LOGINหลังนางออกมาพ้นประตูร้านก็มีเสียงโวยวายอะไรสักอย่างตามมาพร้อม ๆ กับเสียงโครมคราม หญิงสาวไม่ได้สนใจมันมากนัก นางเสร็จธุระที่นี่แล้วก็กลับคฤหาสน์ตนเอง
สำนักคุ้มภัยมักตั้งอยู่ใกล้ประตูเมือง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการหาคนคุ้มกันเวลาเดินทาง ห่างอย่างมากก็อยู่ระหว่างประตูเมืองกับใจกลาง และแน่นอนพื้นที่อยู่อาศัยสัมพันธ์กับรายได้ คนมั่งมีจึงไม่นิยมอาศัยอยู่แถวนี้
ยามกู้หลินฟางเดินกลับก็ต้องผ่านย่านชุมชนแออัดเช่นกันทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเรื่องใครที่ไหน แต่ก็ห้ามให้คนอื่นมาหาเรื่องตัวเองไม่ได้
“ใครกันล่ะเนี่ย คุณหนูกู้ผู้สูงศักดิ์มาทำอะไรที่ตลาดเล็ก ๆ กันล่ะ”
“สวัสดีคุณชายเฉียว” นางทักกลับตามมารยาทแล้วเดินเลยไป
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยว! คิดจะเมินกันไปแบบนี้ก็ได้เลยรึ!” ชายหนุ่มคนนั้นพยายามจะคว้าแขนนาง แต่ก็โดนสะบัดออก
“ยังมีอะไรต้องพูดอีกเล่า หรือต้องให้ข้าพูดยกยอชื่นชมท่านจนตัวลอยไปถึงสวรรค์ก่อนถึงจะผ่านถนนเส้นนี้ได้” นางปรายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างโจ่งแจ้ง จะไร้สมองแค่ไหนก็รู้ตัวว่าโดนดูถูก
กู้หลินฟางไม่ทำนิสัยเสียแบบนี้กับใครก่อน แต่กับเฉียวเชียนนั้นเป็นอีกเรื่อง บุรุษผู้นี้ดูถูกนางตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ ก่อนหน้าจะพบกันก็ส่งจดหมายผ่านทางแม่สื่อมาเกี้ยว แต่เนื้อหาแฝงไปด้วยความดูถูกสตรีอย่างนาง ต่อให้ใช้ถ้อยคำสวยหรูแค่ไหนก็จะแอบจิกกัดมาตอนท้ายทุกครั้ง
ท่านพ่อไปโดนแม่สื่อคนไหนเป่าหูมาถึงได้คว้าชายผู้นี้มาเป็นว่าที่คู่หมั้นข้าได้
ไม่เช่นนั้นแม่สื่อคนที่ว่าก็โดนซื้อตัวไปตั้งแต่แรกแล้ว
“สตรีอย่างเจ้าจะเชิดหน้าชูคอได้สักเท่าไรกันเชียว”
กู้หลินฟางกลอกตา มีบุตรชายแบบนี้มารดาของเขาคงช้ำใจแย่
“ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ”
นางไม่อยากอยู่ให้เปลืองน้ำลายโต้เถียงแม้แต่นิดเดียว บุตรสาวพ่อค้าเดินออกมาโดยไม่หันหลังกลับไปอีก
มีแต่เสียงโวยวายที่ยังได้ยิน วันนี้เจอเรื่องโหวกเหวกแต่เช้าทำให้นางอารมณ์เสียอย่างช่วยไม่ได้ อยากอยากจะเอาเงินไปละลายทิ้งเพื่อผ่อนคลายตัวเองเสียจริง“คุณหนูเจ้าคะ นั่งรถลากกลับดีไหมเจ้าคะ”
“ทำไมล่ะ”
“คุณหนูอาจจะเจออดีตคู่หมั้นมารังควานอีกก็ได้เจ้าค่ะ”
“อดีตคู่หมั้นของข้าที่ชอบทำตัวรุ่มร่ามก็มีแต่เจ้าเฉียวเชียนอะไรนั่นเท่านั้นแหละ”
คู่หมั้นสองคนก่อนหน้านี้ของนางจบกันโดยไม่มีอะไรติดค้าง แม้จะจบกันได้ไม่ดี เพราะการหมั้นหมายถูกยกเลิก แต่พวกเขาไม่เคยมาตามเหน็บแนมนางเป็นผีไร้ญาติแบบนี้
กู้หลินฟางพรูลมหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยหน่าย
หรือข้าหนีขึ้นสำเภาไปเลยดี?
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์นางก็นำสัมภาระส่วนตัวออกมาจัด เปลี่ยนเครื่องประดับผมทั้งหมดเป็นสีเงินพร้อมเสื้อผ้าสีเข้มเป็นส่วนใหญ่ ถึงนี่จะเป็นงานของสาวใช้แต่บางอย่างนางต้องจัดการเอง
การเป็นตระกูลพ่อค้ามีคู่แข่งมากมาย ถึงจะร่ำรวยเงินทองแต่ก็มีคนอิจฉาตาร้อนให้อยู่ไม่สุขได้เสมอ
นางเรียนรู้จากบิดามาหลายอย่าง นี่แค่ส่วนเล็ก ๆ ในบทเรียนเหล่านั้นมีดเล่มเล็กที่ซ่อนอยู่ในรูปของปิ่นปักผมถูกดึงออกมาเพื่อเช็กความคม ถึงจะดูเหมือนของไม่จำเป็น แต่มีไว้มันอุ่นใจกว่า การขัดแข้งขัดขาในธุรกิจมีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ และสกุลกู้ก็ใช่ว่าไม่เคยทำ สิ่งที่ต่างไปมีเพียงว่าใครใช้เล่ห์กลบริสุทธิ์ และใครเล่นงานคนอื่นถึงชีวิต
ถึงจะเป็นวิธีที่โหดร้ายมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีคนจำพวกนั้นอยู่ กู้หลินฟางก็รักชีวิตตัวเองเหมือนกัน
“คุณหนู สินค้าถูกนำขึ้นรถไว้เรียบร้อยแล้วค่ะ”
“หลังจากนี้พวกเจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ ข้าคงอยู่ในห้องทั้งวัน ไม่ไปไหนหรอก”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ถ้าคุณหนูต้องการอะไรก็เรียกใช้ได้เลยนะเจ้าคะ”
คุณหนูใหญ่สกุลกู้พยักหน้าแล้วจัดเรียงอาวุธลับของตัวเองต่อไป
ยามเช้าของวันถัดมาก็มีกลุ่มต้าหยางมารออยู่ด้านนอกคฤหาสน์แล้ว พวกเขาทำความคุ้นเคยกับคนของคฤหาสน์ที่จะร่วมเดินทางไปด้วยระหว่างรอคุณหนู
ถึงจะเป็นตระกูลพ่อค้าร่ำรวย แต่ก็ไม่มีเงินมากพอจะเลี้ยงทหารของตัวเองเอาไว้หลายชีวิตทุกเดือนไปอย่างสูญเปล่าได้ การจ้างคนนอกมาเสริมเป็นทางเลือกที่ดีกว่า คนจากสำนักคุ้มภัยจึงตอบโจทย์เรื่องนี้มาก
คนของสกุลกู้ได้ยินชื่อกลุ่มต้าหยางมานานตั้งแต่พวกเขาเริ่มมีชื่อเสียงในแถบนี้ ว่ากันว่าพวกเขาเสียงดังและร่าเริงเป็นปกติ แต่พอถึงเวลาทำงานบรรยากาศของกลุ่มกลับเงียบเชียบ ไม่รู้เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหน เพราะสกุลกู้ก็พึ่งเคยจ้างวานพวกเขาครั้งแรก
แคว้นอ้ายมีเมืองติดทะเลอยู่หลายแห่ง แต่เมืองท่าที่ใช้ค้าขายหลัก ๆ มีอยู่สองแห่งคือเมืองถงและเมืองหลิวที่พวกเขาอยู่ปัจจุบัน เพราะธุรกิจเชิงสินค้าแลกเปลี่ยนมีมากคนของสำนักคุ้มภัยเลยมีงานกันคับคั่ง
ท่าเรืออยู่ฝั่งตะวันตกของเมืองแต่พวกเขากำลังจะมุ่งหน้าไปทิศใต้
กู้หลินฟางไปทักทายคนที่ตนจ้างมาอีกครั้ง ไม่รู้พวกเขากำลังจับกลุ่มคุยอะไรกัน แต่ทันทีที่เห็นนางเดินมาพวกเขาก็สะกิดหัวหน้า
“เรื่องหลังจากนี้ฝากด้วยนะ”
“แน่นอนขอรับ ทางนี้ก็ขอฝากตัวด้วย”
เทียนจื่อซานเอามือวางรองไว้ท้ายทอยข้างหนึ่ง คุยกับคุณหนูกู้ได้สามคำก็หลบตาหนึ่งที ท่าทางดูทำตัวไม่ถูกอย่างมาก กู้หลินฟางมองเขาด้วยความงุนงง แต่คิดว่าคงเป็นนิสัยของเขาจึงไม่ได้ติดใจอะไรมากนางค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วเดินจากไป พอนางหันหลังก็มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามมาอีกเหมือนเคยการเดินทางนี้มีรถม้าสามคัน คันหนึ่งเป็นที่นั่งโดยสารของเจ้านายและสัมภาระส่วนตัว คันที่สองเป็นตัวอย่างสินค้าและของอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนคันสุดท้ายเป็นของผู้ติดตามและของจิปาถะอื่น ๆทันที่คุณหนูสั่งให้เดินทางรถม้าก็เคลื่อนออกไปถึงกู้หลินฟางจะชอบการค้าขายเป็นอย่างมาก แต่มีอย่างหนึ่งในองค์ประกอบนี้ที่นางไม่ชอบเลย นั่นคือการเดินทางเป็นเวลานาน ๆต่อให้นางหาวจนอยากหลับไปสักสามครั้งต่อวันก็ไม่อาจเร่งเวลาให้ไปถึงปลายทางได้เดี๋ยวนั้น มันคือช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดอย่างไม่อาจหลบหนีหรือหลีกเลี่ยงได้“เสี่ยวลี่”“เจ้าคะ?”“น่าเบื่อจังเลย”“...”แล้วข้าจะทำอะไรได้เล่าเจ้าคะคุณหนู~คนถูกเรียกโอดครวญในใจ แต่ด้วยความภักดีนางก็อยากหาอะไรให้คุณหนูของตนทำแก้เบื่อเช่นกัน เสี่ยวลี่มองหาสัมภาระในรถม้าที่พอจะใช้ได้ แล้วสายตาก็ไปสะดุดก
หลังนางออกมาพ้นประตูร้านก็มีเสียงโวยวายอะไรสักอย่างตามมาพร้อม ๆ กับเสียงโครมคราม หญิงสาวไม่ได้สนใจมันมากนัก นางเสร็จธุระที่นี่แล้วก็กลับคฤหาสน์ตนเองสำนักคุ้มภัยมักตั้งอยู่ใกล้ประตูเมือง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการหาคนคุ้มกันเวลาเดินทาง ห่างอย่างมากก็อยู่ระหว่างประตูเมืองกับใจกลาง และแน่นอนพื้นที่อยู่อาศัยสัมพันธ์กับรายได้ คนมั่งมีจึงไม่นิยมอาศัยอยู่แถวนี้ ยามกู้หลินฟางเดินกลับก็ต้องผ่านย่านชุมชนแออัดเช่นกันทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเรื่องใครที่ไหน แต่ก็ห้ามให้คนอื่นมาหาเรื่องตัวเองไม่ได้“ใครกันล่ะเนี่ย คุณหนูกู้ผู้สูงศักดิ์มาทำอะไรที่ตลาดเล็ก ๆ กันล่ะ”“สวัสดีคุณชายเฉียว” นางทักกลับตามมารยาทแล้วเดินเลยไป“เดี๋ยวสิ เดี๋ยว! คิดจะเมินกันไปแบบนี้ก็ได้เลยรึ!” ชายหนุ่มคนนั้นพยายามจะคว้าแขนนาง แต่ก็โดนสะบัดออก“ยังมีอะไรต้องพูดอีกเล่า หรือต้องให้ข้าพูดยกยอชื่นชมท่านจนตัวลอยไปถึงสวรรค์ก่อนถึงจะผ่านถนนเส้นนี้ได้” นางปรายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างโจ่งแจ้ง จะไร้สมองแค่ไหนก็รู้ตัวว่าโดนดูถูกกู้หลินฟางไม่ทำนิสัยเสียแบบนี้กับใครก่อน แต่กับเฉียวเชียนนั้นเป็นอีกเรื่อง บุรุษผู้นี้ดูถูกนางตั
“ทำไม! ทำไมถึงเป็นข้าทุกที” เขาร้องเสียงดังแล้วยกไหเหล้ายกซดจนไหลล้นออกจากมุมปากเลอะเสื้อไปหมด แต่เสียงร่ำร้องของเขาก็ยังสู้โต๊ะอื่นในร้านไม่ได้“ไม่ใช่ความผิดลูกพี่หรอกที่มีตาหามีแววไม่ ดูไม่ออกว่าสตรีคนไหนมีครอบครัวแล้วบ้าง”“ไม่นะ ข้าว่าลูกพี่แค่โง่เง่าเท่านั้น”“เกาเฟิงชุน! เจ้าเด็กนี่เอาอีกแล้วนะ ถ้าปากเจ้าว่างนั่งก็ยัดกับแกล้มเข้าไป” เสวียนหรงใช้ตะเกียบคีบ ๆ ยัดอาหารเข้าไปให้เต็มปากเจ้าตัวดี ก่อนจะพ่นอะไรไม่เข้าท่าออกมาอีกบุรุษอกสามศอกแทบน้ำตาร่วงเผาะ เพราะโดนลูกน้องจิกกัดด้วยความบริสุทธิ์ใจ เกาเฟิงชุนทำงานดีและเป็นเด็กดีของพี่ ๆ มาก มาเสียก็แต่เขาปากพล่อยไปหน่อย จึงโดนพี่ชายทั้งหลายตบให้เข้าร่องเข้ารอยเป็นประจำ“เอาน่าหัวหน้า อกหักแค่นี้ไม่ตายหรอก ลองใหม่ครั้งที่สิบเอ็ดก็ได้ ต้องมีสตรีสักคนที่ชอบพอท่านแน่”“เพราะข้าอ่อนแอเกินไปหรือ” เทียนจื่อซานเริ่มตัดพ้อกับทุกอย่าง“คนที่ตบสัตว์อสูรด้วยมือเปล่าเอาอะไรมาอ่อนแอเล่า”“หรือท่าทางข้าน่ากลัวเกินไป?”“บุรุษที่ดูอ่อนน้อมเหมือนเต้าหู้อย่างท่านไม่มีอีกแล้วในแคว้นอ้าย”“ทำไมข้าไม่รู้สึกว่ากำลังโดนชมอยู่เลย” เขารู้สึกเหมือนโดนพี่น้องหลอ
ปกติสาวบ่าวชายหรือสาวใช้จะไม่มีทางได้ออกไปไหนหากไม่ใช่การติดตามเจ้านาย แล้วเจ้านายส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะมีงานที่ต้องเดินทาง การที่พวกนางได้เปิดหูเปิดตาต้องบอกว่าเป็นเพราะตระกูลกู้โดยแท้ เสี่ยวจูกับเสี่ยวลี่จึงคอยรับใช้อย่างภักดีเรื่อยมาการมาเยือนหอคุ้มภัยมักจะคุ้นเคยกับเสียงดังตั้งแต่ยืนอยู่หน้าประตู พวกเขาโบกมือแล้วโวยวายกันเป็นเรื่องปกติ เพราะมีโต๊ะนั่งให้กินดื่มเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับคนที่มารอรับงาน แต่พวกเขาไม่ใช่ร้านขายสุรา อย่างมากก็ยอมให้แค่คนละจอกพอชุ่มคอ เพราะถ้าสมาชิกหออาละวาดขึ้นมาหัวหน้าหอก็คงปวดหัวหนักแน่กู้หลินฟางเปิดประตูเข้าไปอย่างคุ้นเคย นางมาจ้างวานที่นี่บ่อยแล้ว ส่วนกลุ่มที่ได้รับการว่าจ้างก็เปลี่ยนไปตามจังหวะและเวลา นางเดินไปที่โต๊ะตัวยาวของแผนกจัดสรรงาน“ไปเมืองอู่ ทำสัญญาสองเที่ยว”“ต้องการคนจำนวนมากไหมเจ้าคะ”“รถม้าสามคัน”“ถ้าอย่างนั้นแนะนำเป็นกลุ่มคุ้มภัยที่มีสิบคนเป็นอย่างน้อยเจ้าค่ะ ถึงระยะทางไปเมืองอู่จะไม่ได้ยาวมาก ใช้เวลาไม่เกินสามวันก็ถึง แต่ระหว่างทางมีการพบเห็นสัตว์อสูรอยู่บ่อยครั้ง”“ตอนนี้มีกลุ่มที่เหมาะสมหรือเปล่า”“ตอนนี้ที่อยู่ที่นี่มีกลุ่มสิบคนขึ้นไป
ตอนที่ได้พบรักกับสามีนางก็ประหลาดใจกับเรื่องนี้เช่นกัน สกุลกู้นั้นแตกต่างจากครอบครัวอื่นในเมือง ด้วยกฎที่ว่าบุตรคนโตไม่ว่าหญิงหรือชายจะต้องเป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป ส่วนน้อง ๆ ก็จะคอยเป็นผู้ช่วยหลังจากนั้นด้วยความที่แคว้นอ้ายยังไม่ได้เปิดรับกับเรื่องนี้พวกนางจึงถูกต่อต้านอยู่บ่อย ๆ นางเคยขึ้นเรือสำเภาไปกับสามีทำให้ได้เห็นโลกกว้าง และได้รู้ว่าบ้านเกิดของตนนั้นยังมีจุดบกพร่องอยู่มาก ถึงอย่างนั้นกำลังของคนไม่กี่คนไม่อาจพลิกผันสิ่งที่เชื่อ และทำตามกันมาอย่างเนิ่นนานได้ฉู่หลานได้แต่ภาวนาให้บุตรสาวทั้งสองได้พบคู่ครองที่จริงใจ และไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ ที่ผ่านมาเจอแต่คนเห็นแก่ตัวเพียงเพราะอยากอาศัยตำแหน่งในตระกูลของพวกนางกันทั้งนั้น ทำเอามารดาอย่างนางทั้งปวดหัวปวดใจไม่น้อยเลย“ท่านพี่ไม่ถูกใจกับว่าที่คู่หมั้นอีกแล้วหรือเจ้าคะ” นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่กู้หรูอันได้ยินเลย นางได้ยินมาจนเบื่อจนแทบแค้นใจด้วยซ้ำพี่สาววางมือบนศีรษะของผู้เป็นน้องแล้วลูบเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ยิ้มให้น้องสาวคลายกังวล เพราะนางหน้าหงอยลงทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ท่านพี่ของนางไม่ใช่คนนิสัยเลวร้าย หน้าตาก็ไม่ได้แพ้ใคร เหตุใดจึง
“สตรีอย่างเจ้าอย่างไรก็หาคนแต่งด้วยไม่ได้หรอก! ดีแค่ไหนที่ข้ายอมมาดูตัวด้วย ยังจะมาดูถูกข้าอีก!” บุรุษผู้หนึ่งตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโหหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมุ่นคิ้ว นางสะบัดพัดเก็บตบลงกลางฝ่ามือ“ใครกันแน่ที่ดูถูกกัน ข้าเป็นสตรีทำการค้าแล้วอย่างไร เจ้าเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาดูแคลนข้า หรือตระกูลของข้า!”“คุณหนูกู้~ ท่านก็น่าจะรู้ว่าที่นี่แคว้นอ้าย รอบ ๆ นี้มีสักกี่แคว้นที่ยกย่องสตรีอย่างท่าน~”เจ้าคนหยาบคาย!“ขอบคุณคุณชายที่สละเวลา ข้าคงไม่รบกวนเวลาไปมากกว่านี้แล้ว”กู้หลินฟางยืนขึ้นเต็มความสูง เดินออกมาจากห้องโดยไม่สนใจอีกฝ่าย มีเสียงเรียกตะโกนไล่หลังมา แต่นางก็หาได้หันหลังกลับไปเมื่อออกมาพ้นร้านน้ำชา สาวใช้คนสนิทก็เอ่ยกับนางด้วยความอึดอัดใจ“คุณชายคนนั้นนิสัยแย่เกินไปแล้วนะเจ้าคะ”“ใช่เจ้าค่ะ ดีจริง ๆ ที่คุณหนูไม่ได้เกี่ยวดองกับคนแบบนั้น ขืนแต่งกันไปก็คงดูถูกดูแคลนคุณหนูทุกวันแน่”กู้หลินฟางถอนหายใจ เหมือนนางเกิดมาผิดยุคผิดสมัย หรือไม่ก็ผิดแผ่นดิน ความคิดอ่านถึงได้ไปคนละทางกับคนแถวนี้“ช่างเถอะ อาจจะไม่มีคนแบบนั้นที่แคว้นนี้ก็ได้” นางหมายถึงว่าที่คู่ครองที่เหมาะสมกับตน ถึงจะ







