บทที่ 4 ความจริงอีกหนึ่งอย่าง
“อย่าเอ่ยคำนี้ออกมาให้นางได้ยินเชียว”
เท้าทั้งสี่ข้างพร้อมใจกันหยุด สามีให้สาวใช้มาบอก หากคุยธุระกันเรียบร้อยให้ตามไปที่เรือนอักษร เพราะจางกุนเหยามา คงจะมารับภรรยากลับ และเสียงที่การสนทนาด้านในคงจะเป็นสามีของนางและสหายสนิท
“เจ้ารู้ดีกว่าใคร ข้าพยายามผูกสัมพันธ์ให้เจ้ากับหยางมี่แต่ไม่สำเร็จ เพราะเจ้าตกหลุมรักเจียงซีเว่ยเสียก่อน หากหยางมี่ได้แต่งกับเจ้าคงไม่เป็นเช่นนี้”
ดวงตาเจียงซีเว่ยเบิกกว้างรีบหันขวับไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง
มือของหยางมี่เย็นเฉียบราวกับเลือดในกายหยุดไหล นางมองไปยังประตูเรือนอักษรด้วยแววตาสั่นไหว หัวใจเต้นกระหน่ำ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดมันแน่น
จางกุนเหยา เขาสูดลมหายใจลึก น้ำเสียงเศร้าเอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป
“ข้าไม่น่าแต่งกับนางเลย”
คำพูดของเขา… จางกุนเหยา สามีของนาง นางยืนนิ่ง ไม่อาจก้าวเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้อีก ดวงตาพร่าเลือน ราวกับภาพทุกอย่างตรงหน้ากำลังสั่นไหว ทุกความทรงจำเก่าก่อนไหลบ่า จางกุนเหยาพยายามผลักนางให้อี้หยางเฉิงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งปล่อยให้นางอยู่ตามลำพังกับอี้หยางเฉิง โชคดีที่อี้หยางเฉิงรักมั่นต่อเจียงซีเว่ย ไม่เคยชายตามองนางเป็นอื่นมากไปกว่าน้องสาวข้างบ้านของจางกุนเหยา
เจียงซีเว่ยรีบจับมือนางไว้แน่น “มี่เอ๋อร์ เจ้าได้ยินหรือไม่”
หยางมี่หัวเราะเบา ๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
“ได้ยินสิ…” นางพึมพำ “ได้ยินชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ”
ที่ผ่านมา นางอดทน อดกลั้น บอกตัวเองว่าทุกอย่างจะดีขึ้น เขาอาจเพียงเหนื่อยล้าจากงาน หรืออาจแค่ต้องการเวลาปรับตัว แต่แท้จริงแล้ว ทุกสิ่งที่เขาทำ นั่นเพราะเสียใจที่แต่งกับนาง แต่แรกเขาไม่เคยต้องการนางเลย
หยางมี่เงยหน้าขึ้น สูดหายใจเข้าลึก พยายามสะกดกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอ “ข้าคิดว่าข้าพอเข้าใจแล้วล่ะ เว่ยเว่ย”
“มี่เอ๋อร์…”
เจียงซีเว่ยมองหยางมี่ด้วยความห่วงใย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการยืนเคียงข้างและปลอบประโลม เพราะในขณะนี้ดูเหมือนทุกสิ่งจะเป็นการตัดสินใจของหยางมี่เอง นางรู้ดีว่าตัวเองยืนอยู่ในจุดที่ยากจะช่วยเหลือ สถานการณ์นั้นช่างซับซ้อน เรื่องของหัวใจนางไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินแทน ทำได้เพียงแค่ช่วยประคอง
เหมือนคนด้านในจะรับรู้ถึงการมาของนางและหยางมี่ เจียงซีเว่ยจึงตัดสินใจกุมมือสหายไว้แน่นก่อนจะฉุดรั้งให้เดินตามเข้าไปด้านใน
“คราวหน้าเจ้าทำผลไม้แช่อิ่มมาฝากข้าทีน่ะ ไม่ว่าจะอาหาร ขนม ไม่มีใครทำถูกปากข้าไปกว่าเจ้าแล้ว ช่วงเช้าข้าแพ้ท้องหนักมาก หากได้ผลไม้แช่อิ่มฝีมือเจ้าคงช่วยได้ไม่น้อย” เจียงซีเว่ยเอ่ยออกมาเสียงดัง ต้องการให้ชายหนุ่มทั้งสองรับรู้ว่าพวกนางมาแล้ว หรือจะรู้อยู่ก่อนแล้วก็ช่าง นางเป็นคนเช่นนี้ล่ะ
เมื่อเข้ามาด้านในนางดึงมือสหายให้ไปนั่งข้างจางกุนเหยา และนางก็เดินเลยไปทรุดตัวลงนั่งข้างสามีของตน หันไปทำความเคารพสหายของสามี แววตาโกรธขึ้งมองตรงไปยังสหายของสามีไม่ปิดบัง นางเคยอ่าน ตัวละครจางกุนเหยา ซึ่งเป็นพระรองที่แสนดี แต่ตอนนี้ก็แค่บุรุษได้แล้วลืม
เพ่ย!
แต่เจียงซีเว่ยทำอะไรไม่ได้ แววตาของหยางมี่เมื่อครู่ บ่งบอกว่ารักชายผู้นี้มากมาย ขนาดได้ยินคำพูดเช่นนี้
ก็ยังรัก
แล้วคนนอกอย่างนางจะทำสิ่งใดได้ นอกจากปลอบใจยามเพื่อนเสียใจ และกินอาหารหมายามเพื่อนหวนกลับไปหาสามีเลว ๆ
หยางมี่ได้แต่ยิ้มเศร้า ก่อนจะพยักหน้า “เจ้าอยากกินอะไรบอกได้ทุกเมื่อที่ต้องการ… ข้าไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน”
“ได้สิ ช่วยได้มากเลยล่ะ หากเป็นไปได้มากินข้าวเป็นเพื่อนข้าทุกวันยิ่งดี วันนี้ข้าเจริญอาหารกว่าทุกวัน ท่านพี่..” เจียงซีเว่ยรีบหันไปเกาะแขนทำน้ำเสียงหวาน
“หากไม่รบกวนจางฮูหยิน” แน่นอนว่าอี้หยางเฉิงไม่รอช้ารีบเอ่ยขอกับสหาย
“ได้สิ ไม่รบกวน นางอยู่ที่จวนน่าจะเบื่อ มีคนคุยด้วยน่าจะดีไม่น้อย” จางกุนเหยารีบตอบรับแทน หยางมี่มาใช้เวลาคลุกอยู่กับเจียงซีเว่ยทุกวันคงดีไม่น้อย เพราะอีกไม่กี่วันจวนสกุลจางกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เขามองไปที่หยางมี่แค่หางตา ท่าทีของเขาก็ทำให้หยางมี่รู้สึกเศร้าใจ เขาไม่ได้สนใจการมาของนางเท่ากับคนอื่น ๆ ทั้งยังให้ความสำคัญกับเจียงซีเว่ยมากกว่าที่จะหันมามองนาง แม้นางจะอยู่ใกล้เขาแค่ลมหายใจกั้น เขาก็ยังไม่มองนางเต็มตา
“ข้าจะรอผลไม้แช่อิ่มจากเจ้านะ”
“อืม” หยางมื่ตอบรับเสียงเบา ๆ
แล้วบรรยากาศก็ตกลงสู่ความเงียบ หญิงสาวทั้งสองสบตากัน สองคนต่างรู้ดีว่าหัวใจของหยางมี่เต็มไปด้วยความบอบช้ำจากคำพูดของสามีเมื่อครู่ แม้จะรู้สึกสงสาร แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจ เพราะความเสียใจที่หยางมี่ต้องเผชิญในขณะนี้เกินกว่าที่คำพูดของนางจะสามารถปลอบประโลมได้
เมื่อไม่รู้จะต่อบทสนทนาเช่นไร จางกุนเหยาจึงขอตัวพาภรรยากลับจวน
“เจ้ากับหยางมี่ได้ยินใช่หรือไม่”
“ใช่ ได้ยินเต็มสี่รูหูเลย สหายท่านนี่เกินเยียวยาจริง ๆ” คนท้องเอ่ยเสียงเขียว
อี้หยางเฉิงลูบหลังภรรยาเพื่อให้ใจเย็นลง เขาไม่อยากให้นางมีโทสะไม่ว่าจากเรื่องใดก็ตาม ยิ่งช่วงนี้นางอารมณ์แปรปรวน ยิ้มง่าย เสียใจง่าย โมโหก็ง่าย
“มันเป็นเรื่องของครอบครัวเขา เจ้าอย่าใส่อารมณ์ราวกับคนที่ทำเป็นข้าสิ” เขารู้ว่าภรรยาไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาเพียงเบี่ยงประเด็นให้อารมณ์นางเย็นลง
“ถ้าเป็นท่านพูดเมื่อครู่ บอกเลย” เว่ยเว่ย ยกนิ้วโป้งขึ้นทำท่าบาดคอ นอกจากอีกฝ่ายจะยิ้มขันแล้วยังก้มลงมาหอมแก้มนางฟอดใหญ่
“กลัวแล้ว”
“ควรกลัว”
อี้หยางเฉิงหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางข่มขู่ของภรรยา นางดูเอาจริงเสียจนเขาต้องยกมือขึ้นราวกับยอมแพ้
“ข้ารู้แล้ว ๆ ไม่พูดแบบนั้นแน่ ไม่มีทางและไม่มีวัน”
เจียงซีเว่ยยังคงมองเขาตาขวาง ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าสะเอว
“ก็ดี!” นางฮึดฮัดเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ “เอาเถอะ ข้ายอมกินเพดดิกรี ขอแค่ให้หยางมี่มีความสุข”
อี้หยางเฉิงเอียงคอสงสัยกับคำของภรรยาตัวน้อย
“ข้าหมายถึงหากจางกุนเหยาดีขึ้นในเร็ววันนี้ ข้ายอมกินอาหารหมา ขอแค่หยางมี่มีความสุข”
“แล้วเหตุใดเจ้าต้องกินอาหารหมากัน”
“แค่คำเปรียบเปรยเจ้าค่ะ”
“อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดก็ได้เว่ยเอ๋อร์ ทุกสิ่งที่ได้ยินไม่ได้หมายจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป”
“แล้วเช่นไร คำพูดเมื่อเอ่ยออกมาแล้ว ทำลายความรู้สึกคน ๆ หนึ่งแล้วย้อนคืนได้หรือ…ท่านเข้าข้างเขา”
“ข้าเปล่า” แม่ทัพหนุ่มยกมือขึ้นโบกเป็นพัลวัน ใครผูกก็ต้องแก้เอง เขาไม่ได้เข้าข้างสหายของตนแต่อย่างใด
“ดี หากหยางมี่เลือกจะทน ข้าจะช่วยประคองนาง แต่หากนางเลือกจะหันหลังให้คนพวกนั้น ข้าจะช่วยนางอย่างสุดกำลัง หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่าสหายของท่านพี่เป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น”
อี้หยางเฉิงทำเพียงพยักหน้าเนิบ ๆ ไม่ว่าภรรยาเขาจะทำเช่นไร เขาก็พร้อมจะสนับสนุน หากวันหนึ่งหยางมี่เลือกที่จะเดินออกมาจากจวนสกุลจาง ก็เป็นเพราะจางกุนเหยาทำตัวเองทั้งสิ้น อีกฝ่ายเป็นสหายตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งร่วมรบฝ่าฟันเป็นตายกันมา แต่ภรรยาเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ อี้หยางเฉิงก็เห็นด้วยไม่น้อย
“ดูไปก่อนเถิด หยางมี่ นางไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ผู้ที่อ่อนแอไม่สามารถทนคนรอบข้างข่มเหงได้นานขนาดนั้น คนที่ก้มหน้าอดทนคือผู้แข็งแกร่ง” เขามองในมุมของแม่ทัพที่คุมกองทหารนับแสน
เจียงซีเว่ยพยักหน้า แก่นแท้ของหยางมี่ไม่ใช่คนอ่อนแอ นางรู้เพราะอ่านนิยายเรื่อง ดวงใจแม่ทัพ จนจบแล้ว
แต่มันติดตรงสังคมและจารีตของยุคนี้ หญิงสาวทุกคน ใช้คำว่าทุกคน ไม่ว่าเกิดมาในฐานะสูงศักดิ์ หรือเป็นเพียงชาวบ้านร้านตลาด อย่างไรก็ต้องพึ่งบุรุษ ไม่ใช่ว่ามันเป็นเพียงวัฒนธรรม แต่มันถึงขั้นเขียนเอาไว้ในตัวกฎหมายบ้านเมือง
บทนำ “ข้าจะแต่งอนุ”เสียงเรียบขรึมเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบในรถม้า หยางมี่ที่นั่งนิ่งมาตลอดเงยหน้าขึ้นทันทีแม้พอจะคาดเดาว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นในวันข้างหน้า แต่มิคาดคิดว่าจะเร็วเพียงนี้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองสามีของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เขากลับไม่หลบเลี่ยง นิ่งสงบราวกับคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว“ท่านพี่…พูดว่าอะไรนะ” เสียงของนางเบาหวิว กว่าจะหาเสียงของตนเจอก็ตั้งสติอยู่นาน ผิดกับเสียงหัวใจ กลับเต้นรัวราวกับถูกบีบจนแทบหยุดหายใจ“ข้าพูดชัดแล้ว มี่เอ๋อร์” เขาย้ำคำ น้ำเสียงไร้ความลังเลใด ๆหัวใจของนางราวกับถูกมีดคมกรีดผ่าน เจ็บแปลบจนยากจะทน นางรู้ดีว่าวันหนึ่งเขาอาจจะพูดคำนี้ แต่เมื่อมันมาถึงจริง ๆ นางก็ไม่อาจเตรียมใจรับได้ หลังจากเขากลับมาจากสนามรบ จางกุนเหยาก็รีบจัดงานแต่งอย่างที่สัญญากับนางเอาไว้ ความรักความอบอุ่นที่เขามีให้เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น สามีของนางที่เคยมองนางด้วยสายตาเปี่ยมรัก ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มันจืดจางลง ท่านหมดรักข้าตั้งแต่เมื่อไร“เหตุใดท่านเลือกทำเช่นนี้” หยางมี่ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ ความรักที่นางทุ่มเทให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ช่างด
บทที่ 1 ความเย็นชา ความเงียบสงบของยามเช้าปกคลุมไปทั่วจวน แสงแดดยามอรุณลอดผ่านม่านบางเบา ส่องกระทบลงบนเตียงกว้าง แต่กลับให้ความรู้สึกเวิ้งว้างอย่างน่าประหลาดหยางมี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลิกกายอย่างเชื่องช้า ความอบอุ่นที่เคยอยู่ข้างกายเมื่อค่ำคืน กลับจางหายไปแล้ว เมื่อมือของนางเอื้อมไปสัมผัสที่นอนข้าง ๆ ก็พบเพียงไอเย็นนางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง สายตากวาดมองไปรอบห้อง ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเย็นอีกด้านของเตียงยืนยันว่าเขาไปนานแล้วหัวใจของนางกระตุกวูบ ไม่ใช่เพราะความสงสัย แต่เป็นเพราะนางรู้ดีว่าเขาเลือกที่จะไม่นอนเคียงข้างนางจนรุ่งสาง เขาอาจจะออกไปทันทีที่นางหลับเมื่อคืนก่อนทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สายตา ท่าที คำพูด ทุกอย่างดูปกติจนไม่น่าเชื่อว่าจะนำมาสู่เช้าที่อ้างว้างเช่นนี้หยางมี่กำผ้าห่มแน่น ความเย็นจากที่นอนด้านข้างแทรกซึมเข้าสู่หัวใจของนางอย่างช้า ๆ ราวกับคำตอบที่ไม่ต้องการคำพูดใด ๆนางพยายามหาคำแก้ต่างให้เขากับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมานางพยายามบอกตัวเองว่าอาจมีเรื่องเร่งด่วน แต่เมื่อสอบถามบ่าวรับใช้ในจวน คำตอบที่ได้รับกลับทำให้นางได้แต่ถอนห
บทที่ 2 อิจฉา หยางมี่ส่งยิ้มบางให้กับเจียงซีเว่ย หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าถูกสามีประคองไว้อย่างทะนุถนอม แม้ว่าหน้าท้องของนางจะยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย แต่บุรุษข้างกายกลับดูแลนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า“ไม่เห็นจำเป็นต้องเดินออกมารับเลย” หยางมี่เอ่ยขึ้นพลางก้าวเข้าไปใกล้คนทั้งสองเว่ยเว่ยหัวเราะเบา ๆ “ข้าอยากออกมาพบเจ้าเอง อีกอย่าง ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดเดินออกมาทักทายสหายไม่ได้เสียหน่อย” นางเอ่ยติดตลก แต่สามีของนางกลับมองด้วยสายตาเป็นห่วง“เจ้าต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ เว่ยเอ๋อร์” ชายหนุ่มข้างกายกล่าวเตือนเสียงอ่อน ก่อนจะค่อย ๆ พานางเดินเข้าไปในเรือนด้วยกันหยางมี่มองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่บีบรัดเล็กน้อย นางเคยคิดว่าวันหนึ่งสามีของนางจะประคองนางเช่นนี้ ปกป้องและดูแลนางด้วยความรักมั่นคง แต่นั่นเป็นเพียงภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง“เจ้าเดินทางมาเหนื่อย ๆ เข้ามานั่งพักก่อนเถิด” เว่ยเว่ยเอ่ยพลางเชื้อเชิญหยางมี่พยักหน้า ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในบรรยากาศในเรือนของเจียงซีเว่ยอบอุ่น นางมองไปรอบ ๆ พลางอดเปรียบเทียบกับเรือนของตนเองไม่ได้ เรือนของนางช่างเงียบเหงา ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะของสามีภรรยาเหมือนที่นี
บทที่ 3 เพื่อนที่หวังดี“เจ้าไม่ต้องฝืนหรอก ถ้ามีเรื่องอัดอั้นอยู่ในใจ ก็บอกข้าเถอะ”หยางมี่มองมือที่อบอุ่นของเพื่อนสนิท ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดจะทะลักออกมาพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา“ข้าเหนื่อยเหลือเกิน เว่ยเว่ย” น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นบนหลังมือของหยางมี่ นางรีบยกมือขึ้นเช็ดออกอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าใครจะเห็นความอ่อนแอของตนเจียงซีเว่ยไม่พูดอะไร เพียงแค่กุมมือนางไว้แน่นขึ้น รอให้นางได้ระบายความรู้สึกที่เก็บไว้ออกมา “ข้าคิดว่าหากข้าทำดีมากพอ หากข้าอดทนพอ เขาจะมองเห็นข้า… จะรักข้า… แต่สุดท้ายแล้ว ข้าก็ยังเป็นแค่เงาในชีวิตของเขา เป็นเพียงภรรยาที่ถูกทอดทิ้ง”เสียงของหยางมี่สั่นเครือ นางเงยหน้าขึ้นสบตาเจียงซีเว่ย แววตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“ข้าเหนื่อยกับการพยายาม… เหนื่อยกับการต้องทนรับสายตาเย็นชาของเขาทุกวัน เหนื่อยที่ต้องพยายามทำให้แม่สามียอมรับ ทั้งที่ข้าไม่เคยดีพอในสายตาของนาง ข้าอยากปล่อยมือเสียที ข้าไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว…”สิ้นคำพูดนั้น เจียงซีเว่ยก็ลุกขึ้นมาโอบกอดนางไว้ หยางมี่ที่พยายามเข้มแข็งมาตลอด ในที่สุดก็ปล่อยโฮออกมา นางปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไม่ต้องเก็บกลั้นอีกต่อไป
บทที่ 4 ความจริงอีกหนึ่งอย่าง “อย่าเอ่ยคำนี้ออกมาให้นางได้ยินเชียว”เท้าทั้งสี่ข้างพร้อมใจกันหยุด สามีให้สาวใช้มาบอก หากคุยธุระกันเรียบร้อยให้ตามไปที่เรือนอักษร เพราะจางกุนเหยามา คงจะมารับภรรยากลับ และเสียงที่การสนทนาด้านในคงจะเป็นสามีของนางและสหายสนิท“เจ้ารู้ดีกว่าใคร ข้าพยายามผูกสัมพันธ์ให้เจ้ากับหยางมี่แต่ไม่สำเร็จ เพราะเจ้าตกหลุมรักเจียงซีเว่ยเสียก่อน หากหยางมี่ได้แต่งกับเจ้าคงไม่เป็นเช่นนี้” ดวงตาเจียงซีเว่ยเบิกกว้างรีบหันขวับไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง มือของหยางมี่เย็นเฉียบราวกับเลือดในกายหยุดไหล นางมองไปยังประตูเรือนอักษรด้วยแววตาสั่นไหว หัวใจเต้นกระหน่ำ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดมันแน่นจางกุนเหยา เขาสูดลมหายใจลึก น้ำเสียงเศร้าเอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป“ข้าไม่น่าแต่งกับนางเลย” คำพูดของเขา… จางกุนเหยา สามีของนาง นางยืนนิ่ง ไม่อาจก้าวเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้อีก ดวงตาพร่าเลือน ราวกับภาพทุกอย่างตรงหน้ากำลังสั่นไหว ทุกความทรงจำเก่าก่อนไหลบ่า จางกุนเหยาพยายามผลักนางให้อี้หยางเฉิงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งปล่อยให้นางอยู่ตามลำพังกับอี้หยางเฉิง โชคดีที่อี้หยาง
บทที่ 3 เพื่อนที่หวังดี“เจ้าไม่ต้องฝืนหรอก ถ้ามีเรื่องอัดอั้นอยู่ในใจ ก็บอกข้าเถอะ”หยางมี่มองมือที่อบอุ่นของเพื่อนสนิท ก่อนที่ความรู้สึกทั้งหมดจะทะลักออกมาพร้อมกับเสียงกระซิบแผ่วเบา“ข้าเหนื่อยเหลือเกิน เว่ยเว่ย” น้ำตาหยดหนึ่งร่วงหล่นบนหลังมือของหยางมี่ นางรีบยกมือขึ้นเช็ดออกอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าใครจะเห็นความอ่อนแอของตนเจียงซีเว่ยไม่พูดอะไร เพียงแค่กุมมือนางไว้แน่นขึ้น รอให้นางได้ระบายความรู้สึกที่เก็บไว้ออกมา “ข้าคิดว่าหากข้าทำดีมากพอ หากข้าอดทนพอ เขาจะมองเห็นข้า… จะรักข้า… แต่สุดท้ายแล้ว ข้าก็ยังเป็นแค่เงาในชีวิตของเขา เป็นเพียงภรรยาที่ถูกทอดทิ้ง”เสียงของหยางมี่สั่นเครือ นางเงยหน้าขึ้นสบตาเจียงซีเว่ย แววตาของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด“ข้าเหนื่อยกับการพยายาม… เหนื่อยกับการต้องทนรับสายตาเย็นชาของเขาทุกวัน เหนื่อยที่ต้องพยายามทำให้แม่สามียอมรับ ทั้งที่ข้าไม่เคยดีพอในสายตาของนาง ข้าอยากปล่อยมือเสียที ข้าไม่อยากทนอีกต่อไปแล้ว…”สิ้นคำพูดนั้น เจียงซีเว่ยก็ลุกขึ้นมาโอบกอดนางไว้ หยางมี่ที่พยายามเข้มแข็งมาตลอด ในที่สุดก็ปล่อยโฮออกมา นางปล่อยให้น้ำตาไหลอย่างไม่ต้องเก็บกลั้นอีกต่อไป
บทที่ 2 อิจฉา หยางมี่ส่งยิ้มบางให้กับเจียงซีเว่ย หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าถูกสามีประคองไว้อย่างทะนุถนอม แม้ว่าหน้าท้องของนางจะยื่นออกมาเพียงเล็กน้อย แต่บุรุษข้างกายกลับดูแลนางราวกับเป็นสิ่งล้ำค่า“ไม่เห็นจำเป็นต้องเดินออกมารับเลย” หยางมี่เอ่ยขึ้นพลางก้าวเข้าไปใกล้คนทั้งสองเว่ยเว่ยหัวเราะเบา ๆ “ข้าอยากออกมาพบเจ้าเอง อีกอย่าง ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดเดินออกมาทักทายสหายไม่ได้เสียหน่อย” นางเอ่ยติดตลก แต่สามีของนางกลับมองด้วยสายตาเป็นห่วง“เจ้าต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ เว่ยเอ๋อร์” ชายหนุ่มข้างกายกล่าวเตือนเสียงอ่อน ก่อนจะค่อย ๆ พานางเดินเข้าไปในเรือนด้วยกันหยางมี่มองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่บีบรัดเล็กน้อย นางเคยคิดว่าวันหนึ่งสามีของนางจะประคองนางเช่นนี้ ปกป้องและดูแลนางด้วยความรักมั่นคง แต่นั่นเป็นเพียงภาพฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง“เจ้าเดินทางมาเหนื่อย ๆ เข้ามานั่งพักก่อนเถิด” เว่ยเว่ยเอ่ยพลางเชื้อเชิญหยางมี่พยักหน้า ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในบรรยากาศในเรือนของเจียงซีเว่ยอบอุ่น นางมองไปรอบ ๆ พลางอดเปรียบเทียบกับเรือนของตนเองไม่ได้ เรือนของนางช่างเงียบเหงา ไร้ซึ่งเสียงหัวเราะของสามีภรรยาเหมือนที่นี
บทที่ 1 ความเย็นชา ความเงียบสงบของยามเช้าปกคลุมไปทั่วจวน แสงแดดยามอรุณลอดผ่านม่านบางเบา ส่องกระทบลงบนเตียงกว้าง แต่กลับให้ความรู้สึกเวิ้งว้างอย่างน่าประหลาดหยางมี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พลิกกายอย่างเชื่องช้า ความอบอุ่นที่เคยอยู่ข้างกายเมื่อค่ำคืน กลับจางหายไปแล้ว เมื่อมือของนางเอื้อมไปสัมผัสที่นอนข้าง ๆ ก็พบเพียงไอเย็นนางนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยันกายลุกขึ้นนั่ง สายตากวาดมองไปรอบห้อง ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อย ความเย็นอีกด้านของเตียงยืนยันว่าเขาไปนานแล้วหัวใจของนางกระตุกวูบ ไม่ใช่เพราะความสงสัย แต่เป็นเพราะนางรู้ดีว่าเขาเลือกที่จะไม่นอนเคียงข้างนางจนรุ่งสาง เขาอาจจะออกไปทันทีที่นางหลับเมื่อคืนก่อนทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม สายตา ท่าที คำพูด ทุกอย่างดูปกติจนไม่น่าเชื่อว่าจะนำมาสู่เช้าที่อ้างว้างเช่นนี้หยางมี่กำผ้าห่มแน่น ความเย็นจากที่นอนด้านข้างแทรกซึมเข้าสู่หัวใจของนางอย่างช้า ๆ ราวกับคำตอบที่ไม่ต้องการคำพูดใด ๆนางพยายามหาคำแก้ต่างให้เขากับสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมานางพยายามบอกตัวเองว่าอาจมีเรื่องเร่งด่วน แต่เมื่อสอบถามบ่าวรับใช้ในจวน คำตอบที่ได้รับกลับทำให้นางได้แต่ถอนห
บทนำ “ข้าจะแต่งอนุ”เสียงเรียบขรึมเอ่ยขึ้น ท่ามกลางความเงียบในรถม้า หยางมี่ที่นั่งนิ่งมาตลอดเงยหน้าขึ้นทันทีแม้พอจะคาดเดาว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้นในวันข้างหน้า แต่มิคาดคิดว่าจะเร็วเพียงนี้ ดวงตาคู่สวยจ้องมองสามีของนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่เขากลับไม่หลบเลี่ยง นิ่งสงบราวกับคนที่ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว“ท่านพี่…พูดว่าอะไรนะ” เสียงของนางเบาหวิว กว่าจะหาเสียงของตนเจอก็ตั้งสติอยู่นาน ผิดกับเสียงหัวใจ กลับเต้นรัวราวกับถูกบีบจนแทบหยุดหายใจ“ข้าพูดชัดแล้ว มี่เอ๋อร์” เขาย้ำคำ น้ำเสียงไร้ความลังเลใด ๆหัวใจของนางราวกับถูกมีดคมกรีดผ่าน เจ็บแปลบจนยากจะทน นางรู้ดีว่าวันหนึ่งเขาอาจจะพูดคำนี้ แต่เมื่อมันมาถึงจริง ๆ นางก็ไม่อาจเตรียมใจรับได้ หลังจากเขากลับมาจากสนามรบ จางกุนเหยาก็รีบจัดงานแต่งอย่างที่สัญญากับนางเอาไว้ ความรักความอบอุ่นที่เขามีให้เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น สามีของนางที่เคยมองนางด้วยสายตาเปี่ยมรัก ตั้งแต่เมื่อไรกันที่มันจืดจางลง ท่านหมดรักข้าตั้งแต่เมื่อไร“เหตุใดท่านเลือกทำเช่นนี้” หยางมี่ถามออกไปทั้งที่รู้คำตอบดีอยู่แก่ใจ ความรักที่นางทุ่มเทให้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ช่างด