เสิ่นชิวเข้ามาในบ้านของตนเองเพื่อเก็บของสำคัญ ระหว่างนั้นได้ยินเสียงร้องดังมาจากด้านหน้าหมู่บ้านจึงออกมาดู ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนถืออาวุธครบมือเดินเข้ามาในหมู่บ้านด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด ฮึกเหิมและสนุกสนาน แท้จริงแล้วมนุษย์พวกนี้ไม่นับว่าเผ่ากวางนำทางเป็นมนุษย์ดังเช่นพวกเขา ท่าทีของคนพวกนั้นทำราวกับกำลังล่าสัตว์ป่าไม่ต่างกัน
นักล่าตัวใหญ่คนหนึ่งถือดาบยักษ์เดินเข้ามาเผชิญหน้ากับกองกำลังของหมู่บ้าน ไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงผ่านอาณาเขตศักดิ์สิทธิ์เข้ามาได้ หากแต่ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือปกป้องกันและกัน เสิ่นชิวรีบถืออาวุธจะวิ่งไปสมทบกับทุกคน พลันมือข้างหนึ่งถูกแม่เฒ่ารั้งไว้
“ปล่อยข้าเถิดแม่เฒ่า เวลานี้ ต่อให้ข้าหนีไปก็คงไม่ทันแล้ว ให้ข้าได้ช่วยพวกท่านเถิด ข้าขอร้อง ต่อให้ชีวิตนี้ต้องสูญสิ้น ข้าก็ไม่เสียดาย” เสิ่นชิวพูดกับแม่เฒ่า นางมองหน้าเขาไม่อาจห้ามปราบได้อีกต่อไป เวลานี้อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด นางพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เขา
ขณะที่เสิ่นชิวกำลังวิ่งเข้าช่วยเหลือ เขาเห็นนักล่าตัวใหญ่ผู้นั้นฟันดาบยักษ์ลงมาที่ผู้ดูแลหมู่บ้าน แรงของดาบทำให้เขาไม่อาจรับน้ำหนักได้ไหว อาวุธที่ยันกับดาบยักษ์แตกกระจาย ร่างของเขาจึงโดนคมดาบยักษ์เต็ม ๆ เสิ่นชิวเห็นจิตวิญญาณกวางนำทางล่องลอยออกมาจากร่างของผู้ดูแล นักล่าผู้นั้นรีบใช้เชือกอาคมตวัดรัดคอกวางตัวนั้นเอาไว้แน่นแล้วเก็บลงในโหลหยกที่นำตัดตัวมาด้วย
การกระทำป่าเถื่อน โหดร้ายรุนแรงของนักล่า ทำให้คนในหมู่บ้านขวัญหนีดีฝ่อ เพียงแต่พวกเขาไม่รู้จะหนีไปที่ใดแล้ว เพราะไม่ว่าจะพยายามหนีเท่าใด นักล่าพวกนี้ก็ตามหาจนเจออยู่ร่ำไป
“ท่านผู้นำ ระวัง!” เสิ่นชิวรีบพุ่งตัวเข้าไปในวงล้อมของนักล่า เขาใช้ตัวเองเป็นโล่กำบังขวางไว้
“เสิ่นชิว หนีไป” เขารีบดึงตัวเสิ่นชิวไปข้างหลังแทน ความผูกพันที่เขามีให้เหมือนลูกหลานคนหนึ่ง ยอมไม่ได้ที่จะเห็นเสิ่นชิวต้องบาดเจ็บ
“ไม่ขอรับ” เสิ่นชิวยังคงดึงดัน ไม่ยอมหนีไปไหน มือของเขากำดาบไว้แน่น ทั้งชีวิตไม่เคยต้องทำร้ายผู้ใด แต่วันนี้จำเป็นต้องปกป้องคนที่ตนเองรักไว้ให้ได้ ทั้งคนในหมู่บ้าน ท่านผู้นำ โดยเฉพาะลู่ฟางหรง
ทั้งสองฝ่ายต่างฟาดฟันคมดาบใส่กันอย่างไม่ยั้งมือ อีกฝ่ายหมายจะเอาชีวิตและจิตวิญญาณ อีกฝ่ายทำเพื่อปกป้องชีวิต เป้าหมายที่แตกต่างกันไม่อาจประนีประนอมได้ ทว่านักล่าย่อมเป็นนักล่าอยู่วันยังค่ำ ยิ่งมีของรางวัลล่อใจ นอกจากเงินทองที่สุขสบายไปทั้งชีวิตแล้ว จิตวิญญาณกวางนำทางก็นับเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ต่างต้องการ พวกมันลงมือกับคนในหมู่บ้านไม่มีปรานีไม่ว่าจะคนแก่หรือเด็ก
ทุกคนในหมู่บ้านอดทนสู้จนสุดกำลังที่จะทำได้ พยายามยืนหยัดจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต สายตาของคนในหมู่บ้านที่ล้มลงหมดแรงมองมาที่เสิ่นชิว ยามที่เขาได้สบตากับคนเหล่านั้น จู่ ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจ เด็กน้อยคนนั้นที่เขาช่วยไว้ไม่ได้ นางชอบมาเล่นกับเขาทุกเช้า เรียกเขาว่าพี่ชาย รอยยิ้มสดใสที่เขาเคยเห็น เวลานี้ไม่มีอีกแล้ว
“นี่ ข้าเคยได้ยินมาว่าพวกเจ้ามีจิตวิญญาณกวางนำทางสีทองด้วยไม่ใช่หรือ นางผู้นั้นอยู่ไหนกันเล่า” นักล่าคนหนึ่งจ่อคมมีดไปที่ลำคอของคนในหมู่บ้าน หากแต่นางปิดปากเงียบไม่ยอมบอก
“บอกข้ามาเถอะน่า เผื่อจะได้ตายอย่างไม่ต้องทรมาน ถือเป็นรางวัลที่ช่วยข้า นับว่าเป็นเกียรติด้วยก็ได้” เขาคะยั้นคะยอให้พูด ค่อย ๆ กดคมมีดลงไป
“ข้าปล่อยให้เจ้าได้ไปคนเดียวไม่ได้หรอก นี่มันของที่จักรพรรดิต้องการเชียวนะ” นักล่าอีกคนเข้ามาห้ามปรามเขา ทำทียื่นข้อเสนอให้นาง “บอกข้ามาดีกว่า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
“เลิกเสแสร้งเป็นคนดีเถอะ ของอย่างนี้ใครดีใครได้”
เสิ่นชิวที่เห็นเหตุการณ์นั้น ฉวยโอกาสตอนที่นักล่าทั้งสองคนกำลังทะเลาะกัน ตวัดคมดาบปัดมีดที่จ่อคอนางอยู่กระเด็นออกไป นักล่าทั้งสองคนจึงหันมาจ้องเขา ดวงตาถมึงทึงแทบจะปลิ้นหลุดออกนอกเบ้า
“ท่านป้ารีบหนีไป” เสิ่นชิวบอกนางแล้วใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้นักล่าสองคนตามเขามา แต่เดิมเขาก็ไม่เคยต้องสู้กับใคร นับประสาอะไรจะทนแรงและเล่ห์เหลี่ยมของนักล่าทั้งสองคนได้ เสิ่นชิวเสียท่าอยู่หลายครั้ง โดนฟันเข้าที่แขน ขา ลำตัวไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะเขามีฝีมือพอหลบหลีกได้บ้าง เกรงว่าคงไม่อาจเหลือชีวิต จังหวะที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ ผู้นำกับคนในหมู่บ้านก็เข้ามาช่วยเขาไว้ได้พอดี
ราวกับรู้สึกว่ามีใครบางคนจ้องมองเขาอยู่ เสิ่นชิวหันไปเห็นแม่เฒ่ากำลังนอนหายใจรวยริน เลือดที่สีข้างของนางไหลออกมาไม่หยุด เขารีบวิ่งเข้าไปหานาง มือทั้งสองข้างกดแผลเอาไว้ ริมฝีปากของนางสั่นระริก พยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา เสิ่นชิวเห็นภาพของตนเองที่สะท้อนในดวงตาของแม่เฒ่า พลันได้เข้าใจว่าสิ่งที่นางต้องการพูดคืออะไร
เขาเห็นภาพตัวเองที่โชกไปด้วยเลือด รอบกายมีแต่ศพของคนในหมู่บ้าน ความรู้สึกมากมายกำลังถาโถมเข้ามาถล่มในใจของเขาอีกครั้ง “ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ” เขาพูดคำนี้ซ้ำ ๆ ด้วยไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร สุดท้ายก็เห็นนางสิ้นใจไปต่อหน้าต่อตา แล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ปลุกเขาขึ้นมา
“ท่านพ่อ!” ลู่ฟางหรงร้องเรียกบิดาด้วยความตกใจ เสียงกรีดร้องนั้นบาดใจเสิ่นชิวอีกครั้ง เขามองตามสายตาของนางไปที่ผู้นำ เห็นนักล่าสองคนนั้นดึงดาบออกจากร่างของเขาพร้อมกัน จิตวิญญาณกวางนำทางที่หลุดลอยถูกเชือกบ่วงคล้องไว้
เสิ่นชิววิ่งกลับมาเผชิญหน้ากับนักล่าทั้งสองอีกครั้ง มือสองข้างสั่นไหวหมดแรง แต่เขายังมีคำสัญญานั้นอยู่ เขาต้องปกป้องลู่ฟางหรงให้ได้ เสิ่นชิวใช้แรงที่มีสู้กับนักล่า ต่างฝ่ายต่างแลกคมดาบกัน เขาไม่ยอมล้มลงง่าย ๆ ในที่สุดก็พบช่องว่างทีเผลอ สังหารนักล่าทั้งสองคนได้
ร่างของเขาทรุดลงกับพื้นหมดเรี่ยวแรง พยายามลุกขึ้นไปหาลู่ฟางหรง ด้านหลังของนางมีหญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ๆ ริมฝีปากแดงสด รอยยิ้มเยือกเย็นประดับบนใบหน้า นางทำสัญญาณบอกให้เขาอยู่เงียบ ๆ เสิ่นชิวร้องตะโกนเพื่อเตือนนางแต่กลับไม่มีเสียง หญิงผู้นั้นเสือกดาบจากด้านหลังของฟางหรงทะลุมาด้านหน้า นางกระอักเลือดสีแดง น้ำตาเอ่อล้น ร่างบางถูกทิ้งลงบนพื้น
เป็นเช่นนี้อีกแล้ว ภาพที่มารดานอนแน่นิ่งปรากฏในความทรงจำ ภาพฟางหรงที่อยู่ตรงหน้าก็เช่นเดียวกัน
“ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ” เสียงของเสิ่นชิวค่อย ๆ หายไป ลมหายใจรวยรินไร้เรี่ยวแรง เปลือกตาของเขาปิดลงช้า ๆ
ณ ตำหนักโคมดวงจิตเจียลี่นั่งรำลึกความหลังตอนที่นางเป็นเซียนน้อยดูแลตำหนัก แล้วชี้ให้หลินเซินดูว่าโคมดวงจิตของเขาเคยตั้งอยู่ตรงนี้“ข้าไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้า” เจียลี่หันมามองหลินเซิน “ผู้เฒ่าหยางคงจะหมดห่วงแล้วล่ะ”“ข้าติดหนี้เจ้าแล้ว มากมายจนนับไม่ถ้วน หากไม่มีเจ้า จิตวิญญาณของข้าคงแตกสลายไป” น้ำเสียงของหลินเซินแผ่วเบา“ไม่มีทางยอมให้เป็นเช่นนั้นหรอก” เจียลี่ส่ายหน้า นางกุมมือเขาเอาไว้ ทำสีหน้าจริงจัง “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าใครหน้าไหนกล้าทำร้ายเจ้าอีก ข้าไม่ปล่อยไว้แน่”หลินเซินเลิกคิ้วแล้วยิ้มให้นาง “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าข้าเป็นถึงอดีตเทพสงคราม จะมีใครกล้าทำอะไรข้า”“นั่นสิเนอะ” เจียลี่หัวเราะกับคำตอบของเขา “หลินเซิน ไปดูก้อนเมฆสีรุ้งกันเถอะ ข้าไม่ได้เห็นนานแล้ว” นางเอ่ยปากชวนเขาไปที่ผาน้ำตกทั้งสองนั่งเล่นชมทิวทัศน์อยู่นานจนถึงเวลาพลบค่ำที่ตะวันเริ่มลาลับขอบฟ้า จู่ ๆ เจียลี่ก็นึกได้ว่าเวลาบนดินแดนสวรรค์กับดินแดนมนุษย์ไม่เหมือนกัน“ข้าว่ารีบกลับลงไปที่บ้านเถอะ ไม่รู้ป่านนี้เยี่ยนฟางกับหมิงเฟยจะเป็น
ช่วงสายของวันหนึ่งที่อากาศแจ่มใส หลินเซินนั่งกินถังหูลู่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมบ่อน้ำ เขาหันมามองเจียลี่ที่กำลังหัดร่ายเวทด้วยความจริงจังนึกขำในใจ“เจียลี่ ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปเถิด เจ้าทำหน้าเครียดเกินไปแล้ว” นับตั้งแต่ที่เขาคืนพลังเซียนเพื่อฟื้นชีวิตนาง หลินเซินก็กลายเป็นชนเผ่าหมาป่าธรรมดาที่มีพลังเวทนิดหน่อย กระนั้นยังคงเป็นหมาป่ากินพืชเช่นเดิม“ข้าอยากเป็นเร็ว ๆ นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น ข้าจะได้ช่วยพวกเจ้าได้” เจียลี่ยังคงพยายามจ้องไปที่มือข้างหนึ่งของนางที่มีพลังเซียนส่องแสงวิบวับ“เจ้าต้องผ่อนคลายให้มากกว่านี้แล้วเจ้าจะเข้าใจว่าต้องทำเช่นไร” หลินเซินให้กำลังใจ เขารินน้ำชาดอกท้อให้นาง “ดื่มก่อน”“อื้ม” เจียลี่พยักหน้า แล้วนึกถึงเรื่องที่นางมีความสุข พลันกลีบดอกท้อปรากฏขึ้นอยู่รอบตัวทั้งคู่ นางโบกมือไปทางซ้ายขวาบังคับสายลมพัดกลีบดอกท้อปลิวไสวไปทั่วทั้งป่า “ข้าเข้าใจแล้วหลินเซิน” นางยิ้มดีใจทั้งคู่พูดคุยกันกระหนุงกระหนิงทั้งวันจนตะวันลับฟ้าจึงพากันเดินกลับบ
เจียลี่ลุกขึ้นมานั่งร้องไห้เป็นเผาเต่าทันทีที่ฟื้นขึ้นมา นางไม่อยากให้หลินเซินต้องทำเช่นนี้ จนหมิงเฟยต้องเข้ามาปลอบใจ“ท่านพี่ ทำใจดี ๆ ไว้เถิด ถ้าเขาเห็นว่าท่านเป็นเช่นนี้ วิญญาณคงจะไม่สงบสุข” หมิงเฟยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางซับน้ำตา“ข้าขออยู่คนเดียวได้หรือไม่” นางคงยังไม่อยากพูดกับใคร ในใจเศร้าสร้อยเกินจะคิดอะไร“ขอรับ” หมิงเฟยพยักหน้าแล้วเดินออกมานอกห้องในป่าลึกท้ายหมู่บ้าน เยี่ยนฟางกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ น้ำตานองหน้าเพราะนึกถึงสิ่งที่นางทำ ทั้งยังไม่กล้าสู้หน้าหมิงเฟยจึงหลบออกมานั่งคนเดียวครั้นเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ นางจึงเงยหน้ามองผู้มาเยือน“หลินเซินนนน” เยี่ยนฟางกลั้นใจไม่ไหว ร้องไห้โฮจนตัวโยนหลินเซินจึงนั่งลงข้าง ๆ ลูบหัวของนางเหมือนอย่างเคย “จำได้หรือไม่ วันแรกที่ข้าเจอเจ้า”“อื้ม”“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้ตั้งใจ อย่าโทษตัวเองนักเลย” หลินเซินยื่นขนมหวานให้นาง “หมิงเฟยตามหาเจ้าอยู่ ไม่อยากเ
เวลานี้ หลินเซินจำเรื่องราวในอดีตได้หมดทุกอย่างแล้ว พลังตบะเซียนและร่างกายของเขากลับมาเป็นเช่นเดิม เขาร่ายเวทก้าวเข้าสู่หุบเขากองกระดูกในทันทีการปรากฏตัวของเขาทำให้หมิงเฟยและพรรคพวกรู้สึกโล่งใจ ยามนี้เขาแทบจะทนแรงฟาดฟันของเยี่ยนฟางไม่ไหวแล้ว หลินเซินมองเห็นความโกลาหลที่พื้นเบื้องล่าง เขามองหาเยี่ยนฟางและหมิงเฟยเป็นลำดับแรก จากนั้นก็เคลื่อนที่มาหยุดตรงหน้านางในพริบตา“จงหลับ!” นิ้วชี้ของเขาจิ้มไปหว่างกลางหน้าผากของเยี่ยนฟาง เขาเอื้อมมือคว้าตัวนางเอาไว้ แล้วส่งให้หมิงเฟย จากนั้นตรงดิ่งไปที่ร่างของเจียลี่พูดกับหมิงเฟยว่า “พาคนออกไปจากที่นี่แล้วร่ายเวทหล่อเลี้ยงร่างของนางเอาไว้”หมิงเฟยพยักหน้ารับคำ ครั้นหลินเซินร่ายม่านเขตแดนของตนขึ้นมา หุบเขากองกระดูกที่แสนอึมครึมจึงมีโพรงแห่งแสงสว่างเล็ก ๆ ปรากฏขึ้น“เฉิงซาน ทางนี้” หมิงเฟยตะโกนบอกพรรคพวกเมื่อทุกคนในที่แห่งนี้มองเห็นทางออกต่างพยายามสลัดให้หลุดจากคู่ต่อสู้ของตนเองหลินเซินมองเห็นเทพมารลอยอยู่เหนือเทพอาวุโส กำลังจะร่ายเวทใส่ร่างของเขา เพียงแต่ได้ยินเสียงร้อ
“เทียนจวิน วันนี้มีเรื่องอะไรหรือถึงได้อารมณ์ดี” ซ่งเสวี่ยหยางถามเขา“แค่วันธรรมดาหนึ่งวันบนดินแดนสวรรค์ เห็นเจ้าเพิ่งกลับมาเลยอยากทวงของฝาก” ซ่งเทียนเย่ยิ้มแป้นให้เขา“ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ได้ไปเที่ยวเล่น ปราบปีศาจที่มีพลังมารก็ทำให้ข้าเหนื่อยไม่น้อย” เขาส่ายหน้าพลางเดินไปที่มุมหนึ่งของตำหนัก “แต่ก็เอาเถอะ ข้าได้ยินมนุษย์พูดกันว่าสุราแคว้นเป่ยรสชาติดีจึงได้ถือติดมือมาด้วย” เขายื่นสิ่งที่พอจะเรียกว่าของฝากให้ซ่งเทียนเย่“เจ้าช่างรู้ใจ ดื่มเป็นเพื่อนกันสักหน่อยดีหรือไม่”หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ออกไปนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่บนเกาะลอยฟ้าของตำหนักเทพสงคราม ดื่มสุรากันคนละจอกสองจอกพลางพูดคุยเรื่องที่ได้พบเจอในแต่ละวัน“ท่านอา” เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยสองคนเรียกซ่งเสวี่ยหยาง เขาหันไปมองต้นเสียงแล้วพูดว่า “พวกเจ้าสองคน ช้า ๆ หน่อย” แต่เด็กทั้งสองกลับวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิมเพราะคิดถึงเขา“เฮ้อ ดูสิ บิดาของเขานั่งอยู่ตรงนี้แท้ ๆ” ซ่งเทียนเย่พูดหยอกผู้เป็นน้องชาย“ช่วยไม่ได้ ข้าไม่อยู่ตำหนักตั้งนาน เอ้า! นี่ของฝากพวกเจ้า” เขาร่ายเวทเรียกไข่ของวิหคเพลิงออก
TW: ความรุนแรง อดีตของหลินเซินและเจียลี่ราวกับเรื่องราวของเยว่เล่อกับนางยังไม่หนักหนาพอ ใต้เท้าหนุ่มเปิดประตูเข้ามาเห็นภาพที่นางกำลังนั่งกอดเขาอยู่บนเตียงจึงเกิดความเดือดดาล ปรี่เข้ามากระชากคอเสื้อของเยว่เล่อแล้วออกหมัดใส่หน้าเขาไปหนึ่งทีนางรีบวิ่งเข้ามาประคองเขาพยายามห้ามไม่ให้เยว่เล่อโต้ตอบแต่กลับกลายเป็นว่าใต้เท้าหนุ่มยิ่งไม่พอใจที่ผู้หญิงของเขาทำเช่นนั้น“มันเป็นชู้รักของเจ้างั้นรึ” เขาตวาดเสียงดังก้องแล้วเข้าไปกระชากตัวนางจากเยว่เล่อ บีบข้อมือของนางแรงจนช้ำแดงเถือกเยว่เล่อไม่อาจทนเห็นใครทำร้ายนางได้อีก เขาขัดคำสัญญาของนางแล้วพุ่งตรงมาบีบคอของใต้เท้าหนุ่มในทันที เยว่เล่อกัดคอของเขาแล้วสูบเลือดที่มีจนหมดตัว ทิ้งร่างเหี่ยว ๆ กองไว้บนพื้นนางไม่เคยเห็นเขาในสภาพเช่นนี้มาก่อนจึงตกตะลึงไปชั่วขณะแต่แล้วก็เดินมากอดเขาเอาไว้“ไปจากที่นี่กันเถิดนะเยว่เล่อ” นางมองหน้าเขาสายตาอ้อนวอนทั้ง ๆ ที่บริเวณบ้านเงียบงันแต่กลับมีเสียงหนึ่งคล้ายเสียงของใต้เท้าหนุ่มตะโกนโวยวายไม่เป็นเรื่อง คนใช้ในจวนจึงรีบวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามาในห้อง ครั้นได้เห็นภาพเ