ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ไป๋หลีดึงแขนเสื้อของเจียงซุ่ยฮวน เตือนว่า "พระชายา ถึงเวลาที่องค์ชายแปดจะทรงร่ายรำอธิษฐานขอพรแล้วเพคะ"ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง เจียงซุ่ยฮวนหาวหนึ่งที แล้วเงยหน้ามองไปยังหอบูชาฟ้าเห็นเพียงร่างของฉู่อี้ทรงฉลองพระองค์ที่ตัดเย็บจากหนังสัตว์ สวมหน้ากากหัวเสือ ยืนเท้าเปล่าอยู่กลางหอบูชาฟ้าพร้อมกับเสียงแตรสังข์ดังขึ้น ฉู่อี้ก็เริ่มร่ายรำอธิษฐานขอพรอย่างช้าๆการร่ายรำนี้แตกต่างจากการร่ายรำทั่วไป แต่ละท่วงท่าล้วนทรงพลัง ดั่งคนดั่งสัตว์ ดั่งเทพดั่งเซียน ประกอบกับเสียงกลองที่ดังเป็นจังหวะ แต่ละก้าวราวกับร่ายรำเข้าสู่ใจผู้คนเจียงซุ่ยฮวนรู้สึกว่า แม้ท่วงท่าของฉู่อี้จะไม่เลว แต่มิได้ร่ายรำออกมาด้วยจิตวิญญาณของการร่ายรำนี้ หากเป็นกู้จิ่นมารำ ย่อมดีกว่าฉู่อี้เป็นร้อยเท่าขณะที่มองดูอยู่นั้น นางพลันรู้สึกว่าเงาร่างของฉู่อี้ช่างดูคุ้นตาอยู่บ้างทั้งที่เมื่อครู่ตอนเห็นฉู่อี้บนท้องถนน กลับไม่มีความรู้สึกเช่นนี้เลยในยามที่นางกำลังสงสัย ท้องฟ้าก็พลันโปรยปรายเกล็ดหิมะลงมา เกล็ดหิมะร่วงหล่นลงบนกายผู้คน นำพาความเย็นยะเยือกมาด้วยในที่สุดหิมะก็ตกลงมาจนได้ทุกคนต่างรู้ดี
เจียงซุ่ยฮวนหรี่ตาลง จ้องมองรอยแตกบนกระดองเต่าอย่างจริงจังอาจเป็นเพราะคำพูดของฉู่เฉินที่ทำให้นางเกิดความคิดบางอย่าง รอยแตกที่เมื่อครู่ยังดูบิดเบี้ยวไร้ระเบียบ ค่อยๆ ประกอบกันเป็นลวดลายหนึ่งในสายตาของนางบนสนามรบที่เต็มไปด้วยควันดำปกคลุม ศพนอนเกลื่อนกลาด เลือดไหลเป็นแม่น้ำ กระดูกขาวนับไม่ถ้วนกองรวมกัน ข้างๆ นั้นคือเหล่าทหารที่แบกความตายไว้บนบ่าพุ่งเข้าสู่การต่อสู้นางลดเสียงลงต่ำ เล่าลวดลายที่เห็นให้ฉู่เฉินฟัง แล้วถามว่า "อาจารย์มีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง ลวดลายบนกระดองเต่านี้หมายความว่าต้าหยวนกำลังจะเกิดสงครามใช่หรือไม่"ฉู่เฉินกลับมองนางด้วยสายตาประหลาดใจ กล่าวอย่างตกตะลึงว่า "ข้าเห็นลวดลายไม่เหมือนกับเจ้า!""หา ท่านเห็นอะไรหรือ""ข้าเห็นน้ำป่าไหลหลาก โรคระบาดแพร่กระจาย ผู้คนนับไม่ถ้วนพลัดถิ่นไร้ที่อยู่ นอกเมืองมีหลุมขนาดใหญ่มากมาย ในหลุมเต็มไปด้วยศพ"เจียงซุ่ยฮวนเข้าใจอย่างรวดเร็ว ลวดลายที่นางและฉู่เฉินเห็นนั้น คือผลลัพธ์ที่เกิดจากการประมวลผลในความคิดของทั้งสองคนหากมีคนมาดูพันคน อาจจะเห็นลวดลายพันแบบนางอดรู้สึกสงสัยไม่ได้ ลวดลายที่ราชครูเห็นจะเป็นอย่างไรบนหอบูชาฟ้า ร
สายตาเย็นยะเยือกและคมกริบดุจอสรพิษนี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ราชครูจ้องมองนางด้วยสายตาเช่นนี้ นางถูฝ่ามือกับแขนเบาๆ พลางผินสายตาหนีไปทางอื่นขบวนค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป เหล่าองครักษ์ที่กั้นผู้คนไว้ผ่อนมือลง ทุกคนจึงแห่แหนกันมุ่งหน้าไปยังหอบูชาฟ้าเจียงซุ่ยฮวนและคณะรีบเร่งตามไปอย่างรวดเร็ว ด้วยวรยุทธ์ที่มีติดตัว พวกเขาจึงเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานก็มาถึงข้างหอบูชาฟ้า และได้ครองตำแหน่งที่ดีแม้จะไม่ใช่ตำแหน่งที่ใกล้ที่สุด แต่หอบูชาฟ้าสูงราวสามจั้งและกว้างใหญ่มาก พวกเขาจึงสามารถมองเห็นหอบูชาฟ้าได้อย่างชัดเจนรอบหอบูชาฟ้ามีการจัดวางเครื่องสังเวยเป็นวงกลม มีทั้งสัตว์บูชาและธัญพืชห้าชนิด อีกทั้งผักและผลไม้นานาพรรณ ฤดูหนาวในเมืองหลวงมีผักผลไม้น้อยนัก เครื่องบูชาเหล่านี้ส่วนใหญ่จึงลำเลียงมาจากดินแดนทางใต้ส่วนตรงกลางหอบูชาฟ้า มีเจดีย์ตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งหลัง เจดีย์หลังนี้งดงามวิจิตรตระการตา มีทั้งหมดสิบชั้นไป๋หลีสังเกตเห็นเจียงซุ่ยฮวนจ้องมองเจดีย์อย่างจริงจัง จึงอธิบายว่า "เพื่อป้องกันการปรากฏตัวของมือสังหารในความวุ่นวาย ทุกปีในพิธีบวงสรวงใหญ่ เหล่าราชวงศ์และขุนนางสำคัญจะประทับอยู
ยวี่จี๋ชี้ไปที่ประตูใหญ่ "ด้านนอกผู้คนเยอะเกินไป มีรถม้าหลายคันติดอยู่ในฝูงชน ขยับตัวไม่ได้เลยขอรับ"เจียงซุ่ยฮวนขมวดคิ้ว พิธีบวงสรวงใหญ่จะเริ่มในยามเที่ยงวัน บัดนี้ฟ้าเพิ่งสางได้ไม่นาน ด้านนอกก็แออัดไปด้วยผู้คนแล้วหรือนางตัดสินใจอย่างเด็ดขาด "ไม่ต้องนั่งรถม้าแล้ว เดินไปเถิด"หากเป็นดังที่ยวี่จี๋กล่าวไว้ การนั่งรถม้าช้ากว่าการเดินเสียอีกนางคลุมกายด้วยผ้าคลุมสีขาว พาฉู่เฉินและองครักษ์อีกหลายคนออกจากประตู ทันใดนั้นก็ตะลึงกับความคึกคักบนท้องถนนตอนแรกที่เลือกที่พักแห่งนี้ ก็เพราะทำเลดี บัดนี้ดูเหมือนว่า ทำเลนี้ดีจะจริงๆถนนแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากมายดั่งมดแมลง เจียงซุ่ยฮวนเข้าใจว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้ที่จะไปชมพิธีบวงสรวงใหญ่ แต่เมื่อเหลียวมองสักครู่ กลับพบว่าผู้คนเหล่านั้นยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหวนางหันไปถามไป๋หลี "เหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงไม่เดินไปไหน"ไป๋หลีกล่าวว่า "พระชายา พิธีบวงสรวงใหญ่ครั้งนี้จัดขึ้น ณ หอบูชาฟ้าก่อนเริ่มพิธี ท่านราชครูและองค์ชายแปดจะนำเครื่องสังเวยเวียนรอบเมืองหลวงหนึ่งรอบ""ถนนหน้าประตูนี้ คือเส้นทางที่พวกเขาจะผ่าน"เจียงซุ่ยฮวนขมวดคิ้ว "ข้าเคยอ่านคัมภีร์โบราณ ไม่
นางสวมกระโปรงแล้วนั่งลงข้างโต๊ะเครื่องแป้ง ปล่อยให้หยิ่งเถาและหงหลัวช่วยเกล้าผมให้สาวใช้ทั้งสองเกล้าผมพลางเอ่ยชม "กระโปรงผืนนี้เหมาะกับคุณหนูนัก กิริยาคุณหนูเยียบเย็นสง่างาม ยามสวมกระโปรงผืนนี้แล้ว ดูประดุจนางฟ้าที่ออกมาจากภูเขาลึก""จริงเจ้าค่ะ ข้าเองเคยคิดว่ากระโปรงผืนนี้เรียบเกินไป หากข้าสวมใส่ คงไม่ต่างจากผ้าป่านหยาบๆ ไม่อาจแสดงความงามของกระโปรงได้"ทั้งสองสลับกันชมเชยไปมา โดยไม่ทำให้การเกล้าผมช้าลงแต่อย่างใด ไม่นานก็เกล้าเสร็จเจียงซุ่ยฮวนมองกระจก พวกนางเกล้าผมทรงมวยสูงตามแบบนางฟ้าในตำนาน ดูสง่างามและมีชีวิตชีวา เข้ากับชุดที่นางสวมวันนี้ ช่างดูเหมือนนางฟ้าจริงๆนางแต่งหน้าเพียงบางๆ หยิบชาดมาแต้มริมฝีปาก เท่านี้ก็เรียบร้อย"วันนี้ข้างนอกมีผู้คนมากมาย พวกเจ้าจงอยู่ในจวนให้เรียบร้อย อย่าออกไปข้างนอก" เจียงซุ่ยฮวนกำชับ ก่อนลุกขึ้นเดินออกไปองครักษ์หลายคนยืนเรียงแถวอยู่หน้าประตู เจียงซุ่ยฮวนชำเลืองมองแวบหนึ่ง รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงหยุดฝีเท้าทันทีนางชี้นิ้วนับคน "หนึ่ง สอง...สี่ ห้า"ห้าคนงั้นหรือ เกินมาหนึ่งคนนางพินิจมองพวกเขา สี่คนยืนตัวตรง สายตามั่นคง มีเพียงคนซ้
ดวงตาของฉู่เฉินเบิกกว้าง สายตาจับจ้องตั๋วเงินไม่วางตา "ตั๋วเงินมากมายเช่นนี้ มาจากที่ใดกัน"เจียงซุ่ยฮวนเล่าเรื่องราวเมื่อวานให้ฟัง ด้วยความรู้สึกทึ่ง "เฉียนจิงอี๋ใจกว้างยิ่งนัก ข้าเอ่ยปากขอมากถึงหกแสนตำลึง แต่เขากลับให้ข้าเกือบเจ็ดแสนตำลึง"นางนับดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วดึงตั๋วเงินออกมาครึ่งหนึ่ง ยื่นให้ฉู่เฉิน "เอ้า นี่คือส่วนของท่าน"ฉู่เฉินยิ้มจนปิดปากไม่มิด เดิมทีคิดว่าความพยายามตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสูญเปล่า แต่บัดนี้กลับมีลาภลอยฟ้าตกลงมา จะไม่ให้ยินดีได้อย่างไรเขาเพิ่งคิดจะหาที่ซ่อนตั๋วเงิน แต่พอคิดอีกที ก็คืนให้เจียงซุ่ยฮวน "เจ้าช่วยเก็บไว้ให้ข้าเถิด""ห้องทดลองของเจ้าปลอดภัยกว่า รอให้ข้าออกจากเมืองหลวงก่อนค่อยขอคืนจากเจ้า""ได้" เจียงซุ่ยฮวนนำตั๋วเงินไปเก็บในห้องทดลองยามนี้ฉู่เฉินหายง่วงสิ้น เขาลุกขึ้นนั่งกล่าวว่า "เจ้าว่า เฉียนจิงอี๋อาจเป็นคนดีหรือไม่ เขาอาจถูกฉู่อี้ข่มขู่ให้ทำเรื่องเหล่านี้ก็เป็นได้"เจียงซุ่ยฮวนยื่นมือออกไปอย่างเรียบเฉย กระชากผมของฉู่เฉินหนึ่งเส้นฉู่เฉินร้อง "โอ๊ย" พลางยกมือกุมศีรษะ "เจ้าเก้า! เจ้าทำอะไรของเจ้า”"อาจารย์ ได้โปรดตื่นจากภวังค์เถิด เพี