ ตัวอีกครั้ง พยายามจะยกขาขึ้นเดินไปดูข้างหน้า แล้วก็รู้สึกได้ว่าขานางมีบางอย่างมัดติดไว้อยู่
“ขาข้าติดอะไรนะ เอ๊ะ!” นางเอามือปิดปาก แต่ก็ได้รับรู้ว่ามือของนางก็ผิดปกติเช่นกัน “มือข้า มือข้า นิ้วหายไปที่ใด เจ้าสีเขียวแบน ๆ นี่น่ะหรือมือของข้า ร่างมนุษย์ของข้าทำไมถึงแปลกไปเช่นนี้” หยางซือซือพยายามนึกอยู่นานว่าสิ่งที่นางเห็นในตอนนี้คืออะไร
“โธ่ถัง ข้าก็นึกตั้งนานว่าเหมือนอะไร ที่แท้ข้าก็มาเกิดเป็นต้นไม้หรอกหรือเนี่ย แล้วข้าจะบรรลุตบะเซียนเก้าขั้นเมื่อใดเล่า ซือมิ่ง ท่านแกล้งข้าหรือ ไหนบอกว่าให้ข้ามาเกิดเป็นมนุษย์” เสียงของหยางซือซือตัดพ้อเขา หากมองจากภายนอกก็จะเห็นเพียงต้นอ่อนที่มีใบเลี้ยงสองใบพัดไหวไปมากับลำต้นที่โอนเอนไปซ้ายทีขวาทีราวกับกำลังทะเลาะกับตัวเองอยู่
แต่ไม่ว่าอย่างไร หยางซือซือก็ไม่สามารถหนีจากโชคชะตาครั้งนี้ไปได้ นางเคยได้ยินมาว่า มนุษย์นั้นบำเพ็ญตบะเซียนเก้าขั้นได้เร็วกว่าผู้อื่น ต้นไม้ดอกไม้บนโลกมนุษย์ใช้เวลานานสุด “บังเอิญจริง ๆ”
การเกิดเป็นต้นดอกท้อทำให้นางได้มีสมาธิบำเพ็ญตบะเซียนเพราะไม่ต้องวุ่นวายกับใคร แถมยังมาเกิดที่ริมผาเดียวดาย จะมีผู้ใดเล่ามารบกวนนางถึงตรงนี้ได้ “อย่างมากหนึ่งหมื่นปีข้าก็จะได้กลับสวรรค์”
เรื่องราวของหยางซือซือ ต้นดอกท้อริมผาเดียวดายแห่งนี้ดำเนินมาอย่างเรียบง่าย ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายปี จากต้นอ่อนต้นเล็กสูงเท่าต้นหญ้าบริเวณรอบ ๆ บัดนี้ลำต้นใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก นางยังคงค่อย ๆ บำเพ็ญตบะเซียนอย่างขยันขันแข็ง แม้ว่าช่วงหลัง ๆ จะติดเกียจคร้านไปบ้าง
“ผ่านมาหลายพันปี ข้าเพิ่งจะบรรลุตบะเซียนขั้นที่สองเองหรือ” หยางซือซือพูดกับตัวเอง ดูเหมือนว่าเวลาที่นางคาดว่าจะกลับสวรรค์คงไม่ใช่หมื่นปีอันใกล้นี้แล้ว แต่นางก็ยังคงไม่เดือดเนื้อร้อนใจ เพราะรู้สึกว่าชีวิตตรงนี้ก็สบายดี นางได้นั่งดูก้อนเมฆ มองท้องฟ้า อาบแสงดาวแสงจันทร์ กินน้ำค้างยามเช้า “ไม่มีอะไรสบายไปมากกว่านี้แล้ว เรื่องกลับสวรรค์ก็ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน”
ในวันหนึ่งของฤดูหนาว หยางซือซือได้ยินเสียงหนึ่งใกล้เข้ามา เสียงที่นางไม่ได้ยินมาเป็นเวลานานแล้ว นางรีบตื่นจากหลับใหลเพื่อมองหาต้นเสียงนั้น
“มานี่สิ พักตรงนี้ก่อน พรุ่งนี้เราค่อยเดินทางต่อ” เสียงเล็ก ๆ เจื้อยแจ้วของเด็กน้อยดังขึ้น
“อื้ม ข้าหิวน้ำ” เด็กหญิงตัวน้อยพูดกับพี่ชาย นางดูเหน็ดเหนื่อยเพราะเดินทางมาเป็นเวลานาน ทั้งสองคนนั่งลงที่ใต้ต้นดอกท้อ เอนหลังพิงกับลำต้น ทอดสายตาไปยังข้างหน้า แหงนมองท้องฟ้าและตะวันที่กำลังตกดิน
“มนุษย์หรือ ข้าเจอมนุษย์แล้วหรือ นานเหลือเกิน” นางเห็นความเหนื่อยล้าปรากฏบนใบหน้าของทั้งคู่ จึงแผ่พลังเซียนอันน้อยนิดของนางเพื่อทำให้พวกเขารู้สึกสบายตัวขึ้น จากนั้นทั้งคู่ก็หลับผล็อยไป
หยางซือซือมองเห็นความทรงจำเมื่อไม่กี่วันก่อนของพวกเขาขณะที่กำลังหลับฝัน เด็กน้อยทั้งสองคนนี้วิ่งไปมาที่ลานหน้าบ้าน อดมื้อกินมื้อจนไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แต่ยังคงความสดใสตามวัยเอาไว้ได้ หลายวันนี้เดินทางตามพ่อแม่มาหาของในป่า เจอสัตว์ป่าดุร้ายจึงพากันวิ่งหนีไปคนละทางจนพลัดหลง คนพี่พยายามดูแลน้องสาวเป็นอย่างดีตลอดทาง เห็นเช่นนี้แล้วนางรู้สึกอยากให้ทั้งคู่มีชีวิตที่ยืนยาว ร่างกายแข็งแรง เติบโตเป็นอย่างดีจริง ๆ
คืนนั้นเอง นางจึงเข้าไปในความฝันของทั้งสองคน เตือนว่าหากตอนเช้าตื่นมาแล้วอย่าลืมนำถุงผ้าที่วางไว้ข้าง ๆ กลับไปด้วย นางใส่ของวิเศษมากมายที่เคยได้ยินยามที่อยู่ดินแดนสวรรค์ เอาไว้ให้ครอบครัวนี้ได้ใช้ ทั้งยังถ่ายทอดพลังตบะเซียนเพื่อให้พวกเขามีสุขภาพที่แข็งแรง โชคดี และมีความสุข โดยไม่ห่วงว่าตบะเซียนของนางจะลดลงแต่อย่างใด
หลังจากนั้นทุก ๆ พันปี นางจะได้มีโอกาสพบมนุษย์อยู่สองสามคน และทุกครั้ง หยางซือซือจะแปรเปลี่ยนตบะเซียน ประทานพรแก่พวกเขาเรื่อยมา กาลเวลาที่นางเคยคิดว่าหนึ่งหมื่นปีคงได้กลับสวรรค์ บัดนี้ล่วงเลยมาเกือบแสนปีแล้ว พร้อมตบะเซียนแปดขั้นครึ่ง อีกเพียงนิดเดียวด่านเคราะห์ของนางบนโลกมนุษย์จะสำเร็จลุล่วง
ณ ตำหนักโคมดวงจิตเจียลี่นั่งรำลึกความหลังตอนที่นางเป็นเซียนน้อยดูแลตำหนัก แล้วชี้ให้หลินเซินดูว่าโคมดวงจิตของเขาเคยตั้งอยู่ตรงนี้“ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า” เจียลี่หันมามองหลินเซิน “ผู้เฒ่าหยางคงจะหมดห่วงแล้วล่ะ”“ข้าติดหนี้เจ้าแล้ว มากมายจนนับไม่ถ้วน หากไม่มีเจ้า จิตวิญญาณของข้าคงแตกสลายไป” น้ำเสียงของหลินเซินแผ่วเบา“ไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นหรอก” เจียลี่ส่ายหน้า นางกุมมือเขาเอาไว้ ทำสีหน้าจริงจัง “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าใครหน้าไหนกล้าทำร้ายเจ้าอีก ข้าไม่ปล่อยไว้แน่”หลินเซินเลิกคิ้วแล้วยิ้มให้นาง “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นถึงอดีตเทพสงคราม จะมีใครกล้าทำอะไรข้า”“นั่นสิเนอะ” เจียลี่หัวเราะกับคำตอบของเขา “หลินเซิน ไปดูก้อนเมฆสีรุ้งกันเถอะ ข้าไม่ได้เห็นนานแล้ว” นางเอ่ยปากชวนเขาไปที่ผาน้ำตกทั้งสองนั่งเล่นชมทิวทัศน์อยู่นานจนถึงเวลาพลบค่ำที่ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า จู่ ๆ เจียลี่ก็นึกได้ว่าเวลาบนดินแดนสวรรค์กับดินแดนมนุษย์ไม่เหมือนกัน“ข้าว่ารีบกลับลงไปที่บ้านเถอะ ไม่รู้ป่านนี้เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจะเป็น
ช่วงสายของวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส หลินเซินนั่งกินถังหูลู่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมบ่อน้ำ เขาหันมามองเจียลี่ที่กำลังหัดร่ายเวทด้วยความจริงจังนึกขำในใจ“เจียลี่ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปเถิด เจ้าทำหน้าเครียดเกินไปแล้ว” นับตั้งแต่ที่เขาคืนพลังเซียนเพื่อฟื้นชีวิตนาง หลินเซินก็กลายเป็นชนเผ่าหมาป่าธรรมดาที่มีพลังเวทนิดหน่อย กระนั้นยังคงเป็นหมาป่ากินพืชเช่นเดิม“ข้าอยากเป็นเร็ว ๆ นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะได้ช่วยพวกเจ้าได้” เจียลี่ยังคงพยายามจ้องไปที่มือข้างหนึ่งของนางที่มีพลังเซียนส่องแสงวิบวับ“เจ้าต้องผ่อนคลายให้มากกว่านี้แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าต้องทำเช่นไร” หลินเซินให้กำลังใจ เขารินน้ำชาดอกท้อให้นาง “ดื่มก่อน”“อื้ม” เจียลี่พยักหน้า แล้วนึกถึงเรื่องที่นางมีความสุข พลันกลีบดอกท้อปรากฏขึ้นอยู่รอบตัวทั้งคู่ นางโบกมือไปทางซ้ายขวาบังคับสายลมพัดกลีบดอกท้อปลิวไสวไปทั่วทั้งป่า “ข้าเข้าใจแล้วหลินเซิน” นางยิ้มดีใจทั้งคู่พูดคุยกันกระหนุงกระหนิงทั้งวันจนตะวันลับฟ้าจึงพากันเดินกลับบ
เจียลี่ลุกขึ้นมานั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าทันทีที่ฟื้นขึ้นมา นางไม่อยากให้หลินเซินต้องทำเช่นนี้ จนหมิงเฟยต้องเข้ามาปลอบใจ“ท่านพี่ ทำใจดี ๆ ไว้เถิด ถ้าเขาเห็นว่าท่านเป็นเช่นนี้ วิญญาณคงจะไม่สงบสุข” หมิงเฟยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางซับน้ำตา“ข้าขออยู่คนเดียวได้หรือไม่” นางคงยังไม่อยากพูดกับใคร ในใจเศร้าสร้อยเกินจะคิดอะไร“ขอรับ” หมิงเฟยพยักหน้าแล้วเดินออกมานอกห้องในป่าลึกท้ายหมู่บ้าน เยี่ยนฟางกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ น้ำตานองหน้าเพราะนึกถึงสิ่งที่นางทำ ทั้งยังไม่กล้าสู้หน้าหมิงเฟยจึงหลบออกมานั่งคนเดียวครั้นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นางจึงเงยหน้ามองผู้มาเยือน“หลินเซินนนน” เยี่ยนฟางกลั้นใจไม่ไหว ร้องไห้โฮจนตัวโยนหลินเซินจึงนั่งลงข้าง ๆ ลูบหัวของนางเหมือนอย่างเคย “จำได้หรือไม่ วันแรกที่ข้าเจอเจ้า”“อื้ม”“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ อย่าโทษตัวเองนักเลย” หลินเซินยื่นขนมหวานให้นาง “หมิงเฟยตามหาเจ้าอยู่ ไม่อยากเ
เวลานี้ หลินเซินจำเรื่องราวในอดีตได้หมดทุกอย่างแล้ว พลังตบะเซียนและร่างกายของเขากลับมาเป็นเช่นเดิม เขาร่ายเวทก้าวเข้าสู่หุบเขากองกระดูกในทันทีการปรากฏตัวของเขาทำให้หมิงเฟยและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจ ยามนี้เขาแทบจะทนแรงฟาดฟันของเยี่ยนฟางไม่ไหวแล้ว หลินเซินมองเห็นความโกลาหลที่พื้นเบื้องล่าง เขามองหาเยี่ยนฟางและหมิงเฟยเป็นลำดับแรก จากนั้นก็เคลื่อนที่มาหยุดตรงหน้านางในพริบตา“จงหลับ!” นิ้วชี้ของเขาจิ้มไปหว่างกลางหน้าผากของเยี่ยนฟาง เขาเอื้อมมือคว้าตัวนางเอาไว้ แล้วส่งให้หมิงเฟย จากนั้นตรงดิ่งไปที่ร่างของเจียลี่พูดกับหมิงเฟยว่า “พาคนออกไปจากที่นี่แล้วร่ายเวทหล่อเลี้ยงร่างของนางเอาไว้”หมิงเฟยพยักหน้ารับคำ ครั้นหลินเซินร่ายม่านเขตแดนของตนขึ้นมา หุบเขากองกระดูกที่แสนอึมครึมจึงมีโพรงแห่งแสงสว่างเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น“เฉิงซาน ทางนี้” หมิงเฟยตะโกนบอกพรรคพวกเมื่อทุกคนในที่แห่งนี้มองเห็นทางออกต่างพยายามสลัดให้หลุดจากคู่ต่อสู้ของตนเองหลินเซินมองเห็นเทพมารลอยอยู่เหนือเทพอาวุโส กำลังจะร่ายเวทใส่ร่างของเขา เพียงแต่ได้ยินเสียงร้อ
“เทียนจวิน วันนี้มีเรื่องอะไรหรือถึงได้อารมณ์ดี” ซ่งเสวี่ยหยางถามเขา“แค่วันธรรมดาหนึ่งวันบนดินแดนสวรรค์ เห็นเจ้าเพิ่งกลับมาเลยอยากทวงของฝาก” ซ่งเทียนเย่ยิ้มแป้นให้เขา“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ปราบปีศาจที่มีพลังมารก็ทำให้ข้าเหนื่อยไม่น้อย” เขาส่ายหน้าพลางเดินไปที่มุมหนึ่งของตำหนัก “แต่ก็เอาเถอะ ข้าได้ยินมนุษย์พูดกันว่าสุราแคว้นเป่ยรสชาติดีจึงได้ถือติดมือมาด้วย” เขายื่นสิ่งที่พอจะเรียกว่าของฝากให้ซ่งเทียนเย่“เจ้าช่างรู้ใจ ดื่มเป็นเพื่อนกันสักหน่อยดีหรือไม่”หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ออกไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเกาะลอยฟ้าของตำหนักเทพสงคราม ดื่มสุรากันคนละจอกสองจอกพลางพูดคุยเรื่องที่ได้พบเจอในแต่ละวัน“ท่านอา” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยสองคนเรียกซ่งเสวี่ยหยาง เขาหันไปมองต้นเสียงแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคน ช้า ๆ หน่อย” แต่เด็กทั้งสองกลับวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมเพราะคิดถึงเขา“เฮ้อ ดูสิ บิดาของเขานั่งอยู่ตรงนี้แท้ ๆ” ซ่งเทียนเย่พูดหยอกผู้เป็นน้องชาย“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่อยู่ตำหนักตั้งนาน เอ้า! นี่ของฝากพวกเจ้า” เขาร่ายเวทเรียกไข่ของวิหคเพลิงออก
TW: ความรุนแรง อดีตของหลินเซินและเจียลี่ราวกับเรื่องราวของเยว่เล่อกับนางยังไม่หนักหนาพอ ใต้เท้าหนุ่มเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพที่นางกำลังนั่งกอดเขาอยู่บนเตียงจึงเกิดความเดือดดาล ปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของเยว่เล่อแล้วออกหมัดใส่หน้าเขาไปหนึ่งทีนางรีบวิ่งเข้ามาประคองเขาพยายามห้ามไม่ให้เยว่เล่อโต้ตอบแต่กลับกลายเป็นว่าใต้เท้าหนุ่มยิ่งไม่พอใจที่ผู้หญิงของเขาทำเช่นนั้น“มันเป็นชู้รักของเจ้างั้นรึ” เขาตวาดเสียงดังก้องแล้วเข้าไปกระชากตัวนางจากเยว่เล่อ บีบข้อมือของนางแรงจนช้ำแดงเถือกเยว่เล่อไม่อาจทนเห็นใครทำร้ายนางได้อีก เขาขัดคำสัญญาของนางแล้วพุ่งตรงมาบีบคอของใต้เท้าหนุ่มในทันที เยว่เล่อกัดคอของเขาแล้วสูบเลือดที่มีจนหมดตัว ทิ้งร่างเหี่ยว ๆ กองไว้บนพื้นนางไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อนจึงตกตะลึงไปชั่วขณะแต่แล้วก็เดินมากอดเขาเอาไว้“ไปจากที่นี่กันเถิดนะเยว่เล่อ” นางมองหน้าเขาสายตาอ้อนวอนทั้ง ๆ ที่บริเวณบ้านเงียบงันแต่กลับมีเสียงหนึ่งคล้ายเสียงของใต้เท้าหนุ่มตะโกนโวยวายไม่เป็นเรื่อง คนใช้ในจวนจึงรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง ครั้นได้เห็นภาพเ