ยามลมหนาวเริ่มพัดโชยมา ต้นไม้ในหมู่บ้านซีหลินเริ่มผลัดใบ ทิ้งความเขียวชอุ่มของฤดูร้อนไว้เบื้องหลัง ทว่าในใจของตู้เยี่ยนอวี่กลับมิได้มีแม้แต่ความเหี่ยวเฉา ดุจบุปผาที่ไม่เคยโรยรา ชื่อเสียงของหมอเทวดาตูได้แผ่ขยายออกไปไกลกว่าที่นางคาดคิด ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงเริ่มเดินทางมาขอความช่วยเหลือมิขาดสาย ตั้งแต่ยามอรุณรุ่งจนกระทั่งยามสนธยา
“คุณหนูเจ้าคะ มีชาวบ้านจากหมู่บ้านไผ่เขียวมาขอพบเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูรายงานด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่นัยน์ตากลับเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวนายหญิงของตน
ตู้เยี่ยนอวี่ที่กำลังจัดเรียงสมุนไพรในห้องปรุงยา หันมายิ้มอย่างอ่อนโยน
“เชิญเขาเข้ามาเถิดเสี่ยวจู”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ ใบหน้าฉายแววความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กสาววัยราวสิบขวบปีที่กำลังไอโขลก ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม
“คารวะหมอเทวดาตู้ ขอท่านโปรดช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด นางป่วยมาหลายวันแล้ว กินยาก็ไม่หาย ไอจนตัวโยน แทบจะขาดใจแล้วขอรับ” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน พร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเยี่ยนอวี่
ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงชายผู้นั้นขึ้น
“ท่านลุงมิต้องทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น” นางหันไปหาเด็กสาว “หนูน้อย มานี่เร็วมาให้ข้าตรวจดูอาการเสียหน่อย”
นางวางมือบนหน้าผากของเด็กสาวที่ร้อนรุ่ม ก่อนจะจับชีพจรที่เต้นอ่อนแรง ตรวจดูลิ้นและดวงตาที่ซีดเซียว
“ไอแห้ง มีไข้ ชีพจรแผ่วเบา ลมปราณในปอดติดขัด” นางพึมพำกับตนเอง พร้อมกับนึกย้อนถึงตำราแพทย์โบราณที่อ่านเจอเมื่อไม่กี่วันก่อน “นี่คืออาการของไข้หวัดวสันต์”
นางหันไปหาชายผู้นั้น “บุตรสาวของท่านเป็นไข้หวัดวสันต์เจ้าค่ะ มิใช่โรคร้ายแรงอันใด แต่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด”
ชายผู้นั้นถอนหายใจโล่งอก “ขอบคุณหมอเทวดายิ่งนัก ! ข้ากังวลใจแทบแย่ขอรับ”
“ข้าจะปรุงยาจากสมุนไพรให้ และเขียนวิธีดูแลบุตรสาวของท่านให้ท่านนำกลับไป” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว “อีกสามวันท่านพานางกลับมาให้ข้าดูอาการอีกครั้ง”
นางเดินไปยังชั้นวางสมุนไพร หยิบสมุนไพรหลายชนิดออกมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นรากบัว พุทราจีนแห้ง หรือแม้แต่เปลือกส้มตากแห้ง นางจัดแจงบดยาและชั่งตวงส่วนผสมอย่างพิถีพิถัน
“คุณหนู ท่านช่างจดจำสมุนไพรได้เก่งกาจนัก” เสี่ยวจูเอ่ยชมด้วยความทึ่ง “บ่าวอยู่มาตั้งนานยังจำมิได้มากเท่าคุณหนูเลยเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มตอบ มิได้กล่าวอันใด นางมิอาจบอกได้ว่าความรู้เรื่องสมุนไพรเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากความทรงจำในฐานะเภสัชกรจากโลกเดิม ที่เคยต้องเรียนรู้สรรพคุณของพืชพรรณต่าง ๆ เพื่อนำมาสกัดเป็นยา
หลังจากการรักษาไข้หวัดวสันต์ในครั้งนั้น ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่ก็ยิ่งเป็นที่กล่าวขวัญมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงการรักษาโรค แต่ยังรวมถึงความเมตตาและความใจเย็นที่นางมีต่อผู้ป่วยทุกคน
ยามหิมะแรกเริ่มโปรยปรายลงมา ตู้เยี่ยนอวี่มักจะใช้เวลาในยามว่างไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหมู่บ้านซีหลิน นางมิได้ไปเพื่อรักษาโรคเพียงอย่างเดียว แต่ยังไปเพื่อสังเกตการณ์ความเป็นอยู่ของผู้คน เรียนรู้ปัญหาที่พวกเขาเผชิญ และหาวิธีช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ
“ท่านป้าหลี่ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น ท่านต้องดูแลสุขภาพให้ดีนะเจ้าคะ” เยี่ยนอวี่กล่าวกับหญิงชราผู้หนึ่งที่กำลังนั่งผิงไฟอยู่หน้าบ้าน
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ” ท่านป้าหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นบุญของพวกเราชาวบ้านซีหลินยิ่งนัก ที่มีคุณหนูมาช่วยดูแล”
ในการเยี่ยมเยียนแต่ละครั้ง เยี่ยนอวี่มักจะพกพาความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากโลกเดิมไปเผยแพร่ด้วย เช่น การแนะนำเรื่องสุขอนามัยพื้นฐาน การดื่มน้ำต้มสุก การล้างมือบ่อย ๆ หรือการแยกภาชนะของผู้ป่วย สิ่งเหล่านี้แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาคนยุคปัจจุบัน แต่ในยุคที่ความรู้ด้านสาธารณสุขยังไม่แพร่หลาย สิ่งเหล่านี้กลับเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้
“หากเราดูแลความสะอาดของร่างกายและที่อยู่อาศัยให้ดี โรคภัยไข้เจ็บก็จะมิกล้าเข้าใกล้” นางกล่าวให้ชาวบ้านฟัง
ในตอนแรกชาวบ้านบางคนก็มิได้เข้าใจในสิ่งที่นางกล่าวมากนัก แต่เมื่อเห็นว่าคำแนะนำของนางช่วยให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีขึ้นจริง ก็เริ่มเชื่อมั่นในตัวนางมากขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ นอกจากจะรักษาโรคเก่งแล้ว ยังมีความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพอีกด้วยนะ” ชาวบ้านต่างพากันกล่าวชื่นชม
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้โอ้อวดในความรู้ของตน นางเพียงต้องการใช้ความรู้ที่ตนมีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น
-
เดือนสิบสอง รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก
ยามสิ้นปีใกล้เข้ามา อากาศยิ่งหนาวเย็นยะเยือก ตู้เยี่ยนอวี่ก็มิได้หยุดนิ่ง นางยังคงศึกษาตำราต่าง ๆ ในห้องสมุดอย่างต่อเนื่อง นางมิได้จำกัดอยู่เพียงตำราแพทย์เท่านั้น แต่ยังศึกษาตำราการเกษตร เพื่อหาวิธีเพิ่มผลผลิตให้แก่ชาวบ้าน หรือตำราการจัดการ เพื่อช่วยบิดาบริหารจัดการทรัพย์สินของตระกูลให้ดียิ่งขึ้น
วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังเดินสำรวจแปลงผักในสวนของตระกูล นางสังเกตเห็นว่าผักบางชนิดเจริญเติบโตได้ไม่ดีนัก แม้จะได้รับการดูแลอย่างดีแล้วก็ตาม
“นี่มิใช่ปัญหาที่เกิดจากดินฟ้าอากาศ” นางพึมพำกับตนเอง “แต่เป็นปัญหาที่เกิดจากการจัดการ”
นางนึกถึงความรู้เรื่องการปลูกพืชหมุนเวียน และการบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่เคยเรียนรู้มา
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาท่านเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่เอ่ยขึ้นกับท่านผู้เฒ่าตู้ในยามเย็น
ท่านผู้เฒ่าตู้ที่กำลังนั่งจิบชาอยู่กลางโถงเรือน มองบุตรสาวด้วยแววตาเปี่ยมรัก “มีอันใดหรืออวี่เอ๋อร์ ?”
“ข้าสังเกตเห็นว่าแปลงผักในสวนของเรามิได้ให้ผลผลิตที่ดีเท่าใดนัก” เยี่ยนอวี่กล่าว “ข้าคิดว่าเราควรจะลองปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกผักดูบ้างเจ้าค่ะ”
นางอธิบายถึงแนวคิดเรื่องการปลูกพืชหมุนเวียน และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำจากมูลสัตว์และเศษใบไม้แห้ง ซึ่งจะช่วยบำรุงดินให้สมบูรณ์ขึ้น ดุจการเติมอาหารให้แก่ร่างกาย ท่านผู้เฒ่าตู้รับฟังด้วยความสนใจ ใบหน้าของเขาฉายแววครุ่นคิด
“แนวคิดของเจ้าช่างแปลกใหม่นักอวี่เอ๋อร์ แต่ก็ฟังดูมีเหตุผลยิ่งนัก” ท่านผู้เฒ่าตู้กล่าว “เช่นนั้นก็ลองทำดูเถิด พ่อเชื่อในตัวเจ้า”
ด้วยความเห็นชอบของท่านผู้เฒ่าตู้ ตู้เยี่ยนอวี่ก็เริ่มลงมือปรับปรุงแปลงผักในสวนทันที นางนำความรู้ที่ได้ศึกษามาปรับใช้ในการปฏิบัติจริง เสี่ยวจูและบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ก็เข้ามาช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่
เพียงไม่นาน หลังจากที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลแปลงผัก ผลผลิตที่ได้ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผักเติบโตอย่างงดงาม แข็งแรง และมีรสชาติดีขึ้นกว่าเดิมมาก
“คุณหนู ! ผักของเรางอกงามยิ่งนักเจ้าค่ะ !” เสี่ยวจูร้องด้วยความดีใจขณะเก็บเกี่ยวผลผลิต
“เห็นหรือไม่เสี่ยวจู เพียงแค่เราปรับเปลี่ยนวิธีการเล็กน้อย ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว” เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความสำเร็จในการปรับปรุงแปลงผักนี้ ทำให้ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่มิได้มีเพียงแค่เรื่องการแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความชาญฉลาดในการบริหารจัดการและการเกษตรด้วย จนทำให้มีชาวบ้านบางคน บางกลุ่มเริ่มเข้ามาปรึกษาเรื่องการทำไร่ทำนาบ้างแล้ว
เสมือนสายพิณที่ขาดสะบั้นลงกลางบทเพลงที่ไพเราะที่สุดสิ้นเสียงรายงานการเคลื่อนทัพของรองแม่ทัพจ้าวคุน บรรยากาศอันงดงามในศาลากลางน้ำพลันแหลกสลายลงในพริบตา ไอสังหารที่เคยแฝงเร้น บัดนี้ได้ปรากฏตัวตนขึ้นอย่างชัดเจนใบหน้าของฝ่าบาทและเหล่าขุนนางผู้ภักดีซีดเผือดราวกับกระดาษ การเคลื่อนทัพโดยพลการในยามนี้ มีความหมายเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือการก่อกบฏ!หน้ากากขุนนางผู้ภักดีที่เสนาบดีหลิวเจิ้งสวมใส่มานานหลายสิบปี บัดนี้ได้ถูกกระชากออกอย่างไม่เหลือชิ้นดี เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอสรพิษเฒ่าผู้กระหายในราชบัลลังก์“หลิวเจิ้ง! เจ้า... เจ้าบังอาจ!” ฝ่าบาทตรัสด้วยพระสุรเสียงที่สั่นเทาด้วยโทสะทว่าพยัคฆ์เฒ่าที่จนตรอก ย่อมเป็นพยัคฆ์ที่อันตรายที่สุดหลิวเจิ้งมิได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก เขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้งและน่าขนพองสยองเกล้า“ฮ่า ๆๆๆ! ในเมื่อพวกเจ้าฉีกหน้ากากของข้าแล้ว ข้าก็มิจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป!” เขากล่าวพลางปรายตามองทุกคนด้วยแววตาที่อำมหิต “เดิมทีข้าคิดจะค่อย ๆ กลืนกินแผ่นด
ในชั่ววินาทีที่พระพันปีหลวงตรัสถึงคดีของตระกูลมู่หรง อากาศทั่วทั้งศาลากลางน้ำพลันเยียบเย็นลงราวกับย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ในบัดดล รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวเจิ้งมิได้จางหาย แต่กลับแข็งค้างดุจหน้ากากน้ำแข็งที่กำลังปริร้าว เผยให้เห็นรอยแยกของความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ภายในทว่าอสรพิษเฒ่าที่ขดตัวอยู่ในราชสำนักมาหลายสิบปี ย่อมมิใช่ผู้ที่จะยอมจำนนต่อสถานการณ์โดยง่าย“ฮ่า ๆๆ”เสียงหัวเราะอันแหบแห้งของเขาดังขึ้นทำลายความเงียบงัน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดจากการถูกหยามเกียรติ“พระพันปีหลวงทรงมีพระเมตตา ยังทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของขุนนางเก่าแก่อย่างกระหม่อมได้” เขากล่าวพลางลุกขึ้นยืน โค้งคำนับอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น “น่าเสียดาย... ที่วัยชราได้พรากความทรงจำอันเฉียบคมของกระหม่อมไปเสียมากแล้ว คดีเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นช่างเลือนรางนัก แต่กระหม่อมจำได้เพียงว่า ทุกการตัดสินโทษในชีวิตราชการของกระหม่อม ล้วนเป็นไปเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินและเพื่อสนองพระเดชพระคุณฝ่าบาทเสมอมา”เขาเปลี่ยนจากการเป็นจำเลยมาเป็นผู้ถูกกระทำไ
ศาลากลางสระบัวในวันนี้งดงามและสงบนิ่งเป็นพิเศษ ประหนึ่งเกาะหยกที่ลอยเด่นอยู่กลางทะเลมรกตที่เต็มไปด้วยใบบัว สายลมที่พัดผ่านผิวน้ำ นำพาเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเกสรบัวหลวงมาด้วย ทว่าภายใต้ความงามอันสงบสุขนั้น กลับมิอาจพัดพาไอสังหารที่แฝงเร้นอยู่ในอากาศให้จางหายไปได้ขบวนเสลี่ยงของเสนาบดีหลิวเจิ้งมาถึงเป็นคนแรก เขาก้าวลงจากเสลี่ยงด้วยท่วงท่าที่สุขุมและสง่างามสมตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งผู้เป็นเสาหลักของแผ่นดิน รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นและเปี่ยมด้วยเมตตา แต่ในส่วนลึกของดวงตาที่ผ่านโลกมาจนโชกโชนนั้นกลับเยียบเย็นตามมาด้วยขบวนขององค์ชายจ้าวเฟิง เขามาในอาภรณ์ผ้าไหมปักลายพยัคฆ์ซ่อนกายในพงไพร ดูองอาจและเปี่ยมด้วยบารมี รอยยิ้มของเขายังคงเป็นมิตรและน่าคบหา แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า มันเป็นรอยยิ้มของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ มิใช่รอยยิ้มของสหายผู้มาเยือนเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า ณ ศาลากลางน้ำพระพันปีหลวงในฐานะประธานของงานเลี้ยง ก็ได้มีรับสั่งให้เริ่มพิธีชงชาชั้นสูง นางกำนัลคนสนิทค่อย ๆ บรรจงรินน้ำร้อนลงบนใบชาต้าหงเผาอันล้ำค่า กลิ่นหอมกรุ่นของใบชาชั้นเลิศลอยอบอวลไปทั่วศาลา
ในตำหนักหมื่นวสันต์ที่เงียบสงบ บัญชีมรณะเล่มนั้นได้กลายเป็นเถ้าธุลีในกระถางทองเหลืองไปแล้ว แต่ทุกตัวอักษรที่เคยจารึกไว้ ได้ประทับลงในพระทัยของอย่างมิอาจลบเลือน พระพันปีหลวงผู้ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวและคลื่นลมในราชสำนักมาค่อนชีวิต บัดนี้แววพระเนตรของพระนางนิ่งสงบและเยียบเย็นดุจผืนน้ำใต้ธารน้ำแข็ง“ในเมื่อรากแก้วของต้นไม้พิษมันฝังลึกถึงเพียงนี้ การถอนรากถอนโคนในคราวเดียว ย่อมทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน” พระนางตรัสกับองค์หญิงลี่หัวและพระสนมหลี่ที่อยู่เบื้องหน้า “เราจะมิโค่นต้นไม้ แต่เราจะลิดกิ่งก้านของมันทีละกิ่ง ล่ออสรพิษให้ออกมาจากโพรงด้วยตัวเอง”พระนางมิได้มีราชโองการให้จับกุมผู้ใดในทันที แต่กลับมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงน้ำชาชมราชสาส์นขึ้นเป็นการส่วนพระองค์ในอีกสามวันข้างหน้า ณ ศาลากลางสระบัว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อหารือเป็นการภายในถึงข้อเสนออภิเษกสมรสขององค์ชายจ้าวเฟิง และเพื่อพิจารณาราชสาส์นจากแคว้นอื่นที่ส่งมาถวายพระพรในวาระที่ฝ่าบาททรงหายจากพระอาการประชวรเป็นการเดินหมากที่แยบยลและเลือดเย็นที่สุด ผู้ที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้มีเพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนล้วนเป็นหัวใจของขั้วอำนาจทั้งหมด ฝ่า
แสงจันทร์มิอาจสาดส่องถึงห้องลับใต้ดินของสำนักพันเงา ที่ซึ่งบรรยากาศหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่ารัตติกาลในฤดูเหมันต์ บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ใจกลางห้อง บัญชีมรณะเล่มนั้นวางแผ่หลาอยู่ แต่ทุกตัวอักษรที่จารึกไว้ด้วยพู่กันกลับหนักอึ้งดุจชะตากรรมของแผ่นดิน รอยแผลของนายหญิงแห่งเงาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดจากตู้เยี่ยนอวี่ แม้ร่างกายจะเจ็บปวด แต่ในแววตาของนางกลับลุกโชนไปด้วยไฟแค้นที่รอวันสะสาง“หลิวเจิ้งคือรากแก้วของต้นไม้พิษต้นนี้” กู้เหยียนหลงกล่าวทำลายความเงียบ นัยน์ตาคมกริบของเขาทอประกายกร้าว “การโค่นล้มเขาในยามนี้ที่มันยังกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในราชสำนัก ไม่ต่างอะไรกับการเอากายเข้าปะทะคมดาบ”“ท่านแม่ทัพกล่าวถูกแล้ว” จางอู๋จีเสริมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สายข่าวของข้ารายงานว่า บัดนี้จวนเสนาบดีและการป้องกันวังหลวงถูกยกระดับขึ้นสูงสุด ประหนึ่งค่ายทหารที่พร้อมรับศึก เรามิอาจใช้กำลังบุกเข้าไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง”ท่ามกลางความตึงเครียดนั้น มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่ที่ยังคงสงบนิ่ง นางวางสมุนไพรในมือลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยปัญญาอันล้ำลึก“ในเมื่อประตูหน้าเต็มไปด้วยกองทัพหมาป
ครืน... ครืน...เสียงหินบดขยี้กันดังก้องสะท้าน ราวกับเสียงกรามของมังกรที่กำลังจะขย้ำเหยื่อให้แหลกสลาย ผนังห้องทั้งสี่ด้านเคลื่อนตัวบีบอัดเข้ามาอย่างช้า ๆ แต่หนักหน่วงและไม่อาจต้านทานได้ ฝุ่นผงและเศษปูนร่วงหล่นลงมาจากเพดานราวกับห่าฝน“เรามีเวลาไม่ถึงสิบห้าลมหายใจ!” หนึ่งในแมวเงาตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตระหนกกู้เหยียนหลงและนายหญิงแห่งเงาพุ่งเข้าไปใช้ฝ่ามือยันผนังที่เคลื่อนเข้ามาทันที พลังลมปราณของทั้งสองระเบิดออกอย่างเต็มที่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ชะลอความเร็วของมันลงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันหนักหน่วงเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะต้านทานไหว“ไร้ประโยชน์! นี่คือกลไกตายตัว!” กู้เหยียนหลงกัดฟันพูด ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดในขณะที่ทุกคนกำลังจะสิ้นหวัง ตู้เยี่ยนอวี่กลับมีสายตาที่สว่างวาบขึ้น นางมิได้มองไปยังผนัง แต่นางกลับจ้องลึกลงไปในช่องลับใต้พื้นที่ว่างเปล่าหลังจากที่หยิบหีบออกมาแล้ว“ช่องลับนั่น!” นางร้องบอกทุกคน “มันมิใช่แค่ช่องเก็บของ แต่มันคือกลไก รูปปั้นพระพุทธองค์มิใช่แค่กุญแจเปิด แต่เป็นตุ้มถ่วงน้