จ้าวมังกรแดงเดินมาหยุดอยู่หน้าเตาหอม เอียงคอเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเขี่ยขี้เถ้าเบา ๆ กลิ่นหอมบางเบายังลอยวนในอากาศจนปลายจมูกกระตุกเล็กน้อย
“ฝันจะเหมือนจริงขนาดนี้ มันต้องมีอะไรแปลก ๆ แน่” เขาพึมพำกับตัวเอง สีหน้าไม่ไว้วางใจนัก
เมื่อคิดย้อนถึงตอนที่ จ้าวมังกรเหลือง เคยเอายาแปลก ๆ มาให้ทดลอง แล้วทั้งเกาะห้าจักรก็กลายเป็นโรงละครกลิ่นหอมเคลิ้มฝัน ขนาดเขาเองยังเผลอเข้าใจผิดว่า เสี่ยวเจ๋อ คือ จ้าวมังกรโลหิต แถมเกือบจะทำเรื่องหน้าแตกในที่ประชุมใหญ่ ดีไม่ดีศักดิ์ศรี "จอมมังกรแดงผู้เย่อหยิ่ง" อาจพังพินาศไปทั้งเผ่า
เขาถลึงตา กัดฟันกรอด
“ต้องเป็นฝีมือเจ้ามังกรเหลืองแน่! พรุ่งนี้ข้าไปเขย่าให้หัวหลุดเลยคอยดู!”
แต่พอหันหลังกลับมาก็เห็น จื่ออายเหอ นั่งจิบชาอยู่ตรงขอบเตียง แสงแดดอ่อนยามเช้าตกกระทบเส้นผมสีเงินยาวจนเปล่งประกาย รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของอีกฝ่ายเย็นตาแต่กลับอุ่นใจอย่างประหลาด
หัวใจของมังกรแดงสะดุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ความคิดจะทันตั้งตัว ร่างก็พุ่งเข้าไปอย่างไวกว่าใจ
“อายเอ๋อร์~” เขาเรียกเสียงยานคางอย่างเอาใจ พร้อมกระโดดเข้ากอดอีกฝ่ายเต็มรัก
“อ๊ะ ระวัง—”
เสียงของจื่ออายเหอขาดห้วงเล็กน้อย ก่อนจะกลายเป็นเพียงลมหายใจเบา ๆ เมื่อจ้าวมังกรขี้อ้อนพุ่งเข้ามาม้วนตัวอยู่บนตัก เอาหน้าแนบอกแน่น แล้วส่งเสียงอู้อี้ออดอ้อน เหมือนลูกหมาง่วงนอนที่ได้เจ้าของคืน
ช้าวันนั้น แสงแดดอ่อนจางลอดผ่านผ้าม่านโปร่งที่ปลิวไหวตามลมเบา ๆ กลิ่นชาอุ่นจางลอยไปทั่วห้อง ริมหน้าต่างมีไม้ประดับวางอยู่สองสามกระถาง สีเขียวสดของใบไผ่พลิ้วไหวเคล้ากับไอน้ำจากถ้วยชาทุกอย่างในห้องนี้ดูสงบเสียจนเกือบจะไม่กล้าหายใจแรง
แต่ในบรรยากาศเงียบงันนุ่มนวลนั้นมีร่างของใครบางคนที่ไม่อาจสงบนิ่งได้เลย
จ้าวมังกรแดงนอนพาดตัวอยู่ข้าง ๆ อาจารย์ ราวกับจะละลายกลายเป็นก้อนอบอุ่นเล็ก ๆ บนเสื่อ แขนขาก่ายกอดอย่างเปิดเผย ใบหน้าแนบอยู่บนตักอีกฝ่ายไม่ยอมขยับ ขนตายาวกระพือเล็กน้อยด้วยลมหายใจที่สม่ำเสมอ แต่ดวงตากลับยังแง้มมองขึ้นมาอย่างมีเลศนัย
“วันนี้ข้าจะไม่ไปไหนทั้งวัน ขอนั่งอยู่แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ล่ะ~” เขาพูดเสียงออดอ้อน ยานคางนิด ๆ อย่างเจตนาให้คนฟังใจอ่อน
“วันไหนเจ้าก็พูดแบบนี้” จื่ออายเหอเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าปลายนิ้วยังคงลูบผมอีกฝ่ายอย่างเคยชิน
สัมผัสนั้นเบาราวกับขนนก แต่สำหรับมังกรแดง มันหนักแน่นยิ่งกว่าคำมั่นสัญญา
“งั้นก็แปลว่า ข้าจริงใจทุกวันไงล่ะ~” เจ้ามังกรหรี่ตายิ้ม พลางยืดตัวเล็กน้อยให้ใบหน้าแนบชิดขึ้นอีก
“แล้วเจ้าคิดหรือว่าคำพูดแบบนั้น จะทำให้ข้าใจอ่อน?”
“ไม่หรอก” เขาเงยหน้าขึ้น ยิ้มจนตาหยี
“แต่ข้าหวังว่าท่านจะใจอ่อน เพราะหน้าข้ายามอ้อนน่ารักเกินต้านต่างหาก!”
จื่ออายเหอหันมามองเขาเล็กน้อย สายตานิ่งเหมือนเดิม แต่ขอบริมฝีปากกลับกระตุกขึ้นนิดหนึ่ง ราวกับจะกลั้นหัวเราะไว้
“เด็กบื้อเอ๊ย” เขาว่าเสียงแผ่ว ก่อนจะก้มหน้าลง ลูบศีรษะอีกฝ่ายเบา ๆ ด้วยฝ่ามือที่ไม่เคยปฏิเสธการอ้อนของเจ้ามังกรแดงเลยสักครั้ง
ในห้องนิ่งสนิทอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงลมหายใจ และเสียงชาอุ่นที่กำลังค่อย ๆ เย็นลงทีละนิด กลิ่นหอมของใบชาผสานกับกลิ่นเตาหอม และกลิ่นประจำกายของคนตรงหน้าที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำให้หัวใจของมังกรแดงสั่นไหวได้เสมอ
เขาซุกหน้าลงอีกนิด หลับตาพริ้ม ปล่อยให้โลกภายนอกหล่นหาย เหลือเพียงเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นในจังหวะของคนคลั่งรัก
เขาไม่รู้ว่าในวันข้างหน้าจะยังได้นอนตรงนี้ไหมไม่รู้ว่าในทุกเช้า จะยังได้กลิ่นแบบนี้ ได้ยินเสียงแบบนี้ ได้โดนลูบหัวแบบนี้หรือเปล่า
แต่เช้านี้ที่แสงแดดลอดผ่านม่านที่ชาอุ่นยังหอม และที่จื่ออายเหอยังคงอยู่ตรงนี้... มันคือตอนนี้ที่เขาจะกอดไว้ให้แน่นที่สุด
และเมื่อเขาแง้มตาขึ้นอีกครั้งจื่ออายเหอก็ยังอยู่ตรงนั้นงดงามอย่างที่เคย งามเสียยิ่งกว่าภาพในฝันเสียอีก
หัวใจของจ้าวมังกรแดงสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่ว่าจะฝันไปอีกกี่ครั้ง เขาก็ยังตกหลุมรักอาจารย์ของเขาอีกครั้งอยู่ดี
เขารักคนผู้นี้... รักจนหมดหัวใจ
ในอดีต เขาอาจเข้าใกล้อาจารย์ด้วยหัวใจที่ทะนงตน คิดแค่เพียงอยากเอาชนะ อยากเห็นสีหน้าหวั่นไหวของผู้สูงส่งที่สงบนิ่งราวกับหยาดหิมะบนยอดเขา
ยิ่งเมื่อได้มองนานเข้า เมื่อเผลอหลงใหลในรูปโฉมอันงดงามและสายตาเยือกเย็นที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง จิตใจก็ยิ่งสั่นไหว
ตอนนั้น เขาไม่กล้าเรียกมันว่าความรักเพราะกลัวจะต้องยอมแพ้
แต่ในวันนี้ ณ เวลาที่ได้ซุกตัวแนบอ้อมกอดอันอุ่นสงบของอาจารย์ รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่สม่ำเสมอ และแรงเต้นของหัวใจที่อยู่ใต้ฝ่ามือ
เขารู้แล้วว่าไม่ใช่เพียงความหลงใหล ไม่ใช่แค่ความปรารถนาแต่เป็นความรัก รักอย่างหมดหัวใจ
หัวใจของอาจารย์เย็นสงบ ราวกับหิมะขาวสะอาด ไม่มีสิ่งใดแตะต้องได้ง่าย เป็นความเงียบงันที่สง่างามจนไม่อาจละสายตา และแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายสูงเกินเอื้อมเพียงใด เขาก็ยังอยากยื่นมือไปคว้า
นึกย้อนกลับไปในวันวาน เขาไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมตัวเองถึงยังดื้อดึงไม่ยอมไปไหน แม้ตอนนั้นอาจารย์จะปลอมตัวเป็นชายชราไร้เสน่ห์ แม้จะถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ยังไม่ยอมถอย
เพราะสิ่งที่เขารัก ไม่ใช่เพียงใบหน้า แต่เป็นทุกอย่างของคนผู้นี้ทั้งความเงียบ ความอดทน ความเมตตาที่แฝงในสายตานิ่งสงบ และความสง่างามที่ไม่อาจพบเจอจากผู้ใดในใต้หล้า
...แต่มิใช่ว่าการได้อยู่ใกล้จะไม่ทิ้งร่องรอย
ในความฝันที่ยังติดค้าง อาจารย์เย็นชาเกินบรรยาย ไม่มองกลับมา ไม่ยื่นมือให้ ไม่แม้แต่จะมีเมตตาตอบ
เขาจำได้ดีว่า ตัวเองในความฝันนั้นต้องดิ้นรนอย่างโดดเดี่ยวรอคอยอย่างไร้ความหวัง แม้จะตื่นขึ้นมาแล้ว หัวใจกลับยังบีบรัดอยู่ไม่ต่างจากยามฝัน
และเมื่ออาจารย์เคลื่อนไหวเบา ๆ ดันร่างของเขาออกเล็กน้อย พร้อมถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า...
“กอดกันทั้งวัน เจ้าก็ไม่ร้อนหรือ?”
เฮ่อเหลียนเยี่ยนยิ้มสายตาคู่นั้นสว่างไสวอย่างคนที่ได้ยินเสียงสวรรค์
“ไม่ร้อนเลย…” เขาตอบแผ่วเบา เสียงทุ้มอ่อนโยนที่เจือด้วยความจริงใจเกินใดเปรียบ
“ถ้าเป็นอาจารย์ ข้าจะกอดไปจนชั่วชีวิตก็ยังได้”
คำตอบนั้นไม่ได้หวือหวาแต่กลับทำให้อากาศรอบห้องเหมือนจะนิ่งงัน
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ผลักไส ไม่เอ่ยอะไรต่อมังกรแดงตัวโตจึงแนบตัวเข้าไปใกล้อีกนิด ซุกใบหน้ากับอกของอาจารย์ อ้อนอย่างกับเด็กน้อย ราวกับจะพูดว่า
อย่าไปไหนเลย... อยู่ตรงนี้ ให้ข้ารัก ให้ข้าได้เฝ้ามองท่านเช่นนี้ตลอดไป
กลิ่นกายของอาจารย์อ่อนจาง ละมุนเหมือนกลิ่นหมอกบนยอดเขายามเช้า
แสงแดดสาดผ่านบานหน้าต่าง ทาบลงบนเรือนผมของคนทั้งสองที่นั่งชิดกันบนเสื่อ กลิ่นชาในอากาศอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนใจที่กำลังพองฟูด้วยความรักที่ไม่อาจหักห้าม
และในห้วงเวลาที่สงบเหลือเกินนี้ เฮ่อเหลียนเยี่ยนก็รู้ว่าเขาไม่ต้องการคำพูด ไม่ต้องการคำสัญญาใด ๆ ทั้งสิ้น
ขอแค่อีกฝ่ายยอมอยู่ตรงนี้ ให้เขาได้กอด ได้หลงรัก ได้เงยหน้ามองด้วยหัวใจที่เอ่อล้น
...เพียงเท่านั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับคนคลั่งรักเช่นเขา
ในขณะที่อีกฝ่ายยังคงวางท่าสงบนิ่ง ราวกับไม่คิดใส่ใจสายตาใคร เจ้ามังกรแดงกลับเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่ทั้งเว้าวอน ทั้งซุกซน
แววตานั้นเปล่งประกายราวกับเด็กน้อยที่รู้ว่าตัวเองทำผิด แต่ยังอยากอ้อนให้คนที่รักให้อภัยขณะเดียวกันก็อ่อนโยนเสียจนไม่อาจหันหน้าหนีได้
อาจารย์ของเขาในตอนนี้ไม่ได้สวมผ้าโพกศีรษะเหมือนทุกวัน
ผมยาวสีหม่นเงินสยายอยู่รอบไหล่อย่างยุ่งเหยิงเล็กน้อยจากลมยามเช้าเส้นผมนุ่มสลวยรับกับผิวขาวใสราวหยกบนใบหน้า ความเรียบสงบของเขายิ่งขับให้รูปลักษณ์งดงามราวภาพวาดในตำราตำนานเป็นความงามที่เยือกเย็น แต่กลับเร้าหัวใจยิ่งกว่าเพลิงร้อน
เฮ่อเหลียนเยี่ยนมองอย่างลุ่มหลง ก่อนเผลอเอื้อมมือขึ้น
ปลายนิ้วแตะลงบนเส้นผมที่เขารักนักหนา ลูบเบา ๆ อย่างระวัง ไม่ต่างจากกำลังสัมผัสสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่หวงแหนเสียงที่เปล่งออกมาแผ่วเบา ไม่ใช่คำถามที่ซับซ้อน แต่กลับแฝงความคะนึงหาไม่รู้จบ
“พวกเจ้าที่บอกว่าตัวเองเป็นจ้าวมังกร แปลงร่างเป็นมังกรได้จริง ๆ หรือเปล่า?”
จื่ออายเหอไม่ได้ตอบทันที
แต่เฮ่อเหลียนเยี่ยนเองกลับหัวเราะน้อย ๆ ก่อนเฉลยเสียเอง ราวกับไม่ได้หวังคำตอบจริงจัง
“ไม่รู้สิ ข้าเคยได้ยินพ่อพูดว่า ตอนใกล้ตายน่ะ ถ้าสายเลือดในตัวเข้มข้นพอ เราอาจจะกลายร่างได้จริง ๆ”
เขาว่าไปอย่างคนเล่าเรื่องในตำนาน น้ำเสียงคล้ายล้อเล่นปนขบขัน แต่แววตากลับเปล่งประกายประหลาด
“ได้ยินว่าหลายร้อยปีก่อน มีจ้าวมังกรคนหนึ่งแปลงร่างกลางฝูงชน พายุพัดจนคนเป็นลมกันไปทั้งเกาะตั้งแต่นั้นมา ใครที่รู้ว่าตัวเองใกล้ตายก็มักจะออกจากเกาะก่อน เพราะไม่อยากทำให้ใครตกใจ”
ประโยคนั้นถูกเล่าด้วยท่าทีขำขัน แต่ตอนจบกลับเบาลงเรื่อย ๆ จนเหลือเพียงเสียงของหัวใจ
เจ้ามังกรแดงหันมามองจื่ออายเหออีกครั้งแววตาขี้เล่นเลือนหาย เหลือเพียงความแน่วแน่ที่ไม่อาจปกปิดได้
“ถ้าในอนาคต ข้าต้องตายจริง ๆ”
เขาหยุดนิดหนึ่งราวกับคำพูดต่อไปนั้นต้องใช้พลังมากกว่าการเผชิญศึกกับมังกรเลือดเสียอีก
“ข้าก็จะออกไปเงียบ ๆ เหมือนกัน” เขายิ้มบาง ๆ แม้แววตาจะสั่นไหว
“เพราะข้าไม่อยากทำให้ท่าน…ตกใจ”
จื่ออายเหอไม่ได้คาดคิดเลยว่าเจ้ามังกรแดงยังคงไม่เปลี่ยนใจ ยังอยากอยู่กับเขาไปจนแก่เฒ่าไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น น้ำในใจพลันกระเพื่อมอย่างเงียบงัน
แม้ในปากจะพูดออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เพ้อเจ้อ เจ้าจะทำให้ข้าตกใจได้ยังไงกัน?”
จ้าวมังกรแดงหัวเราะ “เฮะ ๆ ๆ” อยู่สองสามเสียง ก่อนโน้มตัวลงมาจุ๊บแก้มเขาเบา ๆ อย่างยั่วเย้า
“เจ้าอาจไม่เชื่อหรอกนะ แต่ได้ยินว่าร่างมังกรเนี่ย ตอนแปลงร่างแล้วน่ะ ตัวใหญ่มากเลยนะ อย่างน้อยก็เท่ากับถังอาบน้ำใบเบ้อเริ่มเลย!”
จื่ออายเหอชะงักนิดหนึ่ง ม่านตาไหวเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังคงสงบนิ่ง
“ถ้าใหญ่ขนาดนั้น ข้าเดาว่าเจ้าเตะทีเดียว เกาะทั้งห้าคงพังยับหมดแล้วสิ? แล้วไง? ตอนนี้ถึงยังอยู่ดีล่ะ?”
จ้าวมังกรแดงหัวเราะเสียงใส
“เกาะมังกรมีค่ายเวทคุ้มครองอยู่ทั้งเกาะ ต่อให้ข้าแปลงเป็นมังกรกระโดดโลดเต้นก็ไม่มีทางพังง่าย ๆ หรอกน่า”
เขายังคงพูดคุยกับจื่ออายเหออย่างสบายใจ แอบลอบสังเกตอารมณ์ของอีกฝ่ายไปพลาง
ไม่กล้าถามว่าเหตุใดในความฝัน อาจารย์ของเขาถึงได้เย็นชานัก ราวกับไม่เคยมีความเมตตาให้เขาเลยแม้แต่น้อย
แต่เขาก็เลือกที่จะโยนความผิดให้กลิ่นหอมมึนเมานั่นแทนอยู่ดี
ถ้ากลิ่นนั้นทำให้คนฝันไปได้ ก็อาจเปลี่ยนนิสัยคนได้เหมือนกันใช่ไหม?
เพราะในฝันนั้น เขาได้เห็นว่าอาจารย์ของเขา แม้จะใจแข็ง แต่ก็ยังอยู่ข้างเขาเสมอไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี
และถึงตอนนี้ความฝันนั้นอาจไม่มีวันกลายเป็นความจริงทั้งหมด
แต่แค่ได้อยู่ข้าง ๆ คนผู้นี้ ได้กอด ได้รัก ได้หัวเราะด้วยกัน แม้จะถูกผลักไสบ้างก็ไม่เป็นไร
เขารักจื่ออายเหอ
รักหมดใจ
และจะรักอย่างนี้
ต่อไปตลอดกาล
จบบริบูรณ์
ขอวิงวอนด้วยหัวใจขอเป็นหนึ่งเดียวกับท่านยามอรุณขึ้นเหนือผืนเมฆา แสงอาทิตย์ที่สะท้อนบนเกล็ดมังกรแดงสาดประกายราวอัญมณีจากแดนสวรรค์ยอดเขาเซียนในเช้านี้อบอวลด้วยพลังอำนาจของจ้าวมังกรแดงเฮ่อเหลียนเยี่ยนผู้กลายเป็นหนึ่งในห้าผู้ปกครองแดนเซียนรุ่นใหม่ ทว่าในแววตาสีเพลิงคู่นั้น ไม่มีความภาคภูมิ ไม่มีชัยชนะมีเพียงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ที่จะ ได้รักเขาก้าวผ่านทะเลหมอกไปยังศาลากลางสระบัว ซึ่งจื่ออายเหอกำลังรินน้ำชาอยู่เงียบ ๆเส้นผมยาวของอาจารย์ปลิวแผ่วกับลมเช้า ชุดขาวสะอาดดุจหิมะไม่มีมลทิน ใบหน้างดงามเกินกว่าคำเรียบใดจะบรรยายเมื่อเสียงก้าวเท้าดังขึ้นเบื้องหลัง จื่ออายเหอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย“เจ้ามาช้า” น้ำเสียงเรียบ แต่ไม่เย็นชาเฮ่อเหลียนเยี่ยนยิ้ม“แต่ข้าไม่ได้มาในฐานะศิษย์อีกต่อไปแล้ว”เขายื่นมือออกไป และในวินาทีนั้นดอกบัวทั่วสระเบ่งบานพร้อมกันราวต้องมนตร์สายลมหยุดพัด เมฆเหนือศีรษะเรียงตัวกลายเป็นมังกรแดงยิ่งใหญ่โอบล้อมศาลาไว้ ดวงตาทุกคู่ทั่วเขาเซียนเงยขึ้นอย่างตะลึงงัน“จื่ออายเหอ” เสียงของเขาดังแน่น ชัดเจนกว่าทุกครั้งในชีวิต“ตลอดหลายร้อยหลายพันปี ข้าเฝ้ามองท่าน เฝ้ารักท่านอย่างเงียบงัน
จ้าวมังกรแดงเดินมาหยุดอยู่หน้าเตาหอม เอียงคอเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเขี่ยขี้เถ้าเบา ๆ กลิ่นหอมบางเบายังลอยวนในอากาศจนปลายจมูกกระตุกเล็กน้อย“ฝันจะเหมือนจริงขนาดนี้ มันต้องมีอะไรแปลก ๆ แน่” เขาพึมพำกับตัวเอง สีหน้าไม่ไว้วางใจนักเมื่อคิดย้อนถึงตอนที่ จ้าวมังกรเหลือง เคยเอายาแปลก ๆ มาให้ทดลอง แล้วทั้งเกาะห้าจักรก็กลายเป็นโรงละครกลิ่นหอมเคลิ้มฝัน ขนาดเขาเองยังเผลอเข้าใจผิดว่า เสี่ยวเจ๋อ คือ จ้าวมังกรโลหิต แถมเกือบจะทำเรื่องหน้าแตกในที่ประชุมใหญ่ ดีไม่ดีศักดิ์ศรี "จอมมังกรแดงผู้เย่อหยิ่ง" อาจพังพินาศไปทั้งเผ่าเขาถลึงตา กัดฟันกรอด“ต้องเป็นฝีมือเจ้ามังกรเหลืองแน่! พรุ่งนี้ข้าไปเขย่าให้หัวหลุดเลยคอยดู!”แต่พอหันหลังกลับมาก็เห็น จื่ออายเหอ นั่งจิบชาอยู่ตรงขอบเตียง แสงแดดอ่อนยามเช้าตกกระทบเส้นผมสีเงินยาวจนเปล่งประกาย รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของอีกฝ่ายเย็นตาแต่กลับอุ่นใจอย่างประหลาดหัวใจของมังกรแดงสะดุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ความคิดจะทันตั้งตัว ร่างก็พุ่งเข้าไปอย่างไวกว่าใจ“อายเอ๋อร์~” เขาเรียกเสียงยานคางอย่างเอาใจ พร้อมกระโดดเข้ากอดอีกฝ่ายเต็มรัก“อ๊ะ ระวัง—”เสียงของจื่ออายเหอขา
ศิษย์ทั้งสี่ของจื่ออายเหอล้วนมีถ้ำพำนักของตัวเองหากไม่มีปัญหาในการฝึกฝน ก็แทบไม่กลับขึ้นเขามามีเพียงเมื่อประสบอุปสรรคในวิถีบำเพ็ญเท่านั้นจึงจะมาขอคำชี้แนะจากอาจารย์วันที่จื่ออายเหอยอมรับเฮ่อเหลียนเยี่ยนเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ เขาก็เตรียมถ้ำพำนักให้เจ้ามังกรแดงตัวน้อยทันที ให้แยกไปใช้ชีวิตอยู่ด้านนอก เช่นเดียวกับศิษย์พี่คนอื่น ๆแต่เฮ่อเหลียนเยี่ยนกลับส่ายหัวรัว ๆ ไม่ว่าจะพูดหว่านล้อมอย่างไร ก็ไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น เขาดื้อดึงจะอยู่กับอาจารย์ให้ได้แม้แต่เมื่อศิษย์พี่แซวเขาว่า “ยังไม่รู้จักโต” เขาก็ทำแค่หน้าแดง แล้วไม่ตอบโต้สักคำ จื่ออายเหอเห็นว่าจิตใจของเขายังเยาว์นัก สุดท้ายก็ยอมให้เขาพักอยู่ห้องถัดไปตามใจภายนอกเฮ่อเหลียนเยี่ยนยังดูไร้เดียงสาเหมือนเดิม แต่ภายในกลับรู้ตัวดีว่าหลังจากกอดครั้งนั้น หัวใจของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...เมื่อก่อนแม้จะรู้ดีว่าอาจารย์ของตนงดงามเพียงใดเส้นผมสีเงินยาวสลวยประหนึ่งสายธารเยือกเย็น ดวงตาสีน้ำเงินอ่อนราวแสงจันทร์ที่สะท้อนจากหิมะ ปลายนิ้วเรียวยาว ผิวขาวดุจหยกเนื้อดี แถมยังมีท่วงท่าที่สงบนิ่งจนเหมือนหลุดมาจากภาพวาดโบราณแต่ความรู้สึกในตอนนั้น ก็เป็นเ
จื่ออายเหอกดเมฆที่เขาขี่อยู่ให้ต่ำลง ก่อนจะร่อนลงจากกลางอากาศอย่างสง่างาม เสื้อคลุมปลิวไสวขณะก้าวช้า ๆ เข้าสู่ประตูภูเขาเหล่าเซียนน้อยผู้เฝ้าประตูเห็นว่าเป็นเขา จึงโค้งคำนับอย่างเคารพพร้อมกล่าวเสียงพร้อมกันว่า“คารวะท่านเซียนจื่อ!”จื่ออายเหอชะงักเล็กน้อย คล้ายรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ทว่าเพียงขยับจิตเล็กน้อยก็จำได้ว่าตนเองคือศิษย์แห่งสำนักจื่ออวิ๋นสำนักจื่ออวิ๋นเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่แห่งวงการเซียน แม้เขาจะเพิ่งเข้าสู่หนทางเซียนได้ไม่นาน แต่ด้วยพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมทำให้เขาทะลวงถึงขั้นหยวนเสินในเวลาอันสั้น ไม่เพียงมีบทบาทสำคัญในสำนักเท่านั้น แต่ยังเป็นบุคคลระดับแนวหน้าของโลกเซียนอีกด้วยเมื่อเผชิญกับสายตาเคารพศรัทธาของเหล่าศิษย์ จื่ออายเหอก็ยิ้มบาง ๆ พร้อมพยักหน้ารับครั้งนี้เขาเพิ่งกลับจากการฝึกฝนภายนอก กำลังจะขึ้นยอดเขาหลักเพื่อส่งภารกิจแต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากในป่า เขาเหลือบมองไปอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่ากลับรู้สึกถึงกลิ่นอายอสูรจาง ๆ ลอยออกมาจึงรู้ทันทีว่าคงเป็นพวกผู้ฝึกฝนอสูรในสำนัก ต่างจากสำนักอื่น สำนักจื่ออวิ๋นไม่เข้มงวดในการคัดศิษย์ ขอเพียงจิตใจไม่ชั่วร้ายไม่ว่