ยามลมหนาวเริ่มพัดโชยมา ต้นไม้ในหมู่บ้านซีหลินเริ่มผลัดใบ ทิ้งความเขียวชอุ่มของฤดูร้อนไว้เบื้องหลัง ทว่าในใจของตู้เยี่ยนอวี่กลับมิได้มีแม้แต่ความเหี่ยวเฉา ดุจบุปผาที่ไม่เคยโรยรา ชื่อเสียงของหมอเทวดาตูได้แผ่ขยายออกไปไกลกว่าที่นางคาดคิด ผู้คนจากหมู่บ้านใกล้เคียงเริ่มเดินทางมาขอความช่วยเหลือมิขาดสาย ตั้งแต่ยามอรุณรุ่งจนกระทั่งยามสนธยา
“คุณหนูเจ้าคะ มีชาวบ้านจากหมู่บ้านไผ่เขียวมาขอพบเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูรายงานด้วยน้ำเสียงเหนื่อยอ่อน แต่นัยน์ตากลับเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมในตัวนายหญิงของตน
ตู้เยี่ยนอวี่ที่กำลังจัดเรียงสมุนไพรในห้องปรุงยา หันมายิ้มอย่างอ่อนโยน
“เชิญเขาเข้ามาเถิดเสี่ยวจู”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ ใบหน้าฉายแววความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กสาววัยราวสิบขวบปีที่กำลังไอโขลก ใบหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอม
“คารวะหมอเทวดาตู้ ขอท่านโปรดช่วยบุตรสาวของข้าด้วยเถิด นางป่วยมาหลายวันแล้ว กินยาก็ไม่หาย ไอจนตัวโยน แทบจะขาดใจแล้วขอรับ” ชายผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน พร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเยี่ยนอวี่
ตู้เยี่ยนอวี่รีบพยุงชายผู้นั้นขึ้น
“ท่านลุงมิต้องทำเช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงทำตามหน้าที่เท่านั้น” นางหันไปหาเด็กสาว “หนูน้อย มานี่เร็วมาให้ข้าตรวจดูอาการเสียหน่อย”
นางวางมือบนหน้าผากของเด็กสาวที่ร้อนรุ่ม ก่อนจะจับชีพจรที่เต้นอ่อนแรง ตรวจดูลิ้นและดวงตาที่ซีดเซียว
“ไอแห้ง มีไข้ ชีพจรแผ่วเบา ลมปราณในปอดติดขัด” นางพึมพำกับตนเอง พร้อมกับนึกย้อนถึงตำราแพทย์โบราณที่อ่านเจอเมื่อไม่กี่วันก่อน “นี่คืออาการของไข้หวัดวสันต์”
นางหันไปหาชายผู้นั้น “บุตรสาวของท่านเป็นไข้หวัดวสันต์เจ้าค่ะ มิใช่โรคร้ายแรงอันใด แต่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด”
ชายผู้นั้นถอนหายใจโล่งอก “ขอบคุณหมอเทวดายิ่งนัก ! ข้ากังวลใจแทบแย่ขอรับ”
“ข้าจะปรุงยาจากสมุนไพรให้ และเขียนวิธีดูแลบุตรสาวของท่านให้ท่านนำกลับไป” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าว “อีกสามวันท่านพานางกลับมาให้ข้าดูอาการอีกครั้ง”
นางเดินไปยังชั้นวางสมุนไพร หยิบสมุนไพรหลายชนิดออกมาอย่างคล่องแคล่ว ไม่ว่าจะเป็นรากบัว พุทราจีนแห้ง หรือแม้แต่เปลือกส้มตากแห้ง นางจัดแจงบดยาและชั่งตวงส่วนผสมอย่างพิถีพิถัน
“คุณหนู ท่านช่างจดจำสมุนไพรได้เก่งกาจนัก” เสี่ยวจูเอ่ยชมด้วยความทึ่ง “บ่าวอยู่มาตั้งนานยังจำมิได้มากเท่าคุณหนูเลยเจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่เพียงยิ้มตอบ มิได้กล่าวอันใด นางมิอาจบอกได้ว่าความรู้เรื่องสมุนไพรเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากความทรงจำในฐานะเภสัชกรจากโลกเดิม ที่เคยต้องเรียนรู้สรรพคุณของพืชพรรณต่าง ๆ เพื่อนำมาสกัดเป็นยา
หลังจากการรักษาไข้หวัดวสันต์ในครั้งนั้น ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่ก็ยิ่งเป็นที่กล่าวขวัญมากขึ้น ไม่ใช่แค่เพียงการรักษาโรค แต่ยังรวมถึงความเมตตาและความใจเย็นที่นางมีต่อผู้ป่วยทุกคน
ยามหิมะแรกเริ่มโปรยปรายลงมา ตู้เยี่ยนอวี่มักจะใช้เวลาในยามว่างไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในหมู่บ้านซีหลิน นางมิได้ไปเพื่อรักษาโรคเพียงอย่างเดียว แต่ยังไปเพื่อสังเกตการณ์ความเป็นอยู่ของผู้คน เรียนรู้ปัญหาที่พวกเขาเผชิญ และหาวิธีช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ
“ท่านป้าหลี่ช่วงนี้อากาศหนาวเย็น ท่านต้องดูแลสุขภาพให้ดีนะเจ้าคะ” เยี่ยนอวี่กล่าวกับหญิงชราผู้หนึ่งที่กำลังนั่งผิงไฟอยู่หน้าบ้าน
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ช่างเป็นเด็กดีจริง ๆ” ท่านป้าหลี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เป็นบุญของพวกเราชาวบ้านซีหลินยิ่งนัก ที่มีคุณหนูมาช่วยดูแล”
ในการเยี่ยมเยียนแต่ละครั้ง เยี่ยนอวี่มักจะพกพาความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากโลกเดิมไปเผยแพร่ด้วย เช่น การแนะนำเรื่องสุขอนามัยพื้นฐาน การดื่มน้ำต้มสุก การล้างมือบ่อย ๆ หรือการแยกภาชนะของผู้ป่วย สิ่งเหล่านี้แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อยในสายตาคนยุคปัจจุบัน แต่ในยุคที่ความรู้ด้านสาธารณสุขยังไม่แพร่หลาย สิ่งเหล่านี้กลับเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้
“หากเราดูแลความสะอาดของร่างกายและที่อยู่อาศัยให้ดี โรคภัยไข้เจ็บก็จะมิกล้าเข้าใกล้” นางกล่าวให้ชาวบ้านฟัง
ในตอนแรกชาวบ้านบางคนก็มิได้เข้าใจในสิ่งที่นางกล่าวมากนัก แต่เมื่อเห็นว่าคำแนะนำของนางช่วยให้พวกเขามีสุขภาพที่ดีขึ้นจริง ก็เริ่มเชื่อมั่นในตัวนางมากขึ้นเรื่อย ๆ
“คุณหนูเยี่ยนอวี่ นอกจากจะรักษาโรคเก่งแล้ว ยังมีความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพอีกด้วยนะ” ชาวบ้านต่างพากันกล่าวชื่นชม
ตู้เยี่ยนอวี่มิได้โอ้อวดในความรู้ของตน นางเพียงต้องการใช้ความรู้ที่ตนมีให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเท่านั้น
-
เดือนสิบสอง รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก
ยามสิ้นปีใกล้เข้ามา อากาศยิ่งหนาวเย็นยะเยือก ตู้เยี่ยนอวี่ก็มิได้หยุดนิ่ง นางยังคงศึกษาตำราต่าง ๆ ในห้องสมุดอย่างต่อเนื่อง นางมิได้จำกัดอยู่เพียงตำราแพทย์เท่านั้น แต่ยังศึกษาตำราการเกษตร เพื่อหาวิธีเพิ่มผลผลิตให้แก่ชาวบ้าน หรือตำราการจัดการ เพื่อช่วยบิดาบริหารจัดการทรัพย์สินของตระกูลให้ดียิ่งขึ้น
วันหนึ่ง ขณะที่นางกำลังเดินสำรวจแปลงผักในสวนของตระกูล นางสังเกตเห็นว่าผักบางชนิดเจริญเติบโตได้ไม่ดีนัก แม้จะได้รับการดูแลอย่างดีแล้วก็ตาม
“นี่มิใช่ปัญหาที่เกิดจากดินฟ้าอากาศ” นางพึมพำกับตนเอง “แต่เป็นปัญหาที่เกิดจากการจัดการ”
นางนึกถึงความรู้เรื่องการปลูกพืชหมุนเวียน และการบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์ที่เคยเรียนรู้มา
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาท่านเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี่เอ่ยขึ้นกับท่านผู้เฒ่าตู้ในยามเย็น
ท่านผู้เฒ่าตู้ที่กำลังนั่งจิบชาอยู่กลางโถงเรือน มองบุตรสาวด้วยแววตาเปี่ยมรัก “มีอันใดหรืออวี่เอ๋อร์ ?”
“ข้าสังเกตเห็นว่าแปลงผักในสวนของเรามิได้ให้ผลผลิตที่ดีเท่าใดนัก” เยี่ยนอวี่กล่าว “ข้าคิดว่าเราควรจะลองปรับเปลี่ยนวิธีการปลูกผักดูบ้างเจ้าค่ะ”
นางอธิบายถึงแนวคิดเรื่องการปลูกพืชหมุนเวียน และการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่ทำจากมูลสัตว์และเศษใบไม้แห้ง ซึ่งจะช่วยบำรุงดินให้สมบูรณ์ขึ้น ดุจการเติมอาหารให้แก่ร่างกาย ท่านผู้เฒ่าตู้รับฟังด้วยความสนใจ ใบหน้าของเขาฉายแววครุ่นคิด
“แนวคิดของเจ้าช่างแปลกใหม่นักอวี่เอ๋อร์ แต่ก็ฟังดูมีเหตุผลยิ่งนัก” ท่านผู้เฒ่าตู้กล่าว “เช่นนั้นก็ลองทำดูเถิด พ่อเชื่อในตัวเจ้า”
ด้วยความเห็นชอบของท่านผู้เฒ่าตู้ ตู้เยี่ยนอวี่ก็เริ่มลงมือปรับปรุงแปลงผักในสวนทันที นางนำความรู้ที่ได้ศึกษามาปรับใช้ในการปฏิบัติจริง เสี่ยวจูและบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ก็เข้ามาช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่
เพียงไม่นาน หลังจากที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการดูแลแปลงผัก ผลผลิตที่ได้ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผักเติบโตอย่างงดงาม แข็งแรง และมีรสชาติดีขึ้นกว่าเดิมมาก
“คุณหนู ! ผักของเรางอกงามยิ่งนักเจ้าค่ะ !” เสี่ยวจูร้องด้วยความดีใจขณะเก็บเกี่ยวผลผลิต
“เห็นหรือไม่เสี่ยวจู เพียงแค่เราปรับเปลี่ยนวิธีการเล็กน้อย ก็สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว” เยี่ยนอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
ความสำเร็จในการปรับปรุงแปลงผักนี้ ทำให้ชื่อเสียงของตู้เยี่ยนอวี่มิได้มีเพียงแค่เรื่องการแพทย์เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความชาญฉลาดในการบริหารจัดการและการเกษตรด้วย จนทำให้มีชาวบ้านบางคน บางกลุ่มเริ่มเข้ามาปรึกษาเรื่องการทำไร่ทำนาบ้างแล้ว
เมฆหมอกแห่งความกบฏที่เคยปกคลุมวังหลวงมานานหลายเพลา ได้ถูกสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดพาสลายไปสิ้นพร้อมกับแสงอรุณรุ่งของวันใหม่ ค่ำคืนแห่งการนองเลือดและเสียงอาวุธที่น่าสะพรึงกลัว ได้ถูกแทนที่ด้วยความสงบเรียบร้อยที่แฝงไว้ด้วยความเข้มแข็งภายใต้ราชอำนาจที่กลับคืนสู่ความมั่นคงอีกครั้งณ ท้องพระโรงในยามเช้า บรรยากาศแตกต่างจากทุกวันที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง เหล่าขุนนางที่เคยแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ต่างยืนสงบนิ่งด้วยความยำเกรง พระสุรเสียงของฝ่าบาทในวันนี้กังวานและเปี่ยมด้วยพระราชอำนาจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน วิกฤตการณ์ในครั้งนี้ได้หลอมรวมให้องค์ฮ่องเต้ผู้เคยอ่อนโยน กลายเป็นราชันย์ที่แท้จริงราชโองการถูกประกาศก้องไปทั่วท้องพระโรง หลิวเจิ้งและพรรคพวกทั้งหมดถูกปลดจากทุกตำแหน่งและรอการไต่สวนโทษกบฏแผ่นดิน ซึ่งมีเพียงสถานเดียวคือประหารเก้าชั่วโคตร บัญชีมรณะที่ตู้เยี่ยนอวี่คัดลอกไว้ ได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญในการชำระล้างหนอนบ่อนไส้ที่กัดกินแผ่นดินมานานหลายสิบปีและในวาระเดียวกันนั้นเอง ฝ่าบาทก็ได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งวีรบุรุษและวีรสตรีผู้ปกป้องราชบัลลังก์อย่างสมเกียรติ“กู้เหย
เสี้ยววินาทีนั้นยาวนานประหนึ่งชั่วกัลป์ แต่ก็สั้นกว่าการกะพริบตาในขณะที่สมาธิของหลิวเจิ้งแตกสลายไปกับวาจาอันเสียดแทงของตู้เยี่ยนอวี่ ร่างของกู้เหยียนหลงก็ได้อันตรธานหายไปจากจุดที่เคยยืนอยู่มิใช่ร่างของบุรุษ แต่คือเงาของมังกรสีเงินที่พุ่งทะยานฝ่าอากาศ!ความเร็วของเขาทะลุขีดจำกัดของสายตามนุษย์ ไม่มีผู้ใดมองเห็นกระบวนท่าของเขาได้ทัน มีเพียงผลลัพธ์ที่ปรากฏขึ้นในพริบตาต่อมาเคร้ง!เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นเพียงครั้งเดียว ดาบในมือของหลิวเจิ้งที่เคยจ่ออยู่ที่พระศอของฝ่าบาท พลันถูกดีดกระเด็นขึ้นไปในอากาศอย่างแรงผลัวะ!สันมือของกู้เหยียนหลงฟาดเข้าที่จุดสกัดบนข้อมือของหลิวเจิ้งอย่างแม่นยำจนเกิดเสียงกระดูกลั่นตุ้บ!เท้าของเขากระแทกเข้าที่กลางอกของอสรพิษเฒ่า ส่งร่างที่เคยทรงอำนาจนั้นกระเด็นไปกระแทกกับเสาศิลาอย่างรุนแรงจนหมดสติทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วลมหายใจเดียวเมื่อองค์ฮ่องเต้ทรงเป็นอิสระ องครักษ์หลวงที่เหลือก็ทะยานเข้าอารักขาทันที ส่วนกองกำลังเงาของกู้เหยียนหลงก็เข้าจัดการกับนักฆ่าพรรคเมฆาโลหิตที่ยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเด็ดขาดเสียงการต่อสู้ที่เคยโกลาหล พลันเงียบ
เวลาประหนึ่งหยุดนิ่ง...ทุกสรรพสิ่งในศาลากลางน้ำล้วนตกอยู่ในพันธนาการแห่งคมดาบเพียงเล่มเดียว สายลมที่เคยพัดเอื่อยหยุดกรรโชก ใบบัวที่เคยไหวระริกพลันสงบนิ่ง แม้แต่เสียงหายใจของทุกคนก็ดูจะแผ่วเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน เกรงว่าจะเป็นการรบกวนความเงียบอันเปราะบางนี้ให้แหลกสลายกู้เหยียนหลงยืนนิ่งราวกับรูปสลัก กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างกายของเขาตึงเครียดและพร้อมที่จะทะยานออกไปในชั่วพริบตา แต่เขามิอาจทำได้ เพราะชีวิตขององค์ฮ่องเต้แขวนอยู่บนเส้นดวงแห่งความอดทนของเขา“ส่งตราหยกพระราชลัญจกรมาให้ข้า!” หลิวเจิ้งกล่าวขึ้นทำลายความเงียบ น้ำเสียงของเขาแหบพร่าแต่เต็มไปด้วยอำนาจเด็ดขาด “แล้วข้าจะรับรองความปลอดภัยของฝ่าบาท!”นี่มิใช่แค่การหลบหนี แต่คือการชิงอำนาจทั้งแผ่นดิน หากตราหยกอันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุดตกไปอยู่ในมือของกบฏ เขาย่อมสามารถออกราชโองการปลอม สั่งการกองทัพ และควบคุมทุกสิ่งได้ตามใจปรารถนา“ท่านเสนาบดี” พระพันปีหลวงตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่สงบนิ่งและเปี่ยมด้วยพระบารมีอย่างน่าประหลาด “เจ้ายึดมั่นในคติมิเป็นหยกทั้งแท่ง
เสมือนสายพิณที่ขาดสะบั้นลงกลางบทเพลงที่ไพเราะที่สุดสิ้นเสียงรายงานการเคลื่อนทัพของรองแม่ทัพจ้าวคุน บรรยากาศอันงดงามในศาลากลางน้ำพลันแหลกสลายลงในพริบตา ไอสังหารที่เคยแฝงเร้น บัดนี้ได้ปรากฏตัวตนขึ้นอย่างชัดเจนใบหน้าของฝ่าบาทและเหล่าขุนนางผู้ภักดีซีดเผือดราวกับกระดาษ การเคลื่อนทัพโดยพลการในยามนี้ มีความหมายเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือการก่อกบฏ!หน้ากากขุนนางผู้ภักดีที่เสนาบดีหลิวเจิ้งสวมใส่มานานหลายสิบปี บัดนี้ได้ถูกกระชากออกอย่างไม่เหลือชิ้นดี เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอสรพิษเฒ่าผู้กระหายในราชบัลลังก์“หลิวเจิ้ง! เจ้า... เจ้าบังอาจ!” ฝ่าบาทตรัสด้วยพระสุรเสียงที่สั่นเทาด้วยโทสะทว่าพยัคฆ์เฒ่าที่จนตรอก ย่อมเป็นพยัคฆ์ที่อันตรายที่สุดหลิวเจิ้งมิได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก เขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้งและน่าขนพองสยองเกล้า“ฮ่า ๆๆๆ! ในเมื่อพวกเจ้าฉีกหน้ากากของข้าแล้ว ข้าก็มิจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป!” เขากล่าวพลางปรายตามองทุกคนด้วยแววตาที่อำมหิต “เดิมทีข้าคิดจะค่อย ๆ กลืนกินแผ่นด
ในชั่ววินาทีที่พระพันปีหลวงตรัสถึงคดีของตระกูลมู่หรง อากาศทั่วทั้งศาลากลางน้ำพลันเยียบเย็นลงราวกับย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ในบัดดล รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวเจิ้งมิได้จางหาย แต่กลับแข็งค้างดุจหน้ากากน้ำแข็งที่กำลังปริร้าว เผยให้เห็นรอยแยกของความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ภายในทว่าอสรพิษเฒ่าที่ขดตัวอยู่ในราชสำนักมาหลายสิบปี ย่อมมิใช่ผู้ที่จะยอมจำนนต่อสถานการณ์โดยง่าย“ฮ่า ๆๆ”เสียงหัวเราะอันแหบแห้งของเขาดังขึ้นทำลายความเงียบงัน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดจากการถูกหยามเกียรติ“พระพันปีหลวงทรงมีพระเมตตา ยังทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของขุนนางเก่าแก่อย่างกระหม่อมได้” เขากล่าวพลางลุกขึ้นยืน โค้งคำนับอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น “น่าเสียดาย... ที่วัยชราได้พรากความทรงจำอันเฉียบคมของกระหม่อมไปเสียมากแล้ว คดีเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นช่างเลือนรางนัก แต่กระหม่อมจำได้เพียงว่า ทุกการตัดสินโทษในชีวิตราชการของกระหม่อม ล้วนเป็นไปเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินและเพื่อสนองพระเดชพระคุณฝ่าบาทเสมอมา”เขาเปลี่ยนจากการเป็นจำเลยมาเป็นผู้ถูกกระทำไ
ศาลากลางสระบัวในวันนี้งดงามและสงบนิ่งเป็นพิเศษ ประหนึ่งเกาะหยกที่ลอยเด่นอยู่กลางทะเลมรกตที่เต็มไปด้วยใบบัว สายลมที่พัดผ่านผิวน้ำ นำพาเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเกสรบัวหลวงมาด้วย ทว่าภายใต้ความงามอันสงบสุขนั้น กลับมิอาจพัดพาไอสังหารที่แฝงเร้นอยู่ในอากาศให้จางหายไปได้ขบวนเสลี่ยงของเสนาบดีหลิวเจิ้งมาถึงเป็นคนแรก เขาก้าวลงจากเสลี่ยงด้วยท่วงท่าที่สุขุมและสง่างามสมตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งผู้เป็นเสาหลักของแผ่นดิน รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นและเปี่ยมด้วยเมตตา แต่ในส่วนลึกของดวงตาที่ผ่านโลกมาจนโชกโชนนั้นกลับเยียบเย็นตามมาด้วยขบวนขององค์ชายจ้าวเฟิง เขามาในอาภรณ์ผ้าไหมปักลายพยัคฆ์ซ่อนกายในพงไพร ดูองอาจและเปี่ยมด้วยบารมี รอยยิ้มของเขายังคงเป็นมิตรและน่าคบหา แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า มันเป็นรอยยิ้มของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ มิใช่รอยยิ้มของสหายผู้มาเยือนเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า ณ ศาลากลางน้ำพระพันปีหลวงในฐานะประธานของงานเลี้ยง ก็ได้มีรับสั่งให้เริ่มพิธีชงชาชั้นสูง นางกำนัลคนสนิทค่อย ๆ บรรจงรินน้ำร้อนลงบนใบชาต้าหงเผาอันล้ำค่า กลิ่นหอมกรุ่นของใบชาชั้นเลิศลอยอบอวลไปทั่วศาลา