ขอวิงวอนด้วยหัวใจขอเป็นหนึ่งเดียวกับท่าน
ยามอรุณขึ้นเหนือผืนเมฆา แสงอาทิตย์ที่สะท้อนบนเกล็ดมังกรแดงสาดประกายราวอัญมณีจากแดนสวรรค์
ยอดเขาเซียนในเช้านี้อบอวลด้วยพลังอำนาจของจ้าวมังกรแดงเฮ่อเหลียนเยี่ยนผู้กลายเป็นหนึ่งในห้าผู้ปกครองแดนเซียนรุ่นใหม่ ทว่าในแววตาสีเพลิงคู่นั้น ไม่มีความภาคภูมิ ไม่มีชัยชนะ
มีเพียงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ที่จะ ได้รัก
เขาก้าวผ่านทะเลหมอกไปยังศาลากลางสระบัว ซึ่งจื่ออายเหอกำลังรินน้ำชาอยู่เงียบ ๆ
เส้นผมยาวของอาจารย์ปลิวแผ่วกับลมเช้า ชุดขาวสะอาดดุจหิมะไม่มีมลทิน ใบหน้างดงามเกินกว่าคำเรียบใดจะบรรยาย
เมื่อเสียงก้าวเท้าดังขึ้นเบื้องหลัง จื่ออายเหอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย
“เจ้ามาช้า” น้ำเสียงเรียบ แต่ไม่เย็นชา
เฮ่อเหลียนเยี่ยนยิ้ม
“แต่ข้าไม่ได้มาในฐานะศิษย์อีกต่อไปแล้ว”
เขายื่นมือออกไป และในวินาทีนั้นดอกบัวทั่วสระเบ่งบานพร้อมกันราวต้องมนตร์
สายลมหยุดพัด เมฆเหนือศีรษะเรียงตัวกลายเป็นมังกรแดงยิ่งใหญ่โอบล้อมศาลาไว้ ดวงตาทุกคู่ทั่วเขาเซียนเงยขึ้นอย่างตะลึงงัน
“จื่ออายเหอ” เสียงของเขาดังแน่น ชัดเจนกว่าทุกครั้งในชีวิต
“ตลอดหลายร้อยหลายพันปี ข้าเฝ้ามองท่าน เฝ้ารักท่านอย่างเงียบงัน”
“ข้าเคยคิดว่าความเงียบงันนั้นคือความปลอดภัย แต่เปล่าเลย มันคือพันธนาการที่ข้าสร้างขึ้นเพื่อหลอกตัวเอง”
เฮ่อเหลียนเยี่ยนคุกเข่าลงเบื้องหน้าอาจารย์ ไม่ใช่ในฐานะศิษย์แต่ในฐานะ ชายผู้หนึ่ง
“หากท่านไม่รับข้าเป็นคนรัก ข้าจะไม่ขอเป็นศิษย์อีกต่อไป”
“หากท่านยังคงยืนอยู่ในที่สูงเกินเอื้อม ข้าจะถอยไปใช้ชีวิตอมตะอย่างไร้หัวใจ”
“แต่หากท่าน แม้เพียงครึ่งใจเคยคิดจะหันมามองข้าในฐานะ ‘หนึ่งเดียว’ ขอเพียงบอกออกมา ข้าจะกลายเป็นเกราะให้ท่านเป็นปีกให้ท่านบิน และเป็นทุกอย่างให้ท่านได้พิง”
จื่ออายเหอวางถ้วยชาลงช้า ๆ
เขาไม่ได้ตอบทันทีแต่มองเฮ่อเหลียนเยี่ยนในแววตาลึกซึ้งกว่าครั้งใด แล้วจู่ ๆ เขาก็ก้าวออกจากศาลา เดินลงมายืนต่อหน้าอีกฝ่าย
เฮ่อเหลียนเยี่ยนกำลังจะลุกขึ้น ทว่าอาจารย์กลับยื่นมือขาวเรียวมาแตะแก้มเขาเบา ๆ
“ข้ามองเจ้ามาตลอดเหมือนกัน”
“แม้จะไม่เคยยอมรับความรู้สึกนั้นในใจ แต่ข้าก็รู้ว่าเจ้าสำคัญ”
เฮ่อเหลียนเยี่ยนเงยหน้าขึ้น ดวงตาแดงฉานสะท้อนภาพของชายตรงหน้า
“ท่าน…หมายความว่า—”
“เงียบ”
จื่ออายเหอยิ้มบาง ๆ แล้วก้มลงแนบริมฝีปากลงบนหน้าผากเขาอย่างแผ่วเบา
“ตั้งแต่นี้ไปเราไม่มีสถานะใดอีกต่อไป ไม่มีศิษย์ ไม่มีอาจารย์ มีแค่เรา”
จ้าวมังกรแดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุคหลับตาลง แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาครั้งแรกในรอบพันปี
แน่นอนครับ ต่อไปนี้คือตอนพิเศษที่เขียนขึ้นอย่าง โรแมนติก ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยอารมณ์ ความรัก และความผูกพัน ระหว่าง เฮ่อเหลียนเยี่ยน และ จื่ออายเหอ หลังจากรับรักกันอย่างเป็นทางการ — โดยเน้นการสื่อสารทางใจ การแตะต้องที่เปี่ยมด้วยความหมาย และความใกล้ชิดที่ไม่จำเป็นต้องเปลือยเปล่าแต่ยังคงตรึงใจอย่างยิ่ง:
ตอนพิเศษ: ใต้ผืนฟ้าที่มีเพียงเรา
คืนวันนั้น เมฆหมอกแห่งความลังเลพลันจางหาย แทนที่ด้วยฟ้าสดใสยามค่ำคืน ดาวนับพันส่องแสงพร่างพราวราวร่วมเป็นพยาน เมื่อจื่ออายเหอเอ่ยคำเพียงเบา ๆ ว่า “อืม” ดวงใจของจ้าวมังกรแดงก็พลันโบยบินสู่สรวงฟ้า
เฮ่อเหลียนเยี่ยนอุ้มคนรักของเขาขึ้นอย่างแผ่วเบา ฝ่ามือใหญ่ประคองแผ่นหลังบางนั้นด้วยความอ่อนโยนราวกับกลัวว่าจะแตะต้องความฝันจนมันแตกสลาย เขาบินขึ้นเหนือผืนป่า ทะยานผ่านม่านหมอก จนหยุดลงที่เรือนเงียบของเขา — สถานที่ที่ไม่มีใครย่างกราย นอกจากจอมมังกรและผู้ที่เขารัก
ประตูไม้เปิดออกด้วยแรงปราณอันนุ่มนวล พรมผืนหนารองรับเท้าทั้งคู่เมื่อเขาก้าวเข้าสู่ห้องนอนที่เงียบสงบ เต็มไปด้วยกลิ่นไม้หอมจาง ๆ ที่เขาเฝ้าปรุงไว้เพื่อวันพิเศษเช่นนี้โดยไม่รู้ตัว
เขาวางจื่ออายเหอลงบนเตียงช้า ๆ ไม่เร่งรีบ ไม่หยาบคาย ราวกับวางหยกชั้นเลิศลงบนพานทอง
จื่ออายเหอยังคงมองเขาด้วยสายตานิ่งสงบ แต่น้ำเสียงที่ดังขึ้นกลับอ่อนโยนเกินกว่าจะทานทน
“เจ้ากำลังสั่น”
“ข้า…ไม่เคยกลัวอะไรเลย ยกเว้นกลัวจะทำร้ายท่าน” เสียงของมังกรแดงขาดห้วง “แม้กระทั่งตอนเข้าสงครามกับมังกรดำ ข้ายังไม่สั่นเท่านี้เลย”
มือเรียวยกขึ้นสัมผัสแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยหยดน้ำตาใสที่ไม่รู้หลุดออกมาตั้งแต่เมื่อไร
“เจ้าจะไม่ทำร้ายข้า…ถ้าเจ้าทำด้วยความรัก”
สิ้นเสียงนั้น เฮ่อเหลียนเยี่ยนก็โน้มตัวลงเบา ๆ กอดคนในอ้อมแขนไว้แน่น ฝ่ามือที่เคยแข็งแรงจากการต่อสู้กลับสั่นระริกเมื่อสัมผัสผิวกายอีกฝ่าย เขาซุกใบหน้าไว้กับซอกคอของจื่ออายเหอ สูดกลิ่นกายคุ้นเคยราวกับจะจารึกมันลงในทุกห้วงลมหายใจ
เสียงลมหายใจสองสายประสานกันอย่างแผ่วเบา ใต้แสงจันทร์ที่ส่องลอดหน้าต่าง พวกเขานั่งเงียบอยู่เช่นนั้น ไม่ต้องเอ่ยถ้อยคำใดอีก เพราะหัวใจของพวกเขาได้พูดทุกอย่างไปหมดแล้ว
จื่ออายเหอเอื้อมมือขึ้น ลูบเส้นผมสีแดงเข้มของเขาเบา ๆ แล้วโน้มหน้าลงกระซิบใกล้ใบหู
“คืนนี้…อยู่ด้วยกันเถอะ”
คำพูดนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ เฮ่อเหลียนเยี่ยนพยักหน้าช้า ๆ แล้วโน้มตัวลงบนเตียง ข้าง ๆ คนรักของเขา ประคองใบหน้าอีกฝ่ายไว้ด้วยมือทั้งสอง
“ต่อให้ข้าต้องรออีกพันปี…ก็จะรอเพื่อให้ได้อยู่ข้างท่านเช่นคืนนี้”
ดวงตาของจื่ออายเหอไหววูบไปชั่วขณะ — แสงสะท้อนจากดวงจันทร์เผยให้เห็นแววตาที่ไม่เย็นชาอีกต่อไป หากเต็มไปด้วยความอบอุ่นลึกล้ำ
เมื่อริมฝีปากของพวกเขาสัมผัสกันในที่สุด มันก็ไม่ใช่เพียงจุมพิตร่างกาย แต่มันคือการสื่อสารของสองวิญญาณ ที่รอคอยคำว่า “เรา” มานานแสนนาน
เขามองคนรักที่อยู่ตรงหน้า ดวงตาของเฮ่อเหลียนเยี่ยนอ่อนลงอย่างที่ไม่เคยเห็นในสนามรบ ความดุดันหายไป เหลือเพียงแค่ความนุ่มนวลอันไม่อาจเอ่ยเป็นคำ
มือใหญ่ยกขึ้นแตะแนวคอเสื้อของจื่ออายเหอด้วยความระมัดระวัง ราวกับขออนุญาตจากดวงจิตแทนคำพูด เมื่ออีกฝ่ายไม่ถอยหนี เขาจึงเริ่มปลดกระดุมทีละเม็ด…ช้า ๆ …เสมือนกำลังแกะพันธนาการจากภาพฝันที่เขาเฝ้ารอมาเนิ่นนาน
เสียงผ้าเนื้อดีไหลลู่ผ่านผิวเนียนสะท้อนแสงจันทร์เบา ๆ ความอบอุ่นของแผ่นอกบางเผยให้เห็นลมหายใจที่สม่ำเสมอ หากแต่หัวใจของทั้งสองกลับเต้นรัวในจังหวะที่คล้ายกัน
เฮ่อเหลียนเยี่ยนเอนตัวเข้าใกล้ ค่อย ๆ ประคองเส้นผมยาวของคนรักขึ้นอย่างทะนุถนอม แล้วปล่อยให้เสื้อชั้นนอกไหลหลุดจากบ่าลงสู่ผ้าปูสีอ่อนเบื้องล่าง
“ข้าไม่ได้แตะต้องเพราะต้องการย่ำยี…แต่เพราะข้ารัก และอยากบูชาทุกส่วนของท่านดุจดังสิ่งศักดิ์สิทธิ์”
จื่ออายเหอไม่ตอบ มีเพียงแววตาอ่อนโยนที่มองกลับมา ก่อนเขาจะเอื้อมมือมาสัมผัสแนวอกของเฮ่อเหลียนเยี่ยนบ้าง เสื้อคลุมสีเข้มของจ้าวมังกรแดงค่อย ๆ ถูกปลดออก ดั่งใบไม้ที่หลุดจากกิ่งไม้โดยไม่ฝืนธรรมชาติ
ไม่มีการเร่งเร้า ไม่มีถ้อยคำเร่าร้อน มีเพียงสัมผัสที่บอกความรู้สึกทุกอย่างได้ชัดเจนยิ่งกว่าพันคำ
ในคืนแสนเงียบงัน ร่างสองร่างแนบชิด—เปลือยเปล่าไม่ใช่เพียงเนื้อหนัง หากแต่เปลือยทั้งหัวใจให้กันโดยไม่มีสิ่งใดหลงเหลือซ่อนเร้น
ริมฝีปากของเขาแตะลงบนหน้าผากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา…ดุจแสงจันทร์ลูบไล้ยอดผาในยามราตรี เป็นจุมพิตแห่งความอาทรที่ไม่ได้เร่งเร้า หากแต่ปลอบประโลม ราวกับต้องการยืนยันว่า—เขายังอยู่ตรงนี้…และจะไม่มีวันหายไปไหน
ปลายนิ้วที่สั่นเล็กน้อยเลื่อนไปประคองข้างแก้ม ดวงตาของทั้งสองสบกันนิ่งงัน ท่ามกลางแสงสลัวที่ทอดผ่านม่านบาง เสียงหัวใจเต้นชัดเจนดังกว่าทุกสรรพเสียงในโลก
แล้ว…เมื่อระยะห่างถูกลบเลือน
เมื่อลมหายใจของทั้งสองหลอมรวมเป็นหนึ่ง
จูบที่เกิดขึ้น…อ่อนหวานจนราวกับเวลาหยุดหมุน
มันไม่รีบร้อน ไม่เร่าร้อน หากแต่แฝงไว้ด้วยคำสัญญาอันไม่อาจเอื้อนเอ่ย เป็นจูบที่เปล่งเสียงในความเงียบ เป็นคำตอบในหัวใจของทั้งสองที่ผูกพันกันมาเนิ่นนาน
แสงจันทร์สาดส่องผ่านม่านบางเบา ทาบเงาอ่อนลงบนพื้นไม้เงียบงัน
จื่ออายเหอยืนอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าขาวสะอาดยังคงสงบนิ่ง แต่แววตาในคืนนั้นกลับไม่เหมือนเดิม—มันอ่อนโยน ละลาน และสั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เฮ่อเหลียนเยี่ยน…” เขาเอ่ยชื่อของอีกฝ่ายเบา ๆ ราวกระซิบกับสายลม
เจ้ามังกรแดงผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เอ่ยคำใดกลับมา เพียงแค่โน้มใบหน้าลงช้า ๆ ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยคำถาม คำขอโทษ และความรักที่ไม่เคยลดน้อยลงเลยตลอดหลายร้อยปี
ริมฝีปากของเขาแตะลงบนริมฝีปากของจื่ออายเหอแผ่วเบา…แผ่วเบาราวกลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไป
จุมพิตแรกของเขาไม่ร้อนแรง ไม่เร่งเร้า มีเพียงความรู้สึกที่อัดแน่นอย่างไม่อาจเก็บกักไว้อีกต่อไป
ราวกับเวลาทั้งหมดของชีวิตได้หลอมรวมอยู่ในห้วงหนึ่งเดียวนี้—ความเงียบที่อบอุ่นกว่ากองไฟใด ๆ และลึกซึ้งกว่าคำพูดใดจะอธิบายได้
จื่ออายเหอไม่ขยับหนี ไม่ต่อต้าน เขาหลับตาลงช้า ๆ และยื่นมือขึ้นวางบนอกของอีกฝ่าย
หัวใจของเฮ่อเหลียนเยี่ยนเต้นแรงจนน่าตกใจ…ราวกับจะหลุดออกจากอกเมื่อสัมผัสนั้นประทับลง
และเมื่อจูบแรกผละห่าง จื่ออายเหอก็เอ่ยเสียงเบา ราวยอมรับสิ่งที่ตนเคยปฏิเสธมาตลอดหลายพันปี
“หากเจ้ายังกล้ารักข้าอยู่…แม้จะรู้ว่าข้าเย็นชา ปากร้าย และไม่อ่อนโยนเลยสักนิด…จูบข้าอีกครั้งสิ เฮ่อเหลียนเยี่ยน”
มือของเฮ่อเหลียนเยี่ยนสั่นเล็กน้อย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง มองใบหน้าของอาจารย์ผู้ที่เขารักสุดหัวใจอย่างไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง
จื่ออายเหอที่เคยยืนอยู่ในฐานะผู้สูงส่ง เยือกเย็น และเอื้อมไม่ถึง…ในเวลานี้ กลับเปิดเผยแววตาที่ซื่อตรงและเจือความหวั่นไหวออกมาอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
ริมฝีปากบางของอาจารย์ที่เคยพูดแต่ถ้อยคำเรียบเฉียบ…กลับเป็นฝ่ายเอ่ยวาจานั้น
คำเชื้อเชิญที่อ่อนโยน…เจือความกล้าเงียบ ๆ เหมือนกลีบบุปผาแรกแย้ม
“หากเจ้ายังกล้ารักข้าอยู่…แม้จะรู้ว่าข้าเย็นชา ปากร้าย และไม่อ่อนโยนเลยสักนิด…จูบข้าอีกครั้งสิ เฮ่อเหลียนเยี่ยน”
เด็กหนุ่มมังกรเงยหน้าช้า ๆ ดวงตาแดงรื้นสะท้อนความรู้สึกท่วมท้น เขาไม่พูดอะไรสักคำ เพียงโน้มกายเข้าไปหา…ช้า ๆ …แน่วแน่…ราวกับจะใช้จุมพิตนั้นบอกทุกสิ่งที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ตลอดหลายร้อยปี
ริมฝีปากของเขาแนบลงเบา ๆ อย่างแผ่วที่สุด
…ในตอนแรก
แต่เมื่อจื่ออายเหอไม่ได้เบือนหน้าหนี ไม่ได้ผลักเขาออก ไม่แม้แต่จะหลุบตาหลบ… เฮ่อเหลียนเยี่ยนก็เหมือนเขื่อนที่แตกทะลัก ความรักทั้งหมดที่แบกไว้ในอกพรั่งพรูผ่านสัมผัสเดียว
เขาจูบซ้ำ…อีกครั้ง…และอีกครั้ง…
ไม่ใช่เพราะความหิวกระหายทางร่างกาย แต่เพราะหัวใจที่โหยหา ยืนยันว่าทุกสัมผัส ทุกลมหายใจ เขายินดีมอบให้อาจารย์ผู้เดียว
มือหนึ่งของเขายกขึ้นแตะแก้มของจื่ออายเหออย่างเบามาก…ราวกับกลัวอีกฝ่ายจะหายไปหากแตะต้องแรงเกิน
ริมฝีปากที่แนบกันค่อย ๆ ละออกเล็กน้อย จนสามารถได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาของกันและกัน
“…อาจารย์” เขาเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ไม่สิ…จื่ออายเหอ ข้ารักเจ้า… รักมาก จนแม้แต่ลมหายใจของข้าเอง ยังเป็นของเจ้า”
จื่ออายเหอเงียบไปนาน ราวกับกำลังกลืนอารมณ์ที่ท่วมล้นลงลึกในใจ ก่อนจะยกมือแตะไหล่ของอีกฝ่ายเบา ๆ
“ข้าไม่รู้ว่าความรักควรจะอ่อนโยนอย่างไร…แต่ข้าจะพยายาม…เพื่อเจ้า”
🍵
ข้ามองเขาเติบโตจากดวงตาที่ไร้เดียงสา สู่แววตาที่อัดแน่นด้วยความรู้สึกมากมายเกินกว่าศิษย์พึงมีให้แก่อาจารย์
เฮ่อเหลียนเยี่ยน…
ข้าเฝ้าดูเขาทุกก้าวย่างตั้งแต่พบเจอ ทุกความเปลี่ยนแปลง ทุกครั้งที่เขายื่นมือมาใกล้ แม้หัวใจข้าจะไหววูบ ก็ยังคงปฏิเสธ ๆ อย่างดื้อรั้นเพียงเพราะกลัว
ใช่ ข้ากลัว
กลัวว่าวันหนึ่ง หากยอมรับว่าข้ารู้สึกเหมือนเขาความสงบที่ข้ารักษาไว้มานานพันปีจะพังครืน กลัวว่าหากข้าหลุดมือไป เขาจะเจ็บและข้าเองก็จะเจ็บยิ่งกว่า
แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ เขาร้องไห้เงียบ ๆ หน้าเรือนพักข้าเขาเอาชาขนมสารผัด ดอกไม้นานาพันธุ์ สิงของมากมายเพื่อดึงความสนใจข้า
เขาคุกเข่าท่ามกลางหิมะ บอกข้าเพียงว่า “ข้าไม่อยากเป็นศิษย์ของท่านอีกต่อไป หากมันแปลว่าข้าจะไม่มีวันได้รักท่าน”
ข้าควรโกรธเขา ควรขับไล่ ควรกล่าวเตือนให้สำนึกถึงกฎแห่งสำนัก
…แต่ข้าทำไม่ได้ เพราะข้าก็รักเขาเช่นกัน
ความรักที่ซ่อนเร้นความรักที่พยายามเก็บซ่อนไว้ใต้ผิวเย็นชา มันกัดกินข้าทีละนิดทุกวันจนวันหนึ่งข้าก็รู้ว่าหากปล่อยเขาไป ข้าคงไม่มีวันได้รักใครอีกตลอดชีวิต
ข้าเดินไปหาเขา ท่ามกลางท้องฟ้าที่มีมังกรยักษ์เฝ้ามองด้วยความลังเลปนหวัง ข้าเอื้อมมือออกไป แล้วพูดเพียงแค่คำเดียว
“มาเถิด…”
คำ ๆ นั้น ไม่ใช่คำสั่ง
แต่คือคำตอบต่อรักที่เขาถือไว้ให้ข้ามาตลอดหลายพันปี
ตอนนั้นเอง…ข้าจึงรู้ว่า
บางครั้ง…การยอมให้หัวใจพ่ายแพ้
อาจเป็นชัยชนะเดียวที่ชีวิตของเซียนผู้เยือกเย็นเช่นข้าโหยหามาตลอด
ขอวิงวอนด้วยหัวใจขอเป็นหนึ่งเดียวกับท่านยามอรุณขึ้นเหนือผืนเมฆา แสงอาทิตย์ที่สะท้อนบนเกล็ดมังกรแดงสาดประกายราวอัญมณีจากแดนสวรรค์ยอดเขาเซียนในเช้านี้อบอวลด้วยพลังอำนาจของจ้าวมังกรแดงเฮ่อเหลียนเยี่ยนผู้กลายเป็นหนึ่งในห้าผู้ปกครองแดนเซียนรุ่นใหม่ ทว่าในแววตาสีเพลิงคู่นั้น ไม่มีความภาคภูมิ ไม่มีชัยชนะมีเพียงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ที่จะ ได้รักเขาก้าวผ่านทะเลหมอกไปยังศาลากลางสระบัว ซึ่งจื่ออายเหอกำลังรินน้ำชาอยู่เงียบ ๆเส้นผมยาวของอาจารย์ปลิวแผ่วกับลมเช้า ชุดขาวสะอาดดุจหิมะไม่มีมลทิน ใบหน้างดงามเกินกว่าคำเรียบใดจะบรรยายเมื่อเสียงก้าวเท้าดังขึ้นเบื้องหลัง จื่ออายเหอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย“เจ้ามาช้า” น้ำเสียงเรียบ แต่ไม่เย็นชาเฮ่อเหลียนเยี่ยนยิ้ม“แต่ข้าไม่ได้มาในฐานะศิษย์อีกต่อไปแล้ว”เขายื่นมือออกไป และในวินาทีนั้นดอกบัวทั่วสระเบ่งบานพร้อมกันราวต้องมนตร์สายลมหยุดพัด เมฆเหนือศีรษะเรียงตัวกลายเป็นมังกรแดงยิ่งใหญ่โอบล้อมศาลาไว้ ดวงตาทุกคู่ทั่วเขาเซียนเงยขึ้นอย่างตะลึงงัน“จื่ออายเหอ” เสียงของเขาดังแน่น ชัดเจนกว่าทุกครั้งในชีวิต“ตลอดหลายร้อยหลายพันปี ข้าเฝ้ามองท่าน เฝ้ารักท่านอย่างเงียบงัน
จ้าวมังกรแดงเดินมาหยุดอยู่หน้าเตาหอม เอียงคอเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเขี่ยขี้เถ้าเบา ๆ กลิ่นหอมบางเบายังลอยวนในอากาศจนปลายจมูกกระตุกเล็กน้อย“ฝันจะเหมือนจริงขนาดนี้ มันต้องมีอะไรแปลก ๆ แน่” เขาพึมพำกับตัวเอง สีหน้าไม่ไว้วางใจนักเมื่อคิดย้อนถึงตอนที่ จ้าวมังกรเหลือง เคยเอายาแปลก ๆ มาให้ทดลอง แล้วทั้งเกาะห้าจักรก็กลายเป็นโรงละครกลิ่นหอมเคลิ้มฝัน ขนาดเขาเองยังเผลอเข้าใจผิดว่า เสี่ยวเจ๋อ คือ จ้าวมังกรโลหิต แถมเกือบจะทำเรื่องหน้าแตกในที่ประชุมใหญ่ ดีไม่ดีศักดิ์ศรี "จอมมังกรแดงผู้เย่อหยิ่ง" อาจพังพินาศไปทั้งเผ่าเขาถลึงตา กัดฟันกรอด“ต้องเป็นฝีมือเจ้ามังกรเหลืองแน่! พรุ่งนี้ข้าไปเขย่าให้หัวหลุดเลยคอยดู!”แต่พอหันหลังกลับมาก็เห็น จื่ออายเหอ นั่งจิบชาอยู่ตรงขอบเตียง แสงแดดอ่อนยามเช้าตกกระทบเส้นผมสีเงินยาวจนเปล่งประกาย รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของอีกฝ่ายเย็นตาแต่กลับอุ่นใจอย่างประหลาดหัวใจของมังกรแดงสะดุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ความคิดจะทันตั้งตัว ร่างก็พุ่งเข้าไปอย่างไวกว่าใจ“อายเอ๋อร์~” เขาเรียกเสียงยานคางอย่างเอาใจ พร้อมกระโดดเข้ากอดอีกฝ่ายเต็มรัก“อ๊ะ ระวัง—”เสียงของจื่ออายเหอขา
ศิษย์ทั้งสี่ของจื่ออายเหอล้วนมีถ้ำพำนักของตัวเองหากไม่มีปัญหาในการฝึกฝน ก็แทบไม่กลับขึ้นเขามามีเพียงเมื่อประสบอุปสรรคในวิถีบำเพ็ญเท่านั้นจึงจะมาขอคำชี้แนะจากอาจารย์วันที่จื่ออายเหอยอมรับเฮ่อเหลียนเยี่ยนเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ เขาก็เตรียมถ้ำพำนักให้เจ้ามังกรแดงตัวน้อยทันที ให้แยกไปใช้ชีวิตอยู่ด้านนอก เช่นเดียวกับศิษย์พี่คนอื่น ๆแต่เฮ่อเหลียนเยี่ยนกลับส่ายหัวรัว ๆ ไม่ว่าจะพูดหว่านล้อมอย่างไร ก็ไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น เขาดื้อดึงจะอยู่กับอาจารย์ให้ได้แม้แต่เมื่อศิษย์พี่แซวเขาว่า “ยังไม่รู้จักโต” เขาก็ทำแค่หน้าแดง แล้วไม่ตอบโต้สักคำ จื่ออายเหอเห็นว่าจิตใจของเขายังเยาว์นัก สุดท้ายก็ยอมให้เขาพักอยู่ห้องถัดไปตามใจภายนอกเฮ่อเหลียนเยี่ยนยังดูไร้เดียงสาเหมือนเดิม แต่ภายในกลับรู้ตัวดีว่าหลังจากกอดครั้งนั้น หัวใจของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...เมื่อก่อนแม้จะรู้ดีว่าอาจารย์ของตนงดงามเพียงใดเส้นผมสีเงินยาวสลวยประหนึ่งสายธารเยือกเย็น ดวงตาสีน้ำเงินอ่อนราวแสงจันทร์ที่สะท้อนจากหิมะ ปลายนิ้วเรียวยาว ผิวขาวดุจหยกเนื้อดี แถมยังมีท่วงท่าที่สงบนิ่งจนเหมือนหลุดมาจากภาพวาดโบราณแต่ความรู้สึกในตอนนั้น ก็เป็นเ
จื่ออายเหอกดเมฆที่เขาขี่อยู่ให้ต่ำลง ก่อนจะร่อนลงจากกลางอากาศอย่างสง่างาม เสื้อคลุมปลิวไสวขณะก้าวช้า ๆ เข้าสู่ประตูภูเขาเหล่าเซียนน้อยผู้เฝ้าประตูเห็นว่าเป็นเขา จึงโค้งคำนับอย่างเคารพพร้อมกล่าวเสียงพร้อมกันว่า“คารวะท่านเซียนจื่อ!”จื่ออายเหอชะงักเล็กน้อย คล้ายรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ทว่าเพียงขยับจิตเล็กน้อยก็จำได้ว่าตนเองคือศิษย์แห่งสำนักจื่ออวิ๋นสำนักจื่ออวิ๋นเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่แห่งวงการเซียน แม้เขาจะเพิ่งเข้าสู่หนทางเซียนได้ไม่นาน แต่ด้วยพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมทำให้เขาทะลวงถึงขั้นหยวนเสินในเวลาอันสั้น ไม่เพียงมีบทบาทสำคัญในสำนักเท่านั้น แต่ยังเป็นบุคคลระดับแนวหน้าของโลกเซียนอีกด้วยเมื่อเผชิญกับสายตาเคารพศรัทธาของเหล่าศิษย์ จื่ออายเหอก็ยิ้มบาง ๆ พร้อมพยักหน้ารับครั้งนี้เขาเพิ่งกลับจากการฝึกฝนภายนอก กำลังจะขึ้นยอดเขาหลักเพื่อส่งภารกิจแต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากในป่า เขาเหลือบมองไปอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่ากลับรู้สึกถึงกลิ่นอายอสูรจาง ๆ ลอยออกมาจึงรู้ทันทีว่าคงเป็นพวกผู้ฝึกฝนอสูรในสำนัก ต่างจากสำนักอื่น สำนักจื่ออวิ๋นไม่เข้มงวดในการคัดศิษย์ ขอเพียงจิตใจไม่ชั่วร้ายไม่ว่