เมื่อตระหนักได้ว่าสีพระพักตร์ผิดปกติ จีกุ้ยเฟยจึงรีบเปลี่ยนสีพระพักตร์ และแกล้งถามอย่างไม่ใส่พระทัย "เช่นนี้แล้ว เจียงเม่ยเอ๋อร์ถูกแม่นมทิ้งหรือ?" "เพคะ แม่นมผู้นั้นรับใช้นายที่คลอดเจียงเม่ยเอ๋อร์แล้วไม่ต้องการ จึงสั่งให้แม่นมพานางไปฆ่า แต่แม่นมสงสาร จึงยกให้พ่อม่าย" เจียงซุ่ยฮวนพูดจนปากแห้งคอแห้ง จึงรินน้ำชาให้ตนเอง ขณะรินชา นางแอบมองจีกุ้ยเฟย เห็นพระพักตร์ของพระนางซีดขาว พระหัตถ์ทั้งสองกำแน่น พระนขาจิกเข้าไปในเนื้อก็มิได้รู้สึก มุมปากเจียงซุ่ยฮวนยกขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดก็วางใจได้ก้อนใหญ่ สำหรับจีกุ้ยเฟย เจียงเม่ยเอ๋อร์ก็เปรียบเสมือนระเบิดเวลา อาจระเบิดเมื่อใดก็ได้ แต่ก่อนจีกุ้ยเฟยไม่ทรงทราบชาติกำเนิดที่แท้จริงของเจียงเม่ยเอ๋อร์ก็แล้วไป บัดนี้ทรงทราบแล้ว ย่อมต้องลงมือกับเจียงเม่ยเอ๋อร์แน่ เจียงซุ่ยฮวนรู้ว่า กลยุทธ์ยืมมือคนอื่นสังหารของนางสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง นางรินชาเสร็จ ยกขึ้นดมที่จมูก เมื่อไม่ได้กลิ่นผิดปกติจึงจิบอย่างวางใจ แล้วค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น นางทำเป็นเพิ่งสังเกตเห็นสีพระพักตร์ผิดปกติของจีกุ้ยเฟย จึงถามอย่างตกใจ "พระสนม เหตุใดสีพระพักตร์ของพระองค์จึงซีดเช่นนี้?
บนเตียงมีคนนอนอยู่จริง ๆ ใบหน้าครึ่งหนึ่งซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม เห็นเพียงหน้าผากน้อย ๆ โผล่ออกมา เจียงซุ่ยฮวนกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว มือหนึ่งกำมีดผ่าตัดแน่น อีกมือหนึ่งหยิบสเปรย์ยาสลบจากห้องทดลอง เกรงว่านี่จะเป็นกลอุบายอีกครั้ง คนใต้ผ้าห่มราวกับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของนาง ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มไม่ขยับเขยื้อน เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยว่า "ข้าเป็นหมอหลวงที่จีกุ้ยเฟยเชิญมารักษาอาการท่าน เลื่อนผ้าห่มลงเถิด ข้าจะจับชีพจรให้" ผ้าห่มสั่นไหวเล็กน้อย คนข้างในไม่เพียงไม่เลื่อนผ้าห่มลง กลับยิ่งซุกตัวลึกลงไปใต้ผ้าห่ม พูดเสียงอู้อี้ "บ่าวไม่ขอตรวจ ท่านไปเถิด" "แน่ใจหรือ?" "แน่ใจ!" "ได้" เจียงซุ่ยฮวนไม่ซักไซ้ หมุนตัวเตรียมจากไปทันที "เช่นนั้นข้าจะไปทูลจีกุ้ยเฟยว่าเป็นเจ้าที่ไม่อยากรักษา ไม่ใช่ข้าไม่อยากรักษา" "เอ๊ะ!" คนใต้ผ้าห่มดึงผ้าห่มลง โผล่ศีรษะออกมาร้องเรียกเจียงซุ่ยฮวนไว้ เจียงซุ่ยฮวนหันกลับมาอย่างไม่แปลกใจ ดูจากการแต่งกายของคนบนเตียง เขาเป็นขันทีจริง ๆ อายุราวสามสิบกว่า หน้าตาค่อนข้างหล่อเหลา เพียงแต่สีหน้าดูอิดโรย หากไม่ดูเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ จะไม่มีทางรู้เลยว่าเป็นขันที เจียงซุ่ยฮวนจ้องม
นางปล่อยข้อมือของสวี่เหนียน หยิบแอลกอฮอล์ฉีดพ่นที่ถุงมือ แล้วเงียบ ๆ หยิบหน้ากากอีกชิ้นมาสวม "เจ้าพับแขนเสื้อขึ้น" นางพูดกับสวี่เหนียนอย่างจริงจัง สีหน้าของสวี่เหนียนแข็งค้าง ค่อย ๆ พับแขนเสื้อขึ้น เห็นแขนของเขาเต็มไปด้วยผื่นแดงขึ้นหนาแน่น ดูน่าตกใจยิ่งนัก เจียงซุ่ยฮวนขมวดคิ้วแน่น ถาม "มีอาการอื่นอีกหรือไม่?" สวี่เหนียนตอบ "เมื่อไม่กี่วันก่อน หม่อมฉันปวดศีรษะอย่างรุนแรง ไม่เพียงแค่ศีรษะ รู้สึกปวดไปทั้งร่าง ระยะนี้ดีขึ้นบ้างแล้ว เพียงแต่ผื่นแดงบนตัวยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ" "อาการเริ่มปรากฏตั้งแต่เมื่อใด?" เจียงซุ่ยฮวนหยิบกระดาษและพู่กันออกมาจด สวี่เหนียนก้มหน้าครุ่นคิด กล่าว "ประมาณสิบวันก่อน" "ก่อนหน้านั้น คนที่เจ้าติดต่อด้วยมีอาการเช่นนี้หรือไม่? หลังป่วยแล้วได้ติดต่อกับใครบ้าง?" สีหน้าเจียงซุ่ยฮวนเลวร้ายยิ่ง มือเขียนอย่างรวดเร็ว "เจ้าคิดให้ดี อย่าให้ตกหล่นแม้แต่คนเดียว" สวี่เหนียนตกใจกับท่าทีของเจียงซุ่ยฮวน ถอยหลังเล็กน้อย นึกทบทวนอย่างตื่นตระหนก "ก่อนหน้านั้นบ่าวกลับบ้านเกิดเยี่ยมญาติ ก่อนจากมาพบว่าเพื่อนบ้านมีคนเป็นผื่นแดง ตอนนั้นบ่าวก็ไม่ได้ใส่ใจ" "วันรุ่งขึ้นหม่อมฉั
เจียงซุ่ยฮวนไม่พูดจา ถอดชุดป้องกันออก แล้วหยิบแอลกอฮอล์มาฉีดพ่นตัวเองและชุดป้องกันอย่างแรง จนกระทั่งฆ่าเชื้อหมดจดแล้ว นางจึงถอนหายใจโล่งอก นางเดินไปหาทั้งสอง ถามอาเซียง "เสี่ยวหยางจื่ออยู่ที่ใด?" อาเซียงก้มหน้าไม่กล้าสบตาเจียงซุ่ยฮวน "บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ" เจียงซุ่ยฮวนโกรธเล็กน้อย "สวี่เหนียนเป็นฝีดาษ โรคนี้ติดต่อง่ายมาก เสี่ยวหยางจื่อต้องติดเชื้อแน่ หากไม่รีบควบคุมก็จบเห็น ๆ! ยังจะปิดบังอะไรกันอีก?" อาเซียงอายุยังน้อย ได้ยินเช่นนั้นก็ร้องไห้ด้วยความตกใจ "ท่านหมอเจียง บ่าวรู้เพียงว่าเสี่ยวหยางจื่อถูกลากตัวไป นอกนั้นไม่รู้อะไรเลยเจ้าค่ะ" ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังร้อนใจ เสียงของจีกุ้ยเฟยก็ดังมาแต่ไกล "อาเซียงไม่รู้จริง ๆ หากเจ้ามีคำถาม ถามข้าโดยตรงก็ได้" เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้า เห็นจีกุ้ยเฟยค่อย ๆ เดินมา ร่างโฉมงามแต่สีหน้าไม่ค่อยดี "ท่านหมอเจียง เสี่ยวหยางจื่อตายแล้ว" จีกุ้ยเฟยยืนตรงหน้าเจียงซุ่ยฮวน พูดอย่างไม่ใส่ใจ "อาการของเสี่ยวหยางจื่อหนักกว่า เป็นได้ห้าวันก็ตาย" เจียงซุ่ยฮวนขมวดคิ้ว "มีคนอื่นติดเชื้อหรือไม่?" "ไม่มี" จีกุ้ยเฟยส่ายหน้า "หลังจากเสี่ยวหยางจื่อแสดงอาการเหมือน
เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้ว กลอุบายของจีกุ้ยเฟยนับว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว ทั้งให้นางช่วยชีวิตสวี่เหนียน และสามารถกำจัดเจียงเม่ยเอ๋อร์ได้ในนามของการแก้แค้นให้นาง น่าเสียดายที่จีกุ้ยเฟยไม่รู้ว่า นางรู้เรื่องที่เจียงเม่ยเอ๋อร์เป็นธิดาแท้ ๆ ของจีกุ้ยเฟยมานานแล้ว ดังนั้นนางจึงรู้ว่า ไม่ว่านางจะตอบตกลงหรือไม่ จีกุ้ยเฟยก็จะต้องลงมือกับเจียงเม่ยเอ๋อร์อยู่ดี "ขอบพระทัยในน้ำพระทัยของพระสนม แต่ไม่จำเป็น หม่อมฉันไม่คิดจะแก้แค้นใครทั้งสิ้น" เจียงซุ่ยฮวนประนมมือเตรียมจากไป แต่ตั้งใจเคลื่อนไหวช้า ๆ จีกุ้ยเฟยโกรธจนขบพระทนต์ แต่ก็ทำอะไรเจียงซุ่ยฮวนไม่ได้ จึงต้องตรัส "เจ้ามีเงื่อนไขอะไรก็ว่ามา!" เจียงซุ่ยฮวนหยุดฝีเท้า ครุ่นคิดครู่หนึ่ง "หม่อมฉันยังคิดไม่ออก ไว้เป็นหนี้บุญคุณไว้ก่อนดีกว่าเพคะ" "เป็นหนี้บุญคุณ?" "เพคะ หากภายภาคหน้าหม่อมฉันพบเรื่องยุ่งยาก หวังว่าพระชายาจะทรงช่วยเหลือด้วย" "เจ้าไม่กลัวว่าถึงเวลานั้นข้าจะไม่ยอมรับหรือ?" จีกุ้ยเฟยแค่นเสียงเย็น เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง "พระดำรัสของพระสนมประดุจทองคำ จะไม่ทรงรับรองได้อย่างไร" "ดี ข้าตกลง" จีกุ้ยเฟยพยักพระพักตร์ "แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าต้อง
หมอหลวงเมิ่งโกรธจนหนวดกระดิก ชี้หน้าหมอหลวงหยางว่า "เจ้าแซงคิวก็แล้วไป ยังจะเอาถึงห้าลูกเลยรึ?" หมอหลวงหยางพูดอย่างหน้าด้าน ๆ "แน่นอนสิ อย่างไรเสียโสมพันปีก็เป็นของที่ข้ามอบให้นังหนูเจียง" "เมื่อเจ้ามอบให้นังหนูเจียงแล้ว จะให้เจ้ากี่เม็ดก็ควรให้นังหนูเจียงตัดสินใจ" หมอหลวงเมิ่งหันไปมองเจียงซุ่ยฮวน "เจ้าว่าจริงไหม นังหนูเจียง" นังหนูเจียงลูบจมูก หัวเราะแห้ง ๆ สองที "เอาอย่างนี้แล้วกัน คนอื่นคนละสองเม็ด หมอหลวงเมิ่งเป็นหัวหน้ากรม หมอหลวงหยางให้โสมพันปีข้า ดังนั้นคนละสี่เม็ด เป็นอย่างไร?" "ได้!" หมอหลวงเมิ่งและหมอหลวงหยางตอบพร้อมกัน หลังเจียงซุ่ยฮวนแบ่งเสร็จ ยาลูกกลอนในขวดกระเบื้องยังเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง นางส่งขวดให้หมอหลวงเมิ่ง "ที่เหลือเก็บไว้ที่กรมหมอหลวงเถิด เผื่อยามจำเป็น" หมอหลวงหยางที่อยู่ข้าง ๆ อุทานด้วยความตกใจ "เจ้าไม่เก็บไว้บ้างหรือ?" "ไม่ล่ะ" เจียงซุ่ยฮวนส่ายหน้า หมอหลวงเมิ่งซาบซึ้งใจยิ่ง "ยาลูกกลอนที่เจ้าตรากตรำปรุงขึ้น ไม่เก็บไว้ให้ตัวเองสักเม็ด กลับมอบให้กรมหมอหลวงทั้งหมด จิตใจเช่นนี้สมควรเป็นแบบอย่างให้พวกเราเรียนรู้!" "ต่อไปหากเจ้าต้องการสมุนไพรใด ไม่ว่าจ
เจียงซุ่ยฮวนสวมชุดป้องกันครบชุดเดินเข้าห้องของสวี่เหนียนอีกครั้ง สวี่เหนียนเห็นชุดของนางก็ยังตกใจ ยังทำใจไม่ได้ "ท่านหมอ หม่อมฉันกินยาแล้ว" สวี่เหนียนฝืนลุกขึ้นนั่งบนเตียง "เหตุใดท่านจึงมาอีก?" เจียงซุ่ยฮวนเปิดหีบยาที่พกมา หยิบเข็มฉีดยาและขวดยาออกมา "อาการของเจ้าหนักเกินไป เพียงกินยาไม่ได้ผล ต้องฉีดยาด้วย" "ฉีดยาคือการฝังเข็มหรือ?" สวี่เหนียนอยากรู้อยากเห็น แต่พอเห็นเข็มฉีดยาในมือนาง สีหน้าก็ซีดขาวทันที "เข็ม เข็ม เข็มใหญ่ขนาดนี้?" เจียงซุ่ยฮวนมองเข็มฉีดยาในมือ กล่าว "ไม่เป็นไร เจ้าหลับตาไว้ เดี๋ยวก็เสร็จ" สวี่เหนียนหลับตาแน่น เจียงซุ่ยฮวนกล่าว "จนกว่าข้าจะบอกให้ลืมตา เจ้าถึงค่อยลืมตา เข้าใจไหม?" "บ่าวเข้าใจแล้ว" "พับแขนเสื้อขึ้น อย่าตื่นเต้น" เจียงซุ่ยฮวนดูดยาจากขวดเข้าเข็มฉีด แทงเข็มเข้าที่แขนของสวี่เหนียนอย่างรวดเร็ว ไม่กี่วินาทีต่อมานางดึงเข็มออก เห็นสวี่เหนียนยังหลับตาแน่น จึงหยิบอุปกรณ์เจาะเลือดออกมา เก็บเลือดจนเต็มหลอด จากนั้น นางเก็บอุปกรณ์ทั้งหมด กล่าว "ลืมตาได้แล้ว" สวี่เหนียนลืมตา ถามอย่างไม่อยากเชื่อ "ท่าน เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?" "อืม มือข้าเร็ว" เจียงซ
กู้จิ่นเม้มปากแน่นไม่พูดจา "ข้ารู้ว่าท่านโกรธมาก แต่ท่านจะไม่ทูลเรื่องนี้แก่ฮ่องเต้ก่อนได้หรือไม่?" เจียงซุ่ยฮวนมองเขาอย่างระมัดระวัง "อย่างไรเสียข้าก็เพิ่งทำข้อตกลงกับจีกุ้ยเฟย" "อืม ข้าจะยังไม่ทูลเรื่องนี้แก่เสด็จพี่ก่อน" เขาตกลงกับเจียงซุ่ยฮวน แล้วพูดต่อ "ข้าเพิ่งรู้ว่า..." พูดได้ครึ่งประโยคก็หยุดลง เจียงซุ่ยฮวนถามอย่างสงสัย "รู้อะไรหรือ?" "ไม่มีอะไร ไปพักผ่อนเถิด" กู้จิ่นมองดาวจระเข้ที่ขอบฟ้า "อีกสามวัน การล่าสัตว์ฤดูใบไม้ร่วงก็จะสิ้นสุดแล้ว" "ได้ ท่านก็พักผ่อนแต่หัวค่ำด้วย" เจียงซุ่ยฮวนหมุนตัวกลับห้อง กู้จิ่นถอนหายใจเบา ๆ จนแทบไม่ได้ยิน เดิมอยากบอกนางว่าโหรหลวงเป็นคนฆ่ารัชทายาท แต่กลัวนางรู้มากเกินไปจะกังวลใจ จึงต้องกลืนคำพูดที่มาถึงปากกลับลงไป "ชางอี้ ส่งองครักษ์ลับไปเฝ้าโหรหลวงให้มากขึ้น ทุกความเคลื่อนไหวของเขา ข้าต้องรู้" "พ่ะย่ะค่ะ!" "เปลี่ยนคนรับใช้รอบตัวเสด็จพี่บางส่วน ให้องครักษ์ลับฝีมือดีที่สุดของเจ้าแทรกซึมเข้าไป อย่าให้เสด็จพี่รู้" "พ่ะย่ะค่ะ!" สามวันต่อมา ท้องฟ้ามืดครึ้มตลอด ทุกครั้งที่ฝนตกหนึ่งครา อากาศก็เย็นลงอีกหลายส่วน เจียงซุ่ยฮวนนั่งขดตัว
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช