ดวงตาของชายที่มีรอยแผลเป็นวาบขึ้นด้วยความโล่งใจ กล่าวว่า "เพียงเข้าใจกันก็พอแล้ว อาหารเย็นข้าขอไม่รับดีกว่า" เจียงซุ่ยฮวนหน้าบึ้ง "เจ้าดูแคลนข้ากระนั้นหรือ?" "มิได้ มิได้" ชายที่มีรอยแผลเป็นไม่คิดว่าเจียงซุ่ยฮวนจะเปลี่ยนสีหน้าเร็วปานนี้ จึงรีบกล่าว "ข้าจะกิน!" "ดีมาก" เจียงซุ่ยฮวนยิ้ม บอกองครักษ์ลับ "นำอาหารจากโรงครัวมาสิ" จางรั่วรั่วในที่สุดก็เข้าใจความตั้งใจของเจียงซุ่ยฮวน แอบชูนิ้วโป้งให้นาง องครักษ์ลับนำอาหารที่ทำจากเห็ดมาหลายจาน ชายที่มีรอยแผลเป็นถูกเชิญให้นั่งที่โต๊ะ เจียงซุ่ยฮวนส่งตะเกียบให้เขา ยิ้มกล่าว "เชิญกินเถิด" ชายที่มีรอยแผลเป็นยิ้มจะคีบอาหาร แต่เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปฉับพลัน มือที่ถือตะเกียบค้างอยู่กลางอากาศ เจียงซุ่ยฮวนยิ้มตาหยี กล่าวว่า "กินสิ เห็ดเหล่านี้ล้วนไม่มีพิษ" ชายที่มีรอยแผลเป็นฝืนยิ้ม แต่ตะเกียบยังลังเลไม่กล้ากิน"เหตุใดจึงไม่กิน?" รอยยิ้มบนใบหน้าเจียงซุ่ยฮวนค่อย ๆ จางหาย นางฟาดโต๊ะเต็มแรง "เจ้าไม่ใช่ว่าจำเห็ดพิษไม่ได้หรอกหรือ?" โต๊ะสั่นด้วยแรงกระแทก ชายที่มีรอยแผลเป็นตกใจจนทิ้งตะเกียบ สองมือกอดศีรษะร้องไห้ "สองคุณหนูโปรด
หงหลัวหยุดมือที่กำลังทำงาน ถามอย่างสับสน "คุณหนู มีอะไรหรือเพคะ?" เจียงซุ่ยฮวนมองไก่ตุ๋นเห็ดบนพื้น แล้วหันไปดูเห็ดพิษในจาน ในสมองนึกย้อนความทรงจำที่กู้จิ่นเคยบอกนาง ช่วงนี้ เมืองต่าง ๆ แถบเมืองหลวงมีผู้คนล้มตายมากมาย อาการเหมือนกันหมด อาเจียน ท้องร่วง ชักกระตุก และมีผื่นแดงขึ้นทั่วร่าง และไม่มีข้อยกเว้น ล้วนเป็นผู้ใหญ่ที่เสียชีวิต ทำให้มีทารกกำพร้าที่ฮั่วเซิงนำไปเป็นเครื่องบูชายัญ กู้จิ่นสงสัยว่ามีคนจงใจวางยาพิษ จึงให้อธิบดีกรมอาญาไปสืบสวนแล้ว เจียงซุ่ยฮวนมองเห็ดพิษเหล่านั้น พึมพำ "ดูเหมือนว่าเห็ดพิษเหล่านี้ ก็ทำให้คนอาเจียน ท้องร่วง เกิดผื่นแดงทั่วร่างได้เช่นกันนะ" หงหลัวตกใจเล็กน้อย เมื่อเข้าใจความก็รีบอุ้มจานถอยหลังไปหลายก้าว "คุณหนู เห็ดนี้มีพิษรุนแรง ท่านรีบกลับห้องบรรทมเถิด หม่อมฉันจะจัดการสิ่งเหล่านี้ให้หมดจด" "ไม่เป็นไร เจ้าจัดการเรื่องความเรียบร้อยก่อน ข้าจะคิดใคร่ครวญอีกสักครู่" เจียงซุ่ยฮวนยันมือขวาบนโต๊ะ เท้าคางกล่าว หากตัวการแท้จริงคือเห็ดพิษ มันทำให้ผู้คนมากมายเสียชีวิตพร้อมกันได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าทุกบ้านล้วนกินเห็ดเป็นอาหารหลักเสียหน่อย หงหลัวระมัดระวัง
เจียงซุ่ยฮวนหยิบหลอดเก็บเลือดสิบอันจากแขนเสื้อ วางบนโต๊ะเบื้องหน้า "ไปเก็บเลือดจากศพสิบศพในเมืองเหล่านั้นมา หากเลือดไม่ไหลแล้ว ก็ตัดเนื้อมาเล็กน้อย" "พระชายา ท่านต้องการเลือดศพเหล่านั้นไปทำไมพ่ะย่ะค่ะ?" ปู้กู่มีสีหน้าสงสัย รู้สึกว่าคำขอของพระชายาช่างประหลาด "ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว เจ้าไปเก็บมาก่อนค่อยว่ากัน" เจียงซุ่ยฮวนผลักหลอดเก็บเลือดไปข้างหน้าเล็กน้อย "ควรจะเก็บกลับมาให้ได้ก่อนพลบค่ำวันพรุ่งนี้" ท่านอ๋องมีคำสั่ง คำพูดพระชายาไม่อาจฝ่าฝืน ปู้กู่จึงได้แต่หยิบหลอดเก็บเลือดบนโต๊ะ กล่าวว่า "บ่าวน้อมรับคำสั่ง!" หนึ่งคืนหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว กู้จิ่นยังไม่กลับมาจากวังหลวง เจียงซุ่ยฮวนนำเห็ดพิษไปทดสอบในห้องทดลองแล้ว ขั้นต่อไปเพียงรอให้องครักษ์ลับนำเลือดที่เก็บมาได้กลับมา ก็จะทราบผลสุดท้าย ยามเย็น แสงสลัว ดวงจันทร์ริมขอบฟ้าปรากฏแล้วหายสลับกันไป เจียงซุ่ยฮวนเสวยอาหารเย็นเสร็จแล้วมาที่ห้องยา เห็นปู้กู่กำลังรออยู่ในห้อง "พระชายา บ่าวให้คนเก็บเลือดกลับมาแล้ว" ปู้กู่หยิบหลอดเก็บเลือดสิบอันวางบนโต๊ะ "รวมสิบอัน ขอพระชายาตรวจดู" เจียงซุ่ยฮวนวางหลอดเรียงเป็นแถว ถามว่า "เก็บมาจากศพส
บุรุษตรงหน้ามีรูปร่างสูงสง่า งดงามผิดธรรมดา สวมอาภรณ์สีดำเข้มดุจหมึก คลุมทับด้วยเสื้อขนจิ้งจอกสีขาว ดูเหมือนเกรงว่าเจียงซุ่ยฮวนจะล้ม จึงรีบยื่นมือโอบเอวนางไว้ เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะสะบัดตัวออก เงยหน้ามองจึงรู้ว่าเป็นกู้จิ่น นางนวดจมูกที่ถูกชนจนเจ็บ คิดในใจว่ากู้จิ่นดูผอมเพรียว ไม่คิดว่าร่างกายจะแข็งแรงปานนี้ หน้าอกแข็งราวกับเหล็ก สายตานางค่อย ๆ เลื่อนลง หยุดที่หน้าท้องของกู้จิ่น ไม่ทราบว่าบนนั้นมีกล้ามท้องแปดก้อนหรือไม่... กู้จิ่นเห็นเจียงซุ่ยฮวนก้มหน้าเหม่อลอย คิดว่านางเจ็บจนอึ้ง เขาจึงก้มตัวเล็กน้อย วางมือบนปลายจมูกงอนของเจียงซุ่ยฮวนลูบเบา ๆ ถามด้วยความห่วงใย "อาฮวน ยังเจ็บอยู่หรือไม่?" มือของเขาอบอุ่นยิ่ง ด้วยเคยฝึกดาบมานาน ทุกปลายนิ้วจึงมีหนังด้านบาง ราวกับเม็ดทรายเล็ก ๆ แตะผ่านปลายจมูกของเจียงซุ่ยฮวน เจียงซุ่ยฮวนได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าแดงก่ำพลางส่ายหน้า "ไม่เจ็บแล้ว" "หากไม่เจ็บแล้ว เหตุใดหน้าจึงแดงปานนี้?" "ข้าร้อน" เจียงซุ่ยฮวนสายตาลอยไป มองซ้ายมองขวาไม่ยอมสบตากู้จิ่น แม้กู้จิ่นจะรู้สึกว่าอากัปกิริยาของนางแปลกไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เปลี่ยนเรื่องถาม "
หลังจากทั้งสองนั่งบนรถม้าแล้ว เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจยาว การอยู่บ้านหลายวันนี้แทบจะทำให้นางขึ้นรา บัดนี้ในที่สุดก็ได้ออกมาข้างนอก แม้ว่าการอยู่ไฟต้องพักผ่อนให้ดี แต่ช่วงนี้นางกินยาบำรุงทุกวัน ทั้งไม่ต้องให้นมด้วยตนเอง ร่างกายจึงฟื้นฟูได้ดีทีเดียว เพียงแค่ไม่วิ่ง ไม่กระโดด ไม่ยืนนานเกินไป ก็ไม่มีปัญหาใหญ่ กู้จิ่นเห็นมุมปากนางมีรอยยิ้ม จึงถาม "ดีใจถึงเพียงนี้หรือ?" "ใช่สิ ยากนักกว่าจะได้ออกมาสักครั้ง ย่อมดีใจอยู่แล้ว" เจียงซุ่ยฮวนตอบโดยไม่ต้องคิด พูดจบนางจึงนึกถึงจุดประสงค์ของการเดินทางครั้งนี้ รีบเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า ทำหน้าเคร่งเครียด "นึกถึงผู้คนที่เสียชีวิต ก็รู้สึกไม่สู้จะดีใจนัก" กู้จิ่นถอดเสื้อคลุมขนจิ้งจอกออก ค่อย ๆ คลุมลงบนตัวนาง "เจ้าดีใจก็ไม่เป็นไร เรื่องเช่นนี้ให้ข้าจัดการ จะต้องให้ความเป็นธรรมแก่ราษฎรเหล่านั้น" "อืม" เจียงซุ่ยฮวนพยักหน้าแรง ๆ แล้วถาม "หลายวันนี้ท่านเข้าวังหลวงไปทำอะไรหรือ?” "ฮองเฮาสิ้นแล้วจริงหรือ? เหตุใดข้ายังได้ยินจางรั่วรั่วบอกว่า ฮองเฮาและองค์หญิงจิ่นซิ่วถูกส่งไปตำหนักเย็นพร้อมกัน?" เจียงซุ่ยฮวนถามต่อเนื่องหลายคำถาม สุดท้ายกล่าวว่า "เมื่อวาน
ม่านบนรถม้าปลิวไสวเล็กน้อย ลมเย็นพัดเข้ามาจากภายนอก กู้จิ่นเห็นดังนั้นจึงขยับตัวบังให้เจียงซุ่ยฮวน ช่วยกันลมเย็น เขากล่าวว่า "เหตุที่ปิดบังข่าวการตายของจิ่นซิ่ว เพราะตัวตนของจิ่นซิ่วปลอมนั้นซับซ้อนอยู่บ้าง" "ซับซ้อนอย่างไรรึ" เจียงซุ่ยฮวนขยุ้มขนบนเสื้อคลุมให้ยุ่ง แล้วค่อย ๆ ลูบให้เรียบ "องครักษ์เสื้อแพรพบรอยประทับรูปหงส์บนตัวจิ่นซิ่วปลอม" ในรถม้าเล็กแคบ เสียงของกู้จิ่นเย็นยิ่งขึ้น "องครักษ์ลับราชวงศ์ทั้งหมดของแคว้นเฟิงซีล้วนมีรอยประทับหงส์เดียวกัน" เจียงซุ่ยฮวนเงยหน้าขึ้นทันที สิ่งที่ปรากฏในสายตาคือเส้นสันกรามของกู้จิ่น แสงสายหนึ่งส่องผ่านม่านที่ปลิวเข้ามา ทำให้สันกรามของเขาดูเด่นชัดยิ่งขึ้น "เช่นนี้ จิ่นซิ่วปลอมเป็นองครักษ์ลับของแคว้นเฟิงซีหรือ?" เจียงซุ่ยฮวนตกตะลึง "หรือว่าราชวงศ์แคว้นเฟิงซีส่งคนมาสังหารองค์หญิงจิ่นซิ่ว?" "ยังไม่ชัดเจน" กู้จิ่นส่ายหน้า "จิ่นซิ่วปลอมปากแข็งมาก แม้จะใช้การทรมานหลายวิธี เขาก็ไม่ยอมปริปากแม้แต่คำเดียว" เจียงซุ่ยฮวนเอนพิงหมอนนุ่มด้านหลังช้า ๆ กล่าวว่า "หากข้าจำไม่ผิด แคว้นเฟิงซีมีความสัมพันธ์ดีกับแคว้นต้าเหยียนมิใช่หรือ?" "อืม แคว้นต้าเหยี
กู้จิ่นยืนอยู่ข้างรถม้า ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยื่นมือออกมาช่วยพยุงนาง ในวินาทีที่ผิวกายสัมผัสกัน เจียงซุ่ยฮวนสะดุ้งปล่อยมือราวกับถูกไฟฟ้าช็อต ตระหนักว่าปฏิกิริยาตนรุนแรงเกินไป จึงวางมือลงในฝ่ามือกู้จิ่นอีกครั้ง เดินลงจากรถม้าอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ปู้กู่มองรอยยิ้มที่มุมปากของกู้จิ่น แล้วมองใบหูแดงก่ำของเจียงซุ่ยฮวน ดูเหมือนจะเข้าใจบางอย่าง จึงกลั้นยิ้มถอยหลังไปหลายก้าว เปิดทางให้ทั้งสอง กู้จิ่นเป็นห่วงว่าเจียงซุ่ยฮวนจะหนาว ยืนข้างกายนางกล่าวว่า "ในโรงเตี๊ยมคงจะอบอุ่น พวกเราเข้าไปก่อนเถิด" "ดี" เมื่อทุกคนเพิ่งก้าวเข้าไป อธิบดีกรมอาญาก็เดินมาต้อนรับ ถามว่า "ท่านอ๋อง ดึกปานนี้แล้ว เหตุใดท่านจึงให้คนพาข้าน้อยมาที่โรงเตี๊ยมนี้?" กู้จิ่นกล่าวเรียบ ๆ "การสืบสวนเรื่องโรคประหลาดเป็นอย่างไรบ้าง?" อธิบดีกรมอาญากล่าวว่า "ท่านอ๋อง ข้าน้อยตามคำสั่งท่าน หลังจากมาที่นี่ไม่กล้าดื่มน้ำที่นี่ ทั้งไม่กล้าแตะต้องอาหาร ก็ไม่ได้ติดโรคประหลาดจริง ๆ" "ข้าน้อยกำลังสืบสวนแหล่งน้ำและพืชผลในเมืองเหล่านี้ ชั่วคราวยังไม่พบสิ่งใด" กู้จิ่นพยักหน้า มองสำรวจสภาพแวดล้อมรอบข้าง โรงเตี๊ยมซางหมิงแห่งนี้ใหญ่จ
กู้จิ่นเงยหน้าขึ้น มองไปตามทิศทางที่เจียงซุ่ยฮวนบอก แล้วขมวดคิ้ว "ฉู่เลี่ยนกับฉู่ชิวหรือ?" "เอ๊ะ? นั่นไม่ใช่องค์ชายเจ็ดและองค์ชายเก้าหรือ พวกเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?" อธิบดีกรมอาญาก็เห็นเงาร่างของฉู่เลี่ยนและฉู่ชิว ดูประหลาดใจ เขาได้สั่งให้คนปิดล้อมเมืองเหล่านั้นทั้งหมดแล้ว แต่โรงเตี๊ยมนี้มีทำเลประหลาด ตั้งอยู่ระหว่างหลายเมือง ไม่ได้ขึ้นกับเมืองใด จึงไม่ได้ถูกปิดล้อม อธิบดีกรมอาญากล่าว "ท่านอ๋อง ให้ข้าน้อยส่งคนไปแจ้งองค์ชายเจ็ดและองค์ชายเก้าสักคำดีหรือไม่?" "ไม่ต้อง" กู้จิ่นเอ่ยโดยไม่แสดงอารมณ์ "อาหารของพวกเขายังไม่มา ไม่ต้องไปยุ่ง" "นี่... ได้" อธิบดีกรมอาญาจำต้องนั่งลงอีกครั้ง ครู่หนึ่งผ่านไป เสี่ยวเอ้อร์นำอาหารมา เขาวางอาหารบนโต๊ะทีละจาน พลางประกาศ "จานนี้ปลาเปรี้ยวหวาน! จานนี้ลูกชิ้นสี่ฤดู... ชามนี้น้ำแกงเห็ด!" เสี่ยวเอ้อร์วางน้ำแกงเห็ดตรงหน้าเจียงซุ่ยฮวน นางมองดูข้างใน เห็ดที่ลอยอยู่ด้านบนล้วนเป็นเห็ดธรรมดา ไม่มีพิษ นางส่ายหน้าให้กู้จิ่น ดวงตากู้จิ่นเข้มลึก ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไร "ท่านลูกค้า อาหารล้วนนำมาครบแล้ว เชิญรับประทานช้า ๆ" เสี่ยวเอ้อร์หนีบถาดเตรียมเด
ครั้นได้ยินคำว่า “ไฟไหม้” ความง่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้วงนิทราของเจียงซุ่ยฮวนพลันสลายหายไปสิ้น หัวใจพลันเต้นโครมครามราวจะหลุดจากอกนางลุกพรวดจากที่นอน คว้าผ้าคลุมขนกระต่ายที่วางอยู่ข้างหมอนมาสวมอย่างลวก ๆ แล้วรีบลงจากเตียงในขณะเดียวกัน ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดอย่างรุนแรง หยิ่งเถาวิ่งพรวดเข้ามาทั้งที่ยังทรงตัวไม่ทันดี จึงพลาดล้ม “โครม” ลงกับพื้นหยิ่งเถาไม่ทันได้ลุกขึ้นก็รีบเงยหน้าร้องบอกเสียงลั่น “คุณหนู! รีบออกไปเถิด! ข้างนอกเกิดไฟขึ้นแล้ว!”เจียงซุ่ยฮวนรีบสวมรองเท้า ก้าวยาว ๆ ตรงเข้าไปฉุดหยิ่งเถาขึ้นจากพื้น แล้วจูงมือนางวิ่งออกไปทันทีมือของเจียงซุ่ยฮวนที่กำมือหยิ่งเถานั้นสั่นน้อย ๆ นางถามเสียงเร่งร้อน “เสี่ยวถังหยวนเล่า?”“คุณชายน้อยปลอดภัยดีเพคะ แม่นมเห็นก่อนจึงรีบพาออกไปหลบแล้วเพคะ” หยิ่งเถารีบตอบครั้นรู้ว่าลูกน้อยปลอดภัย เจียงซุ่ยฮวนจึงค่อยสงบลงเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วไฟเกิดที่ใด?”“เป็นห้องพักของท่านอาจารย์เพคะ” หยิ่งเถาตอบเจียงซุ่ยฮวนถึงกับชะงัก ห้องของฉู่เฉินหรือ!? แล้วหลี่ลี่ก็ยังอยู่ในนั้นด้วย!นางจึงเร่งฝีเท้าวิ่งออกไป ทว่าเพิ่งออกจากประตู ก็มีควันไฟใน
หากฝืนปลุกเขาขึ้นมาในยามนี้ เกรงว่าจะทำให้สติแตกเสียจนอาละวาดคลุ้มคลั่ง“ดูท่าคงต้องปล่อยให้ฟื้นขึ้นเองแล้วกระมัง” เจียงซุ่ยฮวนถอนหายใจอย่างจนปัญญา แล้วเอ่ยเรียกจากในห้องว่า “ปู้กู่ เข้ามาหาข้าสักประเดี๋ยวสิ”ปู้กู่เปิดประตูเข้ามาทันที “พระชายา มีสิ่งใดจะทรงบัญชาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เจียงซุ่ยฮวนชี้ไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนพื้น “เจ้ารู้จักบุรุษผู้นี้หรือไม่?”ปู้กู่หลับตานิ่ง พยายามรื้อค้นความทรงจำอย่างเคร่งเครียด ทว่านึกอยู่เนิ่นนานก็ยังคิดไม่ออกเจียงซุ่ยฮวนจึงกล่าวเป็นเชิงเตือน “ชายผู้นี้ผิวขาวซีดผิดธรรมชาติ คงมิได้ออกไปพบแสงตะวันมาเป็นเวลานานแล้ว”ปู้กู่นั่งย่อตัวลง เพ่งพินิจใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างละเอียด กระทั่งครู่หนึ่ง ก็อุทานเสียงเบา “ซี้ด…”“นึกออกแล้วหรือ?” เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยถามปู้กู่ชี้ไปที่บุรุษผู้นั้นด้วยแววตาตกตะลึง “ผู้นี้ชื่อหลี่ลี่ เมื่อสิบปีก่อน เคยเป็นหนี้หอพนันถึงหนึ่งแสนตำลึง แล้วบุกเข้าไปปล้นคฤหาสน์ของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง”“หากเพียงแค่ปล้นก็คงไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เขากลับอาศัยฝีมือที่เหนือกว่าฆ่าล้างทั้งครอบครัวพ่อค้านั้น รวมแล้วกว่ายี่สิบชีวิต”เจียงซุ่ยฮวนสีหน้าหม
เจียงซุ่ยฮวนโดยสารรถม้ากลับถึงจวน พอเปิดม่านลงจากรถ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นปู้กู่ยืนอยู่เบื้องหน้าพร้อมผู้ติดตามนับสิบคน“เหตุใดเจ้าจึงพาผู้คนมากมายมาด้วย?” นางเหลือบมองแคร่ไม้ด้านหลังพลางถามปู้กู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรน “พระชายา พอได้ข่าวว่าเส้นทางขากลับถูกเฉียนจิงอี๋สกัดไว้ กระหม่อมก็ตั้งใจจะนำคนไปช่วย แต่ไม่นานก็ทราบว่าท่านเสด็จกลับมาเสียแล้ว”“อืม...ตอนนี้ไม่มีอันใดแล้ว ให้พวกเขาแยกย้ายกันไปเถิด” เจียงซุ่ยฮวนโบกมือ นางยังเร่งรีบอยากกลับเข้าเรือนเพื่อสอบปากคำฉู่เฉินตัวปลอมปู้กู่สั่งให้คนที่มาด้วยกันกลับไป ทว่าตนเองกลับยืนอยู่นิ่ง ๆ ไม่ขยับเจียงซุ่ยฮวนจึงถามขึ้น “เหตุใดเจ้ายังไม่ไปเล่า?”ปู้กู่เอ่ยว่า “พระชายา ขอพระองค์โปรดแจ้งกระหม่อมเถิด เฉียนจิงอี๋ขวางรถพระองค์ไว้ด้วยเหตุใด?”เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วกล่าวทิ้งท้ายว่า “ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ที่สำคัญคือแววตาที่เขามองข้ามันช่างประหลาด เจ้ารีบส่งคนไปสืบข่าวเขาสักหน่อยเถิด”ปู้กู่สีหน้าหนักแน่น “เฉียนจิงอี๋ผู้นี้มิใช่คนธรรมดาแน่ หอพนันซิ่งหลงของตระกูลเขากระจายอยู่ทั่วแคว้นต้าเหยียน และเขาเอง...ดูเหมือนจะมีธ
เจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วกดเสียงต่ำลงพลางกระซิบว่า “วางใจเถิด...ตอนนี้ไม่มีแล้ว”แววตาขององครักษ์ลับยังเต็มไปด้วยความสงสัย ทว่าเจียงซุ่ยฮวนเพียงยิ้มอย่างเงียบงัน หาได้กล่าวคำใดอีกไม่นานนัก เฉียนจิงอี๋ก็เดินออกจากรถม้าด้วยท่วงท่าสงบ มือไพล่หลังไว้ ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับจางหายไปจนหมดสิ้น หางตายังพลันกระตุกเล็กน้อยเขาเห็นกับตาตนเองว่าเหล่าองครักษ์ลับจับคนยัดใส่รถม้า แล้วเขายังไล่ตามมาตลอดทางจากหอพนัน สายตาไม่เคยละไปที่อื่นเลยแม้แต่น้อยแต่เหตุใดคนผู้นั้นจึงหายไปเสียได้?เจียงซุ่ยฮวนยิ้มถาม “เห็นผู้ใดหรือไม่?”แววตาเฉียนจิงอี๋เย็นเยียบสั่นไหวเล็กน้อย ประหนึ่งกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ เมื่อสบเข้ากับรอยยิ้มของเจียงซุ่ยฮวน เขาจึงยกยิ้มบาง ๆ “ขออภัยด้วยคุณหนู ข้าคงตาฝาดไป”เขาหยิบตั๋วเงินใบหนึ่งขึ้นมา แล้วยื่นสองมือส่งให้เจียงซุ่ยฮวน “เชิญคุณหนูรับของเล็กน้อยเป็นการขออภัย”ท่าทีของบุรุษผู้นี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนัก ไม่เสียแรงเป็นทายาทหอพนันโดยแท้ ขณะที่เจียงซุ่ยฮวนกำลังจะเอื้อมมือไปรับ กลับพบว่าตั๋วเงินในมือเขานั้นมิใช่ใบละแค่แสนตำลึง...แต่เป็นถึงสองแสนตำลึงเจียงซุ่ยฮวนชักมือกลั
ควันสีเทาลอยฟุ้งขึ้นมา ลูกประคำที่เฉียนจิงอี๋ปาออกไปยังคงสภาพสมบูรณ์ แต่กลับฝังลึกอยู่กลางหลุมใหญ่บนพื้นแค่ลูกประคำธรรมดา กลับสามารถก่อความเสียหายได้ถึงเพียงนี้ ต้องมีพลังภายในลึกล้ำถึงเพียงใดกันแน่สีหน้าของเจียงซุ่ยฮวนพลันเคร่งขรึม ขณะเดียวกัน เหล่าองครักษ์ลับที่ล้อมรถม้าอยู่ก็ล้วนตั้งท่าเตรียมพร้อมด้วยท่าทีตึงเครียดแต่ก่อนพวกเขาเคยได้ยินชื่อของเฉียนจิงอี๋มาบ้าง รู้เพียงว่าเขาเป็นทายาทของหอพนันซิ่งหลง เป็นผู้มีอุปนิสัยเงียบขรึม หาได้ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนบ่อยนักกระทั่งได้พบกับตัวจริงในวันนี้ จึงรู้ว่าบุรุษผู้นี้...มิใช่คนธรรมดาแน่นอน“แม่นางผู้นี้ ข้าไร้เจตนาจะสร้างความลำบากแก่ท่าน เพียงแต่ในฐานะทายาทของหอพนันซิ่งหลง ข้าย่อมไม่อาจเพิกเฉยมองลูกค้าถูกลักพาตัวไปต่อหน้าต่อตา...ท่านว่าใช่หรือไม่?” เฉียนจิงอี๋ยิ้มละไม รอยยิ้มนั้นดูสุภาพอ่อนโยน หากแต่แฝงไว้ด้วยแรงกดดันจาง ๆ อย่างยากจะหยั่งถึงองครักษ์ลับทั้งหกยังคงเฝ้ารอบรถม้า หนึ่งในนั้นค่อย ๆ ถอยหลังออกไป แล้วอาศัยจังหวะชุลมุนลับหายไปในพริบตาเฉียนจิงอี๋เห็นดังนั้น จึงหัวเราะพลางถามว่า “หืม? ถึงกับต้องไปตามกำลังเสริมเชียวหรือ? หรื
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นล้วนทราบดีว่า "เซียนพนัน" ผู้นั้นจงใจกลั่นแกล้งเจียงซุ่ยฮวนเป็นแน่ ทั้งที่ลูกเต๋ายังวางนิ่งอยู่ในถ้วย จะมีผู้ใดคาดเดาได้ถูกต้องเล่า?ขณะนั้นเอง เหล่าองครักษ์ลับทั้งหกก็เริ่มขยับเข้าใกล้ฉู่เฉินตัวปลอมอย่างช้า ๆ พวกเขาล้วนถอดชุดดำออกเสียแล้ว แลดูแทบไม่แตกต่างจากชาวบ้านทั่วไปเจียงซุ่ยฮวนยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบว่า “ตกลง”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง แม้เจียงซุ่ยฮวนจะชนะมาหลายตา แต่หาได้มีผู้ใดเชื่อว่านางจะเดาแต้มลูกเต๋าได้ถูกต้องทุกเม็ด ครั้นแล้วจึงพร้อมใจกันวางเดิมพันทั้งหมดลงข้างเซียนพนันฉู่เฉินตัวปลอมลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนวางถุงผ้าบนโต๊ะ แล้วเดิมพันข้างเซียนพนันเช่นกันหญิงสาวบนโต๊ะค่อย ๆ เขย่าถ้วยลูกเต๋า เจียงซุ่ยฮวนหลับตาลง ตั้งใจฟังเสียงที่เล็ดลอดออกมาจากในถ้วยโดยมิปล่อยให้จิตวอกแวกในยามนั้น เสียงรอบข้างพลันเลือนหาย สิ่งเดียวที่ดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทคือเสียง “กรุ๊งกริ๊ง กั๊กกั๊ก” ของลูกเต๋าอันแว่วไหวจนเมื่อลูกเต๋าสิ้นเสียงนิ่งลง เจียงซุ่ยฮวนจึงลืมตาขึ้นมาเซียนพนันแค่นหัวเราะเย็น เอื้อนเอ่ยอย่างเย้ยหยัน “ทายสิ ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะทายได้หรือไม่!”เจีย
ผู้คนรอบโต๊ะเมื่อเห็นว่าเซียนพนันลงเงินมากถึงเพียงนี้ ต่างคิดว่าเขาคงเริ่มจริงจังแล้ว จึงพากันวางเดิมพันตามครั้นทุกคนลงเงินเสร็จ เจียงซุ่ยฮวนกลับค่อย ๆ หยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมาวางบนโต๊ะอย่างไม่รีบร้อน“……”ทุกผู้คนถึงกับตะลึง โดยเฉพาะเซียนพนัน สีหน้าเขาราวกับกลืนของเสียเข้าไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือ?”หญิงบนโต๊ะเองก็หน้าเจื่อนเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าขา ที่นี่วางขั้นต่ำต้องหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ”“อ้อ ขอโทษด้วย” เจียงซุ่ยฮวนยิ้มบาง ๆ ก่อนจะหยิบอีกใบมาวางซ้อน “เช่นนี้ใช้ได้หรือยัง?”เซียนพนันนั้นยืมเงินจากบ่อนมากถึงหมื่นตำลึง เพียงหวังเอาชนะเงินสองแสนของนาง กลับกลายเป็นนางวางแค่พันเดียว จนเขาอยากจะพลิกโต๊ะเสียให้ได้ทว่าผู้ใดจะสนใจความคิดของเขา? เจียงซุ่ยฮวนหาได้ใส่ใจ เพราะสิ่งที่นางต้องการคือเรียกความสนใจ หาใช่เดิมพันเพื่อชัยชนะอย่างเดียวและผลก็ไม่ผิดคาด นางชนะอีกคราหลายตาต่อมา บางครั้งนางวางเดิมพันทีละสองแสน บางครั้งก็เพียงแค่พันเดียว แต่ทุกครั้งนางล้วนชนะหมดส่วนเซียนพนันกลับเหมือนตกอยู่ในวังวนของความอาฆาต ยิ่งนางเลือกอย่างไร เขาก็เลือกตรงข้าม จนแพ
เมื่อเจียงซุ่ยฮวนกล่าวจบ เสียงหัวเราะเยาะก็ดังขึ้นรอบโต๊ะ“ฮ่า ๆ ๆ! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องเพี้ยนแน่ พวกเราลง ‘สูง’ กันหมด แต่นางกลับเลือก ‘ต่ำ’ เสียนี่!”ผู้หนึ่งชี้ไปยังชายที่ลงเงินเป็นคนแรก แล้วหันมาถามเจียงซุ่ยฮวนว่า “แม่นาง รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร?”เจียงซุ่ยฮวนเลิกคิ้วขึ้น เอ่ยเรียบ ๆ ว่า “แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ”“เขาน่ะหรือ คือ ‘เซียนพนัน’ ประจำที่นี่เชียวนะ! ท่านผู้นี้แม่นยำยิ่ง ทายสิบหน ชนะไปถึงเจ็ด!”อีกคนที่มิได้ลงพนัน กล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายในบ่อนนี้ ยังต้องตามเขาเลือกเลยแม่นาง ข้าเกรงว่าท่านควรไตร่ตรองให้ดี สองแสนตำลึงมิใช่น้อย ๆ”ชายที่ถูกเรียกว่าเซียนพนันจับจ้องตั๋วเงินเบื้องหน้าเจียงซุ่ยฮวนด้วยแววตาลุกวาว ราวกับเงินนั้นได้ตกในกำมือของตนเรียบร้อยแล้วครั้นได้ยินเสียงเตือนของคนอื่น ก็แค่นเสียงฮึดฮัด “เจ้าเองยังไม่ได้เดิมพัน อย่าสอด!”จากนั้นจึงหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ต่อเจียงซุ่ยฮวน “แม่นาง อย่าได้เชื่อคำพวกนั้น ข้าเองก็ใช่ว่าจะทายถูกเสมอ”“ท่านหากตามพวกเราเลือก ‘สูง’ ชนะขึ้นมาก็ได้เงินไม่มากเท่าไร แต่หากท่านเลือก ‘ต่ำ’ แล้วชนะ อย่าง
ชายตาตี่โน้มตัวลงมาด้วยความคาดหวัง “ว่ากระไร?”เจียงซุ่ยฮวนชกเข้าที่เบ้าตาซ้ายของเขาทันที ใช้เพียงห้าส่วนของพลังแต่ก็ตาเขียวช้ำเป็นวง ร้องลั่นพลางย่อตัวกุมตาชายหน้าแดงตะโกนด่า “นางหญิงชั่ว เจ้าคงอยากตายแล้วกระมัง!”เจียงซุ่ยฮวนกระชากคอเสื้อเขาขึ้นมาด้วยแววตาเด็ดขาด “ฟังให้ดี ข้ามาเพื่อตามหาคน ไม่นานก็จะไป”“หากพวกเจ้ายังคิดจะขัดขวางอีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้า”ชายผู้นั้นถึงกับสะดุ้งจากแรงอำนาจของนาง แต่ยังคงหัวเราะเยาะ “เจ้าก็แค่หญิงอ่อนแอ จะทำอะไรพวกข้าได้?”“บ่อนนี้คือบ่อนใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แค่ข้าตะโกนคำเดียว บรรดายอดฝีมือทั้งหลายจะกรูออกมาทันที!”เจียงซุ่ยฮวนคลี่ยิ้มจาง ๆ “บ่อนใหญ่ที่สุดงั้นหรือ? เช่นนั้นคงได้กำไรมหาศาลต่อวันสินะ?”“แน่นอน!”“หากได้มากเพียงนั้น ภาษีที่ต้องส่งคงไม่น้อยพอ ๆ กันกระมัง? บังเอิญว่าข้ารู้จักกับเสนาบดีกรมคลังอยู่คนหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรไปถามเขาดีหรือไม่ว่าบ่อนนี้จ่ายภาษีครบหรือเปล่า?”สีหน้าชายผู้นั้นซีดลงทันที ใครจะคิดว่าแม่นางผู้นี้รู้จักกับเสนาบดีกรมคลัง!แม้เขาจะเป็นแค่ผู้เฝ้าประตู แต่ก็รู้ดีว่าบ่อนของตนรับมือการตรวจสอบไม่ได้แน่ หากทางราช