บทที่ 4 ความจริงอีกหนึ่งอย่าง
“อย่าเอ่ยคำนี้ออกมาให้นางได้ยินเชียว”
เท้าทั้งสี่ข้างพร้อมใจกันหยุด สามีให้สาวใช้มาบอก หากคุยธุระกันเรียบร้อยให้ตามไปที่เรือนอักษร เพราะจางกุนเหยามา คงจะมารับภรรยากลับ และเสียงที่การสนทนาด้านในคงจะเป็นสามีของนางและสหายสนิท
“เจ้ารู้ดีกว่าใคร ข้าพยายามผูกสัมพันธ์ให้เจ้ากับหยางมี่แต่ไม่สำเร็จ เพราะเจ้าตกหลุมรักเจียงซีเว่ยเสียก่อน หากหยางมี่ได้แต่งกับเจ้าคงไม่เป็นเช่นนี้”
ดวงตาเจียงซีเว่ยเบิกกว้างรีบหันขวับไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่เคียงข้าง
มือของหยางมี่เย็นเฉียบราวกับเลือดในกายหยุดไหล นางมองไปยังประตูเรือนอักษรด้วยแววตาสั่นไหว หัวใจเต้นกระหน่ำ ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบรัดมันแน่น
จางกุนเหยา เขาสูดลมหายใจลึก น้ำเสียงเศร้าเอ่ยออกมาอย่างไม่ปิดบังอีกต่อไป
“ข้าไม่น่าแต่งกับนางเลย”
คำพูดของเขา… จางกุนเหยา สามีของนาง นางยืนนิ่ง ไม่อาจก้าวเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังได้อีก ดวงตาพร่าเลือน ราวกับภาพทุกอย่างตรงหน้ากำลังสั่นไหว ทุกความทรงจำเก่าก่อนไหลบ่า จางกุนเหยาพยายามผลักนางให้อี้หยางเฉิงครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งปล่อยให้นางอยู่ตามลำพังกับอี้หยางเฉิง โชคดีที่อี้หยางเฉิงรักมั่นต่อเจียงซีเว่ย ไม่เคยชายตามองนางเป็นอื่นมากไปกว่าน้องสาวข้างบ้านของจางกุนเหยา
เจียงซีเว่ยรีบจับมือนางไว้แน่น “มี่เอ๋อร์ เจ้าได้ยินหรือไม่”
หยางมี่หัวเราะเบา ๆ แต่เป็นเสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความขมขื่น
“ได้ยินสิ…” นางพึมพำ “ได้ยินชัดเจนยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ”
ที่ผ่านมา นางอดทน อดกลั้น บอกตัวเองว่าทุกอย่างจะดีขึ้น เขาอาจเพียงเหนื่อยล้าจากงาน หรืออาจแค่ต้องการเวลาปรับตัว แต่แท้จริงแล้ว ทุกสิ่งที่เขาทำ นั่นเพราะเสียใจที่แต่งกับนาง แต่แรกเขาไม่เคยต้องการนางเลย
หยางมี่เงยหน้าขึ้น สูดหายใจเข้าลึก พยายามสะกดกลั้นน้ำตาที่เอ่อคลอ “ข้าคิดว่าข้าพอเข้าใจแล้วล่ะ เว่ยเว่ย”
“มี่เอ๋อร์…”
เจียงซีเว่ยมองหยางมี่ด้วยความห่วงใย แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่าการยืนเคียงข้างและปลอบประโลม เพราะในขณะนี้ดูเหมือนทุกสิ่งจะเป็นการตัดสินใจของหยางมี่เอง นางรู้ดีว่าตัวเองยืนอยู่ในจุดที่ยากจะช่วยเหลือ สถานการณ์นั้นช่างซับซ้อน เรื่องของหัวใจนางไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินแทน ทำได้เพียงแค่ช่วยประคอง
เหมือนคนด้านในจะรับรู้ถึงการมาของนางและหยางมี่ เจียงซีเว่ยจึงตัดสินใจกุมมือสหายไว้แน่นก่อนจะฉุดรั้งให้เดินตามเข้าไปด้านใน
“คราวหน้าเจ้าทำผลไม้แช่อิ่มมาฝากข้าทีน่ะ ไม่ว่าจะอาหาร ขนม ไม่มีใครทำถูกปากข้าไปกว่าเจ้าแล้ว ช่วงเช้าข้าแพ้ท้องหนักมาก หากได้ผลไม้แช่อิ่มฝีมือเจ้าคงช่วยได้ไม่น้อย” เจียงซีเว่ยเอ่ยออกมาเสียงดัง ต้องการให้ชายหนุ่มทั้งสองรับรู้ว่าพวกนางมาแล้ว หรือจะรู้อยู่ก่อนแล้วก็ช่าง นางเป็นคนเช่นนี้ล่ะ
เมื่อเข้ามาด้านในนางดึงมือสหายให้ไปนั่งข้างจางกุนเหยา และนางก็เดินเลยไปทรุดตัวลงนั่งข้างสามีของตน หันไปทำความเคารพสหายของสามี แววตาโกรธขึ้งมองตรงไปยังสหายของสามีไม่ปิดบัง นางเคยอ่าน ตัวละครจางกุนเหยา ซึ่งเป็นพระรองที่แสนดี แต่ตอนนี้ก็แค่บุรุษได้แล้วลืม
เพ่ย!
แต่เจียงซีเว่ยทำอะไรไม่ได้ แววตาของหยางมี่เมื่อครู่ บ่งบอกว่ารักชายผู้นี้มากมาย ขนาดได้ยินคำพูดเช่นนี้
ก็ยังรัก
แล้วคนนอกอย่างนางจะทำสิ่งใดได้ นอกจากปลอบใจยามเพื่อนเสียใจ และกินอาหารหมายามเพื่อนหวนกลับไปหาสามีเลว ๆ
หยางมี่ได้แต่ยิ้มเศร้า ก่อนจะพยักหน้า “เจ้าอยากกินอะไรบอกได้ทุกเมื่อที่ต้องการ… ข้าไม่รู้ว่าจะช่วยได้มากแค่ไหน”
“ได้สิ ช่วยได้มากเลยล่ะ หากเป็นไปได้มากินข้าวเป็นเพื่อนข้าทุกวันยิ่งดี วันนี้ข้าเจริญอาหารกว่าทุกวัน ท่านพี่..” เจียงซีเว่ยรีบหันไปเกาะแขนทำน้ำเสียงหวาน
“หากไม่รบกวนจางฮูหยิน” แน่นอนว่าอี้หยางเฉิงไม่รอช้ารีบเอ่ยขอกับสหาย
“ได้สิ ไม่รบกวน นางอยู่ที่จวนน่าจะเบื่อ มีคนคุยด้วยน่าจะดีไม่น้อย” จางกุนเหยารีบตอบรับแทน หยางมี่มาใช้เวลาคลุกอยู่กับเจียงซีเว่ยทุกวันคงดีไม่น้อย เพราะอีกไม่กี่วันจวนสกุลจางกำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
เขามองไปที่หยางมี่แค่หางตา ท่าทีของเขาก็ทำให้หยางมี่รู้สึกเศร้าใจ เขาไม่ได้สนใจการมาของนางเท่ากับคนอื่น ๆ ทั้งยังให้ความสำคัญกับเจียงซีเว่ยมากกว่าที่จะหันมามองนาง แม้นางจะอยู่ใกล้เขาแค่ลมหายใจกั้น เขาก็ยังไม่มองนางเต็มตา
“ข้าจะรอผลไม้แช่อิ่มจากเจ้านะ”
“อืม” หยางมื่ตอบรับเสียงเบา ๆ
แล้วบรรยากาศก็ตกลงสู่ความเงียบ หญิงสาวทั้งสองสบตากัน สองคนต่างรู้ดีว่าหัวใจของหยางมี่เต็มไปด้วยความบอบช้ำจากคำพูดของสามีเมื่อครู่ แม้จะรู้สึกสงสาร แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจ เพราะความเสียใจที่หยางมี่ต้องเผชิญในขณะนี้เกินกว่าที่คำพูดของนางจะสามารถปลอบประโลมได้
เมื่อไม่รู้จะต่อบทสนทนาเช่นไร จางกุนเหยาจึงขอตัวพาภรรยากลับจวน
“เจ้ากับหยางมี่ได้ยินใช่หรือไม่”
“ใช่ ได้ยินเต็มสี่รูหูเลย สหายท่านนี่เกินเยียวยาจริง ๆ” คนท้องเอ่ยเสียงเขียว
อี้หยางเฉิงลูบหลังภรรยาเพื่อให้ใจเย็นลง เขาไม่อยากให้นางมีโทสะไม่ว่าจากเรื่องใดก็ตาม ยิ่งช่วงนี้นางอารมณ์แปรปรวน ยิ้มง่าย เสียใจง่าย โมโหก็ง่าย
“มันเป็นเรื่องของครอบครัวเขา เจ้าอย่าใส่อารมณ์ราวกับคนที่ทำเป็นข้าสิ” เขารู้ว่าภรรยาไม่ได้คิดเช่นนั้น เขาเพียงเบี่ยงประเด็นให้อารมณ์นางเย็นลง
“ถ้าเป็นท่านพูดเมื่อครู่ บอกเลย” เว่ยเว่ย ยกนิ้วโป้งขึ้นทำท่าบาดคอ นอกจากอีกฝ่ายจะยิ้มขันแล้วยังก้มลงมาหอมแก้มนางฟอดใหญ่
“กลัวแล้ว”
“ควรกลัว”
อี้หยางเฉิงหัวเราะเบา ๆ กับท่าทางข่มขู่ของภรรยา นางดูเอาจริงเสียจนเขาต้องยกมือขึ้นราวกับยอมแพ้
“ข้ารู้แล้ว ๆ ไม่พูดแบบนั้นแน่ ไม่มีทางและไม่มีวัน”
เจียงซีเว่ยยังคงมองเขาตาขวาง ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าสะเอว
“ก็ดี!” นางฮึดฮัดเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแรง ๆ “เอาเถอะ ข้ายอมกินเพดดิกรี ขอแค่ให้หยางมี่มีความสุข”
อี้หยางเฉิงเอียงคอสงสัยกับคำของภรรยาตัวน้อย
“ข้าหมายถึงหากจางกุนเหยาดีขึ้นในเร็ววันนี้ ข้ายอมกินอาหารหมา ขอแค่หยางมี่มีความสุข”
“แล้วเหตุใดเจ้าต้องกินอาหารหมากัน”
“แค่คำเปรียบเปรยเจ้าค่ะ”
“อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าคิดก็ได้เว่ยเอ๋อร์ ทุกสิ่งที่ได้ยินไม่ได้หมายจะเป็นเช่นนั้นเสมอไป”
“แล้วเช่นไร คำพูดเมื่อเอ่ยออกมาแล้ว ทำลายความรู้สึกคน ๆ หนึ่งแล้วย้อนคืนได้หรือ…ท่านเข้าข้างเขา”
“ข้าเปล่า” แม่ทัพหนุ่มยกมือขึ้นโบกเป็นพัลวัน ใครผูกก็ต้องแก้เอง เขาไม่ได้เข้าข้างสหายของตนแต่อย่างใด
“ดี หากหยางมี่เลือกจะทน ข้าจะช่วยประคองนาง แต่หากนางเลือกจะหันหลังให้คนพวกนั้น ข้าจะช่วยนางอย่างสุดกำลัง หากเป็นอย่างหลัง นั่นหมายความว่าสหายของท่านพี่เป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น”
อี้หยางเฉิงทำเพียงพยักหน้าเนิบ ๆ ไม่ว่าภรรยาเขาจะทำเช่นไร เขาก็พร้อมจะสนับสนุน หากวันหนึ่งหยางมี่เลือกที่จะเดินออกมาจากจวนสกุลจาง ก็เป็นเพราะจางกุนเหยาทำตัวเองทั้งสิ้น อีกฝ่ายเป็นสหายตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งร่วมรบฝ่าฟันเป็นตายกันมา แต่ภรรยาเขาเอ่ยออกมาเช่นนี้ อี้หยางเฉิงก็เห็นด้วยไม่น้อย
“ดูไปก่อนเถิด หยางมี่ นางไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น ผู้ที่อ่อนแอไม่สามารถทนคนรอบข้างข่มเหงได้นานขนาดนั้น คนที่ก้มหน้าอดทนคือผู้แข็งแกร่ง” เขามองในมุมของแม่ทัพที่คุมกองทหารนับแสน
เจียงซีเว่ยพยักหน้า แก่นแท้ของหยางมี่ไม่ใช่คนอ่อนแอ นางรู้เพราะอ่านนิยายเรื่อง ดวงใจแม่ทัพ จนจบแล้ว
แต่มันติดตรงสังคมและจารีตของยุคนี้ หญิงสาวทุกคน ใช้คำว่าทุกคน ไม่ว่าเกิดมาในฐานะสูงศักดิ์ หรือเป็นเพียงชาวบ้านร้านตลาด อย่างไรก็ต้องพึ่งบุรุษ ไม่ใช่ว่ามันเป็นเพียงวัฒนธรรม แต่มันถึงขั้นเขียนเอาไว้ในตัวกฎหมายบ้านเมือง
บทที่ 31 วสันต์อบอุ่นอย่างที่เป็นเสียงกลองและฆ้องดังแว่วมาแต่ไกล บรรยากาศในจวนตระกูลจางวันนี้คึกคักกว่าปกติไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเพราะวันนี้เป็นวันที่ ฮูหยินใหญ่ตระกูลจาง หรือ มารดาของจางกุนเหยา จะเดินทางมาเยี่ยมหลานคนแรกของตระกูลหยางมี่มองบรรยากาศครึกครื้นแล้วก็อดรู้สึกแปลกใจไม่ได้…ตั้งแต่นางกับสามีกลับมาอยู่ด้วยกันในจวนหลังใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่นางจะได้พบหน้ามารดาของสามีขบวนรถม้าจอดลงหน้าจวน หญิงสูงวัยในชุดแพรพรรณสีม่วงอ่อนก้าวลงจากรถด้วยความสง่างาม ใบหน้ายิ้มเบิกบานบ่าวไพร่ออกมาต้อนรับหยางมี่ยืนอยู่หน้าประตูเรือนพร้อมจางกุนเหยา เมื่อเห็นบุคคลตรงหน้า นางรีบค้อมกายทำความเคารพทันที“คารวะท่านแม่”“ท่านแม่” จางกุนเหยาเอ่ยเรียกเสียงนุ่มจางหลันกวาดตามองหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างบุตรชาย ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย“ลุกขึ้นเถิด” นางกล่าวเสียงเรียบ “ข้าอยากไปพบหลานก่อน” กว่าจะได้มาก็วันที่หลานคลอดแล้ว ระหว่างนั้นบุตรชายของนางห้ามไม่ให้นางมายุ่งวุ่นวายเกรงจะกระทบใจคนท้อง เพื่อหลานจางหลันยอมเมื่อมาถึงห้องนอนของหยางมี่ บ่าวไพร่นำทารกน้อยออกมาให้ฮูหยินใหญ่ได้เห็นนางมองใบหน้าของเด็กทารกที่หลับป
บทที่ 30 ครอบครัวของเรา หลังจากการตั้งครรภ์ดำเนินไปอย่างราบรื่น ช่วงเวลาที่หยางมี่และจางกุนเหยารอคอยก็มาถึง วันหนึ่งหยางมี่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ร่างกายนางไม่คุ้นเคย หัวใจของนางเต้นแรง เมื่อรู้ว่าเวลาที่จะได้พบกับทารกน้อยมาถึงแล้วตลอดช่วงเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ จางกุนเหยาทุ่มเทดูแลนางอย่างดีที่สุด แม้ว่าจะต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่มากมาย แต่เขาก็จัดเตรียมทุกสิ่งให้นางด้วยมือของตนเอง คอยหาหมอที่ดีที่สุด คอยดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่อง นางคือหัวใจของเขา และลูกในครรภ์ก็คือสมบัติล้ำค่าที่พวกเขาสร้างขึ้นมาด้วยกันในเช้าวันหนึ่ง อากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าแจ่มใส หยางมี่รู้สึกถึงอาการเจ็บท้องที่ค่อย ๆ ทวีขึ้น นางกัดริมฝีปากแน่น มือกำผ้าห่มแน่นเพื่อบรรเทาความเจ็บ ขณะเดียวกัน จางกุนเหยาสั่งให้สาวใช้เร่งไปตามหมอ“ท่านอยู่กับข้าใช่หรือไม่” นางถามเสียงแผ่ว ดวงตาฉายแววหวาดหวั่นจางกุนเหยาจับมือนางไว้แน่น ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “ข้าอยู่ที่นี่กับเจ้า… ตลอดเวลา”เสียงร้องของทารกดังก้องไปทั่วห้องคลอด ในที่สุด ชีวิตน้อย ๆ ที่พวกเขารอคอยก็ลืมตาขึ้นมาดูโลก หยางมี่รู้สึกถึงความสุขที่เอ่อล้นจนแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู
บทที่ 29 ให้โอกาสหัวใจ วันเวลาผ่านไป ชีวิตในจวนใหม่เริ่มเข้าสู่ความสงบอย่างที่หยางมี่ไม่เคยคาดคิด แม้จะยังคงมีบางช่วงเวลาที่ความรู้สึกสับสนกลับมาเยือน แต่นางก็เลือกที่จะเดินหน้าและไม่ย่ำอยู่กับที่ ทุกอย่างในชีวิตเริ่มดีขึ้นทีละนิด และการเปลี่ยนแปลงของนางเริ่มเห็นผลจางกุนเหยาพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ทำให้นางผิดหวัง เขาทำงานหนักเพื่อปกป้องความสัมพันธ์ของพวกเขา และคอยให้ความสำคัญกับความรู้สึกของหยางมี่มากขึ้น แม้ว่านางจะยังคงยืนหยัดในท่าทีที่มั่นคงและเต็มไปด้วยความระมัดระวังขณะที่หยางมี่กำลังอ่านหนังสืออยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง จางกุนเหยาก็เข้ามานั่งข้าง ๆ เขายิ้มให้กับนางอย่างอบอุ่น“มี่เอ๋อร์ ข้าคิดว่า… เราควรจะไปเที่ยวด้วยกันบ้าง” เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หวานขึ้นหยางมี่มองเขาเงียบ ๆ สักพัก ก่อนจะตอบด้วยเสียงเรียบ “ท่านคิดว่าเราจะได้อะไรจากการไปเที่ยว”จางกุนเหยามองนางด้วยแววตาที่จริงจัง “ข้าคิดว่ามันจะทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น และข้าก็อยากให้เรามีเวลาร่วมกันที่ไม่มีสิ่งใดมาขวาง”หยางมี่ครุ่นคิดเงียบ ๆ นาน ก่อนจะตอบกลับอย่างใจเย็น “หากมันจะทำให้ท่านมีความสุข ข้าก็ยินดี”นางไม่พูดอะ
บทที่ 28 อารมณ์แปรปรวนหยางมี่นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของจวนใหม่ สายตาของนางจ้องมองไปที่งานบางอย่างที่กำลังดำเนินไปในบ้าน แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัยและความไม่แน่ใจ แม้จะรู้สึกว่าเขาทุ่มเทมากมายเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แต่ยังคงมีบางสิ่งในใจที่ไม่สามารถปล่อยวางได้จางกุนเหยาเดินเข้ามาในห้อง ท่าทางเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยความกังวล เขาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ หยางมี่ มองดูนางที่ยืนนิ่งอย่างคิดอะไรบางอย่าง“มี่เอ๋อร์…” เขาเรียกชื่อนางด้วยเสียงอ่อนโยน แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีความวิตกกังวลในน้ำเสียงหยางมี่หันกลับไปมองเขา ดวงตาของนางปรากฏความเย็นชาเล็กน้อย แต่กลับแฝงไปด้วยความมั่นคงที่ไม่เคยมีมาก่อน “ท่านยังจำสิ่งที่ข้าพูดได้หรือไม่”จางกุนเหยาเลิกคิ้ว แต่ก็เข้าใจในคำถามของนาง “เจ้าหมายถึงอะไร”“ข้าเคยบอกกับท่านแล้วว่า หากท่านทำผิดอีกครั้ง ข้าจะจากท่านไปตลอดกาล ข้าไม่ต้องการพึ่งพาท่านอีก” เสียงของหยางมี่หนักแน่นและมั่นคง นางมองเขาด้วยแววตาที่ไม่หวั่นไหวจางกุนเหยาสะท้านไปกับคำพูดนั้น ถึงแม้จะรู้ดีว่าเขาได้ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อนาง แต่สิ่งที่นางพูดออกมาในวันนี้กลับทำให้เขาเห็นว่า นางไม่ยอมรับการทำผิดพลาดใดๆ อี
บทที่ 27 บ้านของเราหลังจากที่หยางมี่ตัดสินใจให้โอกาสกับความสัมพันธ์ของตนและจางกุนเหยาอีกครั้ง ทุกอย่างดูเหมือนจะเริ่มต้นใหม่ แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในตัวทั้งคู่จางกุนเหยาพยายามพิสูจน์ตัวเองด้วยการทุ่มเทเต็มที่ในการสร้างจวนใหม่ให้กับหยางมี่ เขาให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนของการก่อสร้าง และเลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อภรรยา แม้จะมีความยากลำบากจากการต่อต้านของครอบครัวและความเครียดจากหน้าที่ แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดหยางมี่เองก็คอยสนับสนุนการตัดสินใจของเขา แม้จะมีคำถามในใจ แต่การที่เขากล้าที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อนาง ทำให้นางเริ่มมองเห็นความพยายามที่เขาทำทุกคืนหลังจากการทำงาน นางจะไปเยี่ยมเขาที่จวนใหม่ บางครั้งก็ช่วยดูงานบางส่วน บางครั้งก็แค่ไปนั่งข้าง ๆ และให้กำลังใจ“ทำไมถึงต้องเหนื่อยขนาดนี้” หยางมี่ถามในวันหนึ่ง ขณะที่เห็นเขาก้มหน้าก้มตาทำงานหนักจางกุนเหยาหยุดมือจากการทำงานและมองไปที่นาง “ข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกปลอดภัย ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้เราเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน”หยางมี่มองเขา น้ำตาคลอเบ้าอย่างไม่รู้ตัว นางไม่คิดว่าจะได้รับคำพูดนี้จากเขาในวันที่เขาพูดจะไปแต่งอนุ แต่
บทที่ 26 สร้างจวนใหม่ ทางด้านจางกุนเหยา หลังจากประกาศเรื่องแยกจวนออกไป เขาก็ต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากมารดาของตน“เจ้าคิดจะทำให้ข้าอับอายไปถึงไหน!” จางฮูหยินตวาดเสียงดัง “เจ้าย้ายออกไปก็เท่ากับประกาศให้คนทั้งเมืองรู้ว่าเจ้าเลือกนางแทนที่จะเลือกครอบครัว!”“ท่านแม่ ข้าตัดสินใจแล้ว” จางกุนเหยากล่าวเสียงหนักแน่น “ข้าไม่ได้ทอดทิ้งครอบครัว แต่ข้าเลือกที่จะใช้ชีวิตของข้าตามที่ควรจะเป็น”“แล้วชีวิตของข้าเล่า! ข้าอุตส่าห์อบรมเจ้าให้เติบโต แต่เจ้ากลับมาสละทุกอย่างเพื่อนาง”“ข้าไม่ได้สละทุกอย่าง” เขาตอบ “แต่ข้าจะไม่ยอมให้ท่านมายุ่งกับชีวิตคู่ของข้าอีกต่อไป”จางฮูหยินโกรธจัด นางมองบุตรชายที่เคยเชื่อฟังมาตลอดอย่างผิดหวัง แต่ครั้งนี้จางกุนเหยาไม่คิดจะถอยอีกแล้วไม่กี่วันต่อมา หยางมี่ได้รับข่าวว่าเขาได้ซื้อที่ดินสำหรับสร้างจวนใหม่แล้วจริง ๆนางมองแผ่นกระดาษในมือที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับที่ดินและการก่อสร้าง หัวใจพลันสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก“เขากำลังทำจริง ๆ หรือ…” นางกระซิบกับตัวเองเบา ๆจางกุนเหยากำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาพร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อนางจริงหรือหากเป็นเช่นนั้น นางจะยังมีเหตุผลอะไรให้ลั