"อะแฮ่ม ๆ" ฉู่เฉินกระแอมไอเบา ๆ "อาจารย์ไปกินข้าวที่โรงเตี๊ยมกับสหาย เจอคนร้ายบังคับผู้หญิง โมโหเลยทำโรงเตี๊ยมพัง""ที่ท่านรีบอยากได้เงิน เพราะต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โรงเตี๊ยมสินะ?" เจียงซุ่ยฮวนถามเขาลูบจมูก พูดอย่างละอายใจ "ใช่ อาจารย์ไม่มีเงินชดใช้ เลยต้องทิ้งสหายไว้ที่โรงเตี๊ยมล้างจาน อาจารย์ต้องไปไถ่เขากลับมา""..." เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกจนใจ และสงสารสหายของเขามากเจียงซุ่ยฮวนมองฉู่เฉินที่จ้องตาปริบ ๆ พูดว่า "ข้าไม่ได้พกเงินมามากขนาดนั้น รอลงเขาแล้วค่อยให้""ก็ได้" ฉู่เฉินตอบอย่างหมดอาลัยประตูห้องข้าง ๆ เปิดออก ฮูหยินเสวียร้องอย่างตื่นเต้น "เสวียหลิงฟื้นแล้ว!"เจียงซุ่ยฮวนก้าวยาว ๆ เข้าไปในห้อง เห็นเสวียหลิงนั่งบนเตียงนวดคอ ก้มหน้าไม่รู้กำลังคิดอะไร"ลูก เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือ?"อธิบดีกรมอาญาวางมือบนไหล่เสวียหลิง แต่ถูกเสวียหลิงผลักออก เสวียหลิงพูดอย่างโกรธเกรี้ยว "อย่าแตะตัวข้า!"ฮูหยินเสวียเห็นภาพนั้น เสียใจจนร้องไห้อีก "องค์ชายตงเฉิน ทำไมลูกข้าถึงไม่กลับเป็นเหมือนเดิมเล่า"ฉู่เฉินพูด "ข้าไม่ได้บอกว่าลูกท่านจะกลับเป็นเหมือนเดิมนะ ข้าแค่บอกว่าเขาจะฟื้นความทรงจำบางส่วน เขาโ
ฉู่เฉินอธิบายอย่างจริงจัง "ธาตุแท้ของเสวียหลิงถูกคุณไสยกดไว้ หากจะพูดให้ถูกต้อง ตอนนี้เขาไม่ใช่ลูกของท่านแล้ว"เสวียหลิงแสดงสีหน้าบิดเบี้ยว กำกริชแน่น ฟันเข้าใส่อธิบดีกรมอาญาที่อยู่ใกล้ที่สุด ในยามนี้เขาเกือบคลุ้มคลั่ง ไม่สนใจว่าคนข้าง ๆ เป็นใคร เขาแค่อยากเห็นเลือดฉู่เฉินหยิบช้อนบนโต๊ะขึ้นมา ฟาดที่ข้อมือเสวียหลิง แรงของเขาพอเหมาะ ทำให้เสวียหลิงปล่อยมือแต่ไม่ถึงกับทำให้เส้นเอ็นขาดหลังจากกริชในมือเสวียหลิงร่วงลง อธิบดีกรมอาญาคว้ากริชแล้วถอยหลังสองก้าวอย่างรวดเร็ว ถอนหายใจหนัก "แม้เขาจะเสียสติ แต่ทำไมถึงอยากฆ่าพวกเราด้วยเล่า""ข้านึกออกแล้ว!" ฉู่เฉินเคาะศีรษะ พูดว่า "คนที่ถูกคุณไสยเลือด เลือดในร่างกายจะน้อยลงเรื่อย ๆ เขาจึงกระหายที่จะเห็นเลือดสด!"เจียงซุ่ยฮวนมองเสวียหลิงที่คลุ้มคลั่ง กัดฟันพูด "ดูท่าต้องใช้วิธีสุดท้ายแล้ว"นางหันไปพูดกับฉู่เฉิน "ท่านไปมัดเสวียหลิงไว้"ฉู่เฉินกระโดดถอยหลัง "ทำไมต้องเป็นข้า?"นางย้อนถาม "ท่านลองดูคนในห้องนี้สิ นอกจากท่านแล้วใครจะทำภารกิจนี้ได้?""เอ่อ..."ฉู่เฉินมองรอบ ๆ ท่านแม่ของเสวียหลิงกุมอก ร้องไห้จนเกือบสลบ ใช้ไม่ได้ อธิบดีกรมอาญาสุภาพอ่อ
เสวียหลิงพยายามดิ้นรน แต่ทั้งมือและเท้าถูกมัดไว้ เขาทำได้แค่แหงนหน้า พยายามจะคายสิ่งที่อยู่ในปากออกมาเขาไม่รู้ว่าเจียงซุ่ยฮวนให้เขากินอะไร แต่สัญชาตญาณบอกให้ต่อต้านเจียงซุ่ยฮวนเพื่อป้องกันไม่ให้เขาคายน้ำสัจจะออกมา จึงใช้มือขวาบีบคางเขายกขึ้นเบา ๆ น้ำสัจจะก็ไหลลงคอไปเขาไอรุนแรง เงยหน้าจ้องเจียงซุ่ยฮวน ถามเสียงกร้าว "เจ้าให้ข้าดื่มอะไร?""ของที่จะทำให้เจ้าพูดความจริง" เจียงซุ่ยฮวนยิ้ม "เสวียหลิง ข้ากำลังช่วยเจ้า พอเจ้าสร่างแล้วจะต้องขอบคุณข้าแน่"เสวียหลิงยังอยากถามว่าทำไม จู่ ๆ ก็รู้สึกมึนงง สายตาพร่าเลือนเจียงซุ่ยฮวนโบกมือตรงหน้าเขา ถามว่า "เจ้าชื่ออะไร?"เขาตอบหน้าตาเรียบเฉย "เสวียหลิง"เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้า ดูท่าน้ำสัจจะออกฤทธิ์แล้วนางลากเก้าอี้มานั่งตรงหน้าเสวียหลิง ถามต่อ "ตอนที่เจ้าล่าสัตว์ในป่า เกิดอะไรขึ้น?"ม่านตาของเสวียหลิงกระตุก ดูเหมือนกำลังนึก ครู่หนึ่งเขาก็พูดช้า ๆ "ข้าล่าสัตว์อยู่ในป่า บังเอิญได้ยินคนคุยกัน ข้าเดินเข้าไปจะฟังให้ชัด แต่ถูกจับได้"เจียงซุ่ยฮวนถาม "ถูกใครจับได้""ข้าไม่รู้ เห็นแค่คนชุดดำสองคนพุ่งออกมาจากป่า พวกเขาจับตัวข้า ใช้ธูปมึนเมาทำให้ข
ท่านแม่ของเสวียหลิงและอธิบดีกรมอาญาส่ายหน้าพร้อมกัน "ไม่ทราบ"เจียงซุ่ยฮวนเบ้ปาก "ดูท่าพวกแมงป่องพิษนี่จะลึกลับพอสมควร"นางลุกขึ้นพูดกับคนอื่น ๆ "ข้าจะสรุปเหตุการณ์ให้ฟัง เสวียหลิงได้ยินแมงป่องพิษสนทนากับคนอื่นในป่า เมื่อถูกจับได้ แมงป่องพิษจึงส่งองครักษ์ลับมาทำให้เขาสลบ ใช้คุณไสยเลือดกับเขา และทำแผลที่หน้า สร้างภาพว่าถูกสัตว์ร้ายทำร้าย"ฉู่เฉินปรบมืออย่างอดไม่ได้ "สรุปได้ตรงประเด็นมาก"ท่านแม่ของเสวียหลิงฟังอย่างงุนงง ถามอย่างสงสัย "เช่นนั้นเจ้าหมายความว่า แมงป่องพิษทำร้ายลูกข้าถึงเพียงนี้ เพื่อปิดปากเขาหรือ?""อืม"ท่านแม่ของเสวียหลิงยกแขนเสื้อปิดหน้าสะอื้น "แล้วตอนนี้จะทำอย่างไร? พูดมามากมาย ก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนใช้คุณไสยกับลูกข้า หากหาตัวผู้ใช้คุณไสยไม่ได้ ลูกข้าก็ต้องเป็นแบบนี้ไปอีกหลายสิบปี!"ฉู่เฉินพูดแทรกขึ้นมา "พูดให้ถูกนะ ถ้าไม่ถอนคุณไสยในตัวลูกท่าน อย่างมากก็มีชีวิตอยู่ได้แค่ครึ่งปี"ท่านแม่ของเสวียหลิงได้ยินเช่นนั้น ก็ร้องไห้หนักกว่าเดิม อธิบดีกรมอาญาถอนหายใจ โอบนางไว้ในอ้อมแขนปลอบประโลมเจียงซุ่ยฮวนรู้สึกหมดคำพูดกับความตรงไปตรงมาของฉู่เฉิน นางมองท่านแม่ของเสวียห
เจียงซุ่ยฮวนชักมือกลับ บ่นว่า "มีเหตุผลหน่อยสิ นี่มันทองคำนะ แค่แตะจะพังได้อย่างไร?"ฉู่เฉินทำเป็นไม่ได้ยิน เขาฟาดฝ่ามือใส่เสวียหลิงจนสลบ แล้วแก้เชือกที่มัดตัวเสวียหลิงออกจากนั้นก็หยิบเข็มทองสิบเล่มจากกล่อง ปักลงที่ขมับทั้งสองข้างและปลายแขนขาของเสวียหลิง ริมฝีปากซีดของเสวียหลิงค่อย ๆ กลับมาเป็นสีแดงสดอย่างเห็นได้ชัดเจียงซุ่ยฮวนตาโต เข็มวิเศษขนนกทองนี้ช่างมหัศจรรย์จริง ๆ อดอิจฉาไม่ได้ ถ้านางมีสักชุดคงดีฉู่เฉินตบมือ หันไปพูดกับฮูหยินเสวียและอธิบดีกรมอาญา "แม้จะแก้วิชาคุณไสยในตัวเสวียหลิงไม่ได้ แต่ช่วยให้เลือดในตัวเขาไหลออกช้าลง แต่ละวันจะมีช่วงที่รู้สึกตัวสั้น ๆ"ฮูหยินเสวียดีใจจนน้ำตาไหล "ดีจังเลย""ลูกข้าจะรู้สึกตัวนานแค่ไหนในแต่ละวัน?" อธิบดีกรมอาญาถาม"น้อยสุดเท่าธูปหนึ่งดอก มากสุดสองชั่วยาม" ฉู่เฉินยักไหล่ "ตอนนี้ข้าก็ยังบอกแน่ไม่ได้"เจียงซุ่ยฮวนถามจากด้านข้าง "ในเมื่อท่านมีวิธี ทำไมเมื่อกี้ไม่บอก?"ฉู่เฉินตอบอย่างหน้าตาเฉย "ได้เงินเท่าไหร่ก็ทำงานเท่านั้น เมื่อกี้พวกเขาไม่ได้บอกว่าจะให้เงิน ข้าก็ไม่อยากเอาเข็มวิเศษขนนกทองที่เก็บสะสมไว้ออกมาหรอก"สีหน้าฮูหยินเสวียเปี่ยม
เจียงซุ่ยฮวนนึกภาพตัวเองอยู่กับอาจารย์ไม่ออกเลย ถึงขั้นขนลุกซู่ เมื่อเห็นสายตาของท่านแม่เสวียหลิง นางถึงกับพูดอธิบายไม่ออก ได้แต่รีบหนีออกมาจากที่นั่นเมื่อนางกลับมาถึงเรือนของตน ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว สองวันนี้อากาศยิ่งหนาวเย็น ใบไม้บนต้นไม้ใหญ่ในลานเรือนร่วงเกือบหมดแล้วชุนเถายืนตัวสั่นอยู่หน้าประตูห้อง อุ้มปิ่นโตไว้ในอ้อมแขน เมื่อเห็นเจียงซุ่ยฮวนก็วิ่งมาอย่างดีใจ "หมอหลวงเจียง ท่านกลับมาเสียที ข้ารอท่านทั้งวันแล้ว"นางยกปิ่นโตในอ้อมแขน "อาหารในปิ่นโตนี้ ข้าอุ่นใหม่หลายรอบแล้ว"เจียงซุ่ยฮวนเห็นใบหน้าเล็ก ๆ แดงก่ำด้วยความหนาว จึงถาม "นางกำนัลคนอื่นใส่เสื้อผ้าหนา ๆ กัน เหตุใดเจ้าจึงใส่บางเช่นนี้?"นางเขินอายถูจมูก "ป้าบอกว่าข้ากินมากกว่าคนอื่น ดังนั้นนุ่นที่ใช้ทำเสื้อผ้าจึงต้องน้อยกว่าคนอื่นหน่อย""ช่างไร้เหตุผล" เจียงซุ่ยฮวนจูงชุนเถาเข้าห้อง ล้วงเศษเงินจากถุงเงินยัดใส่มือชุนเถา "เจ้าเอาเงินนี้ไปซื้อเสื้อผ้าหนา ๆ สองชุดที่โรงทอผ้า"สาวใช้น้อยคนนี้ดีกว่าสองคนก่อนมาก เจียงซุ่ยฮวนไม่อยากเห็นนางตายเพราะความหนาว"ขอบคุณหมอหลวงเจียง!" ชุนเถาดีใจเก็บเงิน อุ้มปิ่นโตจะวิ่งออกไป "ข้าจะไปอุ
เจียงซุ่ยฮวนนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดว่า "ได้ยินว่างานล่าสัตว์ครั้งนี้ไม่ราบรื่น ตอนแรกข้าไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเกิดเรื่องติด ๆ กันจริง ๆ"ดวงตากู้จิ่นวาบขึ้นด้วยความแปลกใจ ถามว่า "เจ้าได้ยินจากใคร?""หมอหลวงคนหนึ่งบอกมา เขาว่าโหรหลวงทำนายจากดวงดาวในยามราตรี" เจียงซุ่ยฮวนตอบตามตรงม่านตากู้จิ่นหม่นลง ในเมื่อเป็นสิ่งที่โหรหลวงทำนายได้ พี่ชายต้องรู้เรื่องนี้แน่ แล้วทำไมถึงไม่บอกเขา?"ข้าต้องไปพบพี่ชาย" เขาหันตัวกะทันหัน เดินเร็ว ๆ ออกไปข้างนอกเจียงซุ่ยฮวนลังเลครู่หนึ่ง พอดีชุนเถาต้มยาฝ่าบาทเสร็จแล้ว นางจึงถือถ้วยยาวิ่งตามไป "ข้าไปด้วย จะได้ดูว่าฝ่าบาททรงบาดเจ็บหนักหรือไม่"นางชูถ้วยยาในมือ "แล้วก็จะได้ส่งยาแก้นอนไม่หลับของฝ่าบาทด้วย"กู้จิ่นก้มมองนาง แม้หมอหลวงเมิ่งจะทำแผลให้ฝ่าบาทแล้ว แต่เห็นความห่วงใยในดวงตานาง กู้จิ่นจึงไม่ห้าม แต่ใช้มือข้างที่ไม่บาดเจ็บรับถ้วยยามา "ร้อนเกินไป ข้าถือเอง"ทั้งสองเดินผ่านตำหนัก เจียงซุ่ยฮวนตั้งใจก้มหน้าเดินตามหลังกู้จิ่น ดูหวาด ๆด้วยวิธีนี้ แม้จะมีคนเห็นนางเดินตามหลังกู้จิ่น ก็จะไม่คิดว่าพวกเขามีอะไรกัน แต่จะคิดว่านางเพิ่งโดนกู้จิ่นดุมา เ
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ "หมอหลวงเจียงช่างมีน้ำใจนัก"นั่นคือการอนุญาต เจียงซุ่ยฮวนก้าวไปข้างหน้า ก่อนอื่นจับชีพจรฮ่องเต้ก่อน แล้วทูลว่า "ยังดีที่ไม่มีการบาดเจ็บภายใน ตอนตกลงมาฝ่าบาทบาดเจ็บตรงไหนบ้างเพคะ"ฮ่องเต้เลิกผ้าห่ม ชี้ไปที่ผ้าพันแผลบนพระบาทขวา ตรัส "เมื่อเราตกลงมากระแทกที่เท้า หมอหลวงเมิ่งได้พันแผลให้แล้ว""เมื่อเราไม่มีการบาดเจ็บภายใน หมอหลวงเจียงก็กลับไปได้"แต่เจียงซุ่ยฮวนพลันสังเกตว่า ตั้งแต่นางเข้ามา ฮ่องเต้ทรงใช้พระหัตถ์ขวาตลอด พระหัตถ์ซ้ายห้อยข้างพระวรกายไม่ขยับเลยนางทูลถาม "พระพาหาซ้ายของฝ่าบาทไม่สบายหรือเพคะ?"ดวงพระเนตรฮ่องเต้ฉายแววประหลาดพระทัย "เจ้ารู้ได้อย่างไร?"นางทูลตามตรง "ทูลฝ่าบาท เส้นสายพระพาหาซ้ายของพระองค์ดูผิดปกติ หากหม่อมฉันเดาไม่ผิด น่าจะหลุด""เราคิดว่าแค่เคล็ด แต่เจ้าพูดเช่นนี้ ก็คล้ายจะหลุดจริง ๆ" ฮ่องเต้ทรงลองยกพระหัตถ์ "แขนข้างนี้ไม่มีแรงเลย""หากฝ่าบาทไว้วางพระทัยหม่อมฉัน อาจให้หม่อมฉันรักษาได้" เจียงซุ่ยฮวนทูลพระเนตรฮ่องเต้เย็นวาบ แต่เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนอย่างรวดเร็ว ตรัสยิ้ม ๆ "เจ้าจิ่นไว้ใจเจ้าถึงเพียงนี้ เราย่อมเชื่อใจเจ้าเช่นกัน"เจียงซ
ชายร่างยักษ์ถูกบังคับให้เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนแทบดูไม่ออกว่าเดิมมีหน้าตาเป็นเช่นไรมิหนำซ้ำ เลือดกำเดายังไหลทะลักไม่หยุด แขนทั้งสองไร้ความรู้สึก แม้แต่จะเช็ดเลือดออกจากใบหน้ายังไม่อาจกระทำได้เขาจ้องเจียงซุ่ยฮวนด้วยสายตาเจ็บใจ “เมื่อครู่นั้น…”—พูดได้เพียงสองคำ เลือดกำเดาก็ไหลย้อนเข้าปาก เขาสะอึกแล้วถ่มถุยออกมา “แหวะ! แหวะ! ช่างน่าขยะแขยงนัก!”น้ำลายปนเลือดแทบจะพ่นใส่เจียงซุ่ยฮวน นางแสดงสีหน้ารังเกียจเดียดฉันท์ ยกมือบังคับศีรษะของเขาให้หันไปทางอัฒจันทร์น้ำลายและเลือดกระเซ็นกระจาย ผู้ชมพากันหวีดร้องหลบหนี บางคนร้องเสียงหลง โดยเฉพาะหญิงสาวในชุดชมพูผู้หนึ่งที่ทนไม่ไหว โยนผ้าเช็ดหน้าขึ้นเวที “เอาผ้านี่อุดจมูกเขาซะ ข้ายินดีให้หนึ่งพันตำลึง!”“ตกลง” เจียงซุ่ยฮวนก้มลงหยิบผ้าจากพื้น ยัดเข้าไปในรูจมูกของชายร่างยักษ์อย่างไม่ลังเลในที่สุดชายผู้นั้นก็หยุดพ่นน้ำลาย เขาพูดเสียงอู้อี้ผ่านผ้าที่ยัดจมูก “เมื่อครู่นั้นข้าแค่ประมาทไป หากเจ้ากล้าพอ จงต่อแขนข้าให้กลับเข้าที่ เราจะสู้กันใหม่!”เจียงซุ่ยฮวนทรุดกายนั่งลง บีบหัวเขาแนบพื้น “ข้ามิได้ว่างนัก หากเจ้าตอบคำถามของข้า ข้าจะ
บุรุษร่างยักษ์ร้องโอดโอย พลางยกมือกุมใบหน้า ถอยหลังเซถลาไปหลายก้าวพลันมีเสียงโห่ร้องอย่างขัดเคืองดังลั่นจากบนอัฒจันทร์“นี่มันเรื่องอะไร! ร่างกายใหญ่โตปานนี้ยังสู้หญิงไม่ได้อีกหรือ!”“ใช่แล้ว! อ่อนแอเกินไปแล้วกระมัง!”“ลุกขึ้นสิ! ข้าลงพนันหมดหน้าตักไว้กับเจ้าเลยนะ!”ดูท่าคนเหล่านี้ล้วนวางเดิมพันไว้ที่ชายร่างใหญ่ผู้นั้นทั้งสิ้นก็ไม่แปลก...ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างกันลิบลับ ใครบ้างเล่าจะเชื่อว่าสตรีอย่างเจียงซุ่ยฮวนจะชนะเขาได้ชายร่างใหญ่เช็ดมุมปากของตนเอง เห็นรอยเลือดติดปลายนิ้วก็นัยน์ตาแข็งกร้าวขึ้นมา “ดูท่าข้าคงประเมินเจ้าต่ำไปเสียแล้ว”แต่เดิมเขาเข้าใจว่านางก็เป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา ไยเลย...ผ่านไปไม่กี่กระบวนท่า ก็รู้แล้วว่านางหาใช่คนที่เขาจะประมาทได้เจียงซุ่ยฮวนบิดข้อมือเบา ๆ พลางกล่าวเย้ยหยัน “ถูกแล้ว...เจ้ามันตาบอด”ชายร่างใหญ่ลุกพรวดขึ้นจากพื้น แผดเสียงคำรามแล้วพุ่งตรงเข้าหานางด้วยแรงทั้งหมดเจียงซุ่ยฮวนเบี่ยงกายหลบไปด้านข้าง มือข้างหนึ่งยันเสาเวทีไว้แล้วดีดตัวลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะเหวี่ยงเท้าเข้าใส่ใบหน้าชายผู้นั้นอีกคราชายร่างยักษ์ล้มตึงลงกับพื้น เลือดกำเดาไห
“สู้กัน! สู้กันสิ!”“ปลุกนางให้ลุกขึ้นมา!”“อย่าเสียเวลา! เร็วเข้า ให้หล่อนลุกขึ้นมาสู้!”เจียงซุ่ยฮวนรู้สึกตัวตื่นจากเสียงอึกทึกโกลาหลรอบกาย เสียงเหล่านั้นดั่งคลื่นซัดถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน ประหนึ่ง...จะเร่งให้นาง...สู้รึ!?นางค่อย ๆ ลืมตาขึ้น พบว่าตนเองกำลังนอนคว่ำอยู่บนพื้นคล้ายลานประลอง ลานแห่งนี้เป็นวงกลม กว้างพอจะรองรับคนได้ราวสิบคนรอบลานประลองมีผู้คนมากมายนับร้อยราย กำลังส่งเสียงร้องตะโกนโห่อย่างบ้าคลั่งจากเครื่องแต่งกายดูแล้ว ล้วนเป็นบรรดาผู้มีฐานะจากเมืองหลวง สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น คำตะโกนเร่งเร้าดังไม่ขาดสายแรกเริ่ม เจียงซุ่ยฮวนยังงุนงงอยู่มาก นางเพิ่งอยู่หน้าจวนแท้ ๆ เหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้เล่า?เมื่อนางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ฝูงชนโดยรอบก็ยิ่งโห่ร้องเสียงดังกระหึ่มกว่าเดิม“เสียงหนวกหูเสียจริง”นางยกมือกุมขมับ พลางพิจารณาสภาพแวดล้อมรอบกายอย่างตั้งใจสถานที่แห่งนี้...ดูเหมือนจะคุ้นตาอยู่บ้างทันใดนั้น ดวงตาของเจียงซุ่ยฮวนเบิกโพลง ใช่แล้ว! นางจำได้ ที่นี่นางเคยมาเยือนเมื่อหลายปีก่อน เจ้าของร่างเดิมถึงกับวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนเพราะทนเห็นความโหดร้าย
ปู้กู่ถูกคานไม้ที่ถล่มลงมาทับขาจน เจ็บมีสีหน้าบิดเบี้ยวไปทั้งใบหน้า องครักษ์ลับทั้งหลายเมื่อเห็นดังนั้นจึงกรูกันเข้าไป หวังจะยกคานไม้ออกให้พ้นจากขาของเขาทว่าเปลวเพลิงยังไม่สงบลงโดยสิ้นเชิง ความเสี่ยงที่จะเกิดไฟลุกซ้ำยังมีอยู่ทุกเมื่อ จึงจำต้องแบ่งกำลังครึ่งหนึ่งไว้ดับไฟ อีกครึ่งเข้าไปช่วยปู้กู่คานไม้ที่ถล่มลงมานั้นหนักหนายิ่งนัก แถมยังร้อนจนแทบจับต้องไม่ได้ การจะยกขึ้นจึงยากเย็นนัก ปู้กู่เหงื่อเต็มหน้า พร่ำครางเสียงต่ำ “อย่าห่วงข้าเลย รีบไปช่วยคนในเรือนก่อน!”องครักษ์ผู้หนึ่งวิ่งเข้าไปดูในเรือน แล้วรีบวิ่งกลับออกมารายงาน “ในเรือน...ไม่มีใครอยู่แล้ว!”“ว่าอะไรนะ!?” ปู้กู่กัดฟันกรอด “บัดซบ! ปล่อยให้มันหนีไปได้!”เจียงซุ่ยฮวนเมื่อได้ยินว่าข้างในว่างเปล่า ทั้งโกรธทั้งโล่งใจ โกรธที่หลี่ลี่หลบหนีไปได้ แต่โล่งใจที่เขายังมีชีวิตอยู่องครักษ์ที่อยู่ข้างกายนางเอ่ยถามอย่างเกรงใจ “พระชายา ขออนุญาตไปช่วยท่านปู้กู่ก่อนจะได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”“ไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนก็เป็นห่วงปู้กู่ไม่น้อย หากปล่อยให้คานไม้นั้นกดทับอยู่นาน เกรงว่าจะยิ่งแย่ลง“ขอบพระคุณพระชายา กระหม่อมจะรีบกลับมาโดยเร็วพ่ะย่ะค่
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื