Share

บทที่ 5

last update Last Updated: 2025-05-13 01:36:29

บทที่ 5 รับอนุ

ภายในรถม้าเงียบสงัด มีเพียงเสียงล้อบดเบียดไปกับทางหินที่เป็นดั่งจังหวะเดียวของบรรยากาศอันตึงเครียด จางกุนเหยานั่งนิ่ง ขณะที่หยางมี่นั่งหันหน้าออกไปยังหน้าต่าง แววตาของนางทอดมองออกไปไกล ราวกับต้องการหลบหนีจากสถานการณ์นี้ แม้จะทำหน้าที่เป็นกุนซือให้กองทัพ แต่เขาที่ร่วมเติบโตมาพร้อมกับอี้หยางเฉิง เขาก็พอจะได้เรียนวิทยายุทธมาบ้าง มีคนเดินมาด้านนอกเหตุใดเขาจะไม่รู้ตัว แต่ในเมื่อพลั้งปากเอ่ยความจริงออกไปแล้ว เขาก็ไม่คิดจะแก้ตัว

จางกุนเหยารู้ดีว่าสิ่งที่ตนพูดออกไป ได้สร้างรอยร้าวระหว่างเขากับนางเสียแล้ว

แรกเริ่ม… เขาไม่เคยคิดจะแต่งนางเข้าจวน

เขาไม่ใช่บุรุษที่มีอำนาจสูงส่ง เขาเพียงเป็นกุนซือข้างกายแม่ทัพ แม้จะมีสติปัญญา แต่ตำแหน่งของเขาในราชสำนักก็มิได้สูงศักดิ์นัก อีกทั้งเขายังเป็นบุตรชายคนเดียวของฮูหยินเอก หน้าที่ของเขาคือแบกรับความคาดหวังของตระกูล

และที่สำคัญ…

เขาเคยคิดว่า อี้หยางเฉิงคือบุรุษที่คู่ควรกับนาง หยางมี่ควรได้รับการปกป้อง ควรได้อยู่เคียงข้างบุรุษที่แข็งแกร่ง และสามารถยืนหยัดปกป้องนางได้ตลอดไป อี้หยางเฉิงเป็นถึงแม่ทัพ เป็นวีรบุรุษสงคราม บุรุษที่มีทั้งเกียรติยศและอำนาจ แตกต่างจากเขา ที่เป็นเพียงกุนซือ ใช้ปัญญาในการเอาตัวรอด มากกว่ากำลัง

ดังนั้น เขาจึงเปิดทางให้อี้หยางเฉิงเสมอ

แต่สุดท้ายกลับเป็นเขาเองที่แต่งหยางมี่เข้าจวน

“ท่านพี่…” เสียงของหยางมี่ดังขึ้น ทำลายความเงียบในรถม้า นางยังคงมองออกไปภายนอก น้ำเสียงของนางเรียบนิ่งจนจางกุนเหยาอ่านความรู้สึกของนางไม่ออก

“เหตุใดท่านจึงเอ่ยเช่นนั้น”

เขารู้ดีว่านางหมายถึงสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้กับอี้หยางเฉิง

“ข้าควรได้รับรู้ตั้งแต่แรกหรือไม่ ว่าท่านไม่คิดจะแต่งข้าเข้าจวน แต่ข้าก็พอจะเข้าใจได้ว่าท่านต้องการช่วยข้าออกมาจากจวนสกุลหยาง หากไม่แต่งให้ท่าน ข้าคงถูกบังคับให้แต่งกับคุณชายสักตระกูล”

จางกุนเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา

“ข้ารักเจ้าและหวังดีกับเจ้า นอกจากอี้หยางเฉิงแล้ว ข้าคงไม่วางใจให้เจ้าแต่งกับผู้ใด”

หยางมี่หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะหันกลับมามองเขาตรง ๆ

“แต่ท่านก็ไม่ได้คิดว่า มันเป็นสิ่งที่ท่านต้องการจริง ๆ ใช่หรือไม่”

จางกุนเหยาไม่ตอบ

ความเงียบที่เกิดขึ้นในห้องโดยสารเล็ก ๆ นี้ กลับหนักอึ้งจนแทบทำให้อากาศภายในอึดอัด

หยางมี่มองเขา ก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ ราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง

“ข้าเข้าใจแล้ว”

รถม้ายังคงมุ่งหน้าต่อไป แต่ระยะห่างระหว่างพวกเขากลับดูเหมือนจะกว้างไกลออกไปทุกที

“ท่านแม่บอกข้าว่าเจ้ามาเยี่ยมฮูหยินแม่ทัพ ข้าเห็นเจ้าไม่ได้ใช้รถม้า ข้าเลยมารับ” เขาเห็นนางเงียบไปจึงเริ่มก่อน

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” นางยิ้มขื่น อย่างน้อย ๆ เขายังมีใจเป็นห่วงนางอยู่บ้าง

“ข้าจะแต่งอนุ”

เสียงเรียบขรึมเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบในรถม้า หยางมี่ที่นั่งนิ่งมาตลอดเงยหน้าขึ้นทันที แม้พอจะคาดเดาว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นในวันข้างหน้า แต่มิคาดคิดว่าจะเร็วเพียงนี้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองสามีของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เขากลับไม่หลบเลี่ยง นิ่งสงบราวกับคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว

“ท่านพี่…พูดว่าอะไรนะ” เสียงของนางเบาหวิว กว่าจะหาเสียงของตนเจอก็ตั้งสติอยู่นาน ผิดกับเสียงหัวใจ กลับเต้นรัวราวกับถูกบีบจนแทบหยุดหายใจ

“ข้าพูดชัดแล้ว มี่เอ๋อร์” เขาย้ำคำ น้ำเสียงไร้ความลังเลใด ๆ

หัวใจของนางราวกับถูกมีดคมกรีดผ่าน เจ็บแปลบจนยากจะทน นางรู้ดีว่าวันหนึ่งเขาอาจจะพูดคำนี้ แต่เมื่อมันมาถึงจริง ๆ นางก็ไม่อาจเตรียมใจรับได้

หลังจากเขากลับมาจากสนามรบ จางกุนเหยาก็รีบจัดงานแต่งอย่างที่สัญญากับนางเอาไว้ ความรักความอบอุ่นที่เขามีให้เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น สามีของนางที่เคยมองนางด้วยสายตาเปี่ยมรัก ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มันจืดจางลง

ท่านหมดรักข้าตั้งแต่เมื่อไร

“เหตุใดท่านเลือกทำเช่นนี้” หยางมี่ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ ความรักที่นางทุ่มเทให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ช่างดูไร้ค่าในสายตาของเขาเหลือเกิน

เขาไม่ได้ตอบในทันที แต่ลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปยังประตูลงจากรถม้าก่อนจะเอ่ยโดยไม่หันกลับมา

“เพราะมันเป็นหน้าที่ของข้า ในฐานะผู้นำตระกูลคนต่อไป ตั้งแต่แต่งเจ้าเข้ามา ข้าถูกท่านแม่กดดันทุกทางเรื่องมีทายาท”

คำว่า หน้าที่ ของเขา เปรียบเสมือนคมดาบที่เฉือนความหวังสุดท้ายของนางจนขาดสะบั้น หยางมี่กำมือแน่นจนเล็บจิกลงในฝ่ามือ ความเจ็บปวดนี้คงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่หัวใจนางรู้สึกในยามนี้

หากแต่แทนที่จะร้องไห้หรือวิงวอน ดวงตาคู่สวยที่ในอดีตเคยแสนโศกเมื่อวันที่เขาสัญญาว่าจะปกป้องนาง มันได้ฉายแววแห่งความสุขออกมาอย่างมิปิดบังผู้ใด แต่ในวันนี้แววตาเช่นนั้นกลับมาฉายแววหม่นหมองอีกครา

แต่นางกลับยืดหลังตรง เอ่ยด้วยเสียงที่นิ่งสงบอย่างน่าประหลาด

“ข้าเข้าใจแล้ว”

คำตอบของนางทำให้เขาหันกลับมา ดวงตาสีเข้มสบกับนางเพียงครู่ ก่อนที่เขาจะพยักหน้าเล็กน้อยและเดินออกไป ปล่อยให้นางนั่งอยู่เพียงลำพังในความเงียบ แล้วก้าวลงจากรถม้าไป

หยางมี่มองตามแผ่นหลังของสามีจนลับสายตา น้ำตาที่นางกลั้นไว้ก็ไหลลงมาอย่างมิอาจห้ามมันเอาไว้ได้อีกแล้ว นางเคยคิดว่าสามารถอดทนได้กับทุกสิ่ง แต่ในยามนี้ หัวใจของนางกลับรู้สึกว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ถูกคนในครอบครัวบิดารุมรังแกเหยียบย่ำที่มารดาของนางเป็นเพียงอนุ และจางกุนเหยาเป็นผู้ยื่นมือเข้ามาฉุดนางออกมาจากขุมนรก นางคิดว่าจะได้สร้างครอบครัวที่สมบูรณ์กับเขาที่เป็นรักแรกและผู้มีพระคุณ

แต่วันนี้เขากลับจะแต่งสตรีอื่นเข้ามา ทั้งที่รู้ว่านางมีความหลังฝังใจเรื่องที่บุรุษมีภรรยาหลายคนจนหลังบ้านลุกเป็นไฟ

ฤดูใบไม้ผลิที่เคยงดงามในสายตาของนาง บัดนี้ช่างดูเลือนรางเสียเหลือเกิน…

ภายในรถม้าที่เหลือเพียงหยางมี่เพียงลำพัง ความเงียบงันรอบตัวราวกับโอบล้อมนางไว้ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงหล่นลงบนตัก แม้พยายามกัดฟันกลั้นมันไว้ แต่สุดท้ายความเจ็บปวดในใจกลับเอ่อล้น

นางควรจะชินได้แล้วมิใช่หรือ

นางรู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องแต่งอนุเข้าสกุล

แต่เมื่อวันนี้มาถึงจริง ๆ กลับเจ็บปวดเสียจนแทบทนไม่ไหว

มือเรียวกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในฝ่ามือ นางเคยหวังว่าจะเป็นเพียงแค่ฝันร้ายที่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาจะเลือนหายไป แต่นี่เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นางมิอาจย้อนเวลากลับไปแก้ไขสิ่งใดได้อีก

ภาพของจางกุนเหยาในวันวานยังฉายชัดในความทรงจำ

เขาคือบุรุษที่เคยให้สัญญาว่าจะปกป้องนาง จะมีเพียงนางผู้เดียว แต่สุดท้ายคำสัญญานั้นกลับถูกทำลายลงเพียงเพราะคำว่า

“หน้าที่”

หยางมี่แค่นหัวเราะกับตัวเองทั้งที่น้ำตายังรินไหล แล้วข้าล่ะ… ไม่ใช่หน้าที่ของท่านเลยหรือ

นางก้มหน้าลงซบมือของตน ปล่อยให้น้ำตารินไหลเงียบ ๆ อีกครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดหายใจลึกและเงยหน้าขึ้น แววตาสั่นไหวในคราแรกเริ่มสงบนิ่งขึ้นทีละน้อย

หากนี่คือสิ่งที่เขาต้องการ

ไม่ว่านางอยู่ที่ใดก็ไม่เคยถูกรักอย่างแท้จริง

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • วสันต์ค่อยๆเลือนหายไป   บทที่ 15

    บทที่ 15 พี่น้องต่างสายเลือดหนึ่งเดือนผ่านไป นับตั้งแต่หยางมี่เดินออกจากจวนตระกูลจาง ชีวิตใหม่ของนางเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายและเงียบสงบในเรือนเล็ก ๆ ท้ายเมือง แต่ความเงียบงันนั้นไม่อาจดับไฟแห่งความตั้งใจในใจของนางได้ นางมักคิดถึงสิ่งที่เว่ยเว่ยพูดว่าควรเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่เริ่มต้นเช่นไรดีถึงจะหาเงินมาคืนเว่ยเว่ยได้“ข้าชอบรสมือเจ้า หากทำขาย ข้าว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า” มือบางตักผัดผักหมูสามชั้นเข้าปาก เป็นอีกวันที่เจียงซีเว่ยนั่งรถม้ามาอีกฝากของเมืองหลวงเพื่อมาฝากท้องกับแม่ครัวคนโปรดหยางมี่ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อละเลียดฟังคำพูดของเจียงซีเว่ย นางขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”เจียงซีเว่ยวางตะเกียบลง ถอนหายใจอย่างอ่อนใจ “ข้าหมายถึงเจ้าทำอาหารอร่อย หากเปิดร้านขายต้องขายดีแน่”หยางมี่พยักหน้าอย่างเข้าใจ “อ้อ เช่นนั้นหรือ”“ใช่”“แต่ข้าไม่มีทุนเปิดร้าน”“หากเจ้าคิดจะเปิดร้านจริง ๆ ข้าจะออกทุนให้”หยางมี่เงียบไปครู่หนึ่ง ที่ให้มาคราวก่อนก็มากมายจนไม่รู้จะหาจากไหนมาใช้คืน “เจ้าทำไมต้องช่วยข้าขนาดนี้”เจียงซีเว่ยยกยิ้มเล็ก ๆ “เจ้าเป็นสหายเพียงคนเดียวของข้า และอีกอ

  • วสันต์ค่อยๆเลือนหายไป   บทที่ 14

    บทที่ 14 พลิกแผ่นดินหาภรรยาเสียงฝีเท้ากระชั้นชิดดังสะท้อนอยู่ในโถงใหญ่ของจวนสกุลจาง บรรยากาศตึงเครียดและอึมครึมราวกับพายุที่ตั้งเค้าก่อนจะโหมกระหน่ำ ทุกผู้คนต่างไม่กล้าหายใจแรง เมื่อร่างสูงในอาภรณ์มงคลเต็มยศก้าวเข้ามา ดวงตาของเขาแดงก่ำ รัศมีรอบกายแผ่ไอสังหารจนเหล่าข้ารับใช้ตัวสั่นเทา“ฮูหยินเล็กอยู่ที่ไหน” คนทั้งคนจะหายไปได้อย่างไรน้ำเสียงทรงอำนาจของจางกุนเหยาดังก้องไปทั่วทั้งจวนบ่าวไพร่ต่างก้มหน้าหลบสายตาดุกร้าว ไม่มีใครกล้าตอบคำถามที่แม้แต่ฮูหยินใหญ่เองก็ไม่คิดว่าจะถูกถามเช่นนี้หยางมี่หายตัวไปแล้ว…นางหายไปตั้งแต่เมื่อไร ไม่มีใครรู้ว่านางออกจากจวนไปตอนไหน หรือเดินทางไปที่ใด สิ่งที่เหลือไว้มีเพียงกล่องไม้เล็ก ๆ ที่ใส่เครื่องประดับทั้งหมดของนางวางทิ้งไว้บนโต๊ะ สินเดิมที่มีไม่มากตอนแต่งเข้ามานางก็ไม่หยิบติดตัวไป“ท่านแม่ ข้าถามอีกครั้งนางอยู่ที่ไหน!” จางกุนเหยากัดฟันแน่น น้ำเสียงของเขาเย็นเยียบ ดวงตาเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ ทว่าเบื้องลึกนั้นมีเพียงความร้อนรนกระวนกระวายที่ยากจะปิดบังจางหลัน ผู้เป็นมารดาที่เฝ้ามองเหตุการณ์มาโดยตลอด ยกถ้วยชาขึ้นจิบอย่างเชื่องช้า ดวงตาของนางฉายแววเย้

  • วสันต์ค่อยๆเลือนหายไป   บทที่ 13

    บทที่ 13 หวังดีหยางมี่นั่งอยู่ในโรงน้ำชาเล็ก ๆ ริมถนนสายหนึ่งนอกตัวเมือง นางคลายผ้าคลุมศีรษะออกเล็กน้อย เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูอ่อนล้าแต่ยังคงความงดงาม สายตาของนางทอดมองออกไปยังถนนเบื้องหน้า ราวกับกำลังชั่งใจว่าจะก้าวต่อไปอย่างไรในชีวิตใหม่“มี่เอ๋อร์” หยางมี่สะดุ้งจนสุดตัว แต่เสียงคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากด้านหลัง นางหันไปมองและต้องประหลาดใจเมื่อเห็นหญิงสาวคนหนึ่งในชุดเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ใบหน้าของนางยิ้มแย้มและดวงตาคมกริบ ไม่มีใครอื่นอีกแล้วที่มีลักษณะรูปลักษณ์เช่นนี้ที่นางรู้จัก “เว่ยเว่ย…” หยางมี่เอ่ยชื่อออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ท่านแม่ทัพปล่อยภรรยาที่หวงแหนออกมาข้างนอกคนเดียว เป็นไปได้หรือเจียงซีเว่ยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามนาง “ข้าต่างหากที่ควรถามว่าเจ้าเหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ ในสภาพที่ดูเหมือนคนหนีอะไรบางอย่าง เจ้าหนีอะไรอยู่หรือมี่เอ๋อร์”หยางมี่นิ่งไปสักพัก ก่อนจะหลุบตามองถ้วยชาตรงหน้า “ข้าตัดสินใจจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ข้าไม่ต้องการอยู่ในที่ที่ไม่มีที่สำหรับข้าอีกต่อไป”เจียงซีเว่ยถอนหายใจเบา ๆ “เจ้าคิดจะเริ่มต้นใหม่ด้วยการหนีอย่างนั้

  • วสันต์ค่อยๆเลือนหายไป   บทที่ 12

    บทที่ 12 นางหายไป ในเช้าวันหนึ่งที่สายหมอกปกคลุมไปทั่วจวน ผู้คนในจวนสกุลจางต่างพากันยุ่งอยู่กับงานของตน อีกไม่กี่ชั่วยามขบวนเจ้าสาวก็จะมาถึงแล้ว จนกระทั่งสาวใช้คนสนิทของหยางมี่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในเรือนใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก“ฮูหยิน…ฮูหยินเล็กหายไปเจ้าค่ะ!”คำพูดนั้นทำให้จางกุนเหยาที่กำลังตรวจความเรียบร้อยของงานอยู่ในห้องโถงหยุดชะงัก เขาเงยหน้าขึ้นมองสาวใช้ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ “เจ้าว่าอะไรนะ”สาวใช้ทรุดตัวลงกับพื้น น้ำเสียงของนางสั่นเครือ “ข้าหาไปทั่วเรือนแล้วเจ้าค่ะ แต่ไม่พบฮูหยินเล็กเลย แม้แต่ห้องของนางก็ว่างเปล่า ข้า…ข้ากลัวว่านางจะไปแล้ว…”คำว่า ‘ไปแล้ว’ราวกับสายฟ้าที่ฟาดลงกลางใจ จางกุนเหยาวางทุกสิ่งลงทันที ก่อนจะรีบลุกขึ้นและออกจากเรือนใหญ่ เขาเดินตรงไปยังเรือนนอนของหยางมี่ ประตูห้องเปิดอยู่เพียงครึ่ง ใบหน้าของเขาเคร่งเครียด ราวกับกลัวว่าจะเห็นความว่างเปล่าที่เขาคาดคิดเมื่อเข้าไปในห้อง ภายในนั้นไม่มีร่องรอยของนางเลย ข้าวของสำคัญของหยางมี่หายไปบางส่วน บนโต๊ะเขียนหนังสือที่นางเคยใช้ ยังมีเพียงกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่มือของเขาสั่นเล็กน้อยขณะหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้

  • วสันต์ค่อยๆเลือนหายไป   บทที่ 11

    บทที่ 11 ไม่หย่า รุ่งอรุณที่ควรอบอุ่นกลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ หยางมี่นั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะในห้องโถง สีหน้าของนางสงบนิ่ง แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความอึดอัดราวกับถูกกดทับ ทุกสิ่งรอบกายเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่ไม่เป็นจังหวะของตัวเองจางกุนเหยาเดินเข้ามาในห้องด้วยสีหน้าที่บอกไม่ถูก ทั้งเย็นชาและแน่วแน่เหมือนคนที่ตัดสินใจบางสิ่งไว้แล้ว เขาหยุดอยู่ตรงหน้านาง วางเอกสารหย่าที่เขียนด้วยลายมือของหยางมี่ลงบนโต๊ะ ก่อนจะจ้องมองนางด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง“มี่เอ๋อร์” เขาเอ่ยเสียงต่ำ “ข้าจะไม่ลงนามหนังสือหย่านี้” หลังจากเมื่อวาน เขาคิดว่านางเพียงประชดประชัน ไม่คิดว่าจะถึงขั้นเตรียมหนังสือหย่าเอาไว้เช่นนี้คำพูดนั้นทำให้หยางมี่เงยหน้าขึ้นมองเขา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ “ทำไม ท่านพี่…ข้าบอกท่านแล้วว่าข้าเหนื่อย เหตุใดท่านถึงไม่ปล่อยมือจากข้าเสียที”จางกุนเหยาเม้มริมฝีปากแน่น เขาสูดลมหายใจลึก ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เพราะข้าจะไม่ยอมให้เจ้าจากข้าไป ข้ารู้ว่าทำผิดพลาดกับเจ้าไปมากมาย แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าจะยอมปล่อยให้เจ้าหายไปจากชีวิตข้า”หยางมี่ขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเปลี่ยนไปเล็ก

  • วสันต์ค่อยๆเลือนหายไป   บทที่ 10 หนังสือหย่า

    บทที่ 10 หนังสือหย่า เสียงฝนที่ตกกระหน่ำทั้งคืนเริ่มเบาบางลงในยามรุ่งสาง ท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างขึ้นด้วยแสงแรกของวันใหม่ ทว่าในใจของหยางมี่ยังคงมืดมน นางลุกขึ้นจากเตียงหลังจากที่ไม่ได้ข่มตานอนแม้แต่น้อยวันนี้เป็นวันที่ทุกคนในจวนตระกูลจางเตรียมงานแต่งเข้าจวนของ ‘ว่าที่อนุ’ หญิงสาวที่บิดาของจางกุนเหยาเลือกไว้ให้ เขาไม่ได้บอกนางถึงรายละเอียด แต่ข่าวลือในจวนก็แพร่สะพัดอย่างรวดเร็วนางก้าวออกจากเรือนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง หยางมี่ในยามนี้ไม่ใช่หญิงสาวที่เต็มไปด้วยความคาดหวังในรักอีกต่อไป นางเดินไปยังศาลาหลังเล็กในสวนที่นางชอบมานั่งเพื่อสงบจิตใจ บัดนี้ มันกลับกลายเป็นที่ที่นางรู้สึกว่าปลอดภัยที่สุดแต่ทันทีที่ก้าวเข้าสู่เขตศาลา นางก็ต้องชะงักเมื่อพบจางกุนเหยานั่งอยู่ก่อนแล้ว เขาหันมามองนางทันทีที่เห็น เงาสีเข้มจากดวงตาของเขาสะท้อนความรู้สึกเหนื่อยล้า“มี่เอ๋อร์” เขาเอ่ยชื่อของนางด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล แต่หยางมี่กลับรู้สึกว่ามันเป็นเพียงเสียงที่กำลังจะล่อลวงให้นางตกลงไปในวังวนรักเขาอีก“ท่านมาที่นี่ทำไม” นางถาม เสียงของนางราบเรียบ ไม่มีความอบอุ่นหรือความคาดหวังใด ๆเขาลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินเข้ามาใกล

  • วสันต์ค่อยๆเลือนหายไป   บทที่ 9 เราไม่รักกันตอนไหน

    บทที่ 9 เราไม่รักกันตอนไหน สายลมหนาวพัดผ่านสวนกุหลาบที่หยางมี่เคยโปรดปราน กลีบกุหลาบสีแดงสดที่เคยสะท้อนความหวานชื่นของวันวาน บัดนี้กลับดูเหมือนจะซีดจางลงในสายตาของนาง นางยืนอยู่ท่ามกลางสวนนี้ แต่หัวใจกลับรู้สึกเหมือนยืนอยู่ในความว่างเปล่าสวนกุหลาบที่เคยอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมและความสุข บัดนี้มีเพียงสายลมหนาวพัดผ่าน และเสียงหัวใจของนางที่กำลังแตกสลายอยู่เงียบ ๆดวงตาคู่สวยมองออกไปยังสวนด้านนอกที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยความทรงจำอันงดงาม ท้องฟ้ายามบ่ายหม่นหมองเหมือนหัวใจของนาง นางถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าเหตุใดทุกอย่างจึงกลายเป็นเช่นนี้เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบื้องหลัง จางกุนเหยาเดินเข้ามาช้า ๆ เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงมองแผ่นหลังของนางที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า แววตาของเขาสะท้อนความเจ็บปวดไม่ต่างจากนางในตอนนี้ หยางมี่หันมาช้า ๆ สายตาของนางสงบนิ่ง แต่ไร้แววแห่งความอบอุ่นใด ๆ ส่งมาอย่างเช่นเคย“ท่านพี่ เราไม่รักกันตอนไหน” นางเอ่ยขึ้น น้ำเสียงของนางเรียบง่าย แต่คำถามนั้นกลับเฉือนลึกไปถึงหัวใจของเขา เขานิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา “มี่เอ๋อร์…ข้าไม่ได้อยากให้เ

  • วสันต์ค่อยๆเลือนหายไป   บทที่ 8 ความอัดอั้น

    บทที่ 8 ความอัดอั้น จางกุนเหยาพรูลมหายใจออกมาอย่างอัดอั้น ร่างสูงทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ไม้แกะสลักภายในเรือนหนังสือ ยกมือขึ้นนวดขมับเบา ๆ งานที่ค่ายทหารรัดตัวจนแทบไม่มีเวลาให้หายใจ เขาต้องรับผิดชอบงานของแม่ทัพอี้หยางเฉิงที่ลาพักอยู่กับภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ กลับมาบ้านก็ยังต้องเผชิญกับแรงกดดันจากมารดาเรื่องทายาททายาทสืบสกุลความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก เขารู้ว่าหยางมี่ไม่ผิด แต่น้ำเสียงของมารดาที่กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างเคร่งเครียด ทำให้เขากดดันมากขึ้นทุกวันตอนที่นางยังอยู่จวนสกุลหยาง มารดาของเขาทั้งสงสารและเอ็นดูนาง นางเป็นเด็กหญิงที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางแรงกดดัน ถูกพี่น้องกดขี่เพราะเป็นเพียงบุตรสาวจากอนุ เขาจำได้ว่ามารดาของเขาเคยเช็ดน้ำตาให้นาง เอ่ยปลอบโยนและให้สัญญาว่าจะปกป้องนางจากพวกพี่สาวของนางแต่เมื่อถึงเวลาที่เขาบอกว่าจะขอนางแต่งงานเป็นฮูหยินเอก มารดากลับคัดค้านหัวชนฝา เพราะนางไม่มีศักดิ์ฐานะที่เหมาะสมหากไม่ใช่เพราะเขารับปากว่าจะมีหลานให้ท่านอุ้มหลาย ๆ คน บางทีงานแต่งนี้อาจไม่เกิดขึ้นด้วยซ้ำแต่ตอนนี้ล่ะ“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจอีกครั้งภรรยาของเขาไม่ได้แสดงท่าทีต่อต

  • วสันต์ค่อยๆเลือนหายไป   บทที่ 7

    บทที่ 7 ใจของข้าด้านชาเสียแล้วหยางมี่เลือกที่จะเดินกลับไปที่เรือนนอนของตน ที่แห่งนี้เป็นเพียงที่เดียวในจวนที่นางพอจะซ่อนตัวได้ แม้จะไม่สามารถปิดกั้นความเจ็บปวดในใจ แต่ก็ช่วยให้นางหลบพ้นจากสายตาของผู้คนได้ชั่วคราว นางเพียงเดินเงียบ ๆ ในความมืด ดวงตาทอดมองตรงออกไปด้านหน้าอย่างว่างเปล่า แสงจันทร์ส่องกระทบพื้นราวกับต้องการปลอบโยนให้นางหายเศร้าแต่คงเป็นไปไม่ได้มือบอบบางยกขึ้นจับสร้อยหยกเส้นเล็กที่ห้อยอยู่ตรงลำคอ มันเป็นสิ่งเดียวที่จางกุนเหยามอบให้ในวันแต่งงาน พร้อมคำสัญญาว่าเขาจะไม่มีวันทอดทิ้งนาง ความทรงจำในวันนั้นย้อนกลับมาราวกับสายลมเย็นที่พัดผ่าน นางเคยเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าเขาคือทุกสิ่งที่นางมี แต่วันนี้ทุกอย่างกลับพังทลายลงตรงหน้านางหยุดเดินเมื่อถึงหน้าประตูเรือน เสียงใบไม้ตกกระทบหลังคาก้องอยู่ในโสตประสาท กลุ่มเมฆหมอกบนท้องฟ้าตั้งเค้า ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาในค่ำคืนอันเงียบสงัด หยางมี่เดินช้า ๆ จนถึงหน้าประตูเรือนนอน ลมหายใจของนางหนักอึ้งในอก แม้ร่างกายจะดูสงบนิ่ง แต่จิตใจของนางกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมายที่ไร้คำตอบข้าไม่มีค่าพอให้ท่านมีข้าเพียงผู้เดียวอีกหรือความรักที่ข้าทุ่มเทมาทั

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status