ยามอรุณเบิกฟ้า แสงเงินยวงของรุ่งอรุณทาบทาผืนฟ้าสีคราม ส่งมอบความอบอุ่นแก่โลกหล้า แม้จิตใจของตู้เยี่ยนอวี่จะยังคงสับสนดุจเรือน้อยกลางทะเลกว้าง แต่กายเนื้อกลับเริ่มฟื้นฟูคืนกำลังทีละน้อย
เสียงเจื้อยแจ้วของนกน้อยนอกหน้าต่าง และกลิ่นไอดินที่ลอยมาตามสายลมยามเช้า ล้วนเป็นสิ่งแปลกใหม่ที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาในโสตประสาทของนาง¹
“คุณหนู ท่านตื่นแล้วหรือเจ้าคะ ?” เสี่ยวจูผู้เป็นดุจเงาตามตัวของนาง เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารเช้าที่อบอวลด้วยกลิ่นหอมกรุ่น “ฮูหยินสั่งให้บ่าวทำโจ๊กสมุนไพรบำรุงกำลังมาให้เจ้าค่ะ”
ตู้เยี่ยนอวี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมองไปยังเสี่ยวจูที่กำลังจัดสำรับอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางของนางดูเป็นธรรมชาติและคุ้นเคย ดุจพี่น้องที่เติบโตมาด้วยกัน แตกต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างนายกับบ่าวที่นางเคยจินตนาการไว้จากนวนิยายโบราณโดยสิ้นเชิง
“ข้ามิได้เป็นอันใดแล้ว” เยี่ยนอวี่ตอบเสียงเบา พลางพยุงกายขึ้นนั่งพิงหมอน “แค่ยังรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง”
เสี่ยวจูส่งถ้วยโจ๊กมาให้ เยี่ยนอวี่จึงรับมาถือไว้
สัมผัสถึงไออุ่นที่แผ่ออกมาจากถ้วย หน้าตาของโจ๊กนั้นขาวนวล มีกลิ่นหอมของข้าวและสมุนไพรบางชนิดลอยแตะจมูก
“คุณหนูต้องทานให้มากนะเจ้าคะ จะได้มีเรี่ยวแรง” เสี่ยวจูกล่าวด้วยน้ำเสียงห่วงใย ดวงตาใสซื่อคู่นั้นสะท้อนภาพของความบริสุทธิ์ใจ
เยี่ยนอวี่ตักโจ๊กเข้าปากช้า ๆ รสชาติที่หอมหวานและนุ่มละมุนละไมแผ่ซ่านไปทั่วลิ้น บ่งบอกถึงความตั้งใจของผู้ปรุง และความห่วงใยที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง
“ท่านแม่ฝีมือดีจริง” เยี่ยนอวี่เผลอเอ่ยปากชม
เสี่ยวจูยิ้มกว้าง ก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยในทีกับคำพูดของนาง
“ฮูหยินของเราเป็นแม่ศรีเรือนที่เก่งกาจเจ้าค่ะ ทั้งงานบ้านงานเรือน การจัดการทรัพย์สิน หรือแม้แต่การเย็บปักถักร้อย ล้วนทำได้อย่างไร้ที่ติ” นางกล่าวสรรเสริญฮูหยินของตนด้วยความภาคภูมิใจ ดุจลูกกตัญญูที่ยกย่องมารดา
เยี่ยนอวี่รับฟังอย่างเงียบ ๆ พลางนึกถึงชีวิตเดิมของตนที่แทบจะมิได้เข้าครัวเลยแม้แต่น้อย ความรู้เรื่องการทำอาหารของนางมีเพียงเท่าที่เรียนรู้จากตำราและรายการโทรทัศน์ ยิ่งคิดก็ยิ่งตระหนักว่าโลกใบนี้แตกต่างจากเดิมมากเพียงใด
“เสี่ยวจู” เยี่ยนอวี่เอ่ยขึ้นอีกครา “เจ้าช่วยเล่าเรื่องราวของหมู่บ้านซีหลินให้ข้าฟังได้หรือไม่ ข้าอยากรู้เรื่องราวรอบตัวให้มากขึ้น”
เสี่ยวจูมิได้ฉงนใจ นางคิดว่าคุณหนูคงจะความจำเลอะเลือนจากพิษไข้ จึงเล่าเรื่องราวของหมู่บ้านอย่างละเอียดลออ
“หมู่บ้านซีหลินเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซีหลินเจ้าค่ะ ผู้คนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปลูกข้าว ปลูกผัก และเลี้ยงสัตว์ มีร้านค้าเล็ก ๆ ไม่กี่แห่ง แต่ผู้คนก็อยู่กันอย่างสงบสุขและพึ่งพาอาศัยกัน”
นางเล่าถึงผู้คนในหมู่บ้าน ร้านค้าประจำหมู่บ้าน เทศกาลท้องถิ่นที่จัดขึ้นเป็นประจำ และแม้แต่เรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น การที่เด็ก ๆ ในหมู่บ้านชอบวิ่งเล่นไล่จับกันริมแม่น้ำยามเย็น
“แล้วเรื่องการแพทย์เล่า ? ในหมู่บ้านมีหมอหรือไม่ ?” เยี่ยนอวี่ถามด้วยความสนใจ
“มีเจ้าค่ะ มีหมอหลี่ ท่านเป็นหมอเก่าแก่ประจำหมู่บ้าน มีความรู้เรื่องสมุนไพรและการฝังเข็ม” เสี่ยวจูตอบ “แต่ยามใดที่มีคนป่วยหนัก หรือเกิดโรคระบาดใหญ่ ก็มักจะไปขอความช่วยเหลือจากหมอผู้เก่งกาจในเมืองหลวง”
เยี่ยนอวี่พยักหน้าช้า ๆ “เช่นนั้นเอง”
ในใจนางเกิดประกายความคิดขึ้นเล็กน้อย แม้ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่จะแตกต่างจากแพทย์แผนโบราณมาก แต่หลักการพื้นฐานบางอย่าง เช่น สุขอนามัย การปฐมพยาบาล หรือการแยกโรค ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถนำมาปรับใช้ได้
“คุณหนูมีสิ่งใดให้บ่าวช่วยอีกหรือไม่เจ้าคะ ?” เสี่ยวจูถามอย่างเอาใจใส่
“ยังมิมี” เยี่ยนอวี่ตอบ “เจ้าไปพักเถิด”
หลังจากเสี่ยวจูออกไปแล้ว ตู้เยี่ยนอวี่ก็ค่อย ๆ พยุงกายลงจากเตียง สัมผัสของพื้นไม้ที่เย็นเยียบกระทบเท้าเปล่า ทำให้รู้สึกเหมือนจริงยิ่งขึ้น นางเดินสำรวจห้องอย่างช้า ๆ ข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นล้วนบ่งบอกถึงยุคสมัยที่ห่างไกลจากที่นางเคยอยู่
นางเดินไปที่หน้าต่างไม้ บานหน้าต่างถูกเปิดออก เผยให้เห็นทิวทัศน์ภายนอก
สายลมพัดโชยมาปะทะใบหน้า นำพาเอาไอเย็นและกลิ่นหอมของดอกไม้ยามเช้าเข้ามาในห้อง เบื้องหน้าคือกำแพงเตี้ย ๆ ของเรือนเล็ก ถัดไปคือสวนหย่อมขนาดไม่ใหญ่นัก มีต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงา และแปลงผักเล็ก ๆ ที่ปลูกผักสวนครัว
“ชีวิตใหม่ของข้าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว” นางพึมพำกับตนเอง
วันเวลาหลังจากนั้นดำเนินไปอย่างเชื่องช้า แต่ก็เต็มไปด้วยการเรียนรู้ ตู้เยี่ยนอวี่ในร่างของเด็กสาววัยสิบสี่ปี พยายามปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตของสกุลตู้ นางสังเกตพฤติกรรมของผู้คนรอบข้าง เรียนรู้ขนบธรรมเนียมประเพณี และพยายามทำความเข้าใจภาษาและสำเนียงการพูดที่ไม่คุ้นเคย
ทุกเช้านางจะลุกขึ้นมาเดินเล่นในสวน เพื่อทำความคุ้นเคยกับธรรมชาติรอบตัว เรียนรู้พืชผักและสมุนไพรต่าง ๆ ที่ปลูกอยู่ในสวน แม้จะมิได้มีความรู้ด้านพฤกษศาสตร์มาก่อน แต่ด้วยสัญชาตญาณของการเป็นแพทย์ นางก็เริ่มแยกแยะสมุนไพรบางชนิดได้
“นี่คือต้นบัวบกใช่หรือไม่ ?” นางถามเสี่ยวจูขณะชี้ไปที่พืชเลื้อยชนิดหนึ่ง
เสี่ยวจูพยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูจะใช้ไปทำอันใดหรือเจ้าคะ ?”
“เปล่า” เยี่ยนอวี่ตอบ “แค่สงสัยเฉย ๆ” ในใจนางนึกถึงสรรพคุณของบัวบกที่ใช้ในตำรับยาแผนปัจจุบัน ทั้งช่วยสมานแผล และบำรุงสมอง
นางยังใช้เวลาส่วนใหญ่ในห้องสมุดเก่าแก่ของตระกูลตู้ ซึ่งเต็มไปด้วยตำราโบราณมากมาย แม้หลายเล่มจะเป็นตำราที่เขียนด้วยภาษาที่ยากจะเข้าใจ แต่บางเล่มก็เป็นบันทึกเรื่องราวในอดีต หรือตำราสมุนไพรพื้นบ้าน ที่ทำให้ตู้เยี่ยนอวี่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้มากยิ่งขึ้น
“ตำราเล่มนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก” นางพึมพำกับตนเอง ขณะเปิดอ่านตำราสมุนไพรเล่มหนึ่ง ในตำรามีภาพประกอบและรายละเอียดของสมุนไพรพื้นบ้านมากมาย พร้อมสรรพคุณและวิธีการใช้
ยิ่งอ่านก็ยิ่งตระหนักว่าโลกใบนี้แม้จะล้าหลังในด้านเทคโนโลยี แต่ภูมิปัญญาโบราณเกี่ยวกับธรรมชาติและสมุนไพรกลับลึกล้ำยิ่งนัก
“ลูกรัก อ่านตำราแต่เช้าเลยนะ” เสียงท่านผู้เฒ่าตู้ดังขึ้นจากด้านหลัง
เยี่ยนอวี่หันไปมอง “ท่านพ่อ ข้ากำลังศึกษาตำราสมุนไพรอยู่เจ้าค่ะ”
ท่านผู้เฒ่าตู้ยิ้มอย่างอบอุ่น “อวี่เอ๋อร์ของพ่อช่างเป็นเด็กใฝ่เรียนรู้ยิ่งนัก ยามเจ็บป่วยเช่นนี้ก็ยังมิได้หยุดพักผ่อน”
“ข้ามิได้เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ เพียงแต่อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ” เยี่ยนอวี่ตอบอย่างสุภาพ “ท่านพ่อมีความรู้เรื่องตำราเหล่านี้มากใช่หรือไม่เจ้าคะ ?”
“พอมีความรู้บ้าง” ท่านผู้เฒ่าตอบด้วยความถ่อมตน “ตำราเหล่านี้เป็นของตกทอดของตระกูลเรา มีทั้งตำราการแพทย์ ตำราปรัชญา และตำราเกี่ยวกับประเพณี”
บทสนทนาระหว่างตู้เยี่ยนอวี่และท่านผู้เฒ่าตู้ดำเนินไปอย่างเนิบนาบ แต่นางก็ได้เรียนรู้เรื่องราวมากมายจากบิดา ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่น วัฒนธรรม หรือแม้แต่เรื่องราวปรัชญาชีวิตที่ฝังรากลึกในยุคสมัยนี้
บางครั้งนางก็ช่วยมารดาทำงานบ้านงานเรือน แม้จะมิเคยทำมาก่อน แต่ด้วยความตั้งใจเรียนรู้ นางก็เริ่มทำอาหารง่าย ๆ หรือเย็บปักถักร้อยได้บ้าง แม้จะยังไม่สวยงามประณีตเท่ามารดา แต่ก็เป็นสิ่งที่นางภาคภูมิใจที่ได้เรียนรู้
“คุณหนูช่างเก่งกาจเสียจริงเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูเอ่ยชมยามที่เยี่ยนอวี่สามารถเย็บชายผ้าได้ตรง แม้จะใช้เวลานานก็ตาม
“ก็ต้องเรียนรู้ไว้บ้าง” เยี่ยนอวี่ตอบพลางยิ้ม “ยามใดที่มิมีบ่าวรับใช้ จะได้มิอดอยาก”
เสี่ยวจูหัวเราะคิกคัก “คุณหนูพูดจาตลกนัก”
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ดุจสายน้ำที่ไหลเอื่อย
ตู้เยี่ยนอวี่เริ่มปรับตัวเข้ากับชีวิตในหมู่บ้านซีหลินได้มากขึ้น นางเริ่มคุ้นชินกับกิจวัตรประจำวัน การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย และการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในหมู่บ้านที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา
แม้ในบางคราวความคิดถึงโลกเดิมจะเข้ามารบกวนจิตใจ แต่ตู้เยี่ยนอวี่ก็เรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง และก้าวเดินต่อไป
“เส้นทางข้างหน้าจะเป็นเช่นไร มิอาจคาดเดาได้” นางรำพึงรำพันกับตนเองยามค่ำคืน พลางเหม่อมองแสงจันทร์ที่ทอแสงผ่านหน้าต่าง “แต่ข้าจะมิยอมแพ้ จะใช้ชีวิตในร่างนี้ให้ดีที่สุด”
————————
¹นาง หลังจากนี้ไปจะบรรยายตัวละครของนางเอก โดยใช้คำว่านาง แทนคำว่าเธอ หรือใช้ศัพท์สำนวนจีนต่าง ๆ เพื่ออรรถรสในการอ่าน
เสมือนสายพิณที่ขาดสะบั้นลงกลางบทเพลงที่ไพเราะที่สุดสิ้นเสียงรายงานการเคลื่อนทัพของรองแม่ทัพจ้าวคุน บรรยากาศอันงดงามในศาลากลางน้ำพลันแหลกสลายลงในพริบตา ไอสังหารที่เคยแฝงเร้น บัดนี้ได้ปรากฏตัวตนขึ้นอย่างชัดเจนใบหน้าของฝ่าบาทและเหล่าขุนนางผู้ภักดีซีดเผือดราวกับกระดาษ การเคลื่อนทัพโดยพลการในยามนี้ มีความหมายเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือการก่อกบฏ!หน้ากากขุนนางผู้ภักดีที่เสนาบดีหลิวเจิ้งสวมใส่มานานหลายสิบปี บัดนี้ได้ถูกกระชากออกอย่างไม่เหลือชิ้นดี เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของอสรพิษเฒ่าผู้กระหายในราชบัลลังก์“หลิวเจิ้ง! เจ้า... เจ้าบังอาจ!” ฝ่าบาทตรัสด้วยพระสุรเสียงที่สั่นเทาด้วยโทสะทว่าพยัคฆ์เฒ่าที่จนตรอก ย่อมเป็นพยัคฆ์ที่อันตรายที่สุดหลิวเจิ้งมิได้มีท่าทีหวาดกลัวหรือตื่นตระหนก เขากลับหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น เสียงหัวเราะของเขาแหบแห้งและน่าขนพองสยองเกล้า“ฮ่า ๆๆๆ! ในเมื่อพวกเจ้าฉีกหน้ากากของข้าแล้ว ข้าก็มิจำเป็นต้องแสดงละครอีกต่อไป!” เขากล่าวพลางปรายตามองทุกคนด้วยแววตาที่อำมหิต “เดิมทีข้าคิดจะค่อย ๆ กลืนกินแผ่นด
ในชั่ววินาทีที่พระพันปีหลวงตรัสถึงคดีของตระกูลมู่หรง อากาศทั่วทั้งศาลากลางน้ำพลันเยียบเย็นลงราวกับย่างเข้าสู่ฤดูเหมันต์ในบัดดล รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิวเจิ้งมิได้จางหาย แต่กลับแข็งค้างดุจหน้ากากน้ำแข็งที่กำลังปริร้าว เผยให้เห็นรอยแยกของความตื่นตระหนกที่ซ่อนอยู่ภายในทว่าอสรพิษเฒ่าที่ขดตัวอยู่ในราชสำนักมาหลายสิบปี ย่อมมิใช่ผู้ที่จะยอมจำนนต่อสถานการณ์โดยง่าย“ฮ่า ๆๆ”เสียงหัวเราะอันแหบแห้งของเขาดังขึ้นทำลายความเงียบงัน มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูเศร้าสร้อยและเจ็บปวดจากการถูกหยามเกียรติ“พระพันปีหลวงทรงมีพระเมตตา ยังทรงจดจำเรื่องราวในอดีตของขุนนางเก่าแก่อย่างกระหม่อมได้” เขากล่าวพลางลุกขึ้นยืน โค้งคำนับอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่น “น่าเสียดาย... ที่วัยชราได้พรากความทรงจำอันเฉียบคมของกระหม่อมไปเสียมากแล้ว คดีเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้นช่างเลือนรางนัก แต่กระหม่อมจำได้เพียงว่า ทุกการตัดสินโทษในชีวิตราชการของกระหม่อม ล้วนเป็นไปเพื่อความสงบสุขของแผ่นดินและเพื่อสนองพระเดชพระคุณฝ่าบาทเสมอมา”เขาเปลี่ยนจากการเป็นจำเลยมาเป็นผู้ถูกกระทำไ
ศาลากลางสระบัวในวันนี้งดงามและสงบนิ่งเป็นพิเศษ ประหนึ่งเกาะหยกที่ลอยเด่นอยู่กลางทะเลมรกตที่เต็มไปด้วยใบบัว สายลมที่พัดผ่านผิวน้ำ นำพาเอากลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเกสรบัวหลวงมาด้วย ทว่าภายใต้ความงามอันสงบสุขนั้น กลับมิอาจพัดพาไอสังหารที่แฝงเร้นอยู่ในอากาศให้จางหายไปได้ขบวนเสลี่ยงของเสนาบดีหลิวเจิ้งมาถึงเป็นคนแรก เขาก้าวลงจากเสลี่ยงด้วยท่วงท่าที่สุขุมและสง่างามสมตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งผู้เป็นเสาหลักของแผ่นดิน รอยยิ้มของเขาดูอบอุ่นและเปี่ยมด้วยเมตตา แต่ในส่วนลึกของดวงตาที่ผ่านโลกมาจนโชกโชนนั้นกลับเยียบเย็นตามมาด้วยขบวนขององค์ชายจ้าวเฟิง เขามาในอาภรณ์ผ้าไหมปักลายพยัคฆ์ซ่อนกายในพงไพร ดูองอาจและเปี่ยมด้วยบารมี รอยยิ้มของเขายังคงเป็นมิตรและน่าคบหา แต่หากสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า มันเป็นรอยยิ้มของพยัคฆ์ร้ายที่กำลังจะขย้ำเหยื่อ มิใช่รอยยิ้มของสหายผู้มาเยือนเมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า ณ ศาลากลางน้ำพระพันปีหลวงในฐานะประธานของงานเลี้ยง ก็ได้มีรับสั่งให้เริ่มพิธีชงชาชั้นสูง นางกำนัลคนสนิทค่อย ๆ บรรจงรินน้ำร้อนลงบนใบชาต้าหงเผาอันล้ำค่า กลิ่นหอมกรุ่นของใบชาชั้นเลิศลอยอบอวลไปทั่วศาลา
ในตำหนักหมื่นวสันต์ที่เงียบสงบ บัญชีมรณะเล่มนั้นได้กลายเป็นเถ้าธุลีในกระถางทองเหลืองไปแล้ว แต่ทุกตัวอักษรที่เคยจารึกไว้ ได้ประทับลงในพระทัยของอย่างมิอาจลบเลือน พระพันปีหลวงผู้ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวและคลื่นลมในราชสำนักมาค่อนชีวิต บัดนี้แววพระเนตรของพระนางนิ่งสงบและเยียบเย็นดุจผืนน้ำใต้ธารน้ำแข็ง“ในเมื่อรากแก้วของต้นไม้พิษมันฝังลึกถึงเพียงนี้ การถอนรากถอนโคนในคราวเดียว ย่อมทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน” พระนางตรัสกับองค์หญิงลี่หัวและพระสนมหลี่ที่อยู่เบื้องหน้า “เราจะมิโค่นต้นไม้ แต่เราจะลิดกิ่งก้านของมันทีละกิ่ง ล่ออสรพิษให้ออกมาจากโพรงด้วยตัวเอง”พระนางมิได้มีราชโองการให้จับกุมผู้ใดในทันที แต่กลับมีรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงน้ำชาชมราชสาส์นขึ้นเป็นการส่วนพระองค์ในอีกสามวันข้างหน้า ณ ศาลากลางสระบัว โดยให้เหตุผลว่าเพื่อหารือเป็นการภายในถึงข้อเสนออภิเษกสมรสขององค์ชายจ้าวเฟิง และเพื่อพิจารณาราชสาส์นจากแคว้นอื่นที่ส่งมาถวายพระพรในวาระที่ฝ่าบาททรงหายจากพระอาการประชวรเป็นการเดินหมากที่แยบยลและเลือดเย็นที่สุด ผู้ที่ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้มีเพียงไม่กี่คน แต่ทุกคนล้วนเป็นหัวใจของขั้วอำนาจทั้งหมด ฝ่า
แสงจันทร์มิอาจสาดส่องถึงห้องลับใต้ดินของสำนักพันเงา ที่ซึ่งบรรยากาศหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่ารัตติกาลในฤดูเหมันต์ บนโต๊ะไม้ตัวใหญ่ใจกลางห้อง บัญชีมรณะเล่มนั้นวางแผ่หลาอยู่ แต่ทุกตัวอักษรที่จารึกไว้ด้วยพู่กันกลับหนักอึ้งดุจชะตากรรมของแผ่นดิน รอยแผลของนายหญิงแห่งเงาได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดจากตู้เยี่ยนอวี่ แม้ร่างกายจะเจ็บปวด แต่ในแววตาของนางกลับลุกโชนไปด้วยไฟแค้นที่รอวันสะสาง“หลิวเจิ้งคือรากแก้วของต้นไม้พิษต้นนี้” กู้เหยียนหลงกล่าวทำลายความเงียบ นัยน์ตาคมกริบของเขาทอประกายกร้าว “การโค่นล้มเขาในยามนี้ที่มันยังกุมอำนาจเบ็ดเสร็จในราชสำนัก ไม่ต่างอะไรกับการเอากายเข้าปะทะคมดาบ”“ท่านแม่ทัพกล่าวถูกแล้ว” จางอู๋จีเสริมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สายข่าวของข้ารายงานว่า บัดนี้จวนเสนาบดีและการป้องกันวังหลวงถูกยกระดับขึ้นสูงสุด ประหนึ่งค่ายทหารที่พร้อมรับศึก เรามิอาจใช้กำลังบุกเข้าไปได้อีกเป็นครั้งที่สอง”ท่ามกลางความตึงเครียดนั้น มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่ที่ยังคงสงบนิ่ง นางวางสมุนไพรในมือลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยปัญญาอันล้ำลึก“ในเมื่อประตูหน้าเต็มไปด้วยกองทัพหมาป
ครืน... ครืน...เสียงหินบดขยี้กันดังก้องสะท้าน ราวกับเสียงกรามของมังกรที่กำลังจะขย้ำเหยื่อให้แหลกสลาย ผนังห้องทั้งสี่ด้านเคลื่อนตัวบีบอัดเข้ามาอย่างช้า ๆ แต่หนักหน่วงและไม่อาจต้านทานได้ ฝุ่นผงและเศษปูนร่วงหล่นลงมาจากเพดานราวกับห่าฝน“เรามีเวลาไม่ถึงสิบห้าลมหายใจ!” หนึ่งในแมวเงาตะโกนขึ้นด้วยความตื่นตระหนกกู้เหยียนหลงและนายหญิงแห่งเงาพุ่งเข้าไปใช้ฝ่ามือยันผนังที่เคลื่อนเข้ามาทันที พลังลมปราณของทั้งสองระเบิดออกอย่างเต็มที่ แต่ก็ทำได้เพียงแค่ชะลอความเร็วของมันลงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันหนักหน่วงเกินกว่ากำลังของมนุษย์จะต้านทานไหว“ไร้ประโยชน์! นี่คือกลไกตายตัว!” กู้เหยียนหลงกัดฟันพูด ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดในขณะที่ทุกคนกำลังจะสิ้นหวัง ตู้เยี่ยนอวี่กลับมีสายตาที่สว่างวาบขึ้น นางมิได้มองไปยังผนัง แต่นางกลับจ้องลึกลงไปในช่องลับใต้พื้นที่ว่างเปล่าหลังจากที่หยิบหีบออกมาแล้ว“ช่องลับนั่น!” นางร้องบอกทุกคน “มันมิใช่แค่ช่องเก็บของ แต่มันคือกลไก รูปปั้นพระพุทธองค์มิใช่แค่กุญแจเปิด แต่เป็นตุ้มถ่วงน้