ยามลมหนาวเริ่มพัดโชยมา ต้นไม้ในหมู่บ้านซีหลินเริ่มผลัดใบ ทิ้งความเขียวชอุ่มของฤดูร้อนไว้เบื้องหลัง ทว่าในใจของตู้เยี่ยนอวี่กลับมิได้มีแม้แต่ความเหี่ยวเฉา ดุจบุปผาที่ไม่เคยโรยรา ชื่อเสียงของหมอเทวดาตูได้แผ่ขยายออกไปไกลกว่าที่นางคาดคิด ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงเริ่มเดินทางมาขอความช่วยเหลือมิขาดสาย ตั้งแต่ยามอรุณรุ่งจนกระทั่งยามสนธยา
“คุณหนูเจ้าคะ มีชาวบ้านจากหมู่บ้านไผ่เขียวมาขอพบเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูรายงานด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่นัยน์ตากลับเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวนายหญิงของตน
ตู้เยี่ยนอวี่ที่กำลังจัดเรียงสมุนไพรในห้องปรุงยา หันมายิ้มอย่างอ่อนโยน
“เชิญเขาเข้ามาเถิดเสี่ยวจู”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ ใบหน้าฉายแววความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กสาววัยราวสิบขวบปีที่กำลังไอโขลก ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม
“คารวะหมอเทวดาตู้ ขอท่านโปรดช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด นางป่วยมาหลายวันแล้ว กินยาก็ไม่หาย ไอจนตัวโยน แทบจะขาดใจแล้วขอรับ” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน พร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเยี่ยนอวี่
ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงชายผู้นั้นขึ้น
“ท่านลุงมิต้องทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น” นางหันไปหาเด็กสาว “หนูน้อย มานี่เร็วมาให้ข้าตรวจดูอาการเสียหน่อย”
นางวางมือบนหน้าผากของเด็กสาวที่ร้อนรุ่ม ก่อนจะจับชีพจรที่เต้นอ่อนแรง ตรวจดูลิ้นและดวงตาที่ซีดเซียว
“ไอแห้ง มีไข้ ชีพจรแผ่วเบา ลมปราณในปอดติดขัด” นางพึมพำกับตนเอง พร้อมกับนึกย้อนถึงตำราแพทย์โบราณที่อ่านเจอเมื่อไม่กี่วันก่อน “นี่คืออาการของไข้หวัดวสันต์”
นางหันไปหาชายผู้นั้น “บุตรสาวของท่านเป็นไข้หวัดวสันต์เจ้าค่ะ มิใช่โรคร้ายแรงอันใด แต่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด”
ชายผู้นั้นถอนหายใจโล่งอก “ขอบคุณหมอเทวดายิ่งนัก ! ข้ากังวลใจแทบแย่ขอรับ”
“ข้าจะปรุงยาจากสมุนไพรให้ และเขียนวิธีดูแลบุตรสาวของท่านให้ท่านนำกลับไป” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว “อีกสามวันท่านพานางกลับมาให้ข้าดูอาการอีกครั้ง”
นางเดินไปยังชั้นวางสมุนไพร หยิบสมุนไพรหลายชนิดออกมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นรากบัว พุทราจีนแห้ง หรือแม้แต่เปลือกส้มตากแห้ง นางจัดแจงบดยาและชั่งตวงส่วนผสมอย่างพิถีพิถัน
“คุณหนู ท่านช่างจดจำสมุนไพรได้เก่งกาจนัก” เสี่ยวจูเอ่ยชมด้วยความทึ่ง “บ่าวอยู่มาตั้งนานยังจำมิได้มากเท่าคุณหนูเลยเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มตอบ มิได้กล่าวอันใด นางมิอาจบอกได้ว่าความรู้เรื่องสมุนไพรเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากความทรงจำในฐานะเภสัชกรจากโลกเดิม ที่เคยต้องเรียนรู้สรรพคุณของพืชพรรณต่าง ๆ เพื่อนำมาสกัดเป็นยา
หลังจากการรักษาไข้หวัดวสันต์ในครั้งนั้น ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่ก็ยิ่งเป็นที่กล่าวขวัญมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงการรักษาโรค แต่ยังรวมถึงความเมตตาและความใจเย็นที่นางมีต่อผู้ป่วยทุกคน
ยามหิมะแรกเริ่มโปรยปรายลงมา ตู้เยี่ยนอวี่มักจะใช้เวลาในยามว่างไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหมู่บ้านซีหลิน นางมิได้ไปเพื่อรักษาโรคเพียงอย่างเดียว แต่ยังไปเพื่อสังเกตการณ์ความเป็นอยู่ของผู้คน เรียนรู้ปัญหาที่พวกเขาเผชิญ และหาวิธีช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ
“ท่านป้าหลี่ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น ท่านต้องดูแลสุขภาพให้ดีนะเจ้าคะ” เยี่ยนอวี่กล่าวกับหญิงชราผู้หนึ่งที่กำลังนั่งผิงไฟอยู่หน้าบ้าน
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ” ท่านป้าหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นบุญของพวกเราชาวบ้านซีหลินยิ่งนัก ที่มีคุณหนูมาช่วยดูแล”
ในการเยี่ยมเยียนแต่ละครั้ง เยี่ยนอวี่มักจะพกพาความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากโลกเดิมไปเผยแพร่ด้วย เช่น การแนะนำเรื่องสุขอนามัยพื้นฐาน การดื่มน้ำต้มสุก การล้างมือบ่อย ๆ หรือการแยกภาชนะของผู้ป่วย สิ่งเหล่านี้แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาคนยุคปัจจุบัน แต่ในยุคที่ความรู้ด้านสาธารณสุขยังไม่แพร่หลาย สิ่งเหล่านี้กลับเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้
“หากเราดูแลความสะอาดของร่างกายและที่อยู่อาศัยให้ดี โรคภัยไข้เจ็บก็จะมิกล้าเข้าใกล้” นางกล่าวให้ชาวบ้านฟัง
ในตอนแรกชาวบ้านบางคนก็มิได้เข้าใจในสิ่งที่นางกล่าวมากนัก แต่เมื่อเห็นว่าคำแนะนำของนางช่วยให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีขึ้นจริง ก็เริ่มเชื่อมั่นในตัวนางมากขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ นอกจากจะรักษาโรคเก่งแล้ว ยังมีความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพอีกด้วยนะ” ชาวบ้านต่างพากันกล่าวชื่นชม
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้โอ้อวดในความรู้ของตน นางเพียงต้องการใช้ความรู้ที่ตนมีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น
-
เดือนสิบสอง รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก
ยามสิ้นปีใกล้เข้ามา อากาศยิ่งหนาวเย็นยะเยือก ตู้เยี่ยนอวี่ก็มิได้หยุดนิ่ง นางยังคงศึกษาตำราต่าง ๆ ในห้องสมุดอย่างต่อเนื่อง นางมิได้จำกัดอยู่เพียงตำราแพทย์เท่านั้น แต่ยังศึกษาตำราการเกษตร เพื่อหาวิธีเพิ่มผลผลิตให้แก่ชาวบ้าน หรือตำราการจัดการ เพื่อช่วยบิดาบริหารจัดการทรัพย์สินของตระกูลให้ดียิ่งขึ้น
วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังเดินสำรวจแปลงผักในสวนของตระกูล นางสังเกตเห็นว่าผักบางชนิดเจริญเติบโตได้ไม่ดีนัก แม้จะได้รับการดูแลอย่างดีแล้วก็ตาม
“นี่มิใช่ปัญหาที่เกิดจากดินฟ้าอากาศ” นางพึมพำกับตนเอง “แต่เป็นปัญหาที่เกิดจากการจัดการ”
นางนึกถึงความรู้เรื่องการปลูกพืชหมุนเวียน และการบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่เคยเรียนรู้มา
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาท่านเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่เอ่ยขึ้นกับท่านผู้เฒ่าตู้ในยามเย็น
ท่านผู้เฒ่าตู้ที่กำลังนั่งจิบชาอยู่กลางโถงเรือน มองบุตรสาวด้วยแววตาเปี่ยมรัก “มีอันใดหรืออวี่เอ๋อร์ ?”
“ข้าสังเกตเห็นว่าแปลงผักในสวนของเรามิได้ให้ผลผลิตที่ดีเท่าใดนัก” เยี่ยนอวี่กล่าว “ข้าคิดว่าเราควรจะลองปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกผักดูบ้างเจ้าค่ะ”
นางอธิบายถึงแนวคิดเรื่องการปลูกพืชหมุนเวียน และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำจากมูลสัตว์และเศษใบไม้แห้ง ซึ่งจะช่วยบำรุงดินให้สมบูรณ์ขึ้น ดุจการเติมอาหารให้แก่ร่างกาย ท่านผู้เฒ่าตู้รับฟังด้วยความสนใจ ใบหน้าของเขาฉายแววครุ่นคิด
“แนวคิดของเจ้าช่างแปลกใหม่นักอวี่เอ๋อร์ แต่ก็ฟังดูมีเหตุผลยิ่งนัก” ท่านผู้เฒ่าตู้กล่าว “เช่นนั้นก็ลองทำดูเถิด พ่อเชื่อในตัวเจ้า”
ด้วยความเห็นชอบของท่านผู้เฒ่าตู้ ตู้เยี่ยนอวี่ก็เริ่มลงมือปรับปรุงแปลงผักในสวนทันที นางนำความรู้ที่ได้ศึกษามาปรับใช้ในการปฏิบัติจริง เสี่ยวจูและบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ก็เข้ามาช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่
เพียงไม่นาน หลังจากที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลแปลงผัก ผลผลิตที่ได้ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผักเติบโตอย่างงดงาม แข็งแรง และมีรสชาติดีขึ้นกว่าเดิมมาก
“คุณหนู ! ผักของเรางอกงามยิ่งนักเจ้าค่ะ !” เสี่ยวจูร้องด้วยความดีใจขณะเก็บเกี่ยวผลผลิต
“เห็นหรือไม่เสี่ยวจู เพียงแค่เราปรับเปลี่ยนวิธีการเล็กน้อย ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว” เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความสำเร็จในการปรับปรุงแปลงผักนี้ ทำให้ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่มิได้มีเพียงแค่เรื่องการแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความชาญฉลาดในการบริหารจัดการและการเกษตรด้วย จนทำให้มีชาวบ้านบางคน บางกลุ่มเริ่มเข้ามาปรึกษาเรื่องการทำไร่ทำนาบ้างแล้ว
ปลายเดือนเจ็ด รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมฆหมอกร้ายที่เคยปกคลุมวังหลวงได้ถูกปัดเป่าไปจนสิ้น ประหนึ่งรัตติกาลที่ยอมจำนนต่อแสงอรุณ พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างฮ่องเต้แห่งต้าเฉินและองค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ได้ดำเนินไปอย่างยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติที่สุด ท้องพระโรงหลวงที่เคยเป็นเวทีแห่งการพิพากษา บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณสีแดงสดและทองอร่าม เสียงดนตรีมงคลดังกังวานก้องไปทั่ว ขับขานบทเพลงแห่งสันติภาพและสัมพันธไมตรีที่ถูกเชื่อมประสานขึ้นใหม่อย่างแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงยืนสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางที่กำลังแซ่ซ้องถวายพระพร พวกเขาคือวีรบุรุษและวีรสตรีผู้พิทักษ์แผ่นดินอีกครั้ง แต่ในใจของทั้งสองกลับมิได้มีความลำพองใจแม้แต่น้อย มีเพียงความโล่งใจที่ได้เห็นแผ่นดินกลับคืนสู่ความสงบสุขอย่างแท้จริงภายหลังจากพระราชพิธีหลักเสร็จสิ้นลง ฝ่าบาทผู้ทรงมีพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยความสุขและความปีติยินดี ได้มีรับสั่งให้ทั้งสองเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงบ“หากมิได้มีพวกเจ้าทั้งสอง” ฝ่าบาทตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เปี่ยมด้วยความซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
ปลายเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเวลาเปรียบประหนึ่งเม็ดทรายในนาฬิกาที่ร่วงหล่นลงอย่างไม่ปรานี พระอาการขององค์หญิงมู่หลินทรุดลงทุกขณะ ประกายสีครามบนผิวพระองค์เริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นแม้ในยามกลางวัน ลมหายใจแผ่วเบาราวกับจะดับสูญได้ทุกเมื่อ ความกดดันที่มองไม่เห็นได้แผ่ขยายไปทั่ววังหลวง มันมิใช่เพียงชีวิตขององค์หญิงที่แขวนอยู่บนเส้นด้าย แต่คือสันติภาพของสองแผ่นดินที่กำลังจะขาดสะบั้นลงท่ามกลางความสิ้นหวังนั้น ตู้เยี่ยนอวี่ได้ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทเป็นการส่วนพระองค์พร้อมด้วยกู้เหยียนหลงและองค์หญิงลี่หัว ณ ห้องทรงอักษรที่เงียบสงัด นางได้ทูลเสนอแผนการสุดท้ายที่อาจหาญและเสี่ยงอันตรายที่สุด“ฝ่าบาท” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่งแต่แฝงไว้ด้วยความเด็ดเดี่ยว “การจะจับอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เรามิอาจรอให้มันเผยตัวออกมาเองได้ แต่เราต้องสร้างเหยื่อล่อที่หอมหวานที่สุด เพื่อล่อให้มันคายพิษออกมาด้วยตนเองเพคะ”นางได้สร้างเรื่องราวของสมุนไพรวิเศษในตำนานขึ้นมา รากวิญญาณจันทรา พฤกษาทิพย์ที่กล่าวกันว่าสามารถชำระล้างพิษได้ทุกชนิด และจะเบ่งบานเพียงคืนเดียวใต้แสงจันทร์เต็มดวง ณ อารามเมฆขาวบนยอดเขาไท่ซานเท่าน
กลางเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองวังหลวงที่เคยประดับประดาด้วยโคมไฟแห่งการเฉลิมฉลอง บัดนี้กลับถูกปกคลุมด้วยม่านหมอกแห่งความวิตกกังวลที่มองไม่เห็น การประชวรขององค์หญิงมู่หลินแห่งแคว้นหนานเย่ว์ ได้กลายเป็นหินถ่วงก้อนมหึมาที่ถ่วงดุลแห่งสัมพันธไมตรีระหว่างสองแผ่นดินให้สั่นคลอนอย่างน่าหวาดเสียว การสืบสวนเริ่มต้นขึ้นอย่างเงียบงันและเร่งด่วน ประหนึ่งการเดินหมากบนกระดานที่ทุกก้าวล้วนเดิมพันด้วยสันติภาพของต้าเฉินสมรภูมิในครั้งนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองแนวรบที่ดำเนินไปพร้อมกันแนวรบแรกคือห้องปรุงยาหลวงของตู้เยี่ยนอวี่ ที่นี่มิได้มีเสียงคมดาบปะทะกัน มีเพียงเสียงบดยาอันแผ่วเบา เสียงเปลวเทียนที่สั่นไหว และเสียงลมหายใจที่จดจ่อของแพทย์เทวดา ห้องของนางได้แปรสภาพเป็นศูนย์บัญชาการแห่งการพิสูจน์หลักฐาน มันคือการผสมผสานอย่างน่าทึ่งระหว่างเครื่องมือโบราณและนวัตกรรมที่นางประดิษฐ์ขึ้นจากความทรงจำในอีกโลกหนึ่ง ทั้งเครื่องกลั่นขนาดเล็กที่ทำจากแก้วใส และแว่นขยายที่เจียระไนอย่างประณีตนางทุ่มเทเวลานานถึงสองวันสองคืนในการวิเคราะห์เถ้ากำยานปริศนาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย กลิ่นหอมของสมุนไพรนานาชนิดคละคลุ้งไปทั่ว
ต้นเดือนหก รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองเมืองหลวงที่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้จากไปเมื่อหนึ่งปีก่อน บัดนี้ได้กลับกลายเป็นทะเลแห่งแพรพรรณและโคมไฟสีแดงสดอีกครั้งหนึ่ง โคมไฟนับพันดวงถูกแขวนประดับไปตามชายคาของอาคารบ้านเรือน สะบัดพลิ้วตามสายลมคิมหันตฤดูราวกับฝูงผีเสื้ออัคคีที่เริงระบำ ผ้าไหมสีมงคลถูกขึงทอดยาวไปตามถนนสายหลัก บ่งบอกถึงงานมงคลอันยิ่งใหญ่ที่แผ่นดินต้าเฉินกำลังรอคอย บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรื่นเริงและความคาดหวัง ทว่าสำหรับผู้ที่เจนจบในเล่ห์กลแห่งราชสำนักแล้ว ความสงบสุขที่ผิวเผินนี้เปรียบดั่งผิวน้ำอันราบเรียบ แต่เบื้องล่างนั้นกลับซ่อนเร้นไว้ด้วยกระแสธารอันเชี่ยวกรากที่พร้อมจะพัดพาทุกสิ่งให้พังพินาศการกลับมาของทั้งสองมิได้เอิกเกริก แต่กลับเงียบงันดุจเงาที่เคลื่อนไหวในรัตติกาล สถานที่นัดพบแห่งแรกของพวกเขามิใช่ท้องพระโรงอันโอ่อ่า แต่เป็นโรงน้ำชาเก่าแก่ในตรอกเร้นลับ ที่ซึ่งจางอู๋จีในชุดบัณฑิตเรียบง่ายนั่งรออยู่แล้ว“ท่านทั้งสองดูแข็งแกร่งและสงบขึ้นมาก” จางอู๋จีเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม ดวงตาของเขายังคงคมกริบดุจเหยี่ยวเฒ่าเช่นเดิม “ดูเหมือนว่าสายลมแห่งแดนเหนือจะขัดเกลาหยกงามทั้งสองให
ปลายเดือนสี่ รัชศกเทียนเหอปีที่แปดสิบสองหนึ่งปีเต็มที่เปลวเพลิงแห่งสงคราม ณ ชายแดนภาคเหนือได้มอดดับลง สายลมวสันตฤดูที่พัดผ่านเมืองผิงหยวนในยามนี้มิได้หอบเอาฝุ่นควันและกลิ่นคาวเลือดมาด้วยอีกต่อไป หากแต่เป็นกลิ่นไอดินอันบริสุทธิ์และกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของดอกไม้ป่าที่เพิ่งจะแย้มบาน เมืองหน้าด่านที่เคยเป็นดั่งสุสานกลางแจ้ง บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ประหนึ่งต้นไม้แห้งแล้งที่ได้รับสายฝนชโลมใจเสียงค้อนที่ตอกลงบนโครงสร้างบ้านเรือนหลังใหม่ดังขึ้นเป็นจังหวะอย่างมีชีวิตชีวา แทนที่เสียงดาบที่เคยกระทบกันอย่างน่าสะพรึงกลัว รอยยิ้มได้กลับคืนสู่ใบหน้าของชาวบ้านที่เคยซูบตอบด้วยความสิ้นหวัง แม้ร่องรอยความเหนื่อยล้าจะยังคงอยู่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมด้วยประกายแสงแห่งความหวังณ ใจกลางของความเปลี่ยนแปลงนี้ คือเรือนพักชั่วคราวของสองวีรชนผู้พลิกชะตาแผ่นดินตู้เยี่ยนอวี่ในอาภรณ์ผ้าฝ้ายสีขาวเรียบง่าย กำลังเดินตรวจดูแปลงสมุนไพรในสวนโอสถร้อยสกุลที่นางริเริ่มขึ้นด้วยตนเอง มันมิใช่สวนบุปผาที่งดงามเพื่อการชื่นชม แต่คือคลังยาที่มีชีวิตซึ่งนางจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรากฐานของระบบสาธารณสุขชุมชน นางกำลังสอนกลุ
บนสมรภูมิทะเลสาบกระจกที่บัดนี้เงียบสงัดลงแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านผืนเกลือสีขาวและเสียงครวญครางของผู้บาดเจ็บ คำประกาศยอมแพ้ของจ้าวอู๋จี้ดังก้องอยู่ในความเงียบนั้น ประหนึ่งคำพิพากษาสุดท้ายที่ปิดฉากสงครามอันนองเลือดแห่งแดนเหนือลงโดยสมบูรณ์เขามิได้มีท่าทีของนักโทษผู้สิ้นหวัง แต่กลับเป็นความสงบนิ่งของนักปราชญ์ผู้ยอมรับในผลลัพธ์ของกระดานหมากที่ตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จ้าวอู๋จี้เดินลงจากเนินดินอย่างเชื่องช้า เขาปลดดาบประจำกายที่อยู่ข้างเอวออก และยื่นมันให้แก่กู้เหยียนหลงด้วยสองมือ“นี่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมจำนนของข้า” เขากล่าวเสียงเรียบ “และคือการยอมรับในชัยชนะของท่าน”กู้เหยียนหลงรับดาบเล่มนั้นมาถือไว้ เขามิได้แสดงท่าทีของผู้ชนะที่ลำพองใจ แต่กลับประสานมือคารวะคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของเขาเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย“ท่านคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าเคยพบพาน” กู้เหยียนหลงกล่าว “การพิพากษาท่านมิใช่หน้าที่ของข้า แต่เป็นหน้าที่ของราชสำนักและประวัติศาสตร์”เขาออกคำสั่งให้นำตัวจ้าวอู๋จี้และเหล่าแม่ทัพนายกอ