สวี่เหนียนถามอย่างดีใจ "จริงหรือท่านหมอเจียง ข้าน้อยจะได้กลับไปเฝ้าพระสนมแล้วหรือ" เขาตื่นเต้นจนลืมระวังตัว เมื่อเอ่ยถึงพระสนมจีกุ้ยเฟย ดวงตาเต็มไปด้วยความรักใคร แต่เขาก็รู้ตัวในทันทีว่าท่าทีตนเองแสดงออกชัดเจนเกินไป จึงรีบชำเลืองมองเจียงซุ่ยฮวนด้วยความระแวดระวัง"ตอนนี้ยังไม่ได้ ร่างกายเจ้ายังต้องพักฟื้นอีกสองวันจึงจะออกไปได้ ข้าจะฝังเข็มให้เจ้าอีกครั้ง" เจียงซุ่ยฮวนหยิบเข็มมา พลางพูดอย่างไม่ใส่ใจ "ดูเหมือนพระสนมจะปฏิบัติต่อเจ้าดีมาก ถึงจะป่วยหนักขนาดนี้ก็ยังไม่คิดพักผ่อน กลับใจจดใจจ่ออยากกลับไปอยู่ข้างพระสนม" สวี่เหนียนหัวเราะแห้ง ๆ สองที "ใช่ขอรับ พระสนมเมตตาพวกเราผู้เป็นบ่าวเสมอมา" "เรื่องนี้จริง หากเป็นคนอื่นเป็นโรคนี้ ป่านนี้คงอยู่ในป่าช้าไปแล้ว แต่พระสนมไม่เพียงจัดที่พักดี ๆ ให้เจ้า ยังเชิญข้ามารักษาเจ้า เห็นได้ชัดว่าพระสนมดีต่อเจ้ามาก" เจียงซุ่ยฮวนพับแขนเสื้อ เริ่มฝังเข็มให้เขา เจียงซุ่ยฮวนเพียงพูดลอย ๆ แต่กลับทำให้ใบหน้าของสวี่เหนียนเปลี่ยนสีทันทีนางเก็บเข็มเงินแล้วลุกขึ้นพูด "เจ้าพักอีกสองวัน เมื่อทางลงเขาโล่งแล้ว เจ้าก็จะได้ลงเขาพร้อมพระสนม" "ท่านหมอเจียง โปรดร
อาเซียงเก็บน้ำมันดอกคำฝอยเข้าที่ มองไปด้านหลังเจียงซุ่ยฮวน "หมอเจียง เขา...เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ" เจียงซุ่ยฮวนไม่ต้องมองก็รู้ว่านางหมายถึงใคร ตอบว่า "หายดีแล้ว พวกเจ้าลงเขาเมื่อไหร่ก็พาเขาไปด้วยได้เลย" "ขอบคุณท่านหมอเจียงเจ้าค่ะ" ดวงตาอาเซียงวาบขึ้นด้วยความยินดี แต่ไม่กล้าแสดงออกชัดเจนนัก รีบหมุนตัวจากไป หลังจากเจียงซุ่ยฮวนพาชุนเถากลับมาแล้ว ก็รีบเข้าห้องทดลองทันที ไม่กี่วันมานี้นางกำลังวิจัยยาจีนเพื่อป้องกันและรักษาโรคฝีดาษ ซึ่งเริ่มเห็นผลแล้ว เมื่อนางวิจัยสำเร็จและเผยแพร่ยาจีนนี้ออกไป นางก็จะได้รับทั้งทรัพย์สิน และชื่อเสียงเงินทองคิดถึงตรงนี้ นางก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ อีกทั้งนางยังมีสถานเสริมความงาม เมื่อเปิดกิจการ ต้องโด่งดังในเมืองหลวงแน่ คงได้ใช้เวลานั่งนับเงินจนมือเป็นระวิงเลยทีเดียว! สมบัติล้ำค่าในเจินเป่าเก๋อ นางอยากซื้อเท่าไหร่ก็ซื้อได้ "ฮ่า ๆ ๆ" เจียงซุ่ยฮวนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาทำการทดลองต่อเสียงชุนเถาดังมาจากข้างนอก "อาจารย์ องค์ชายเป่ยโม่ต้องการพบท่านเจ้าค่ะ" เจียงซุ่ยฮวนถอดชุดทดลองออก เดินออกมาจากห้องทดลอง หลังเปิดประตู นางเงยหน้ามองกู้จ
"ก็ไม่เชิง องค์ชายแปดตอนนี้เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพี่อย่างมาก ทั้งยังชนะการแข่งล่าสัตว์ รวบรวมขุนนางได้มากมาย หากพระสนมจีกุ้ยเฟยเกิดเรื่องในตอนนี้ จะต้องทำให้ราชสำนักปั่นป่วนแน่" ดวงตากู้จิ่นลึกล้ำ "ดังนั้นข้าจึงวางแผนจะรออีกสักพัก รอจนถึงจังหวะที่เหมาะสม แล้วจึงเปิดโปงการกระทำทั้งหมดของพระสนมจีกุ้ยเฟย และให้ทุกคนรู้ว่าองค์ชายแปดไม่ใช่พระโอรสแท้ ๆ ของเสด็จพี่" เจียงซุ่ยฮวนคิดในใจว่าต้องรีบไปทวงบุญคุณสองอย่างจากพระสนมจีกุ้ยเฟยก่อนถึงตอนนั้นให้ได้ ครั้นคิดได้เช่นนั้น นางก็ไม่เร่งรีบกลับห้องทดลองอีกต่อไป พลางโอบกาน้ำชาไว้แน่นแล้วกล่าวว่า"ถ้าท่านว่าง ลองไปสืบดูคนชื่อสวี่เหนียนคนนี้ได้ไหม เขาบอกว่าตัวเองเป็นบุตรชายของผู้ดูแลจวนตระกูลจี แต่ข้ารู้สึกว่าฐานะของเขาไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น" "เพราะอะไร" กู้จิ่นถาม "ข้าก็บอกไม่ถูก เป็นแค่ลางสังหรณ์" เจียงซุ่ยฮวนยักไหล่ "แม้เขาจะดูซื่อ ๆ พูดอะไรก็ไม่มีพิรุธ แต่เพราะมันไม่มีพิรุธนั่นแหละ ถึงน่าสงสัยท่านเข้าใจความหมายของข้าไหม" เจียงซุ่ยฮวนเริ่มพูดวกวนจนเกือบจะทำตัวเองสับสนแต่ถึงกระนั้น กู้จิ่นก็เข้าใจความหมายของนาง "ข้าเข้าใจ ข้าจะให้ชางอ
ฉู่อี้เลื่อนสายตาไปยังฉู่เจวี๋ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ฉู่เจวี๋ยกำลังมองเขาพอดี เขายกมุมปากอย่างมีนัยยะ แล้วทูลฝ่าบาท "ทูลเสด็จพ่อ ลูกมาขอพระเมตตาให้องค์ชายสามพ่ะย่ะค่ะ" "ลูกได้ยินจากนอกตำหนักว่าเสด็จพ่อจะทรงลดฐานะองค์ชายสามเป็นสามัญชน จึงมาขอให้ทรงเปลี่ยนพระทัยพ่ะย่ะค่ะ" แววพระเนตรฝ่าบาทมีความสงสัย เมื่อหลายปีก่อนฉู่อี้กับฉู่เจวี๋ยเคยทะเลาะกันในท้องพระโรงเพราะความคิดไม่ตรงกัน หลังจากนั้นทั้งสองก็มองหน้ากันไม่ติด การที่พระองค์จะลดฐานะฉู่เจวี๋ย ฉู่อี้ควรจะดีใจมิใช่หรือ แล้วเหตุใดจึงมาขอความเมตตาให้ฉู่เจวี๋ย ฉู่เจวี๋ยก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน เขาคิดว่าฉู่อี้ต้องมีแผนอะไรบางอย่าง ไม่มีทางมีเจตนาที่ดีแน่ จึงตะโกนว่า "ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาขอความเมตตาให้!" ฉู่อี้ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วทูลต่อ "ทูลเสด็จพ่อ ได้ยินว่าพระชายาขององค์ชายสามคลอดทารกปีศาจ ขุนนางทั้งหลายต่างคิดว่าปีศาจนั้นเป็นดาวอัปมงคล อยากให้ฝ่าบาทประหารชีวิต แต่ลูกกลับเห็นว่าไม่สมควรพ่ะย่ะค่ะ" พระขนงฝ่าบาทขยับเล็กน้อย ทรงพยักพระพักตร์ให้ฉู่อี้กล่าวต่อ ฉู่อี้ทูล "ราษฎรทั่วหล้าล้วนเห็นว่าเสด็จพ่อทรงมีความเมตตากรุณา เป็นพระราชาผู้ท
หลิวกงกงส่งสองคนออกไป แล้วกลับมาทูลฝ่าบาท "ทูลฝ่าบาท หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรขอเข้าเฝ้า บอกว่ารออยู่ข้างนอกนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ" "ไม่พบ" ฝ่าบาทปฏิเสธทันที "ยามนี้เราต้องการพบโหรหลวง เจ้าไปเชิญโหรหลวงมา" "พ่ะย่ะค่ะ" หลิวกงกงไม่กล้าขัดรับสั่ง เดินออกไปบอกหัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรว่า "ท่านมาไม่ถูกจังหวะ กลับไปก่อนเถิด" หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรเข้าใจผิดคิดว่ามือสังหารตอนบ่ายเป็นคนที่ฝ่าบาทส่งมาจริง ๆ ฝ่าบาทจึงไม่อยากพบเขา เขายิ้มเก้อ ๆ "เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน เรื่องวันนี้พวกข้าไม่รู้เรื่องใดทั้งสิ้น หวังว่าขันทีใหญ่จะช่วยพูด ๆ กับฝ่าบาทด้วย" หลิวกงกงไม่เข้าใจความหมาย แต่ต่างก็รับใช้ในวังด้วยกัน ต้องให้หน้ากันบ้าง จึงยิ้มตอบ "แน่นอน ท่านตรวจตราทุกวันก็เหนื่อยมากแล้ว ข้าจะทูลฝ่าบาทถึงความดีของท่านแน่นอน" "ขอบคุณหลิวกงกงมาก" หัวหน้าองครักษ์เสื้อแพรยิ้มตาหยีเดินจากไป หลิวกงกงไม่กล้าชักช้า รีบไปเชิญโหรหลวงมาทันที ในตำหนักหว่อหลง เปลวเทียนสั่นไหว โหรหลวงสวมเสื้อคลุมขาวยืนกลางตำหนัก ทูลถาม "ฝ่าบาทเรียกกระหม่อมมา เป็นเพราะเรื่องปีศาจน้อยหรือพ่ะย่ะค่ะ" นี่เป็นครั้งแรกที่ฝ่าบาททรงเรียกพบโห
"พ่ะย่ะค่ะ" โหรหลวงพยักหน้า กำลังจะจากไป แต่ถูกฝ่าบาทรับสั่งให้หยุด "โหรหลวง ที่เราไม่ได้เรียกพบเจ้าระยะนี้ เพราะเจ้าจิ่นเริ่มสงสัยเราแล้ว ไม่ใช่เพราะเราจงใจทอดทิ้งเจ้า" ฝ่าบาทตรัสอธิบาย "ในบรรดาขุนนางทั้งหมด เราให้เจ้าทำเรื่องสำคัญทั้งหมด เพราะเราไว้ใจเจ้าที่สุด" โหรหลวงประสานมือกล่าว "เมื่อครั้งที่กระหม่อมหนีศัตรูมายังต้าเหยียน ฝ่าบาททรงช่วยกระหม่อมปิดบังชื่อและตัวตน ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้กระหม่อมเข้าวังมาเป็นโหรหลวง" "ฝ่าบาทคือผู้มีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ต่อกระหม่อมนัก ไม่ว่าเมื่อใดที่ฝ่าบาทต้องการตัวกระหม่อม กระหม่อมย่อมยอมลุยไฟข้ามน้ำมาเพื่อฝ่าบาท ไม่มีข้อแม้ใด ๆพ่ะย่ะค่ะ" ... ภายใต้แสงจันทร์สีเงิน หิมะที่สะสมบนพื้นถูกชาววังกวาดออกไปครึ่งหนึ่ง หิมะที่เหลือถูกเหยียบจนแน่น ยากที่จะกวาด จำต้องรอให้หิมะละลายไปเอง ฉู่เจวี๋ยเดินอยู่บนทางเล็ก ๆ ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าไม่เร็วไม่ช้า ไม่ว่าเขาจะเดินเร็วหรือช้า เสียงฝีเท้าด้านหลังก็ยังคงรักษาระยะห่างเท่าเดิมไว้เสมอ เส้นเลือดที่ขมับเขากระตุก ทนไม่ไหวจึงหยุดเดิน หันไปมองฉู่อี้อย่างโกรธเกรี้ยว "เจ้าตามข้ามาทำไม" ฉู่อี้กะพริบ
"หวังว่าท่านจะให้คำตอบข้าก่อนลงจากเขา มิฉะนั้น ข้าจะไปสนทนากับเสด็จพ่ออีกครั้ง" ฉู่อี้พูดจบก็เดินผ่านฉู่เจวี๋ยไป ฉู่เจวี๋ยกำหมัดแน่น เขาอยากจะวิ่งตามไปถามให้ชัดเจน แต่นึกถึงเจียงเม่ยเอ๋อร์ที่รออยู่ ความรู้สึกผิดก็ถาโถมเข้าใส่จึงต้องรีบกลับไปหานางก่อน วันรุ่งขึ้น ฝ่าบาททรงเรียกขุนนางมาประชุมที่ตำหนักว่อหลง โหรหลวงออกมากล่าวว่า "เชื่อว่าทุกท่านคงทราบกันแล้วว่า เมื่อวานพระชายาแห่งหนานหมิงได้ประสูติทารกที่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาด บางคนถึงกับกล่าวว่าเป็นดาวอัปมงคล" "ข้าได้รับบัญชาจากฝ่าบาทให้ทำพิธีพยากรณ์เมื่อคืนนี้ผลออกมาชัดเจนว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ดาวอัปมงคล แต่เป็นวิญญาณที่บำเพ็ญตนจนเป็นเซียนกลับชาติมาเกิด เป็นดาวแห่งมงคลที่จะปกป้องแคว้นต้าเหยียน ขอพวกท่านอย่าได้กังวลใจ" คำทำนายของโหรหลวงแม่นยำเสมอมา เมื่อขุนนางทั้งหลายได้ฟังก็ฮือฮาในทันที ที่แท้ปีศาจนั้นเป็นดาวแห่งมงคล พวกเขากลับคิดว่าเป็นดาวอัปมงคล ถึงขั้นวิงวอนให้ฝ่าบาทประหารชีวิต คิดได้ดังนั้น ขุนนางทั้งหลายจึงพากันไปหาเจียงเม่ยเอ๋อร์ ฉู่เจวี๋ยดีใจยิ่งนัก บุตรชายของเขาไม่เพียงรอดชีวิต ยังกลายเป็นดาวแห่งมงคล นับเป็นเรื่องน่ายิน
ทารกหน้าตาอัปลักษณ์ประหลาดถูกยัดผ้าไว้ที่ปาก จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ไม่นานหน้าก็แดงจัดเพราะหายใจไม่ออกเจียงเม่ยเอ๋อร์ซ่อนทารกไว้ในตู้ ส่วนตัวเองนอนลงบนเตียง แสร้งทำเป็นอ่อนแรงแทบขาดใจหลังแม่นมเปิดประตู เหล่าขุนนางก็ทยอยเข้ามาในห้อง บางคนสีหน้าเศร้าสร้อย บางคนดูรู้สึกผิด ทุกคนล้วนแสดงความกระอักกระอ่วนเมื่อวานพวกเขายังตะโกนให้ประหารปีศาจนั่น วันนี้ปีศาจนั่นกลับกลายเป็นดาวมงคลที่คุ้มครองแคว้นต้าเหยียน พวกเขากลัวดาวมงคลจะลงโทษ จึงต้องมาขอขมา ช่างคาดเดาไม่ได้จริง ๆ เจียงเม่ยเอ๋อร์ไม่รู้จุดประสงค์ของคนเหล่านี้ นางนอนพิงบนเตียง แกล้งไอสองที "พวกท่านต้องการอะไร" นางก้มหน้าไม่เห็นสีหน้าของทุกคน พูดต่อไปเอง "ลูกของข้าถูกองครักษ์อุ้มไปแล้ว พวกท่านอย่าหวังจะแย่งเขาไป!" "ข้ากินยาพิษเพื่อพิสูจน์ว่าข้าไม่ได้โกหก แถมเพิ่งคลอดลูกอยู่ในช่วงอยู่ไฟ ตอนนี้ร่างกายอ่อนแอที่สุด หากพวกท่านทำให้ข้าโกรธจนเป็นอันตราย ท่านอ๋องจะไม่ปล่อยพวกท่านไว้แน่!" ขุนนางทั้งหลายฟังแล้วถึงกับพูดไม่ออก เจียงเม่ยเอ๋อร์หน้าด้านเหลือเกิน ให้สาวใช้เขียนแทนแต่ไม่ยอมรับ ยังอ้างว่ากินยาพิษฆ่าตัวตาย ผลเป็นอย่างไร แม้แต่หมอ
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช