ศิษย์ทั้งสี่ของจื่ออายเหอล้วนมีถ้ำพำนักของตัวเองหากไม่มีปัญหาในการฝึกฝน ก็แทบไม่กลับขึ้นเขามามีเพียงเมื่อประสบอุปสรรคในวิถีบำเพ็ญเท่านั้นจึงจะมาขอคำชี้แนะจากอาจารย์
วันที่จื่ออายเหอยอมรับเฮ่อเหลียนเยี่ยนเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ เขาก็เตรียมถ้ำพำนักให้เจ้ามังกรแดงตัวน้อยทันที ให้แยกไปใช้ชีวิตอยู่ด้านนอก เช่นเดียวกับศิษย์พี่คนอื่น ๆ
แต่เฮ่อเหลียนเยี่ยนกลับส่ายหัวรัว ๆ ไม่ว่าจะพูดหว่านล้อมอย่างไร ก็ไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น เขาดื้อดึงจะอยู่กับอาจารย์ให้ได้
แม้แต่เมื่อศิษย์พี่แซวเขาว่า “ยังไม่รู้จักโต” เขาก็ทำแค่หน้าแดง แล้วไม่ตอบโต้สักคำ
จื่ออายเหอเห็นว่าจิตใจของเขายังเยาว์นัก สุดท้ายก็ยอมให้เขาพักอยู่ห้องถัดไปตามใจ
ภายนอกเฮ่อเหลียนเยี่ยนยังดูไร้เดียงสาเหมือนเดิม แต่ภายในกลับรู้ตัวดีว่าหลังจากกอดครั้งนั้น หัวใจของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
เมื่อก่อนแม้จะรู้ดีว่าอาจารย์ของตนงดงามเพียงใดเส้นผมสีเงินยาวสลวยประหนึ่งสายธารเยือกเย็น ดวงตาสีน้ำเงินอ่อนราวแสงจันทร์ที่สะท้อนจากหิมะ ปลายนิ้วเรียวยาว ผิวขาวดุจหยกเนื้อดี แถมยังมีท่วงท่าที่สงบนิ่งจนเหมือนหลุดมาจากภาพวาดโบราณ
แต่ความรู้สึกในตอนนั้น ก็เป็นเพียงแค่ชื่นชมเท่านั้นแค่คิดในใจเบา ๆ ว่า “ท่านอาจารย์งดงามเหลือเกิน” แล้วก็ปล่อยผ่านไปเหมือนสายลม
ไม่เคยคิดจะเก็บเอาไว้ในใจไม่เคยกล้าคิดจะเอื้อมไปแตะต้อง
จนวันหนึ่งเขาเผลอจ้องมองนานเกินไป จนวันหนึ่งแววตาอาจารย์ที่มองผ่านเขาไป ดันสั่นไหวกลับมาเพียงนิด และตั้งแต่วินาทีนั้นคำว่างดงามก็ไม่เคยเพียงพออีกต่อไป
แต่ตอนนี้เขากลับเอาแต่นั่งเหม่อลอยทั้งวัน ข้าวปลาไม่แตะ ใจวูบไหวคล้ายลอยไปไหนไม่รู้ ความคิดพร่ำเพ้อค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นในหัวอย่างควบคุมไม่ได้ ราวกับมีแรงบางอย่างในอกคอยกระตุ้นตลอดเวลา
เขาอยากกอดอาจารย์อีกครั้ง อยากเห็นสีหน้าเขินอายยามถูกแกล้ง อยากใช้ปลายนิ้วไล้ผ่านเส้นผมนุ่มลื่น ลูบไล้แก้มใสที่เย็นเฉียบราวหยกหิมะ
ยิ่งคิด ยิ่งรู้สึกว่าความสุขทั้งหมดในชีวิตอาจอยู่ใกล้แค่เอื้อม
แค่เพียงได้อยู่ใกล้คนผู้นั้นแค่ได้หายใจในอากาศเดียวกัน ลึกลงไปในจิตใจเขากลับรู้สึกคลุมเครือเหมือนมีบางสิ่งถูกลืมไป
เขาไม่แน่ใจว่าเคยกอดอาจารย์แบบแนบชิดมากกว่านี้ไหม
ไม่แน่ใจว่าเคยสัมผัสริมฝีปาก หรือรั้งร่างนั้นไว้ในอ้อมแขนเคยหรือยัง แต่ที่แน่ใจที่สุดหากวันนั้นไม่ได้พบ “จื่ออายเหอ” ตั้งแต่ยังเป็นเพียงเด็กมังกรแดงไร้เดียงสาหากวันนั้นเขายังเป็นตนเองคนเดิม ที่หยิ่งผยองและดื้อรั้นชายหนุ่มงามล่มเมืองเช่นนั้น เขาคงไม่เหลียวแลแม้เพียงครั้งเดียว มีแต่จะตวัดหางใส่ กางกรงเล็บ และท้าสู้ด้วยกำลัง
แต่ตอนนี้จื่ออายเหอคือ “อาจารย์” ของเขา คือผู้ที่ยื่นมือมาในวันที่โลกทั้งใบทอดทิ้ง คือผู้ที่กอดเขาไว้แน่นที่สุด โดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว
เขาควรเคารพท่าน รัก และขอบคุณไปชั่วชีวิต แต่ในอกกลับรู้สึกแปลกประหลาด ไม่พอใจ กดดันปะทุเหมือนไฟซ่อนใต้ผืนหิมะ
ก็ข้าเป็นคนเจออาจารย์ก่อน!!! แต่ทำไมอาจารย์ถึงรับศิษย์คนอื่นก่อน?
หากวันนั้นเขาไม่แปลงร่างแล้วกลิ้งไปมากับพื้นไม้ เสแสร้งทำตัวน่ารักแบบไม่ถนัดเอาเสียเลยอาจารย์คงจะรับศิษย์อีกหลายคน แล้วเขาก็คงไม่ได้แม้แต่โอกาส
เขาคงเป็นเพียงแค่ตัวเลือกท้ายสุด เป็นแค่เงา เป็นแค่คนที่ยอมรับไว้เพราะความจำเป็น ไม่ใช่เพราะความตั้งใจ
เทียบกับศิษย์พี่ทั้งสี่คนแล้ว เขายังเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย และความเจ็บเล็ก ๆ นี้กลับกลายเป็นเสี้ยนในใจ ที่ทิ่มแทงยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
ความคิดนี้ฝังแน่นเหมือนหนาม ทุกครั้งที่เขาสบตาอาจารย์ อยากจะถามออกไปตรง ๆ ว่า
“ทำไมกันข้าก็มีพรสวรรค์มากกว่าศิษย์พี่หลายคนแท้ ๆ”
“หรือเพราะข้าเป็นปีศาจท่านถึงไม่อยากใส่ใจข้าเท่ากับคนอื่น?”
แต่ทุกครั้งที่ปากกำลังจะเอื้อนเอ่ยก็มีบางอย่างจุกอยู่ในอกจนพูดไม่ออก จื่ออายเหอเพียงมองมาแล้วถามยิ้ม ๆ ว่า “มีอะไรอยากพูดหรือเปล่า”
แต่เขากลับทำได้เพียงส่ายหัว
กาลเวลาผ่านไปเงียบเชียบ เจ้ามังกรแดงที่เคยดื้อรั้นในวันนั้น ก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งเขาเข้าใจวิชาต้องห้าม “ฟ้าดินจำแลง”
แม้ร่างกายจริงยังคงเล็กอยู่ แต่เพียงแค่หลับตาเพ่งจิต ก็สามารถแปลงกายกลายเป็นมังกรยักษ์ขนาดมหึมาได้อย่างสง่างาม
และเขาไม่เคยลืมถ้อยคำที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ด้วยแววตาเรียบนิ่ง
“เมื่อเจ้าโตพอให้ข้าขี่ เจ้าจะใกล้ชิดแค่ไหนก็เชิญ”
คำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยการปฏิเสธเจือเมตตา แต่สำหรับเขา มันกลับกลายเป็นคำสัญญา คำสัญญาเดียวที่เขาเฝ้ารอและพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ถึงวันนั้น
และวันนี้ วันที่เขาทำสำเร็จเขาเงยหน้าขึ้น จ้องตาอาจารย์อย่างตรงไปตรงมา เสียงแน่นลึก เต็มไปด้วยแรงสะกดกลั้น
“อาจารย์ข้าจะเป็นพาหนะของท่านเอง ขึ้นมาสิ”
กลางหุบเขาอันเงียบงัน หมอกบางลอยอ้อยอิ่งปกคลุมยอดไม้
เสียงพลังปราณสั่นสะเทือนก่อนร่างของเขาจะกลายเป็นมังกรสีแดงเพลิงขนาดยักษ์ แผ่ปีกต้านลม แสงแดดยามเช้าสะท้อนบนเกล็ดบางวาววับจนสว่างเจิดจ้า
มังกรแดงตัวยักษ์พาดผ่านแนวทิวเขาราวกับตัดโลกออกเป็นสองภาค
จื่ออายเหอมองภาพตรงหน้าด้วยสายตานิ่งสงบ สีหน้าหาได้ตกตะลึงไม่ กลับเพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ราวกับบอกว่าเขาไม่เคยสงสัยเลยว่าเจ้าตัวเล็กนี่จะทำได้
เขายกเท้าขึ้น เหยียบอากาศทีละก้าว ก้าวขึ้นบนแผ่นหลังของมังกรยักษ์โดยไม่มีแม้แต่ความลังเลใด
ใต้ฟ้าอันเงียบงัน มังกรเพลิงแบกชายชุดขาวพุ่งทะยานขึ้นไปเหนือแผ่นดินเส้นผมสีเงินของจื่ออายเหอพลิ้วสะบัดในลมสูง เหมือนเทพเซียนกลางเมฆที่ไม่อาจเอื้อมถึง ภาพนั้น สง่างามเกินกว่าจะบรรยาย และไม่นานก็กลายเป็นตำนาน
นับแต่วันนั้น ผู้คนในดินแดนบำเพ็ญเพียรต่างพากันเรียกชายชุดขาวว่า
“เซียนมังกรโลหิต – จอมเทพโลหิตอสรพิษ”
ชื่อเรียกนี้ แพร่กระจายไปดุจไฟลามทุ่ง ช่างฟังดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน แต่กับเจ้ามังกรที่ถูกขี่อยู่ทุกวันแล้ว กลับไม่ได้รู้สึกพิเศษเลยแม้แต่น้อย
เสียงโวยวายกึกก้องก้องสะท้อนออกมาจากด้านหลังแบบไร้ความยับยั้ง
“ข้าเป็นมังกรนะ!! มังกร!! ไม่ใช่อสรพิษ! ไม่ใช่งู ไม่ใช่บ่างด้วย!”
หางของเขาฟาดกับพื้นจนเกิดเสียงสะท้านปฐพี ฟุ้งฝุ่นขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ หัวมังกรก้มต่ำ แววตาเศร้า ๆ ฉายชัดอยู่เต็มหน้าเกล็ดแดง เสียงหอบดังขุ่น ๆ
“ทำไมถึงไม่เรียกให้เท่กว่านี้หน่อยล่ะ ‘เทพมังกรเพลิงผู้สูงศักดิ์’ ก็ได้ หรืออย่างน้อยก็เรียกชื่อข้าบ้างก็ยังดี…”
จื่ออายเหอที่นั่งอยู่บนหลังมังกรยังคงมีสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม แต่ในแววตาทอประกายเจือเย้า ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มราบแต่มีแววขันอย่างขี้เล่น
“เจ้าว่าเจ้าคือมังกร ข้าก็ไม่ได้หูหนวก ไม่ต้องพูดซ้ำถึงสามรอบหรอกนะ”
มังกรน้อยสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนจะก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม เขามังกรคู่บนศีรษะที่โผล่ขึ้นมาโดดเด่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ สะท้อนแดดระเรื่อคล้ายต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง
“เขาข้าก็ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ทำไมพวกเขาถึงยังคิดว่าข้าเป็นแค่ ‘อสรพิษมีเขา’ กันอีกเล่า?”
“บางทีอาจเพราะยังโตไม่พอล่ะมั้ง” จื่ออายเหอยิ้มอ่อน พร้อมเสียงหัวเราะเบา ๆ ที่เหมือนสายลมพัดผ่านดอกเหมย
เขายกมือขึ้น ลูบเขามังกรคู่นั้นเบา ๆ ด้วยปลายนิ้ว ท่ามกลางอากาศเย็นที่ล้อมรอบ แต่สัมผัสจากอาจารย์กลับอบอุ่นราวแสงอาทิตย์ต้นฤดูใบไม้ผลิ
“ไม่ต้องรีบร้อน เดี๋ยวมันก็ใหญ่เอง”
สัมผัสแผ่วเบานั้นแตะลงที่โคนเขาอย่างไม่ตั้งใจ แต่มันกลับเหมือนไฟฟ้าแล่นวาบผ่านผิวหนัง ลึกลงไปถึงหัวใจที่ซ่อนซุก เฮ่อเหลียนเยี่ยนแทบต้องกลั้นลมหายใจไม่ให้สั่นคลอนไปตามแรงสะเทือนที่ไม่ได้เกิดจากพลังภายนอก หากแต่เกิดจากเพียงปลายนิ้วอาจารย์เท่านั้น
เขาเงยหน้าขึ้นช้า ๆ มองชายหนุ่มตรงหน้าที่เขารู้จักตั้งแต่ยังเล็ก โตมาด้วยกัน อยู่เคียงกันมานาน แต่ยิ่งวัน ช่องว่างกลับยิ่งกว้าง
เพราะเขาโตขึ้นหรือเพราะอีกฝ่ายถอยห่าง?
ตั้งแต่เขาสูงขึ้น เสียงเปลี่ยนไป พลังปราณแข็งแกร่งขึ้นอาจารย์ก็ไม่เคยลูบหัวเขาอีกเลย
ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ จื่ออายเหอจะหันหน้าไปอีกทาง หรือไม่ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่เห็น ไม่รู้
และช่วงเวลาเดียวที่เขาได้อยู่ใกล้เหมือนเมื่อก่อน คือตอนที่เขาแปลงกายเป็นสัตว์ขี่
ความคิดนี้บีบรัดหัวใจเสียจนเฮ่อเหลียนเยี่ยนทนไม่ไหว กลั้นใจแปลงร่างกลับเป็นมนุษย์ ก่อนจะเอนกายพิงลงกับแผ่นอกอาจารย์ที่อุ่นสบายราวกับเมื่อครั้งยังเป็นมังกรน้อยขี้อ้อน
เงียบงัน...เงียบราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุน เขาไม่กล้าหายใจแรง ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยคำ
“ท่านอาจารย์...” เขาเรียกออกมาเสียงแผ่ว ต่ำจนแทบกลืนหายไปในลมหายใจ
ประโยคเดียวสั้น ๆ แต่รวบรวมเอาความคิดถึง ความอยากใกล้ชิด และความหวั่นไหวทั้งหมดที่สะสมมาตลอดหลายปีเข้าไว้ในคำ ๆ เดียว
มือสองข้างของเขาเย็นเฉียบ แต่อ้อมแขนที่โอบเอวอีกฝ่ายไว้กลับมั่นคงมั่นใจ เพราะความรู้สึกนั้นไม่เคยจาง
มือสองข้างที่เย็นเฉียบโอบกระชับรอบเอวของจื่ออายเหอไว้แน่น สัมผัสนั้นไม่ผิดเพี้ยนไปจากในความทรงจำแม้แต่น้อย
เอวของอาจารย์ยังคงทั้งบาง ทั้งอ่อนนุ่ม และเต็มไปด้วยแรงดึงดูดอย่างประหลาดแรงที่ไม่ใช่แค่ทางกาย แต่ลึกถึงใจ ราวกับจะพาให้เขาหลงทางอยู่ในนั้นตลอดไป
เฮ่อเหลียนเยี่ยนเหมือนจะหายใจไม่ออก หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ความคิดในใจหมุนวนไม่หยุด พลังปราณในร่างไหลเวียนสับสนราวกับกำลังแปรปรวนจากภายใน
...อยากกอดแน่นกว่านี้
...อยากให้ท่านอยู่ในอ้อมแขนเขาไปนานกว่านี้
...อยากเห็นใบหน้าอาจารย์แดงระเรื่อเพราะเขา
...อยากเห็นสายตาที่หวั่นไหว ไม่ใช่แค่แววสงบนิ่ง
แม้สติจะร้องห้าม แต่ร่างกายและหัวใจกลับดื้อดึงยิ่งใกล้ก็ยิ่งถลำลึก แต่ยังไม่ทันได้ล่วงเลยมากกว่านั้น
ทันใดนั้นพลังสะท้อนแรงสูงก็ระเบิดออกจากกายของจื่ออายเหอ ไม่มีคำเตือน ไม่มีท่าทีลังเล เพียงคลื่นพลังที่รุนแรงจนเฮ่อเหลียนเยี่ยนถูกซัดกระเด็นกลางอากาศ เสียงลมหอบตีกระแทกใบหู เสียงร้องหลุดจากริมฝีปากอย่างควบคุมไม่ทัน
“อา—!”
เขากลายร่างเป็นมังกรกลางอากาศโดยสัญชาตญาณ พยายามทรงตัวท่ามกลางกระแสลมรุนแรง พอลอยตัวเหนือชั้นเมฆได้ เขาก็บินย้อนกลับมาอย่างรวดเร็ว
แต่ทันทีที่เท้าแตะพื้น ภาพที่ต้อนรับเขาคือดวงตาคู่นั้นดวงตาของจื่ออายเหอที่เย็นชาเฉียบขาดจนบาดลึกถึงกระดูก
“เมื่อครู่เจ้าคิดอะไรอยู่?” น้ำเสียงราบเรียบ แต่อุณหภูมิต่ำราวจะจับหัวใจให้เป็นน้ำแข็งในพริบตา
เฮ่อเหลียนเยี่ยนสะดุ้งเฮือก รีบหลบตา ตอบกลับทันทีเสียงติดขัด
“ขะ…ข้าไม่ได้คิดอะไรเลยนะ!”
“ยังจะโกหกอีก?” น้ำเสียงแค่นเยาะในลำคอของจื่ออายเหอดังขึ้น ก่อนกล่าวต่ออย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ผู้ใดเข้าใกล้ข้าโดยไม่มีความคิดสกปรก พลังป้องกันของข้าจะไม่ตอบสนอง แต่เมื่อครู่เจ้าคิดไม่ซื่อแน่! ไป! ไปหาศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า รับโทษหนึ่งร้อยแส้!”
“แส้?” เฮ่อเหลียนเยี่ยนตัวแข็งค้าง ดวงตาสั่นระริกอย่างกับจะร้องไห้ แต่สุดท้ายก็ทำได้เพียงอ้าปากค้างโดยไม่มีเสียงใดเล็ดลอด
“คิดไม่ซื่อ…” คำพูดนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
คิดไม่ซื่อกับอาจารย์งั้นหรือ มันผิดมากนักหรือในเมื่อหัวใจของเขาไม่เคยเป็นอื่นเลยตั้งแต่แรก
แต่เขาไม่กล้าโต้ ไม่กล้าสบตา ได้แต่คุกเข่าลงตรงหน้าจื่ออายเหอ แล้วเคาะหน้าผากกับพื้นดินอย่างแน่นหนัก เหมือนจะหวังว่าเสียงนั้นจะกลบความรู้สึกทั้งหมดให้จมหาย
จากนั้น เขาลุกขึ้น เดินคอตกจากไปเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยคำใด
เขาไม่ได้บอกศิษย์พี่ว่าเพราะเหตุใดถึงถูกลงโทษ และศิษย์พี่เองก็ไม่ถาม
ในเวลาต่อมา เฮ่อเหลียนเยี่ยนพยายามสืบจากเหล่าศิษย์พี่ใช้ทั้งเล่ห์กล ทั้งความอ้อนวอน ทั้งคำถามอ้อมค้อม จนในที่สุดก็ได้รู้ว่า...
อาจารย์ของเขาเป็นผู้ที่รักความสะอาดอย่างถึงที่สุด บริสุทธิ์ไร้ราคี แม้แต่สัมผัสของผู้ใดก็ไม่ยินดีให้แตะต้องง่าย ๆ
ถึงวันนี้ก็ยังคงรักษาความไร้มลทินนั้นไว้ไม่แปรเปลี่ยน และเขาคือผู้เดียวที่ได้โอบร่างนั้นไว้ในอ้อมแขนเพียงเสี้ยววินาที…
ก่อนจะถูกพลังของอาจารย์ผลักกระเด็นจนรู้ว่า "ใจ" ของอีกฝ่ายนั้นไกลเกินจะเอื้อมถึง
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงฝึก “พลังป้องกันกาย” อันแปลกประหลาด พลังที่แยกแยะเจตนาได้จากสัมผัส หากผู้ใดเข้าหาโดยไม่มีความคิดร้ายแรงใด ก็จะไม่เกิดปฏิกิริยา
แต่หากเพียงมีความคิดไม่บริสุทธิ์แม้เพียงนิดเดียว ก็จะถูกแรงสะท้อนตีกลับอย่างรุนแรง และยิ่งจิตใจต่ำทรามเพียงใด แรงสะท้อนก็ยิ่งสาหัส
โชคดีที่ในตอนนั้น เฮ่อเหลียนเยี่ยนยัง “บริสุทธิ์พอประมาณ” เขาเพียงแค่คิดอยากกอด อยากแนบชิด อยากให้คนผู้นั้นอยู่ในอ้อมแขน
เพราะเหตุนี้เขาจึงถูกซัดไปแค่สุดขอบฟ้า
หากความคิดของเขาเลยเถิดกว่านั้นเพียงนิดเดียวบางทีอาจไม่มีแม้แต่ซากมังกรให้เหลือกลับมาคิดเสียใจอีก
แต่น่าแปลก เรื่องนั้นกลับไม่ทำให้เฮ่อเหลียนเยี่ยนหยุดคิด ตรงกันข้ามมันกลับจุดไฟในใจให้ลุกโชนกว่าเดิม
เขาเริ่มเรียนรู้ เข้าใจ และตั้งคำถามกับความรู้สึกของตัวเอง
ทุกครั้งที่รู้ตัวว่าหลงไหลมากขึ้น หัวใจก็เหมือนจะพังทลายลงอีกเล็กน้อยเขารู้ดีจื่ออายเหอคือบุคคลสูงส่ง งดงามเกินเอื้อม ควรค่าแก่การเคารพบูชา เขาควรจะรักในแบบสงบเสงี่ยม แต่คำว่า “รัก” เพียงอย่างเดียว มันไม่พออีกแล้ว
ทุกครั้งที่เผลอคิดไปไกล เขาจะรู้สึกผิดเสียจนหลับไม่ลง แต่ยิ่งรู้สึกผิด เขาก็ยิ่งอยากทำให้ผิดจริงมากขึ้น
หนึ่งร้อยแส้ที่ฟาดลงมา สำหรับคนทั่วไปอาจเรียกว่านรก แต่สำหรับมังกรแดงผู้มีเกล็ดหนาอย่างเขา มันก็แค่จั๊กจี้นิด ๆ
และเขายังวนเวียนอยู่ข้างกายอาจารย์เหมือนเดิมยังสบตา แล้วยังเผลอใจ ทุกครั้ง
บางครั้งก็แค่เอื้อมมือแตะปลายแขน บางทีก็เผลอพิงหลังเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีพิษภัย แต่หัวใจของเขาไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
เมื่อก่อน เขาแค่เล่นกับอาจารย์ ตอนนี้เขากำลังต้องการอาจารย์ทั้งตัว ทั้งใจ ตั้งแต่เขาเข้าใจตนเอง ทุกสัมผัสก็กลายเป็นของต้องห้าม
และเฮ่อเหลียนเยี่ยนแม้จะเป็นมังกรที่อดทนมาก แต่เมื่อเวลาผ่านไป…เขาก็เริ่มควบคุมหัวใจของตัวเองไม่ได้
ภายในร้อยปีเขาถูกพลังสะท้อนของอาจารย์กระแทกกระเด็นออกไปถึงสิบยี่สิบครั้ง
ทุกครั้งทั้งเจ็บทั้ฃแสบ และทุกครั้งอาจารย์ก็จะลงโทษเขาอย่างหนัก ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลายเป็นเย็นชารำคาญ แต่ถึงอย่างนั้นจื่ออายเหอก็ไม่เคยไล่เขาออกจากสำนัก
และนั่นสำหรับเฮ่อเหลียนเยี่ยน คือเส้นบาง ๆ ระหว่างความอดทน กับการตัดขาด ความหวังบางเบาที่หล่อเลี้ยงใจของเขา
เมื่อเขาคิดถึง “พ่อ” ของตน มังกรแดงผู้เคยหลงใหลในอาจารย์
ผู้ที่ตายไปเพราะแรงสะท้อนจากพลังศักดิ์สิทธิ์ของจื่ออายเหอเขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตนกำลังเดินตามรอยเดียวกันเหมือนเป็นเรื่องตลกร้ายที่ฟ้ากำหนด
ใครจะคิดว่า ลูกของมังกรตนนั้น จะมาตกหลุมรักอาจารย์ของพ่อเสียเอง?...
จนกระทั่งวันหนึ่ง อาจารย์เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นเหมือนเคย แต่นั่นกลับเป็นประโยคที่แรงที่สุดในชีวิตเขา
“ถ้าเจ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ ก็รีบหาคู่ไปซะที่นี่คือสำนักเซียน ไม่ใช่ที่ให้เจ้ามาปล่อยอารมณ์กำหนัด”
เฮ่อเหลียนเยี่ยนเหมือนถูกฟาดด้วยสายฟ้ากลางอก แม้คำพูดจะไม่ดัง ไม่ด่า ไม่ตะโกน แต่มันเจ็บ เจ็บยิ่งกว่าร้อยแส้ที่ฟาด
เพราะมันหมายความว่าอาจารย์รู้ และอาจารย์ไม่คิดจะยอมให้ความรู้สึกนั้นเติบโตแม้แต่น้อย
แต่เขาก็ยังไม่ล่าถอยเพราะหัวใจของเขา มันไม่ได้ต้องการความอดทน หรือความเมตตา มันต้องการ “ความรัก” จากคนผู้นั้นเพียงคนเดียว
เฮ่อเหลียนเยี่ยนนิ่งอึ้ง น้ำตาคลอเต็มดวงตา ก่อนจะไหลพรากออกมาไม่ขาดสาย เขาคุกเข่าอย่างคนหมดแรงเอ่ยเสียงแหบพร่า
“ข้าไม่ต้องการคู่ ข้าชอบท่านอาจารย์เพียงคนเดียวเท่านั้น”
เขาพูดออกมาจากหัวใจ ความรู้สึกที่อัดแน่นมาหลายร้อยปีในที่สุดก็ได้ชื่อแล้วว่าชอบ
ความชอบที่ลึกซึ้งจนแทบจะกลืนกินเขาทั้งร่างไม่ใช่แค่ความเคารพ ไม่ใช่แค่ความหลงใหล แต่เป็นความรักที่ไม่อาจมีใครมาแทนได้
จื่ออายเหอยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ชอบข้าตรงไหน? ชอบเพราะข้างดงามกว่าคนอื่น?”
เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวต่อ “เจ้ามังกรสายเลือดแดงนี่ก็เป็นเสียอย่างนี้ทุกตัวสินะ”
“ข้าไม่รู้…” เฮ่อเหลียนเยี่ยนส่ายหน้า น้ำตายังไม่หยุดไหล
“ข้ารู้แค่ว่าแม้ต้องตาย ข้าก็ยังจะชอบท่านอยู่ดี!”
คำว่า ‘ตาย’ ทำให้หัวใจจื่ออายเหอสะท้านวูบหนึ่ง เมื่อครั้งพ่อของเฮ่อเหลียนเยี่ยนตายเพราะพลังของเขา เขาไม่รู้สึกผิดนัก
แต่มาวันนี้เมื่อมองดูเฮ่อเหลียนเยี่ยนที่คุกเข่าร้องไห้ตรงหน้า เขากลับถอนหายใจอย่างยากจะเข้าใจตัวเอง
“ข้านับแต่เริ่มบำเพ็ญเพียร ก็สาบานไว้แล้วว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องรักใคร่ เจ้าเป็นศิษย์ของข้า เรื่องนี้ยิ่งเป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เราคือสำนักจื่ออวิ๋น เป็นสำนักที่ยึดมั่นในหลักธรรมและความบริสุทธิ์ เรื่องอื้อฉาวระหว่างอาจารย์กับศิษย์ ไม่มีทางเกิดขึ้น!”
น้ำเสียงของเขามั่นคง “ข้าไม่สนใจว่าในอดีตเจ้าจะคิดอย่างไร แต่จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าต้องสลัดความคิดนั้นทิ้งไปให้หมด! หากยังกล้าทำอีกก็เตรียมเก็บของออกไปจากที่นี่!”
เขาปัดแขนเสื้ออย่างเย็นชาแล้วหมุนตัวจากไป ทิ้งให้เฮ่อเหลียนเยี่ยนนิ่งงันคุกเข่าอยู่กลางลานด้วยหัวใจที่แตกสลาย
คำพูดของอาจารย์ชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้หวังหากเขายังดื้อดึง วันหนึ่งก็ต้องถูกขับไล่แน่
เฮ่อเหลียนเยี่ยนรู้ตัวดีว่าความรู้สึกนี้ยากจะควบคุมจึงเลือกถอยห่างจากอาจารย์โดยสมัครใจ นอกจากเวลาแปลงร่างเป็นพาหนะให้อาจารย์โดยจำเป็น
เขาก็ไม่เข้าใกล้เกินกว่าสามก้าว แต่ยิ่งถอยห่างใจเขาก็ยิ่งโหยหา ทุกคืนที่นอนไม่หลับเขาจะซ่อนพลัง หลีกหนีจากสายตา แล้วมานั่งเงียบ ๆ หน้าประตูห้องของอาจารย์
แค่ได้ยินเสียงหายใจของเขาในความมืดหัวใจก็รู้สึกสงบขึ้นอย่างน่าประหลาด
บางคืนความโหยหาก็ชัดเจนจนเกินจะทน เฮ่อเหลียนเยี่ยนจึงย่องไปยังมุมผนัง หยิบผ้าผืนเล็ก ๆ ที่อุดรูอยู่บริเวณรอยแยกของกำแพง ค่อย ๆ แง้มมันออกอย่างเบามือ
เขารู้…มันไม่ควร แต่นี่คือวิธีเดียวที่เขาจะได้เห็นคนที่เขารักในระยะที่ห้ามรัก
ในคืนที่เงียบสงัดจนแม้แต่เสียงลมหายใจของดวงจันทร์ยังเงียบงัน เฮ่อเหลียนเยี่ยนได้ยินเสียงน้ำไหลแผ่วเบาเล็ดลอดมาจากด้านหลังบานประตูไม้เก่า
เสียงนั้นเขาแทบไม่ต้องคาดเดาให้เสียเวลาอาจารย์ของเขากำลังอาบน้ำ...
ในโลกของผู้ฝึกตนระดับสูง พลังปราณสามารถคงร่างให้สะอาดบริสุทธิ์ดั่งหยกไร้มลทิน ไม่จำเป็นต้องกิน ไม่จำเป็นต้องอาบ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้เปลืองแรงหรือเวลา
แต่สำหรับจื่ออายเหอแล้วแม้จะเกือบหลุดพ้นจากโลกียะ แต่การอาบน้ำกลับเป็นความเงียบสงบเล็ก ๆ ที่เขายังคงรักษาไว้ราวกับพิธีกรรมส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับกาย แต่เกี่ยวกับใจ
เฮ่อเหลียนเยี่ยนรู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำต่อจากนี้ผิด ๆ ทั้งต่อจรรยา ผิดต่ออาจารย์ และผิดแม้แต่ต่อหัวใจที่ภักดีของตนเอง
แต่เขากลับยื่นมือไปขยับผ้าผืนเล็กที่อุดช่องกำแพงอย่างเงียบเชียบนิ้วมือสั่นระริกจนแทบหยุดไม่ได้
ช่องเล็ก ๆ นั้นเผยให้เห็นเพียงภาพบางส่วนแผ่นหลังของบุรุษผู้หนึ่ง ผู้เปลือยร่างอยู่ท่ามกลางอ่างไม้กลางห้อง ร่างนั้นขาวบริสุทธิ์ประหนึ่งหยกน้ำแข็งที่ถูกเจียระไนอย่างประณีต หยดน้ำร้อนพร่างพรมลงบนผิวเรียบเนียน ไหลรินไปตามสันหลังและกล้ามเนื้อบอบบางราวกลีบดอกบัวที่ถูกหยาดฝน
ละอองไอน้ำลอยกรุ่นรอบกาย สะท้อนแสงจันทร์ที่ลอดผ่านหน้าต่างจนดูราวกับม่านเทพารักษ์ ทุกอย่างงดงามเกินเทพ ไม่สิมันศักดิ์สิทธิ์ จนเขาไม่รู้ว่าใจของตนกำลังเต้นแรงเพราะความปรารถนา หรือความศรัทธากันแน่
เฮ่อเหลียนเยี่ยนกำหมัดแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าเนื้อ อยากเบือนหน้า อยากหนีไปจากภาพนี้ แต่ก็ทำไม่ได้ ไม่สามารถละสายตาได้แม้เพียงวินาทีเดียว
ในตอนที่จื่ออายเหอเอนกายขึ้นจากอ่าง ร่างนั้นงดงามราวภาพในฝันที่จารึกลงบนม่านตาของเขาหยดน้ำใสไหลพร่างพรายจากลำคอขาว ไล่ลงบนลาดไหล่ ผ่านแผ่นหลังเรียวยาว ร่างทั้งร่างดูเปล่งแสงเรืองรองประหนึ่งเซียนสาวจากสรวงสวรรค์
“อาจารย์…” เขาเอ่ยเสียงในใจอย่างอ่อนแรง
เฮ่อเหลียนเยี่ยนกัดลงไปบนแขนของตนเองแน่นเสียจนเกือบถึงเลือด เพื่อกลั้นเสียงสะอื้นที่แทบระเบิดออกจากลำคอเพื่อหยุดหัวใจที่แทบเต้นจนจะทะลุออกมา เขากำลังทรมาน แต่ก็ไม่อาจละสายตาได้แม้เพียงเสี้ยววินาที…
เขารู้ว่าตนไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเฝ้ามอง แต่ในยามนี้เขากลับเฝ้ามองด้วยหัวใจที่แตกสลาย ทั้งโหยหา ทั้งลุ่มหลง ทั้งบาปหนาอย่างไม่อาจถอยคืน
ริมฝีปากที่สั่นเทิ้มซบลงบนท่อนแขนเปื้อนเลือดบางเบา น้ำตาหนึ่งหยดร่วงลงโดยไร้เสียง
เพราะในค่ำคืนนี้เขาได้มองเห็นสิ่งที่ไม่ควรมอง และยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งจมดิ่ง จมลงไปในห้วงแห่งความหลงใหลที่ไม่มีหนทางหวนกลับอีกต่อไป...
จื่ออายเหอผู้เป็นอาจารย์ของเขา
ผู้ที่เคยอ่อนโยนให้เขาออดอ้อนผู้ที่เคยปล่อยให้เขาเอาแต่ใจในขอบเขตที่เหมาะสม ตอนนี้เขากลับไม่สามารถแม้แต่จะเข้าใกล้อีกฝ่ายได้แม้เพียงก้าวเดียว
เสียงเบา ๆ จากกำแพงที่เขาทำไว้ แม้จะพยายามระวังสักเพียงใด
ก็ยังไม่รอดพ้นหูของคนที่เขาแอบเฝ้าดูมาเนิ่นนานเพียงคิ้วเรียวงามของจื่ออายเหอขมวดเบา ๆ เสื้อคลุมที่แขวนไว้ก็ลอยมาสวมทับร่างกายอย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางละอองไอน้ำที่ยังอบอวลในห้อง เสียงฝีเท้าเงียบงันของอาจารย์ดังขึ้นช้า ๆ พร้อมกับแววตาที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชากราดเกรี้ยว
“เฮ่อเหลียนเยี่ยนออกมาเดี๋ยวนี้” เสียงเรียกนั้นหนักแน่นราวสายฟ้าที่ผ่าลงมากลางอก
เด็กหนุ่มค่อย ๆ ก้าวเข้ามาในห้องอย่างเงียบงันเขาไม่ได้คุกเข่า ไม่ได้หลบตาในทางกลับกัน เขากลับเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นอาจารย์โดยไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย
ความเจ็บปวด ความอับอาย และความรักที่ตึงเครียดทุกอณู ปะทะกับดวงตาที่เย็นราวน้ำแข็งตรงหน้า
“เจ้ารู้ตัวว่าทำผิดหรือไม่?” จื่ออายเหอเอ่ยถามอย่างเยียบเย็น ไม่มีเสียงตวาด แต่กลับกดทับจนแทบหายใจไม่ออก
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเยี่ยนถูกขบเม้มแน่น น้ำตาคลออยู่ในดวงตาแดงจัดเขาได้พบอาจารย์ผู้นี้มานานกว่าร้อยปี และความรู้สึกที่เรียกว่า “รัก” ก็ฝังแน่นในใจไม่ต่างกัน
หนึ่งร้อยปีที่เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอดทนมาได้อย่างไรความรู้สึกที่ไม่มีที่ไป ไม่มีที่ลง ได้แต่รอ รอคำตอบที่ไม่เคยมีวันมา
และข้างหน้าเขาอาจจะต้องทนอีกนับพันปี ไม่มีใครรู้ว่าความเจ็บปวดนี้จะสิ้นสุดเมื่อใด หรือสิ้นสุดอย่างไร
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่ตอบ จื่ออายเหอจึงเอ่ยเสียงเข้มขึ้นอีกครั้ง
แววตาคมคายนั้นสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ยังทรงไว้ซึ่งความเด็ดขาดไม่เปลี่ยน“เฮ่อเหลียนเยี่ยนเจ้ารู้สึกผิดหรือไม่!?”
ดวงตาของมังกรหนุ่มร้อนผ่าว น้ำตาหยดแรกร่วงลงมาอย่างไม่อาจกลั้น แต่ริมฝีปากกลับแสยะยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อย
“ข้ารู้ว่าผิด”
“แต่ข้าก็ไม่อาจหยุดรักท่านได้เลยสักวันเดียว…”
เขารู้ดีหากเขาคุกเข่าลงในตอนนี้ หากเขาขอโทษเหมือนที่เคยทำมา อาจารย์ก็จะให้อภัยเขาอีกครั้ง
เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าหากเขายังเลือกเดินทางเส้นเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าหากเขายังยืนกรานในสิ่งที่หัวใจร่ำร้องโดยไม่ยอมถอย
หัวใจของอาจารย์ ก็จะยิ่งแข็งกระด้าง และห่างไกลออกไปจนเกินเอื้อม
จนเขาเองก็แทบจะจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ได้ซบลงบนตักอันอบอุ่นนั้นคือเมื่อไรกันแน่
เฮ่อเหลียนเยี่ยนกัดฟันแน่นเสียงตะโกนหลุดออกมาพร้อมหยาดน้ำตาที่ปะทุจากเบ้าตาแดงก่ำ
“อาจารย์! ข้าไม่ผิด! ข้าไม่ผิดเลย! ถ้าท่านจะโกรธ งั้นฆ่าข้าเถอะ!”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความคับแค้น ความสิ้นหวัง ถ้อยคำที่เปล่งออกมา คือเสียงของหัวใจที่พังทลายอย่างแท้จริง
จื่ออายเหอขบกรามแน่นสายตาที่มองเขาเต็มไปด้วยเพลิงโทสะ เย็นชาและน่ากลัวเสียจนเฮ่อเหลียนเยี่ยนแทบหยุดหายใจ
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าาข้าจะปล่อยให้เจ้าทำตามอำเภอใจ
เพียงเพราะข้าเคยปรานีเจ้า?”ถ้อยคำถูกเค้นออกมาอย่างดุดัน และในชั่วขณะนั้นจื่ออายเหอก็เตะเข้าใส่หน้าอกของเขาอย่างไม่ลังเลแม้สักนิด
ร่างของเฮ่อเหลียนเยี่ยนถูกกระแทกเข้าเต็มแรงจนปลิวกระแทกกับผนังเสียงกระแทกดังสนั่นไปทั่วห้อง ร่างทั้งร่างทรุดฮวบกับพื้น
แต่เขาไม่หลบ…
ไม่ขยับ…
แม้แต่เงยหน้าขึ้นก็ยังไม่มีแรงพอจะทำ
เจ็บ…เจ็บเสียจนลมหายใจสะดุดกล้ามเนื้อเกร็งจนชา แต่กลับไม่มีเสียงร้องหลุดออกจากปาก
และในวินาทีนั้น ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาโดยไม่อาจห้ามอาจารย์… เกลียดข้า… จริง ๆ ใช่ไหม?
ภาพตรงหน้าค่อย ๆ พร่าเลือนเสียงรอบตัวหายไปหมด เหลือเพียงความมืดสนิทที่คืบคลานเข้ากลืนกินทุกสติสัมปชัญญะ
ข้ากำลังจะตาย… งั้นหรือ?
ความคิดนั้นแล่นวาบ แต่แทนที่จะหวาดกลัวเฮ่อเหลียนเยี่ยนกลับยิ้มบาง ๆ ออกมาในความมืด
หากดวงตาของเขาสูญเสียการมองเห็นบางที อาจารย์จะยอมสงสารเขามากกว่านี้ อาจจะยอมกอดเขาอีกสักครั้ง
แต่ทว่า ความคิดนั้นกลับไร้เดียงสาเกินไป ในไม่ช้าแสงสว่างก็กลับคืนมาลมหายใจอบอุ่นบางเบาเคลียอยู่ข้างแก้มกลิ่นหอมจาง ๆ ของสมุนไพรและดอกไม้ลอยมาแตะจมูกภาพตรงหน้าค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น
ยามเช้าตรู่แสงแดดลอดผ่านผ้าม่านบาง ๆ เขานอนอยู่บนเตียงกว้างที่อบอุ่น ผ้าห่มนุ่มคลุมกายอย่างทะนุถนอม และที่ข้างกายคือชายหนุ่มผู้หนึ่ง
ใบหน้าเรียบนิ่ง ดวงตาคมยิ่งกว่าคืนจันทร์มืดขนตาเรียงสวยและยาวงอน ริมฝีปากบางเฉียบไร้สีแม้จะสวมเพียงชุดบาง ไม่ใช่อาภรณ์นักพรตที่คุ้นตา แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่สายตาสบกันเขาก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร
จื่ออายเหอ
อาจารย์ของเขา ผู้ที่เขารักสุดหัวใจ ผู้ที่เพียงแค่ยืนนิ่งเฉย ก็สามารถทำให้เขาเจ็บได้เกินทานทน
“อาจารย์…”
เสียงของเขาสั่นเครือ ราวกับไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นจริงหรือเพียงความฝัน
เขาตื่นเต้นจนแทบควบคุมตัวเองไม่อยู่ รีบโผเข้ากอดอีกฝ่ายไว้แน่น พอพบว่าไม่ได้ถูกพลังผลักกระเด็นออกมาอย่างเคย ก็พลันดีใจจนแววตาสุกสว่าง
“ท่านอาจารย์! ท่านยอมรับข้าแล้วใช่ไหม!”
เฮ่อเหลียนเยี่ยนกอดเอวของอาจารย์แน่น แล้วโน้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากของเขาอย่างบ้าคลั่ง
“ท่านอาจารย์!” เขาเรียกไม่หยุด ริมฝีปากไล่ประทับจูบไปทั่ว มือก็เริ่มเลื่อนขึ้นโดยอัตโนมัติ คล้ายกับอยากปลดเปลื้องอาภรณ์ของอีกฝ่าย
เขาเรียกชื่อของอาจารย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเสียงนั้นอ่อนแรงลงทุกครั้งที่หลุดออกจากริมฝีปาก เหมือนลมหายใจที่ใกล้หมด
“อาจารย์… จื่ออายเหอ…”
มือของเขาสั่นระริกแต่ยังคงยกขึ้นประคองใบหน้าของคนตรงหน้าไว้แผ่วเบา ปลายนิ้วไล้ผ่านแนวคิ้ว จมูก ริมฝีปากที่เขาหลงใหล ฝังใจ ราวกับต้องการจดจำทุกเส้นสายทุกสัมผัสให้ฝังลึกลงกระดูก
ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเยี่ยนเริ่มไล่ประทับจูบไปทั่ว จากหน้าผาก ไล่ลงมาถึงเปลือกตาที่หลับพริ้ม จมูก แก้ม และในที่สุดก็แตะลงบนริมฝีปากอย่างอ่อนโยน
มันคือจูบที่โหยหา เต็มไปด้วยคำพูดนับหมื่นที่ไม่กล้าพูด
มือของเขาเลื่อนไปตามแผ่นหลังบางด้วยความระมัดระวัง กลัวจะปลุกเจ้าของร่างจากห้วงฝันที่เขาอ้อนวอนขอไว้ชั่วครู่เดียว
อีกมือหนึ่งค่อย ๆ เลื่อนขึ้น ซึมซับความอุ่นของเนื้อผ้า ก่อนจะคลายเงื่อนที่ตรึงเสื้อหลวมเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว คล้ายกับว่าในความฝันนี้ เขาอยากปลดเปลื้องระยะห่างอันเจ็บปวดนั้นออกเสียที
เฮ่อเหลียนเยี่ยนกระซิบอยู่ข้างหูของเขาอย่างแผ่วเบา “หากแม้เป็นแค่ความฝัน ข้าก็ยอม” เสียงกระซิบสั่นไหว คล้ายกับจะร้องไห้ออกมา
ทว่าเมื่อจูบลงอีกครั้ง มือสัมผัสซ้ำอีกครั้ง สิ่งที่เขาได้รับกลับมาคือความว่างเปล่า ไม่มีแม้แต่การหายใจสะท้อน ไม่มีการขยับตอบ ไม่มีแม้แต่ไออุ่นของการมีตัวตน
ความเย็นชาแล่นผ่านฝ่ามือ ราวกับร่างตรงหน้าค่อย ๆ สลายหายไป “อย่าไป ได้โปรด อย่า ไป” เฮ่อเหลียนเยี่ยนกอดร่างนั้นแน่น ราวกับต้องการฉุดรั้งแม้เพียงเสี้ยวเงาเอาไว้กับตัว
แต่ไม่ว่าจะกอดแน่นแค่ไหน ไม่ว่าจะจูบซ้ำอีกสักกี่ครั้งเขากลับไม่เคยได้สัมผัสอ้อมกอดตอบกลับ ไม่เคยได้รับคำใดจากริมฝีปากบาง ๆ ที่เขารัก
เขารักอาจารย์อย่างร้อนแรงและเต็มเปี่ยม แต่น่าเศร้าที่สิ่งที่ได้รับกลับคือความว่างเปล่าไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ และความรู้สึกสิ้นหวังนั้นก็แผ่ซ่านออกมาจากในฝันอย่างชัดเจน เจ็บปวดราวกับยังคงฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขาไม่จางหายเลยแม้แต่น้อย
เขารู้สึกตื่นเต้นจนแทบห้ามใจไม่อยู่ รีบโผเข้ากอดคนตรงหน้าแน่นหนา และเมื่อพบว่าไม่ได้ถูกแรงต้านหรือพลังใด ๆ ผลักออกไป เขาก็แทบจะกลั้นรอยยิ้มดีใจไม่อยู่
“อาจารย์ ท่านยอมรับข้าแล้วใช่ไหม?”
เฮ่อเหลียนเอวี่ยนโอบรอบเอวของอาจารย์แน่น ริมฝีปากแตะแต้มลงบนแก้มอย่างเร็ว ๆ ด้วยความตื้นตัน
“อาจารย์!” เขาเรียกซ้ำด้วยน้ำเสียงออดอ้อน ทั้งใบหน้าเปื้อนไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ไม่อาจอธิบาย
มือของเขายกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ราวกับจะสัมผัสใบหน้าของผู้เป็นอาจารย์อีกครั้ง แต่คราวนี้กลับชะงักไว้เพียงครึ่งทาง สัมผัสที่เขาเฝ้าหวังนั้นช่างอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับเหมือนมีระยะห่างที่ยากจะข้าม
เขาเพียงแต่มองอีกฝ่ายเงียบ ๆ หัวใจเต้นแรง รู้สึกราวกับตนเองรอมานานนับร้อยปี เพื่อช่วงเวลาแสนล้ำค่าที่ได้อยู่ใกล้กันเช่นนี้แม้จะรู้ดีว่าเป็นเพียงภาพในฝัน แต่เขาก็ยังอยากจะยึดเอาไว้ ไม่อยากตื่นเลยแม้แต่น้อย
เฮ่อเหลียนเอี้ยนสะดุ้งตื่นจากความฝัน ใบหน้าเปียกชื้นด้วยหยาดเหงื่อและน้ำตา
ฝันนั้นช่างชัดเจนและยาวนานเหลือเกิน สัมผัส กลิ่น เสียง และแม้แต่ลมหายใจของอีกฝ่ายยังคงอยู่ในอก เขาฝันว่าตัวเองกอดอาจารย์ไว้แน่น ย้ำคำว่ารักอย่างหมดหัวใจ และไม่มีสิ่งใดขวางกั้นระหว่างพวกเขา
แต่เมื่อลืมตาขึ้น ทุกอย่างกลับกลายเป็นเพียงภาพลวงตา แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่างไม้ฉลุเงียบงัน เฮ่อเหลียนเอี้ยนยกมือปิดหน้า หัวใจเต้นแรง ราวกับเพิ่งสูญเสียใครไปจริงๆ
“ทำไมฝันนั้นถึงเจ็บปวดขนาดนี้…” เขากระซิบกับตัวเอง “แค่ฝัน ทำไมถึงไม่อยากตื่นเลยล่ะ”
เขายังจำได้ดีว่าในฝัน เขากอดอาจารย์ไว้แน่นแนบอก ไม่ได้ถูกผลักไส ไม่ได้ถูกคำดุด่า ไม่ได้ถูกเรียกว่าเหลวไหล
แต่ความจริงคือ ความรักของเขาไม่มีวันได้รับการตอบกลับไม่ใช่เพราะอาจารย์ไม่รู้ ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายไม่มีใจ แต่เพราะมันเป็นความรักที่ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก
อาจารย์คือแสงสว่างของเขา เป็นผู้มอบชีวิตใหม่ แต่ก็เป็นกำแพงสูงที่เขาไม่มีวันปีนข้าม
“ถ้าข้าสามารถเลือกได้… ข้าขอเกิดเป็นแค่ลมที่พัดผ่านเขา ไม่ใช่เงาที่เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ อย่างเจ็บปวดแบบนี้เลย…”
กลางคืนคลี่คลุมยอดเขาเหมยอวิ๋นด้วยหมอกจาง เฮ่อเหลียนเอี้ยนยืนอยู่หน้าห้องไม้ของอาจารย์อีกครั้ง มือกำแน่นอยู่ข้างลำตัว
เขาไม่เคยกล้ามาใกล้เกินสามก้าว แต่คืนนี้เขาไม่อาจทนไหวอีกต่อไป เขาเคาะประตูแผ่วเบาเหมือนใจที่เต้นกล้า ๆ กลัว ๆ
“เข้ามา” เสียงของอาจารย์ยังคงสงบนิ่งดุจสายน้ำ แต่เย็นชาพอจะทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน
เมื่อประตูเปิดออก กลิ่นหอมอ่อนของไม้หอมและชาอุ่นตีกระทบจมูก อาจารย์นั่งอยู่ที่โต๊ะ ผิวหน้าเรียบเฉย ชุดคลุมสีม่วงจันทร์ล้อมรอบร่างที่ดูเหมือนไกลเกินจะเอื้อมถึง
“เจ้ามีเรื่องอยากพูด?” อาจารย์เอ่ยขึ้นโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้ามองเขา
“ข้ามีสิ่งที่ต้องพูดออกไป ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ได้หลับไปอีกหลายคืน” เฮ่อเหลียนเอี้ยนพูดช้า ๆ
“ว่ามา”
เขาสูดลมหายใจลึก พยายามกดเสียงสั่นไว้
“ข้ารักท่าน ข้ารู้ว่ามันผิด เป็นความคิดที่ไม่ควรแม้แต่จะเกิดขึ้นในใจ แต่ข้ายิ่งห้ามก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งฝืนก็ยิ่งคิดถึงท่าน”
อาจารย์วางถ้วยชาลงอย่างแผ่วเบา เสียงกระทบดังในความเงียบจนเฮ่อเหลียนเอี้ยนสะดุ้ง
“เฮ่อเหลียนเอี้ยน” เสียงเรียกชื่อเขาชัดถ้อยชัดคำ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองกำลังทำลายอะไรอยู่?”
“รู้ ข้ารู้ว่าข้ากำลังทำลายทุกอย่าง แม้กระทั่งตัวเอง แต่ข้าทนให้ท่านไม่รู้ไม่ได้อีกแล้ว”
“ความรักแบบนั้นระหว่างเราจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้” เสียงของอาจารย์เด็ดขาด ดุจมีดที่ผ่าใจกลางอกของเขา
“เพราะข้าเป็นศิษย์?” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเอี้ยนสั่น “หรือเพราะท่านไม่เคยคิดอะไรกับข้าเลย…”
อาจารย์นิ่งไปนาน ก่อนเอ่ยด้วยเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน
“เพราะข้าเป็นอาจารย์...”
เฮ่อเหลียนเอี้ยนหัวเราะเบา ๆ ดวงตาแดงก่ำ “นั่นแหละ มันถึงเจ็บ”
เขาคุกเข่าลงช้า ๆ ก่อนกล่าว“ข้าขอเพียงแค่นี้ ขอเพียงได้พูดออกไป ขอเพียงให้ท่านรู้ แล้วต่อจากนี้ ข้าจะไม่พูดอีก ไม่แม้แต่จะเข้าใกล้ ขอเพียงให้ท่านอย่าเกลียดข้า”
อาจารย์ลุกขึ้น เดินมาหยุดตรงหน้าเขา มองเฮ่อเหลียนเอี้ยนที่คุกเข่าอยู่ด้วยแววตาที่อ่านไม่ออก มือหนึ่งยื่นออกมา เชยคางของเขาขึ้นอย่างแผ่วเบา
“เจ้าทำให้ข้าลำบากใจนัก…”
เฮ่อเหลียนเอี้ยนกลั้นหายใจ ชั่วขณะหนึ่ง เขาคิดว่าอาจารย์อาจจะ แต่ทันใดนั้น มือที่แตะก็ปล่อยออก
“กลับไปได้แล้ว คืนนี้อากาศเย็น อย่าให้ป่วยเข้า”
เสียงนั้นอ่อนลงเพียงเล็กน้อย แต่ความห่างเหินกลับชัดเจนยิ่งขึ้น เขาไม่รู้ว่าตัวเองลุกขึ้นกลับออกไปอย่างไร รู้เพียงว่า ในอกมีบางสิ่งแตกสลายลงเงียบ ๆ
ในยามค่ำคืนข้ากลับฝันไปว่าตนเองได้กระทำสิ่งโง่เขลานั้นกับอาจารย์อีกครั้ง ทั้งที่สาบานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่มีวันละเมิดเขาเช่นนั้นอีก นับตั้งแต่วันที่อาจารย์รับความรู้สึกของเขาและยอมอยู่เคียงข้างกัน แม้ไม่เอ่ยถ้อยคำรักใด แต่ก็ไม่ผลักไส ไม่เย็นชาเฉกเช่นเดิม
ภายในฝันมันช่างเหมือนจริงมากข้าฝันว่าจื่ออายเหอนั่งอยู่ริมเตียง มือข้างหนึ่งยังถือถ้วยน้ำชาอุ่นที่ตอนนี้เย็นชืดลงแล้ว แสงจันทร์ลอดผ่านหน้าต่าง สะท้อนแผ่นหลังของเฮ่อเหลียนเยื่ยนที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ข้างประตู
“ถ้าเจ้าจะยืนเงียบอยู่อย่างนั้น ข้าก็จะถือว่ามาเพื่อฝันดี” อายเหอกล่าวด้วยเสียงเรียบ แต่ใจกลับเต้นระส่ำ
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังใกล้เข้ามา เฮ่อเหลียนเยื่ยนหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ดวงตาเข้มล้ำมองต่ำลงมาอย่างจริงจัง ก่อนจะยื่นมือออกมาช้า ๆ
นิ้วเรียวยาวแตะเบา ๆ ที่ปลายนิ้วของอายเหอแล้วค่อย ๆ สอดประสานจนมือทั้งสองแนบชิดกัน
จื่ออายเหอเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นระริก “เจ้าจะทำอะไร”
ตัวข้าไม่ตอบ แต่เพียงโน้มตัวลง ปลายจมูกแตะข้างแก้มอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วเลื่อนลงมาช้า ๆ จนริมฝีปากสัมผัสกลีบปากของอายเหอในจังหวะที่อีกฝ่ายยังไม่ทันตั้งตัว
“อื้อ…” เสียงครางเบา ๆ หลุดออกมาจากลำคอของอายเหอทันทีที่ริมฝีปากถูกครอบครอง
เป็นจูบที่นุ่มลึกและช้า เฮ่อเหลียนเยื่ยนจูบอย่างโหยหา ปลายลิ้นไล้กวาดสำรวจอย่างช้า ๆ พลางดันเบา ๆ ให้ริมฝีปากอีกฝ่ายเผยอ
“อืม… อะ…” เสียงของอาจารย์ดังขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ มือที่เคยแน่นิ่งเริ่มเกาะไหล่อีกฝ่ายไว้แน่น ร่างกายเหมือนถูกแรงดูดบางอย่างดึงไว้จนขยับหนีไม่ได้
เขาเผยอปากรับสัมผัสนั้นอย่างไม่รู้ตัว เสียงหอบแผ่วเบา ดังสลับกับเสียงริมฝีปากที่บดเบียดกันเบา ๆ
“อือ… เฮ่อเหลียน…”
เสียงกระซิบเรียกชื่อจากอายเหอเบาหวิวราวกับจะสลายไปในอากาศ แต่เฮ่อเหลียนเยื่ยนได้ยินชัดทุกถ้อยคำ
เขาจูบลึกลงอีกเล็กน้อย เสียง จ๊วบ ดังแผ่วข้างหู ตามด้วยเสียงครางพร่าแผ่วจากอายเหอ “อ่า…” ขณะริมฝีปากเผยอรับจังหวะที่แนบชิด
มือของเฮ่อเหลียนเยื่ยนเลื่อนไปวางที่ท้ายทอยอีกฝ่าย ลูบไล้ผมนุ่มอย่างเบามือ ราวกับกำลังปลอบโยนคนที่ทั้งหวาดกลัวและโหยหาสัมผัสไปพร้อมกัน
จูบนั้นยาวนานจนแทบลืมเวลา จนเมื่อริมฝีปากผละออกจากกัน เสียงหอบถี่ ๆ ดังขึ้นในความเงียบ
ใบหน้าของจื่ออายเหอแดงเรื่อ ริมฝีปากชื้นสั่นไหว ขณะที่เสียงลมหายใจยังไม่ทันจางหาย
เส้นผมสีเงินยาวสลวยตกลงตามแผ่นหลังดุจม่านแพร หยักลอนอ่อนบางเบาดุจละอองหมอกยามรุ่งสาง ทุกการเคลื่อนไหวยิ่งตอกย้ำความงดงามเหนือโลกหล้า
ผิวของเขาขาวซีดดุจหิมะแรกในฤดูหนาว แต่แฝงประกายอบอุ่นเมื่อโดนแสงไฟแตะต้อง ราวกับจะละลายหิมะทั้งป่าได้ในคราเดียว
ดวงตาคู่นั้นคมลึก ดั่งสระโบราณใต้ผืนน้ำสงบนิ่ง สีฟ้าเจือหมอกที่มองเพียงครั้งเดียวก็จมดิ่งจนแทบลืมหายใจ ขนตายาวราวไหม กลีบปากบางแดงจางราวกลีบดอกท้อที่ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ผลิ
เขาสวมอาภรณ์บางเบาสีหยกอ่อน ลายปักมังกรประดับเงาวาวโค้งรับกับแสงจันทร์ที่กระทบเส้นไหม พาดสายสร้อยหยกและไข่มุกไว้เรียงรายตามลำคอ ทำให้ดูราวกับเทพโบราณที่หลงเหลืออยู่เพียงในตำนาน
เมื่อเฮ่อเหลียนเยื่ยนเอื้อมมือแตะเบา ๆ ที่ปลายคางของเขา จื่ออายเหอก็หันมาอย่างช้า ๆ
ดวงหน้าไร้ที่ติขยับเข้าใกล้ทีละน้อย จนริมฝีปากที่เคยเย็นชานั้นแย้มรับสัมผัสร้อนจากอีกฝ่าย
“อือ…” เสียงครางเบา ๆ ดังออกมาจากลำคอเมื่อจูบแนบสนิท ร่างกายบางในอ้อมแขนของเขาเริ่มสั่นไหว เฮ่อเหลียนเยื่ยนรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะท้านในอกของอีกฝ่าย
เขากระซิบชิดริมฝีปากนั้น “ท่านงดงามราวกับต้องห้าม แต่ข้าก็ไม่อาจห้ามใจได้อีกต่อไป”
มือทั้งสองค่อย ๆ ลูบผ่านเอวบางไปยังสาบเสื้อ คลายสายผูกอย่างอ่อนโยน เส้นผมเงินปลิวไหวราวคลื่นมังกร ริมฝีปากแนบลงมาใหม่ คราวนี้ยาวนาน ลึกซึ้ง และแฝงแรงอารมณ์ที่สะสมมาเนิ่นนาน
เสื้อผ้าเริ่มหลุดจากบ่าขาวนวล เผยไหล่เปลือยเนียนละเอียด เฮ่อเหลียนเยื่ยนจ้องมองภาพตรงหน้า อย่างคนที่กำลังลืมหายใจไปพร้อมกับความหลงใหล
และในค่ำคืนสองร่างกายจะถูกหลอมรวมเข้าด้วยกัน ไม่ใช่เพียงเนื้อหนัง แต่ด้วยหัวใจและพันธสัญญาที่ไม่มีถ้อยคำใดจะอธิบายได้หมดสิ้น
จื่ออายเหอหลุบตาลงช้า ๆ ราวกับกำลังกลั้นหายใจ ขณะที่เฮ่อเหลียนเยื่ยนโน้มหน้าลงมาอีกครั้ง แตะจูบเบา ๆ ที่มุมปากของเขา จากนั้นริมฝีปากก็เลื่อนไปสัมผัสซอกคออย่างนุ่มนวล
“อือ…” เสียงครางหลุดออกมาจากลำคอของอายเหออย่างห้ามไม่อยู่ เขาเผลอเอียงคอรับสัมผัสนั้นโดยไม่รู้ตัว
มือของเฮ่อเหลียนเยื่ยนเลื่อนมาลูบต้นแขนของเขาเบา ๆ นิ้วไล้ผ่านขอบปกเสื้อผ้าอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อย ๆ คลายผ้าลงทีละชื้น… ทีละชิ้น
เนื้อผ้าถูกปลดออกอย่างแผ่วเบาในความเงียบ ชวนให้หัวใจสั่นระรัว
อายเหอเม้มปากแน่น สะกดเสียงในลำคอ มือที่วางอยู่บนอกของอีกฝ่ายเริ่มกำแน่น คล้ายจะห้าม แต่กลับไม่ได้ผลักไส
เฮ่อเหลียนเยื่ยนเงยหน้าขึ้นสบตา “ถ้าท่านบอกให้ข้าหยุด ข้าจะหยุดเดี๋ยวนี้”
อายเหอกัดริมฝีปากแน่น รู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่แทบจะระเบิด เขาไม่พูดอะไร มีเพียงดวงตาที่เปียกวาวซึ่งจ้องตอบกลับด้วยความไว้ใจ และในวินาทีนั้น เฮ่อเหลียนเยื่ยนรู้ว่าเขาได้รับการอนุญาตแล้ว
มืออุ่นคู่นั้นค่อย ๆ ลูบไหล่อีกฝ่าย ปลดผ้าออกจากบ่าอย่างอ่อนโยน ผิวกายเนียนขาวของอายเหอปรากฏในแสงตะเกียงสลัว สั่นไหวเล็กน้อยเมื่อสัมผัสกับอากาศเย็น
เฮ่อเหลียนเยื่ยนโน้มหน้าลงมาอีกครั้ง ประทับจูบลงที่ไหปลาร้าอย่างเนิบนาบ ลมหายใจร้อน ๆ เป่ารดผิวเนื้อจนอายเหอเผลอครางเบา ๆ ออกมา
“อ่า…”
มือของอายเหอค่อย ๆ เอื้อมไปยังชายเสื้อของอีกฝ่าย นิ้วเรียวสั่นเล็กน้อยขณะเริ่มแกะสายคาดเอว
เฮ่อเหลียนเยื่ยนไม่ขัดขืน เขาเพียงจับมืออีกฝ่ายไว้เบา ๆ ดึงขึ้นแนบกับอกของตนเอง และกระซิบเสียงพร่าข้างหู
“ข้าจะทำช้า ๆ อย่างที่ท่านต้องการ”
ท่านอาจารย์หลับตาลงแน่น ซุกใบหน้าไว้ที่ไหล่ของอีกฝ่าย ไม่ได้ตอบ แต่แขนเรียวก็ค่อย ๆ โอบรอบแผ่นหลังเขาแน่นขึ้นอย่างช้า ๆ
เสียงเสื้อผ้าสีเนื้อเสียดสีกันเบา ๆ ดังเป็นระยะ ภายในห้องมีเพียงแสงตะเกียงไหวริบหรี่ กลิ่นหอมอ่อนของใบสมุนไพรในอากาศ และเสียงลมหายใจของคนสองคนที่ค่อย ๆ ทาบทับเป็นจังหวะเดียวกัน
คืนนั้นยาวนาน และทุกสัมผัสล้วนสื่อคำพูดมากกว่าที่เสียงใดจะอธิบายได้
ไม่อาจห้ามได้ ราวกับกำลังต้องมนตร์ของสิ่งมีชีวิตที่มิใช่จากโลกมนุษย์
จื่ออายเหอ…ในแสงจันทร์ที่ทอดผ่านหน้าต่าง บรรยากาศรอบตัวเขาดูเหมือนจะเงียบงันและช้าลงในวินาทีนั้น
เขาเอ่ยเสียงแผ่วพร่าอย่างรู้สึกผิด
“อาจารย์ท่านรู้สึกเจ็บหรือเปล่า ข้า... ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าจะช่วยบรรเทาให้ ”
มือเขาเอื้อมไปอย่างแผ่วเบา ลูบไล้ไหล่ของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน เขาคิดเพียงอยากปลอบโยน หากแต่ในใจกลับสั่นไหวจากความรู้สึกผิดที่ก่อตัวทับถม
ทว่าเมื่อปลายนิ้วแตะลงบนแผ่นหลังที่แสนคุ้นเคย ร่างตรงหน้ากลับตึงเครียดทันตา เขาได้ยินเสียงถอนหายใจเบา ๆ ก่อนที่จื่ออายเหอจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“หยุดเถอะ เฮ่อเหลียนเอี้ยนไม่ต้องแตะต้องข้า”
เขาชะงักไปทันที กลืนคำแก้ตัวกลับลงไปในลำคอ ในใจปั่นป่วนราวถูกเข็มนับร้อยทิ่มแทง เขารู้ดีว่าตนเองมิอาจเอาชนะความรู้สึกนี้ได้ง่าย ๆ ต่อให้บอกตัวเองให้ลืม ต่อให้พยายามหลีกหนี แต่ยิ่งห่างไกล ยิ่งโหยหา
เขาหลุบตาลง พึมพำอย่างอ่อนแรง
“ข้ารักท่านนะ จื่ออายเหอไม่ว่าจะต้องถูกลงโทษอีกกี่ครั้ง ข้าก็ยังรักท่านอยู่ดี…”
อาจารย์ไม่ตอบ ไม่มีคำปลอบโยน ไม่มีแม้แต่เสียงถอนหายใจมีเพียงความเงียบที่โอบล้อมทั้งสองไว้ และความห่างไกลที่ไม่มีวันข้ามพ้นระหว่างศิษย์กับอาจารย์
ในยามเช้าที่สายหมอกยังไม่จางหาย แสงแดดยามรุ่งอรุณเพิ่งสาดผ่านบานหน้าต่าง เฮ่อเหลียนเอี้ยนตื่นขึ้นจากฝันแสนอ่อนไหว ใบหน้าขาวเนียนซบลงบนบ่าอุ่นของผู้เป็นอาจารย์ มือเรียวกระชับอ้อมแขนราวกับกลัวว่าความอบอุ่นนี้จะหลุดลอยไปกับแสงเช้า
“อาจารย์…” เขาพึมพำเสียงเบา ริมฝีปากเกือบจะแตะลงบนผิวกายที่คุ้นเคย
เขาไม่ถูกผลักไสออกไปเหมือนครั้งก่อน หน้าอกเต้นระรัวจนเขาไม่แน่ใจว่านี่คือความจริง หรือเพียงเงาแห่งความฝันที่หัวใจเขาวาดขึ้นเอง
“อาจารย์ยอมให้ข้าอยู่ใกล้แล้วใช่ไหม” เฮ่อเหลียนเอี้ยนพูดพลางเงยหน้าขึ้น ดวงตาทอแววแห่งความหวังอันเปราะบาง
จื่ออายเหอมิได้ตอบในทันที เพียงแค่หลุบตาลงอย่างนิ่งสงบ สีหน้ามิได้ต่อต้าน หากแต่แฝงไว้ด้วยความสับสนบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
เฮ่อเหลียนเยี่ยนสัมผัสได้ถึงลมหายใจแผ่วเบาที่ไล้ผ่านต้นคอ
ในยามที่ไม่มีคำพูดใดเอื้อนเอ่ย ความเงียบกลับทอประกายแน่นหนา กว่าทุกเสียงในโลกเขาเอื้อมมือไปอย่างแผ่วเบา นิ้วมือของเขาแตะเพียงปลายนิ้วของอาจารย์สัมผัสนั้นเบายิ่งกว่าหยาดหมอก ทว่ากลับสะเทือนถึงก้นบึ้งของหัวใจ
“ข้าไม่ต้องการสิ่งใดจากท่านเลย แค่ได้อยู่ใกล้เพียงเท่านี้ ก็พอแล้ว” น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนยิ่งกว่าสายลมฤดูใบไม้ผลิ ทว่าในใจกลับหนักแน่นยิ่งกว่าภูผา
จื่ออายเหอนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือขึ้น ลูบศีรษะของเขาอย่างอ่อนโยนนิ้วเรียวไล้ผ่านเส้นผมดุจสายน้ำอุ่นในค่ำคืนอันหนาวเหน็บ
“เจ้าคือเด็กคนนั้นที่ข้าเคยเก็บมาเลี้ยงด้วยความสงสารแต่ตอนนี้ กลับกลายเป็นเจ้าที่ทำให้ข้าไม่อาจละสายตาได้อีกต่อไป”
น้ำเสียงนั้นไม่มีทั้งความเด็ดขาดหรือเยือกเย็น มีเพียงความอ่อนล้าเจือแววอ่อนโยนราวกับเขาเองก็ตกหลุมฝันนี้เข้าแล้วเช่นกัน
เฮ่อเหลียนเยี่ยนไม่พูดอะไรอีก เขาเพียงหลับตาลงซบใบหน้าแนบกับอกของอาจารย์ ฟังเสียงหัวใจที่เต้นในจังหวะเดียวกับตน ห้วงเวลานั้นคล้ายถูกกลั่นจากความปรารถนาที่ไร้เดียงสา และแม้จะรู้ว่าทุกอย่างคือเพียงฝัน…
เขาก็ยังอยากให้ฝันนี้อยู่กับเขาให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
สีหน้าของเจ้ามังกรแดงดูเลื่อนลอยราวกับยังจมอยู่ในความฝันของตนเอง แต่ไม่ว่าเขาจะเข้าใจอะไรผิดไปอย่างไร จื่ออายเหอก็ไม่มีทางยอมรับว่า เขาเองก็ฝันเห็นเรื่องเดียวกัน ไม่อย่างนั้น เจ้ามังกรนั่นคงหัวเราะเขาไปตลอดชีวิตแน่
เพียงแค่เปลี่ยนความคิดเล็กน้อยจื่ออายเหอก็ปรับสีหน้าให้กลับมาเรียบเฉยดังเดิม ก่อนจะเอ่ยเสียงนิ่ง
“ฝันอะไรกัน? เมื่อคืนนี้เจ้าวุ่นวายอยู่จนดึกดื่น เช้าตรู่ยังไม่ทันสว่างดีก็มาตะโกนโหวกเหวก ข้าจะมีเวลาฝันได้อย่างไร”
“ไม่ได้ฝันก็ดีแล้ว ฝันมากไปมันไม่ดีต่อร่างกาย ท่านหิวไหม? พวกเรากินอะไรกันหน่อยดีไหม”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเบา ๆ เขาจึงหันไปสั่งให้คนเตรียมอาหารค่ำไว้
ทว่าความสงสัยยังคงติดอยู่ในใจของจ้าวมังกรแดง
ก่อนหน้านี้ข้าเรียกจื่ออายเหอว่า “อาจารย์” อยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่โดนตำหนิเลยสักคำ ซึ่งไม่ใช่ลักษณะนิสัยของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าไม่เคยฝันถึงเรื่องในวัยเด็กเลยสักครั้ง ความฝันเมื่อคืนจึงไม่น่าใช่ของเขา หากแต่ในฝันนั้น จื่ออายเหอสามารถบงการสายลมและฝนได้ตามใจปรารถนา พลังลมปราณป้องกันตัวยิ่งใหญ่จนไม่มีสิ่งใดทะลวงผ่านได้ นี่มันต้องเป็นฝันของจื่ออายเหอเองแน่นอน
มังกรแดงขบคิดอย่างหงุดหงิด
“ไม่อยากจะเชื่อเลย ในฝันของเขา ข้าตัวเล็กขนาดนั้นเชียวหรือ? ข้าเล็กตรงไหนกัน?”
สายตาของเขาเหลือบมองต่ำลงเล็กน้อย ใบหน้าทั้งขัดใจทั้งเขินลามไปถึงใบหู
เขายังพยายามไขว่คว้าหัวใจของจื่ออายเหออยู่ยิ่งนานยิ่งเหมือนเดินอยู่บนเส้นด้ายที่แกว่งไกวระหว่างหวังกับสิ้นหวัง
ด้านหนึ่งก็โล่งใจ ที่อย่างน้อยในความฝันนั้น จื่ออายเหอยังเลือกให้เขาอยู่ข้างกาย รับเขาเป็นศิษย์ ไม่ได้ผลักไสหรือทอดทิ้ง
แต่มองอีกแง่ก็ปวดใจพอ ๆ กัน เพราะศิษย์ ก็คือศิษย์ จะให้ปีนขึ้นมาเป็นคู่ใจได้ยังไง?
ก็เข้าใจแหละ ว่าคนอย่างจื่ออายเหอน่ะ ใครมันจะกล้าหวังสูงถึงขนาดนั้น? เขาเป็นชายผู้เฉยชา ยึดมั่นในหลักธรรมะ ยิ่งกว่าหินที่ฝนด้วยน้ำก็ยังไม่สึก
ถ้าในวันนั้นเขาไม่ได้พลัดหลงไปติดอยู่บนเกาะร้าง แล้วบังเอิญเจอคนผู้นั้นเข้า บางทีตลอดชั่วชีวิต พวกเขาก็คงเป็นแค่คนแปลกหน้าในสำนักเดียวกันที่ไม่มีวันได้พูดคุย ไม่มีวันได้สบตา
ในชีวิตจริง จอมมังกรแดงผู้นี้มีทั้งพลัง ทั้งเกียรติยศ ขี่อยู่เหนือฟ้า เผชิญหน้ามังกรโลหิตได้โดยไม่กระพริบตา ทุกผู้คนต่างยอมก้มหัวต่ออำนาจของเขา
และสุดท้ายเขาก็ใช้ความซื่อสัตย์ดื้อรั้นแบบสัตว์เลื้อยคลานของตัวเอง ค่อย ๆ เอาชนะใจอาจารย์ผู้ไม่เคยอ่อนข้อให้ความรัก คนที่ต้านทานความรู้สึกเก่งยิ่งกว่ากันซึบาระผสมยันต์สะกดใจ
แต่ในความฝันนั้นเขากลับกลายเป็นแค่มังกรแดงน้อยที่คุกเข่าอ้อนวอนอยู่เป็นร้อยปี ร้องไห้ก็แล้ว ถูกผลักไสก็แล้ว แต่ก็ยังดื้อดึงอยู่กับที่ ไม่ยอมไปไหน
น่าขันใช่ไหม?
เขาอยากจะหัวเราะเยาะตัวเองให้ดังก้องสะเทือนฟ้า ว่านี่เขามีค่าพอจะเป็นพระเอกของเรื่องนี้อยู่หรือเปล่าวะ!?
ช่างมันเถอะอย่าคิดมากเลย อย่างน้อยตอนนี้จื่ออายเหอก็ยังอยู่ตรงหน้า อยู่จริง ไม่ใช่แค่เงาฝันที่เอื้อมเท่าไรก็ไม่ถึง
แค่คิดว่าวันนี้เขายังยอมอยู่ข้างกัน ยังยอมให้นั่งมอง แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
เขาไม่อยากฝันซ้ำแบบนั้นอีกไม่ว่าจะเป็นฝันที่ถูกผลัก ถูกตี หรือแย่ที่สุดถูกเมินเฉย เหมือนไม่มีตัวตน
ไม่เอาแล้ว คืนเดียวก็ไม่เอา ไม่เอาร้อยปีแห้งเหี่ยวที่ไม่อาจสัมผัสคนที่รัก และในจังหวะที่เขากำลังพยายามกลืนทุกอย่างลงไปพร้อมลมหายใจ
กลิ่นหอมอ่อนจางก็ลอยแตะปลายจมูก กลิ่นนี้บางเบากว่าความหวังของคนแอบรัก แต่แค่ได้กลิ่น ก็เหมือนมีใครคว้าเขาขึ้นมาจากใต้น้ำ ทำให้หายใจได้อีกครั้งหลังจมอยู่นานแสนนาน
มันไม่ใช่กลิ่นน้ำหอมไม่หวาน ไม่ฉุน ไม่มีดอกไม้ ไม่มีผลไม้ แต่มันสงบเหมือนสายหมอกยามเช้าบนยอดเขาที่ไม่มีใครเอื้อมถึง
หายาก และงดงาม อย่างเงียบงันเฮ่อเหลียนเยี่ยนหลุดหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่ไม่ได้มีเรื่องให้ขำ
“ให้ตายเถอะ แค่กลิ่นยังทำให้ข้าคลั่งได้ขนาดนี้” เขาบ่นกับตัวเอง พลางยิ้มเจื่อน
“ถ้าต้องฝันแบบนั้นทุกคืน ข้าอาจต้องขอร้องสวรรค์ให้เอาหัวใจข้าไปเสียทีก่อนที่มันจะพังลงต่อหน้าจื่ออายเหอ”
ขอวิงวอนด้วยหัวใจขอเป็นหนึ่งเดียวกับท่านยามอรุณขึ้นเหนือผืนเมฆา แสงอาทิตย์ที่สะท้อนบนเกล็ดมังกรแดงสาดประกายราวอัญมณีจากแดนสวรรค์ยอดเขาเซียนในเช้านี้อบอวลด้วยพลังอำนาจของจ้าวมังกรแดงเฮ่อเหลียนเยี่ยนผู้กลายเป็นหนึ่งในห้าผู้ปกครองแดนเซียนรุ่นใหม่ ทว่าในแววตาสีเพลิงคู่นั้น ไม่มีความภาคภูมิ ไม่มีชัยชนะมีเพียงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ที่จะ ได้รักเขาก้าวผ่านทะเลหมอกไปยังศาลากลางสระบัว ซึ่งจื่ออายเหอกำลังรินน้ำชาอยู่เงียบ ๆเส้นผมยาวของอาจารย์ปลิวแผ่วกับลมเช้า ชุดขาวสะอาดดุจหิมะไม่มีมลทิน ใบหน้างดงามเกินกว่าคำเรียบใดจะบรรยายเมื่อเสียงก้าวเท้าดังขึ้นเบื้องหลัง จื่ออายเหอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย“เจ้ามาช้า” น้ำเสียงเรียบ แต่ไม่เย็นชาเฮ่อเหลียนเยี่ยนยิ้ม“แต่ข้าไม่ได้มาในฐานะศิษย์อีกต่อไปแล้ว”เขายื่นมือออกไป และในวินาทีนั้นดอกบัวทั่วสระเบ่งบานพร้อมกันราวต้องมนตร์สายลมหยุดพัด เมฆเหนือศีรษะเรียงตัวกลายเป็นมังกรแดงยิ่งใหญ่โอบล้อมศาลาไว้ ดวงตาทุกคู่ทั่วเขาเซียนเงยขึ้นอย่างตะลึงงัน“จื่ออายเหอ” เสียงของเขาดังแน่น ชัดเจนกว่าทุกครั้งในชีวิต“ตลอดหลายร้อยหลายพันปี ข้าเฝ้ามองท่าน เฝ้ารักท่านอย่างเงียบงัน
จ้าวมังกรแดงเดินมาหยุดอยู่หน้าเตาหอม เอียงคอเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเขี่ยขี้เถ้าเบา ๆ กลิ่นหอมบางเบายังลอยวนในอากาศจนปลายจมูกกระตุกเล็กน้อย“ฝันจะเหมือนจริงขนาดนี้ มันต้องมีอะไรแปลก ๆ แน่” เขาพึมพำกับตัวเอง สีหน้าไม่ไว้วางใจนักเมื่อคิดย้อนถึงตอนที่ จ้าวมังกรเหลือง เคยเอายาแปลก ๆ มาให้ทดลอง แล้วทั้งเกาะห้าจักรก็กลายเป็นโรงละครกลิ่นหอมเคลิ้มฝัน ขนาดเขาเองยังเผลอเข้าใจผิดว่า เสี่ยวเจ๋อ คือ จ้าวมังกรโลหิต แถมเกือบจะทำเรื่องหน้าแตกในที่ประชุมใหญ่ ดีไม่ดีศักดิ์ศรี "จอมมังกรแดงผู้เย่อหยิ่ง" อาจพังพินาศไปทั้งเผ่าเขาถลึงตา กัดฟันกรอด“ต้องเป็นฝีมือเจ้ามังกรเหลืองแน่! พรุ่งนี้ข้าไปเขย่าให้หัวหลุดเลยคอยดู!”แต่พอหันหลังกลับมาก็เห็น จื่ออายเหอ นั่งจิบชาอยู่ตรงขอบเตียง แสงแดดอ่อนยามเช้าตกกระทบเส้นผมสีเงินยาวจนเปล่งประกาย รอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของอีกฝ่ายเย็นตาแต่กลับอุ่นใจอย่างประหลาดหัวใจของมังกรแดงสะดุดไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ความคิดจะทันตั้งตัว ร่างก็พุ่งเข้าไปอย่างไวกว่าใจ“อายเอ๋อร์~” เขาเรียกเสียงยานคางอย่างเอาใจ พร้อมกระโดดเข้ากอดอีกฝ่ายเต็มรัก“อ๊ะ ระวัง—”เสียงของจื่ออายเหอขา
ศิษย์ทั้งสี่ของจื่ออายเหอล้วนมีถ้ำพำนักของตัวเองหากไม่มีปัญหาในการฝึกฝน ก็แทบไม่กลับขึ้นเขามามีเพียงเมื่อประสบอุปสรรคในวิถีบำเพ็ญเท่านั้นจึงจะมาขอคำชี้แนะจากอาจารย์วันที่จื่ออายเหอยอมรับเฮ่อเหลียนเยี่ยนเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ เขาก็เตรียมถ้ำพำนักให้เจ้ามังกรแดงตัวน้อยทันที ให้แยกไปใช้ชีวิตอยู่ด้านนอก เช่นเดียวกับศิษย์พี่คนอื่น ๆแต่เฮ่อเหลียนเยี่ยนกลับส่ายหัวรัว ๆ ไม่ว่าจะพูดหว่านล้อมอย่างไร ก็ไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น เขาดื้อดึงจะอยู่กับอาจารย์ให้ได้แม้แต่เมื่อศิษย์พี่แซวเขาว่า “ยังไม่รู้จักโต” เขาก็ทำแค่หน้าแดง แล้วไม่ตอบโต้สักคำ จื่ออายเหอเห็นว่าจิตใจของเขายังเยาว์นัก สุดท้ายก็ยอมให้เขาพักอยู่ห้องถัดไปตามใจภายนอกเฮ่อเหลียนเยี่ยนยังดูไร้เดียงสาเหมือนเดิม แต่ภายในกลับรู้ตัวดีว่าหลังจากกอดครั้งนั้น หัวใจของเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...เมื่อก่อนแม้จะรู้ดีว่าอาจารย์ของตนงดงามเพียงใดเส้นผมสีเงินยาวสลวยประหนึ่งสายธารเยือกเย็น ดวงตาสีน้ำเงินอ่อนราวแสงจันทร์ที่สะท้อนจากหิมะ ปลายนิ้วเรียวยาว ผิวขาวดุจหยกเนื้อดี แถมยังมีท่วงท่าที่สงบนิ่งจนเหมือนหลุดมาจากภาพวาดโบราณแต่ความรู้สึกในตอนนั้น ก็เป็นเ
จื่ออายเหอกดเมฆที่เขาขี่อยู่ให้ต่ำลง ก่อนจะร่อนลงจากกลางอากาศอย่างสง่างาม เสื้อคลุมปลิวไสวขณะก้าวช้า ๆ เข้าสู่ประตูภูเขาเหล่าเซียนน้อยผู้เฝ้าประตูเห็นว่าเป็นเขา จึงโค้งคำนับอย่างเคารพพร้อมกล่าวเสียงพร้อมกันว่า“คารวะท่านเซียนจื่อ!”จื่ออายเหอชะงักเล็กน้อย คล้ายรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ทว่าเพียงขยับจิตเล็กน้อยก็จำได้ว่าตนเองคือศิษย์แห่งสำนักจื่ออวิ๋นสำนักจื่ออวิ๋นเป็นหนึ่งในสำนักใหญ่แห่งวงการเซียน แม้เขาจะเพิ่งเข้าสู่หนทางเซียนได้ไม่นาน แต่ด้วยพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมทำให้เขาทะลวงถึงขั้นหยวนเสินในเวลาอันสั้น ไม่เพียงมีบทบาทสำคัญในสำนักเท่านั้น แต่ยังเป็นบุคคลระดับแนวหน้าของโลกเซียนอีกด้วยเมื่อเผชิญกับสายตาเคารพศรัทธาของเหล่าศิษย์ จื่ออายเหอก็ยิ้มบาง ๆ พร้อมพยักหน้ารับครั้งนี้เขาเพิ่งกลับจากการฝึกฝนภายนอก กำลังจะขึ้นยอดเขาหลักเพื่อส่งภารกิจแต่จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากในป่า เขาเหลือบมองไปอย่างไม่ใส่ใจนัก ทว่ากลับรู้สึกถึงกลิ่นอายอสูรจาง ๆ ลอยออกมาจึงรู้ทันทีว่าคงเป็นพวกผู้ฝึกฝนอสูรในสำนัก ต่างจากสำนักอื่น สำนักจื่ออวิ๋นไม่เข้มงวดในการคัดศิษย์ ขอเพียงจิตใจไม่ชั่วร้ายไม่ว่